romrawin

CoolSculpting vs Emsculpt แตกต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหน

CoolSculpting vs Emsculpt

CoolSculpting vs Emsculpt ต่างกันยังไง รู้ก่อนตัดสินใจทำ
น้ำหนักเกิน อ้วน หุ่นเผละ มีไขมันหน้าท้อง เป็นปัญหาที่หลายคนกำลังเผชิญ ทำให้รู้สึกหมดความมั่นใจและส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นหลายคนจึงหาวิธีลดน้ำหนักที่เห็นผล ซึ่งปัจจุบันนวัตกรรมลดน้ำหนักมีหลากหลายรูปแบบ เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีความงามสำหรับกระชับสัดส่วนและลดไขมัน หลายคนอาจคุ้นเคยกับเครื่อง CoolSculpting และ Emsculpt นวัตกรรมยกกระชับสลายไขมันที่ได้รับความนิยม

แต่ก่อนตัดสินใจทำควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพราะทั้งสองเทคโนโลยีมีความแตกต่างกัน เช่น หลักการทำงาน ข้อดี ข้อจำกัด และผลลัพธ์ ในบทความนี้จึงขอพาทุกคนไปรู้ว่า CoolSculpting และ Emsculpt แตกต่างกันอย่างไร เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการ

รู้จักกับนวัตกรรม CoolSculpting และ Emsculpt
CoolSculpting คืออะไร
CoolSculpting คือ นวัตกรรมเครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น ที่มีเทคโนโลยีใช้ความเย็นในกระบวนการที่เรียกว่า Cryolipolysis เพื่อลดไขมันเฉพาะจุด เซลล์ไขมันจะถูกทำลายจากความเย็นจนตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) และถูกขับออกจากร่างกายโดยระบบน้ำเหลือง CoolSculpting ไม่ต้องใช้การผ่าตัด จึงไม่มีแผลและไม่ต้องพักฟื้น ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันในบริเวณที่ลดได้ยาก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน สะโพก และต้นขา

Emsculpt คืออะไร
Emsculpt คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง (HIFEM - High-Intensity Focused Electromagnetic) ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวอย่างรุนแรงและถี่มาก ซึ่งไม่สามารถทำได้จากการออกกำลังกายทั่วไป เทคโนโลยีนี้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในบริเวณที่ทำในเวลาเดียวกัน

CoolSculpting vs Emsculpt มีหลักการทำงานอย่างไร
หลักการทำงานของ CoolSculpting
• การแช่แข็งเซลล์ไขมัน CoolSculpting ใช้เครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งมีหัวแช่เย็นวางบนบริเวณที่ต้องการลดไขมัน ความเย็นจะถูกส่งผ่านไปยังชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันในบริเวณนั้นเย็นลงจนถึงระดับที่เซลล์ไขมันไม่สามารถทนได้
• การทำลายเซลล์ไขมัน (Apoptosis) เมื่อเซลล์ไขมันสัมผัสกับความเย็น ที่มาจากเทคโนโลยีของเครื่อง CoolSculpting เซลล์จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการตายแบบธรรมชาติที่เรียกว่า Apoptosis กระบวนการนี้จะทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลายและแยกออกจากเนื้อเยื่อ
• ระบบน้ำเหลืองกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว เซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลืองตามธรรมชาติ กระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันนี้ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน หลังจากทำ CoolSculpting
• CoolSculpting ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อไขมันในบริเวณที่ทำถูกกำจัดออกไป รูปร่างจะเริ่มกระชับและดูสมส่วนมากขึ้น

หลักการทำงานของ Emsculpt
• พลังงาน HIFEM เป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงถูกส่งเข้าสู่กล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อในระดับสูงสุด (Supramaximal Contraction) กล้ามเนื้อจะปรับตัวเพื่อรองรับการหดตัวนี้ โดยสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่และเผาผลาญไขมันที่อยู่รอบ ๆ
• เทียบเท่าการออกกำลังกาย การทำ Emsculpt ในแต่ละครั้ง เทียบเท่ากับการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออย่างหนักมากกว่า 20,000 ครั้งในเวลาเพียง 30 นาที
• เผาผลาญไขมันพร้อมสร้างกล้ามเนื้อ ขณะกล้ามเนื้อถูกกระตุ้น เซลล์ไขมันในบริเวณนั้นจะถูกใช้เป็นพลังงาน ทำให้ลดไขมันในบริเวณเดียวกัน

