Coolsculpting ทำกี่ครั้งเห็นผล ลดไขมันได้ผลจริงไหม อยู่ได้นานแค่ไหน
Coolsculpting
Coolsculpting กี่วันเห็นผล ลดไขมัน อยู่ได้นานแค่ไหน
Coolsculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น ทำให้มีหลายคนที่สนใจอยากทำ Coolsculpting เพื่อช่วยปั้นหุ่นในฝัน แต่ในขณะเดียวกัน คำถามที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจทำ คือ ทำ Coolsculpting กี่วันถึงจะเห็นผล และ ผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting อยู่ได้นานแค่ไหน
บทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า การทำ Coolsculpting เหมาะสมกับความต้องการปรับรูปร่าง และเป้าหมายในการลดไขมันหรือไม่ พร้อมทั้งคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Coolsculpting คืออะไร ดีไหม
Coolsculpting คือ นวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น โดยเป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยกระบวนการ Cryolipolysis ซึ่งใช้ความเย็นในการแช่แข็งเซลล์ไขมันเฉพาะบริเวณที่ต้องการ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อหรือผิวหนังบริเวณรอบ ๆ หลังจากที่เซลล์ไขมันถูกแช่แข็ง จะค่อยๆ ถูกกำจัดออกจากร่างกายตามธรรมชาติผ่านระบบน้ำเหลือง
• Coolsculpting จะใช้ในบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือเอว
• ระบบจะปล่อยความเย็นเพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมันจนถึงจุดที่เซลล์เหล่านี้ถูกทำลาย
• หลังจากการรักษา ร่างกายจะเริ่มกำจัดเซลล์ไขมันที่เสียหายออกไป ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือนในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
Coolsculpting มีหลักการทำงานอย่างไร
Coolsculpting มีหลักการทำงานโดยใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis หรือการสลายไขมันด้วยความเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อร่างกาย โดยมีหลักการทำงานดังนี้
การใช้ความเย็นเพื่อทำลายเซลล์ไขมัน
• เครื่อง Coolsculpting จะส่งความเย็นไปยังชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่ต้องการกำจัด โดยความเย็นจะอยู่ในระดับ -11°C ถึง -13°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมในการแช่แข็งเซลล์ไขมัน
• เซลล์ไขมันมีความไวต่อความเย็นมากกว่าเนื้อเยื่อชนิดอื่น ๆ ทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัวและเกิดความเสียหาย โดยไม่กระทบต่อเซลล์ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ
การแช่แข็งเซลล์ไขมันจนเกิดการตายแบบธรรมชาติ
• เมื่อเซลล์ไขมันถูกแช่แข็ง เซลล์เหล่านี้จะเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis หรือการตายของเซลล์อย่างเป็นธรรมชาติ
• เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะค่อยๆ หดตัวและสลายไป
การกำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกาย
• หลังจากที่เซลล์ไขมันถูกทำลาย ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จะเข้ามาทำหน้าที่กำจัดเซลล์ไขมันเหล่านี้ออกไป
• กระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันจะใช้เวลา 4-12 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
ผลลัพธ์หลังการทำ Coolsculpting
• เมื่อเซลล์ไขมันในบริเวณที่รักษาถูกกำจัดออกไปแล้ว จะไม่สามารถกลับมาสะสมใหม่ได้ในบริเวณเดิม (ถ้าควบคุมน้ำหนักและไม่เพิ่มไขมันส่วนเกินในร่างกาย)
• ปริมาณไขมันในบริเวณที่ทำการรักษาสามารถลดลงได้ประมาณ 20-25% ต่อการทำหนึ่งครั้ง
นวัตกรรม Coolsculpting ช่วยอะไรบ้าง
Coolsculpting มีประโยชน์หลักในการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ลดยาก และไม่ได้ผลจากการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร ซึ่งสามารถช่วยได้ในหลายด้านดังนี้
1.Coolsculpting ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด
Coolsculpting เหมาะสำหรับกำจัดไขมันส่วนเกินในบริเวณต่าง ๆ หรือลดไขมันทั้งตัว เช่น
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันที่หน้าท้อง ลดไขมันรอบเอวหรือพุง
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันที่ต้นแขน กำจัดไขมันสะสมที่ทำให้แขนดูหย่อนคล้อย
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันที่ต้นขา ลดไขมันทั้งขาด้านในและขาด้านนอก
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันที่เอวและสะโพก ปรับสัดส่วนให้กระชับ