CoolSculpting vs Emsculpt มีข้อดีอะไรบ้าง
ทั้ง CoolSculpting และ Emsculpt มีข้อดีเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันในเรื่องการปรับรูปร่าง ซึ่งแต่ละนวัตกรรมมีข้อดีดังนี้

ข้อดีของการทำ CoolSculpting
1.CoolSculpting ช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• CoolSculpting สามารถช่วยลดไขมันในบริเวณที่ลดได้ยาก เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน หรือคาง
• CoolSculpting สามารถช่วยลดไขมันได้ 20-25% ต่อครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด

2.CoolSculpting ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
• เนื่องจากการทำ CoolSculpting ไม่ใช่หัตถการที่ต้องผ่าตัด
• หลังทำ CoolSculpting สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที

3.CoolSculpting ให้ผลลัพธ์ถาวรในบริเวณที่ทำ
• การทำ CoolSculpting ส่งผลให้เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาอีก (หากน้ำหนักคงที่)
• การทำ CoolSculpting ช่วยให้รูปร่างกระชับและดูดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

4.CoolSculpting เป็นนวัตกรรมที่ปลอดภัย
• เครื่อง CoolSculpting ได้รับการรับรองจาก FDA ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
• การลดไขมันด้วย CoolSculpting ไม่มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง เช่น ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ

5.CoolSculpting เจ็บปวดน้อยในระหว่างทำ
• ระหว่างทำ CoolSculpting เพื่อช่วยลดไขมัน อาจรู้สึกเย็นหรือชาบริเวณที่ทำ แต่ไม่รู้สึกเจ็บมาก

ข้อดีของการทำ Emsculpt
1.สร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในเวลาเดียวกัน
• ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวอย่างเข้มข้น
• ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ 16% และลดไขมันใต้ผิวหนัง 19%

2.กระชับกล้ามเนื้อได้หลากหลายบริเวณ
• สามารถทำบริเวณหน้าท้อง ก้น ต้นแขน หรือขา
• เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อความแข็งแรงและรูปร่างที่สมส่วน

3.ไม่มีความเจ็บปวดหรือผลข้างเคียงรุนแรง
• ความรู้สึกขณะทำเหมือนการออกกำลังกายหนัก ๆ
• ไม่มีการตัดหรือเจาะ ไม่มีรอยแดงหรือบวมหลังทำ

4.ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังคลอดหรือบาดเจ็บ
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกหลังคลอด
• ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังจากพักฟื้นหรืออาการบาดเจ็บ

5.ปรับรูปร่างแม้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
• เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบรวดเร็วโดยไม่ต้องออกกำลังกายหนัก

CoolSculpting vs Emsculpt มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
ทั้ง CoolSculpting และ Emsculpt มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ เนื่องจากวิธีการทั้งสองมีจุดประสงค์และหลักการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งข้อจำกัดของแต่ละวิธีมีดังนี้

ข้อจำกัดของ CoolSculpting
1.CoolSculpting เหมาะสำหรับการลดไขมันเฉพาะจุดเท่านั้น
• การทำ CoolSculpting ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักทั้งร่างกาย แต่เหมาะกับการลดไขมันเฉพาะจุด
• การทำ CoolSculpting เหมาะสำหรับผู้ที่น้ำหนักคงที่และมีไขมันสะสมเฉพาะจุด

2.CoolSculpting อาจไม่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ
• เนื่องจาก CoolSculpting ลดไขมันเฉพาะจุดเท่านั้น จึงอาจไม่ช่วยเรื่องความกระชับของกล้ามเนื้อ

3.CoolSculpting ไม่เหมาะกับไขมันภายในช่องท้อง
• นวัตกรรมเทคโนโลยี CoolSculpting ทำงานเฉพาะกับไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) จึงไม่เหมาะกับไขมันที่อยู่ลึกหรือไขมันภายในช่องท้อง (Visceral Fat)

4.CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง
• การทำ CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวข้องกับความเย็น เช่น โรค Cold Agglutinin Disease
• การทำ CoolSculpting ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร

ข้อจำกัดของ Emsculpt
1.Emsculpt ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันหนามาก
• หากไขมันในบริเวณที่ทำหนาเกินไป (>2.5 ซม.) อาจไม่เห็นผลชัดเจนในการลดไขมันหรือสร้างกล้ามเนื้อ

2.Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย
• ผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกายหรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก Emsculpt ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

3.Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
• ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท

4.Emsculpt ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่อง
• หากไม่มีการออกกำลังกายหรือดูแลอาหาร ผลลัพธ์จากการทำอาจไม่คงอยู่ได้นาน