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันใต้คาง (เหนียง) เพื่อให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันที่หลังและส่วนล่างของหลัง ที่ไขมันสะสมอยู่ในจุดที่ลดยาก
2.Coolsculpting ช่วยปรับรูปร่างให้กระชับขึ้น
Coolsculpting ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่เป็นการช่วยกำจัดไขมันในจุดที่ทำให้รูปร่างไม่สมส่วน ส่งผลให้สัดส่วนดูชัดเจนและกระชับขึ้น
3.Coolsculpting ไม่มีแผลหรือการพักฟื้น
• เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม ทำให้ไม่มีแผลหรือรอยหลังการรักษา
• ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
4.Coolsculpting ช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง
• Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณที่ลดได้ยากและทำให้ร่างกายดูสมส่วนยิ่งขึ้น
• Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารแล้ว แต่ยังมีไขมันสะสมในจุดบางจุด
นวัตกรรม Coolsculpting ทำจุดไหนได้บ้าง
Coolsculpting สามารถทำได้ในหลายบริเวณของร่างกายที่มีไขมันส่วนเกินสะสมเฉพาะจุด โดยเทคโนโลยีนี้ออกแบบมาเพื่อกำจัดไขมันในบริเวณที่ลดยากด้วยความเย็น ซึ่งบริเวณที่นิยมทำมากที่สุด ได้แก่
1.Coolsculpting นิยมทำที่หน้าท้อง
• เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสมในบริเวณหน้าท้องส่วนบนและล่าง
• ช่วยลดไขมันที่ทำให้เกิดพุงหรือต้องการให้หน้าท้องแบนราบ
2.Coolsculpting นิยมทำที่เอวด้านข้าง
• บริเวณไขมันที่สะสมรอบเอวด้านข้าง ซึ่งมักทำให้รูปร่างดูหนา
• ช่วยให้รูปร่างช่วงเอวดูเพรียวและสมส่วนมากขึ้น
3.Coolsculpting นิยมทำที่ต้นแขน
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณต้นแขน ทำให้แขนดูหย่อนคล้อย
• ช่วยกระชับต้นแขนและทำให้แขนดูเรียวขึ้น
4.Coolsculpting นิยมทำที่ต้นขา
• ต้นขาด้านนอก ช่วยลดไขมันบริเวณปีกสะโพกที่ทำให้ขาดูหนา
• ต้นขาด้านใน ช่วยลดไขมันส่วนเกินที่เสียดสีกัน ทำให้ขาดูเรียวขึ้น
5.Coolsculpting นิยมทำที่ใต้คางหรือเหนียง
• ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินใต้คาง ทำให้ใบหน้าดูเรียวและชัดเจนขึ้น
• เป็นบริเวณที่นิยมในคนที่ต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
6.Coolsculpting นิยมทำที่บริเวณหลัง
• ช่วยลดไขมันที่สะสมบริเวณหลัง เช่น
- บริเวณเสื้อใน ไขมันที่สะสมรอบๆ ขอบเสื้อชั้นใน
- หลังส่วนล่าง บริเวณเหนือสะโพกที่มักมีไขมันสะสม
7.Coolsculpting นิยมทำที่สะโพกหรือก้น
• บริเวณไขมันที่สะสมใต้สะโพก ทำให้ก้นดูไม่กระชับ
• ช่วยให้รูปร่างบริเวณก้นดูสมส่วนและกระชับมากขึ้น
นวัตกรรม Coolsculpting มีข้อดีอะไรบ้าง
Coolsculpting มีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น โดยข้อดีหลักของ Coolsculpting ได้แก่
1.Coolsculpting ไม่ต้องผ่าตัดและไม่มีแผล
• Coolsculpting เป็นการรักษาแบบไม่รุกราน (Non-invasive) ซึ่งไม่ต้องใช้เข็มหรือการผ่าตัด
• Coolsculpting ไม่มีรอยแผลหลังการทำ ช่วยลดความกังวลเรื่องการติดเชื้อหรือรอยแผลเป็น
2.Coolsculpting ไม่ต้องพักฟื้น
• หลังการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องหยุดงานหรือหยุดกิจกรรม
• Coolsculpting เหมาะสำหรับคนที่มีตารางชีวิตที่ยุ่งและไม่มีเวลาพักฟื้น
3.Coolsculpting ปลอดภัยและผ่านการรับรอง
• Coolsculpting ได้รับการรับรองจาก US FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) ในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
• กระบวนการใช้ความเย็นที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำและไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ
4.Coolsculpting ลดไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ
• Coolsculpting ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินในจุดที่ลดยาก เช่น หน้าท้อง เอว สะโพก ต้นแขน ต้นขา ใต้คาง (เหนียง)
• ผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting สามารถลดปริมาณไขมันได้ประมาณ 20-25% ต่อบริเวณที่ทำ
5.Coolsculpting ให้ผลลัพธ์ลดไขมันได้นาน
• เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างถาวรโดยระบบน้ำเหลือง
• หากควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพ รูปร่างจะคงอยู่ในระยะยาว
6.Coolsculpting สะดวกและไม่เจ็บ
• Coolsculpting เป็นนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น ที่ช่วยลดไขมันได้สะดวกรวดเร็ว
• ความรู้สึกระหว่างทำ Coolsculpting มักมีเพียงความเย็นในช่วงแรกและแรงดูดเบา ๆ จากเครื่องมือ
7.Coolsculpting ไม่มีการทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
Coolsculpting ทำงานโดยใช้ความเย็นที่เจาะจงกับเซลล์ไขมันเท่านั้น โดยไม่ทำลายผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในบริเวณรอบข้าง
8.Coolsculpting เห็นผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ
• ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 4-12 สัปดาห์ เมื่อร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไป
• ทำให้รูปร่างดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและไม่ดูเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินไป
9.Coolsculpting เหมาะสำหรับทุกคน
• Coolsculpting เหมาะกับทั้งชายและหญิงที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด
• โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารแล้ว แต่ยังมีไขมันสะสมในบางจุด
10.Coolsculpting เสริมสร้างความมั่นใจ
เมื่อรูปร่างกระชับและสมส่วนมากขึ้น ผู้ที่ทำจะรู้สึกมั่นใจในรูปร่างของตัวเองมากขึ้น
นวัตกรรม Coolsculpting มีข้อเสียอะไรบ้าง
Coolsculpting แม้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียหรือข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ ดังนี้
1.Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักทั่วไป
• Coolsculpting ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักทั้งตัว
• Coolsculpting เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด
2.การทำ Coolsculpting ต้องใช้เวลาในการเห็นผล
ผลลัพธ์จะไม่เห็นทันทีหลังการทำ แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 4-12 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันออกอย่างสมบูรณ์
3.ผลลัพธ์ Coolsculpting อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
• บางคนอาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
• ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับลักษณะไขมันและการตอบสนองของร่างกาย
4.อาการข้างเคียงชั่วคราวหลังทำ Coolsculpting
อาจมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นหลังการทำ เช่น ผิวแดง บวม รู้สึกชา เจ็บเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ คันหรือระคายเคือง อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะหายไปภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์
5.ความรู้สึกไม่สบายระหว่างทำ Coolsculpting
ขณะทำอาจรู้สึกหนาวเย็นบริเวณที่รักษา รู้สึกตึงหรือถูกดูดเบาๆ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายสำหรับบางคน
6.Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับทุกคน
ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคบางชนิด ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร มีผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่บอบบางมากในบริเวณที่จะรักษา
หลังทำ Coolsculpting กี่วันเห็นผล
Coolsculpting เป็นวิธีการกำจัดไขมันเฉพาะจุดที่ต้องใช้เวลาในการเห็นผล เนื่องจากกระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันโดยร่างกายเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยระยะเวลาที่จะเริ่มเห็นผลลัพธ์สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
หลังทำ Coolsculpting เริ่มเห็นผลลัพธ์ครั้งแรก
• หลังจากทำ Coolsculpting ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มกำจัดเซลล์ไขมันที่เสียหายออกไปผ่านระบบน้ำเหลือง
• ในช่วงนี้อาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในรูปร่าง เช่น ความกระชับหรือไขมันลดลงบางส่วน
หลังทำ Coolsculpting เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
• ผลลัพธ์เต็มที่มักจะปรากฏภายใน 8-12 สัปดาห์ หรือประมาณ 2-3 เดือน หลังจากที่เซลล์ไขมันถูกกำจัดออกหมด
• ความเปลี่ยนแปลงจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไปอย่างสมบูรณ์
หลังทำ Coolsculpting เห็นผลลัพธ์ถาวร
เมื่อเซลล์ไขมันถูกกำจัดออกไปแล้ว จะไม่กลับมาอีกในบริเวณเดิม (หากดูแลน้ำหนักและสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ)
ผลลัพธ์ Coolsculpting อยู่ได้นานแค่ไหน
Coolsculpting ให้ผลลัพธ์ที่ช่วยลดไขมันได้นานถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาสะสมใหม่ในบริเวณเดิม หากดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม แต่ผลลัพธ์อาจขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการดูแลตนเองหลังการทำด้วย
ทำไมหลังทำ Coolsculpting ให้ผลลัพธ์ถาวร
• Coolsculpting ใช้กระบวนการ Cryolipolysis ที่ทำลายเซลล์ไขมันในบริเวณที่เลือกอย่างถาวร
• เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งจนตายจะถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยระบบน้ำเหลือง และจะไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณเดิม
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์
• การดูแลสุขภาพหลังทำ Coolsculpting
หากควบคุมน้ำหนักและรับประทานอาหารที่เหมาะสม ผลลัพธ์จาก Coolsculpting จะอยู่ได้นานหลายปี แต่หากมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เซลล์ไขมันในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (ที่ไม่ได้ทำ Coolsculpting) อาจขยายตัวได้ และทำให้รูปร่างดูเปลี่ยนแปลง
• พฤติกรรมหลังการทำ Coolsculpting
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยรักษาสัดส่วน และลดความเสี่ยงของการสะสมไขมันใหม่ในบริเวณอื่น
นวัตกรรม Coolsculpting เหมาะกับใคร
1.Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด
• เช่น หน้าท้อง เอว สะโพก ต้นแขน ต้นขา หรือใต้คาง (เหนียง)
• ไขมันที่ไม่สามารถกำจัดได้ง่ายด้วยการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร
2.Coolsculpting เหมาะกับคนที่มีน้ำหนักตัวปกติหรือใกล้เคียง
เหมาะกับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ปกติ แต่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด เช่น พุงที่ลดยาก
3.Coolsculpting เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการผ่าตัด
เหมาะสำหรับคนที่หลีกเลี่ยงการทำศัลยกรรมหรือดูดไขมัน และต้องการวิธีที่ไม่รุกราน
4.Coolsculpting เหมาะกับคนที่ต้องการปรับสัดส่วนให้กระชับ
ต้องการให้รูปร่างสมส่วนมากขึ้น เช่น เอวคอด หน้าท้องแบน หรือใบหน้าเรียวขึ้น
5.Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น
การทำ Coolsculpting ไม่ต้องพักฟื้น คุณสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา
6.Coolsculpting เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
Coolsculpting ให้ผลลัพธ์ที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นใน 4-12 สัปดาห์ ซึ่งดูไม่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
นวัตกรรม Coolsculpting ไม่เหมาะกับใคร
1.Coolsculpting ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคอ้วน
• ไม่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักทั้งตัวหรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาก
• เหมาะสำหรับคนที่ต้องการกำจัดไขมันในบริเวณที่ลดยากเท่านั้น
2.Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะ
• เช่น ผู้ที่เป็นโรค Cryoglobulinemia หรือ Cold Agglutinin Disease (โรคที่ร่างกายไวต่อความเย็น)
• คนที่มีปัญหาผิวหนังในบริเวณที่จะรักษา เช่น แผลเปิด ผื่น หรือการติดเชื้อ
3.Coolsculpting ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
ไม่แนะนำให้ทำในช่วงนี้เพื่อความปลอดภัย
นวัตกรรม Coolsculpting มีผลข้างเคียงไหม
Coolsculpting เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก FDA (Food and Drug Administration) หรือองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยืนยันว่า Coolsculpting ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สำหรับการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดด้วยกระบวนการ Cryolipolysis (การกำจัดไขมันด้วยความเย็น) แต่ Coolsculpting ก็อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นและหายได้เอง ซึ่งควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ ดังนี้
อาการในระหว่างการทำ Coolsculpting
• รู้สึกเย็นจัดในบริเวณที่ทำ
• รู้สึกดึงหรือบีบรัดเบาๆ จากการดูดของเครื่อง
• อาจรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่มักจะหายไปเมื่อเสร็จสิ้นการทำ
อาการหลังทำ Coolsculpting
• แดงหรือบวม บริเวณที่ทำอาจมีสีแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 สัปดาห์
• อาการชา อาการชาหรือสูญเสียความรู้สึกในบริเวณที่ทำ อาจเกิดขึ้นได้และมักจะหายไปภายใน 1-3 สัปดาห์
• ฟกช้ำ เกิดจากแรงดูดของเครื่อง อาการนี้จะหายไปเอง
• รู้สึกตึงหรือคัน อาจรู้สึกไม่สบายตัวในบริเวณที่ทำ แต่จะดีขึ้นในไม่กี่วัน
ขณะทำ Coolsculpting รู้สึกเจ็บไหม