5.Emsculpt เน้นสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันเฉพาะจุด
• Emsculpt เน้นสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในบริเวณที่ต้องการ จึงอาจไม่ได้ส่งผลต่อการลดน้ำหนักทั้งหมด

CoolSculpting vs Emsculpt ทำบริเวณไหนได้บ้าง
ตำแหน่งที่เหมาะทำ CoolSculpting
CoolSculpting ใช้ความเย็นเพื่อกำจัดไขมันเฉพาะจุด เหมาะสำหรับบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินสะสม เช่น
• CoolSculpting เหมาะทำที่หน้าท้อง เหมาะสำหรับการกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณพุง
• CoolSculpting เหมาะทำที่เอว กำจัดไขมันด้านข้างลำตัว หรือที่เรียกว่า ปีกข้าง
• CoolSculpting เหมาะทำที่ต้นขา ทั้งต้นขาด้านในและด้านนอก
• CoolSculpting เหมาะทำที่เหนียง ลดไขมันใต้คางเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
• CoolSculpting เหมาะทำที่แผ่นหลัง รวมถึงไขมันที่สะสมบริเวณส่วนล่างของหลัง
• CoolSculpting เหมาะทำที่บริเวณก้น ช่วยลดไขมันที่สะสมอยู่บริเวณก้น
• CoolSculpting เหมาะทำที่ต้นแขน ลดไขมันบริเวณต้นแขนที่หย่อนคล้อย

ตำแหน่งที่เหมาะทำ Emsculpt
Emsculpt ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง (HIFEM) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและลดไขมัน เหมาะสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อและกระชับรูปร่างในบริเวณต่อไปนี้
• Emsculpt เหมาะทำที่หน้าท้อง ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระชับพุง
• Emsculpt เหมาะทำที่ก้น ยกกระชับและเพิ่มความแน่นของกล้ามเนื้อบริเวณก้น
• Emsculpt เหมาะทำที่ต้นแขน กระชับกล้ามเนื้อต้นแขนและลดไขมันในบริเวณนี้
• Emsculpt เหมาะทำที่ต้นขา ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความชัดเจนของกล้ามเนื้อต้นขา
• Emsculpt เหมาะทำที่น่อง กระตุ้นกล้ามเนื้อน่องให้กระชับและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
• Emsculpt เหมาะทำที่หลัง เน้นสร้างกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงและกระชับมากขึ้น (ในบางกรณี)

CoolSculpting vs Emsculpt ทำกี่ครั้งเห็นผล
จำนวนครั้งที่ควรทำ CoolSculpting โดยทั่วไปการทำ CoolSculpting เพียง 1-2 ครั้งต่อบริเวณ ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและเป้าหมายของแต่ละคน ผลลัพธ์หลังทำ CoolSculpting เริ่มเห็นได้ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังการทำ และเห็นผลชัดเจนใน 2-3 เดือน
จำนวนครั้งที่ควรทำ Emsculpt แนะนำทำ 4-6 ครั้ง ต่อบริเวณ (ทำประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ใน 2-4 สัปดาห์ และชัดเจนใน 3 เดือน

หลังทำ CoolSculpting vs Emsculpt กี่วันเห็นผล
ระยะเวลาเห็นผลหลังทำ CoolSculpting หลังทำ CoolSculpting ส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 สัปดาห์หลังจากทำครั้งแรก และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในช่วง 2-3 เดือน สำหรับบริเวณที่มีไขมันมาก อาจต้องทำ 1-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 6-8 สัปดาห์ต่อครั้ง
ระยะเวลาเห็นผลหลังทำ Emsculpt จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากเริ่มการรักษา และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำครบโปรแกรม มักแนะนำให้ทำเป็นคอร์ส 4-6 ครั้ง โดยเว้นระยะประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง

หลังทำ CoolSculpting vs Emsculpt อยู่ได้นานแค่ไหน
ระยะเวลาผลลัพธ์หลังทำ CoolSculpting ผลลัพธ์จาก CoolSculpting สามารถอยู่ได้นานถาวรในบริเวณที่ไขมันถูกกำจัดออกไป เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตาม หากคุณมีการเพิ่มน้ำหนักหรือไขมันสะสมในอนาคต ไขมันอาจกลับมาสะสมในบริเวณอื่นได้
ระยะเวลาผลลัพธ์หลังทำ Emsculpt ผลลัพธ์จาก Emsculpt เช่น กล้ามเนื้อที่กระชับขึ้น และ ไขมันที่ลดลง จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง เนื่องจากกล้ามเนื้อที่สร้างขึ้นอาจลดลงหากไม่มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง

CoolSculpting vs Emsculpt อันตรายไหม
ความปลอดภัยของการทำ CoolSculpting เครื่อง CoolSculpting ใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis ซึ่งเน้นทำลายเซลล์ไขมันโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง และนวัตกรรม CoolSculpting ยังได้รับการรับรองว่าปลอดภัย สำหรับการลดไขมันในบริเวณเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา แขน หรือคาง
ความปลอดภัยของการทำ Emsculpt เครื่อง Emsculpt ใช้เทคโนโลยี HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย และได้รับการรับรองว่าปลอดภัยสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมัน

CoolSculpting vs Emsculpt เจ็บไหมขณะทำ
ความรู้สึกขณะทำ CoolSculpting
• ระหว่างทำ CoolSculpting
- ในระหว่างการทำ CoolSculpting จะรู้สึกถึงแรงดูด (suction) จากหัวเครื่องที่จับผิวหนังและไขมันบริเวณที่ทำ
- ในระหว่างการทำ CoolSculpting จะรู้สึกเย็นจัดในช่วง 5-10 นาทีแรก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บเล็กน้อย แต่จะค่อย ๆ ชินหลังจากนั้น
• หลังทำ CoolSculpting
- หลังทำ CoolSculpting บางคนอาจรู้สึกชา หรือปวดตึงบริเวณที่ทำ ซึ่งมักเป็นชั่วคราวและหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
- หากมีอาการปวดหลังทำ CoolSculpting สามารถรับประทานยาแก้ปวดตามคำแนะนำของแพทย์

ความรู้สึกขณะทำ Emsculpt
• ระหว่างทำ Emsculpt
- เครื่อง Emsculpt ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ จะรู้สึกถึงการกระตุกหรือการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างเข้มข้น ความรู้สึกเหมือนการออกกำลังกายหนัก ๆ แต่ไม่ต้องออกแรงเอง
- คลินิกมักปรับระดับพลังงานให้เริ่มจากเบา ๆ และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการคุ้นเคย
• หลังทำ Emsculpt
- อาจรู้สึกเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ (คล้ายอาการปวดหลังออกกำลังกายหนัก) ซึ่งจะหายไปเองใน 1-2 วัน ไม่มีผลข้างเคียงเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น รอยแดงหรือบวม

CoolSculpting vs Emsculpt มีผลข้างเคียงไหม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ CoolSculpting
• อาจมีอาการแดง บวม หรือช้ำในบริเวณที่ทำ รู้สึกชา เสียวแปลบคล้ายเข็มจิ้ม อาการปวดหรือรู้สึกตึงบริเวณที่ทำ CoolSculpting ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นชั่วคราว มักหายภายในไม่กี่วัน

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Emsculpt
• ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อยคล้ายอาการปวดหลังออกกำลังกายหนัก (DOMS) รู้สึกอุ่นหรือรู้สึกเหมือนมีการกระตุกในกล้ามเนื้อขณะทำ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นชั่วคราว มักหายภายในไม่กี่วัน

ใครที่เหมาะกับ CoolSculpting vs Emsculpt
CoolSculpting เหมาะกับใคร
• CoolSculpting เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด หรือ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินในบริเวณ เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก หรือคาง ซึ่งกำจัดได้ยากด้วยการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร
• CoolSculpting เหมาะกับผู้ที่น้ำหนักตัวคงที่ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้มีน้ำหนักเกินมาก (ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียง) แต่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับขึ้น
• CoolSculpting เหมาะกับต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัด เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรมดูดไขมันหรือหัตถการที่ต้องเจ็บตัวมาก

Emsculpt เหมาะกับใคร
• Emsculpt เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความกระชับและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น หน้าท้อง ก้น ต้นแขน หรือต้นขา
• Emsculpt ผู้ที่ต้องการลดไขมันเล็กน้อย ช่วยลดไขมันบางส่วน (Subcutaneous Fat) ในขณะที่กระชับกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน
• Emsculpt เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้ ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และไม่สามารถใช้เวลาในยิมหรือออกกำลังกายหนัก ๆ
• Emsculpt เหมาะกับต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังคลอด ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหน้าท้องที่อาจแยกจากกันหลังคลอด (Diastasis Recti)