Coolsculpting เป็นกระบวนการกำจัดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง แต่ระหว่างทำอาจมีความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยในบางช่วง ขึ้นอยู่กับความไวต่อความรู้สึกของแต่ละคน
ความรู้สึกขณะทำ Coolsculpting
ช่วงแรก (เริ่มต้นการทำ)
• อาจรู้สึกเย็นจัดในบริเวณที่ทำ เนื่องจากเครื่องจะปล่อยความเย็นไปยังชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
• อาจมีความรู้สึกตึงหรือถูกดูด จากแรงดูดของ Applicator ที่ยึดบริเวณผิวหนัง แต่ความรู้สึกนี้มักจะค่อยๆ หายไปเมื่อบริเวณนั้นเริ่มชาหลังจากไม่กี่นาที
ระหว่างการทำ
• เมื่อบริเวณที่ทำเริ่มชา คุณจะรู้สึกสบายมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้เข้ารับการรักษาจะไม่รู้สึกเจ็บ
• สามารถทำกิจกรรมเบาๆ ระหว่างทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือเล่นโทรศัพท์ได้
ช่วงท้าย (หลังทำเสร็จ)
• หลังเครื่อง Applicator ถูกถอดออก อาจมีการนวดบริเวณที่ทำเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง
• ในระหว่างการนวด อาจรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บเล็กน้อยชั่วคราวในบางคน
ความรู้สึกหลังการทำ
อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
• รู้สึกชา ในบริเวณที่ทำ เนื่องจากผลของความเย็น แต่จะหายไปเองในไม่กี่วัน
• ตึงหรือระคายเคืองเล็กน้อย ในบริเวณที่ทำ แต่ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและจะหายเอง
• บวม ฟกช้ำ หรือแดง พบได้บ่อย แต่เป็นอาการชั่วคราวที่ไม่ทำให้เจ็บปวดรุนแรง
Coolsculpting หลังทำควรดูแลตัวเองอย่างไร
หลังทำ Coolsculpting แม้จะไม่ต้องพักฟื้น แต่การดูแลตัวเองหลังทำจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ มีคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการทำ Coolsculpting ดังนี้
• หลังทำ Coolsculpting ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ (วันละ 8-10 แก้ว) เพื่อช่วยระบบน้ำเหลืองในการกำจัดเซลล์ไขมันที่เสียหายออกจากร่างกาย
• หลังทำ Coolsculpting ห้ามนวดหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ทำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก (ยกเว้นการนวดเบา ๆ ที่แพทย์แนะนำหลังการทำ)
• หลังทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส หากมีอาการบวม ชา หรือแดง เพื่อป้องกันการระคายเคือง
• หลังทำ Coolsculpting เลือกใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ หรือไม่รัดแน่นเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณที่ทำ
• หลังทำ Coolsculpting หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดอาการระคายเคือง
• หลังทำ Coolsculpting ห้ามใช้ความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรือการประคบร้อน ในบริเวณที่ทำในช่วงแรก
• หลังทำ Coolsculpting ควรควบคุมอาหารสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของไขมันใหม่
• หลังทำ Coolsculpting เน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีน ผัก และผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารแปรรูป
• หลังทำ Coolsculpting ควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินหรือโยคะ จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง
• หลังทำ Coolsculpting ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงรุนแรง เจ็บปวดมาก หรือผิวหนังเปลี่ยนสี
• หลังทำ Coolsculpting ควรติดตามผลกับแพทย์ แพทย์อาจนัดติดตามผลในอีกไม่กี่สัปดาห์หลังการทำ เพื่อประเมินผลลัพธ์และแนะนำการดูแลเพิ่มเติม
สรุป Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น
สรุปว่า Coolsculpting เป็นนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่ทันสมัยและปลอดภัย โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น ด้วยการใช้ความเย็นในระดับที่เหมาะสมเพื่อทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ลดยาก แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายแล้วก็ตาม โดยหลังทำ Coolsculpting จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นใน 4-12 สัปดาห์ และแนะนำให้ควบคุมน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและมีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับผู้ที่สนใจทำ Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น สามารถนัดหมายปรึกษาแพทย์ที่ รมย์รวินท์ คลินิก