ใครที่ไม่เหมาะกับ CoolSculpting vs Emsculpt
CoolSculpting ไม่เหมาะกับใคร
• CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะแพ้อุณหภูมิเย็น โรคที่เกี่ยวข้อง เช่น
- Cryoglobulinemia ภาวะที่โปรตีนในเลือดตกตะกอนในอุณหภูมิต่ำ
- Cold Agglutinin Disease ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อความเย็น
- Paroxysmal Cold Hemoglobinuria ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกในสภาพอากาศเย็น
• CoolSculpting ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ถึงแม้ว่าการทำ CoolSculpting ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการตั้งครรภ์ แต่แนะนำให้เลี่ยงจนกว่าจะพ้นช่วงนี้
• CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำ เช่น มีแผลเปิด การติดเชื้อ การอักเสบ หรือภาวะโรคผิวหนังเฉพาะบริเวณที่จะทำ CoolSculpting
• CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักจำนวนมาก CoolSculpting ออกแบบมาเพื่อลดไขมันเฉพาะจุด ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักทั้งหมด แต่ช่วยปรับรูปร่างให้ดีขึ้น
• CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง หากต้องการลดไขมันด้วย CoolSculpting ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

Emsculpt ไม่เหมาะกับใคร
• Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เครื่องกระตุ้นสมอง (Neurostimulator) หรือโลหะที่ฝังในบริเวณที่ทำ
• Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากการกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือการให้นม แนะนำให้หลีกเลี่ยง
• Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมหนาเกินไป Emsculpt มีประสิทธิภาพดีที่สุดในผู้ที่มีไขมันบางหรือปานกลาง ถ้าไขมันหนาเกินไป ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจน
• Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง (Myasthenia Gravis) หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง
• Emsculpt ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนัง ในบริเวณที่ต้องการทำ เช่น แผลเปิด การติดเชื้อ หรือผื่นแพ้

วิธีดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting vs Emsculpt
การดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting หรือ Emsculpt เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น และลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง ซึ่งมีคำแนะนำวิธีการดูแลตัวเองดังนี้

การดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting
1.ประคบอุ่นหรือรับประทานยาแก้ปวดหลังทำ CoolSculpting
• หลังทำ CoolSculpting หากมีอาการเจ็บเล็กน้อย สามารถประคบอุ่น หรือรับประทานยาแก้ปวดที่แพทย์แนะนำ
• อาจรู้สึกชา บวม แดง หรือคันในบริเวณที่ทำ CoolSculpting ซึ่งเป็นอาการปกติ และจะหายไปเองในไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์

2.หลังทำ CoolSculpting ควรดื่มน้ำมาก ๆ
• หลังทำ CoolSculpting ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยร่างกายขับเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกทางระบบน้ำเหลือง

3.หลังทำ CoolSculpting ควรออกกำลังกายเบา ๆ
• ควรออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองหลังทำ CoolSculpting
• แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วง 2-3 วันแรก หลังทำ CoolSculpting

4.หลังทำ CoolSculpting ควรเลือกรับประทานอาหาร
• หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาล เพราะไขมันใหม่อาจสะสมในส่วนอื่นหลังทำ CoolSculpting
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อเสริมให้การทำ CoolSculpting มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

5.หลังทำ CoolSculpting ควรติดตามผล
• การนัดติดตามผลหลังทำ CoolSculpting กับแพทย์ เพื่อประเมินผลลัพธ์และพิจารณาการทำเพิ่มเติม (ถ้าจำเป็น)

การดูแลตัวเองหลังทำ Emsculpt
1.นวดเบา ๆ หลังทำ Emsculpt
• หากรู้สึกไม่สบาย สามารถนวดเบา ๆ ในบริเวณที่ทำเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
• อาจรู้สึกเมื่อยล้ากล้ามเนื้อเล็กน้อย คล้ายกับอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายหนัก (DOMS) ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะหายไปใน 1-2 วัน

2.หลังทำ Emsculpt ควรออกกำลังกายควบคู่
• คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันและออกกำลังกายได้ทันที
• การออกกำลังกายต่อเนื่อง เช่น คาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่ง จะช่วยเสริมสร้างผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น

3.หลังทำ Emsculpt ควรดื่มน้ำมาก ๆ
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

4.หลังทำ Emsculpt ควรเลือกรับประทานอาหาร
• ควรเน้นอาหารโปรตีนสูง เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
• หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์หรืออาหารแปรรูปที่ไม่มีประโยชน์

5.หลังทำ Emsculpt ควรติดตามผล
แนะนำให้ทำตามโปรแกรมที่แพทย์กำหนด (เช่น ทำ 4-6 ครั้งต่อบริเวณ) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และสามารถทำซ้ำทุก 6-12 เดือนช่วยรักษาผลลัพธ์ระยะยาว

ตารางเปรียบเทียบ CoolSculpting vs Emsculpt

ข้อควรรู้

CoolSculpting

Emsculpt

หลักการทำงาน

ใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis แช่แข็งไขมันจนตาย และขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

ใช้เทคโนโลยี HIFEM กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวอย่างเข้มข้น (20,000 ครั้งใน 30 นาที)

เป้าหมาย

ลดไขมันเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก

สร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันควบคู่กัน

บริเวณที่ทำได้

หน้าท้อง, ต้นขา, ต้นแขน, สะโพก, คาง

หน้าท้อง, ก้น, ต้นแขน, ต้นขา

ผลลัพธ์

ลดไขมันในบริเวณที่ทำ โดยเซลล์ไขมันในจุดนั้นจะไม่กลับมาอีก

กระชับกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง และลดไขมันบางส่วน

จำนวนครั้งที่ทำ

1-2 ครั้งต่อบริเวณ

4-6 ครั้งต่อบริเวณ

ระยะเวลาผลลัพธ์

ถาวร (หากน้ำหนักคงที่)

6-12 เดือน (แนะนำทำซ้ำทุก 6 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์)

ความปลอดภัย

ได้รับการรับรองจาก FDA และปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์

ได้รับการรับรองจาก FDA และปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์

ผลข้างเคียง

แดง บวม ช้ำ หรือชาในบริเวณที่ทำ อาการเหล่านี้จะหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์

ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย คล้ายหลังออกกำลังกายหนัก (DOMS)

เหมาะกับใคร

ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก และต้องการปรับรูปร่างให้ดีขึ้น

ผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันควบคู่กัน หรือฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังคลอด

ไม่เหมาะกับใคร

ผู้ที่มีภาวะแพ้ความเย็น สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร

ผู้ที่มีโลหะหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ

การดูแลตัวเองหลังทำ

ดื่มน้ำมาก ๆ, ออกกำลังกายเบา ๆ, หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง

ดื่มน้ำมาก ๆ, รับประทานโปรตีนสูง, ออกกำลังกายต่อเนื่อง

สรุปความแตกต่างหลัก ๆ ของนวัตกรรม CoolSculpting vs Emsculpt
• CoolSculpting เน้นลดไขมันเฉพาะจุดและให้ผลลัพธ์ที่ถาวร เหมาะกับคนที่ต้องการรูปร่างกระชับในบริเวณที่มีไขมันสะสม
• Emsculpt เน้นสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในเวลาเดียวกัน เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปร่าง เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และไม่มีเวลาออกกำลังกายมาก

การเลือกหัตถการที่เหมาะกับเป้าหมายและลักษณะร่างกาย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ข้อควรพิจารณาในการเลือก CoolSculpting vs Emsculpt
การเลือกว่าจะใช้ CoolSculpting หรือ Emsculpt ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการ โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้
• เป้าหมายหลักคือการลดไขมัน หากต้องการลดไขมันในบริเวณเฉพาะจุดโดยไม่สนใจเรื่องกล้ามเนื้อ CoolSculpting อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
• เป้าหมายหลักคือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หากต้องการสร้างกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและกระชับ Emsculpt จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า CoolSculpting
• ต้องการทั้งสองอย่าง ในกรณีที่ต้องการทั้งลดไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ อาจพิจารณาใช้ทั้ง CoolSculpting และ Emsculpt ร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ครอบคลุม

สรุป CoolSculpting vs Emsculpt เลือกทำแบบไหนดี
สรุปได้ว่า CoolSculpting และ Emsculpt เป็นเทคโนโลยีความงามที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การปรับรูปร่าง แต่มีจุดเด่นและเป้าหมายที่แตกต่างกัน

CoolSculpting เหมาะสำหรับการลดไขมันเฉพาะจุด โดยใช้ความเย็นในการกำจัดเซลล์ไขมันอย่างถาวร ส่วน Emsculpt เหมาะสำหรับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในเวลาเดียวกัน โดยใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง (HIFEM) กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวอย่างเข้มข้น

หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมยกกระชับสลายไขมัน ทั้ง CoolSculpting และ Emsculpt หรือต้องการเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับคุณ สามารถนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการปรับรูปร่างและเพิ่มความมั่นใจ

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรม Coolsculpting ที่คุณอาจสนใจ