romrawin

สิวผด คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร รักษายังไงให้หายขาดและตรงจุด

สิวผด

สิวผด เกิดจากอะไร รักษายังไงให้ตรงจุด
สิวผด เป็นปัญหาใหญ่ของคนที่อยากหน้าใส พยายามรักษายังไงก็ไม่หาย ก่อนอื่นเราต้องรู้จักต้นตอและสาเหตุของการเกิดสิวผด เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวผด
• สิวผดคืออะไร
• ลักษณะของสิวผด
• สาเหตุของการเกิดสิวผด
• บริเวณไหนที่มักเกิดสิวผด
• ทำไมผิวแพ้ง่ายถึงเกิดสิวผดบ่อย
• PM 2.5 เป็นตัวกระตุ้นสิวผดจริงหรือไม่
• ความเครียดมีผลต่อสิวผดยังไงบ้าง
• ฮอร์โมนส่งผลต่อสิวผดอย่างไร
• สิวผดกับสิวอื่นๆ ต่างกันอย่างไร
• สิวผดจำเป็นต้องกดออกหรือไม่
• วิธีรักษาสิวผดแบบธรรมชาติ
• วิธีรักษาสิวผดด้วยหัตถการ
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวผด

สิวผดคืออะไร
สิวผด สามารถเกิดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งปัญหาสิวผด เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ หรืออาจจะทำให้รู้สึกคัน เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลำคาญใจอีกด้วย
สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Malassezia Folliculitis) เป็นสิวชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยส่วนใหญ่จะปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดงหรือสีขาว ซึ่งไม่มีหัวหนอง มักขึ้นเป็นกลุ่มในบริเวณที่ผิวสัมผัสกับความร้อนหรือความชื้น ถ้าบริเวณใบหน้าสิวผด ส่วนใหญ่จะขึ้นที่ หน้าผาก กราม ขมับ และโหนกแก้ม

ลักษณะของสิวผด
สิวผดเป็นสิวที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างชัดเจน ทั้งลักษณะ อาการ และตำแหน่งที่เกิดสิวผด โดยส่วนใหญ่สิวผดจะเกิดขึ้นบนผิวหน้าหรือบริเวณที่มีเหงื่อและสัมผัสกับความร้อน เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม หรือขมับ ต่อไปนี้คือรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของสิวผด เพื่อให้เราสามารถสังเกตและรู้จักประเภทของสิวผดได้อย่างชัดเจน เพื่อรักษาสิวผดได้อย่างถูกต้องและตรงจุด

1.ลักษณะของสิวผดภายนอก
• สิวผดมีขนาดเล็ก สิวผดมักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ ขนาดประมาณ 1-2 มิลลิเมตร คล้ายผดผื่น
• สิวผดไม่มีหัวหนอง สิวผดต่างจากสิวอักเสบหรือสิวอุดตัน สิวผดจะไม่มีหัวหนองหรือหัวสีขาว
• สีตุ่มของสิวผด ส่วนใหญ่สีของสิวผดมีสีแดงจางๆ หรือสีเดียวกับผิวหนัง แต่บางครั้งอาจดูคล้ายตุ่มขาวขุ่น

2.การเกิดสิวผดจะเกิดเป็นกลุ่ม
• สิวผดมักขึ้นเป็น กลุ่มกระจุก โดยเฉพาะในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อหรือต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หน้าผากหรือโหนกแก้ม
• ตำแหน่งที่ขึ้นของสิวผด มักไม่กระจายทั่วใบหน้าแบบสิวประเภทอื่น แต่จะมีการกระจุกตัวเฉพาะจุด

3.ลักษณะอาการร่วมของการเกิดสิวผด
• อาการแสบร้อนหรือคัน มักมีความรู้สึกแสบๆ คันๆ บริเวณที่มีสิวผด โดยเฉพาะเมื่อเผชิญความร้อนหรือเหงื่อออก
• อาการเห่อช่วงบ่ายหรือหลังเจอความร้อน สิวผดมักกำเริบหรือเห็นเด่นชัดขึ้นในช่วงอากาศร้อน หรือหลังผิวโดนแสงแดด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน อยากให้ลองนึกถึงผิวหนังที่ถูกความร้อนและเหงื่อสะสมเป็นเวลานาน ลักษณะสิวผดจะเหมือน "ตุ่มผื่น" ที่ขึ้นบนผิวหนัง ไม่ใช่สิวที่มีหัวหนอง แต่เป็นเหมือนเม็ดเล็กๆ สีแดงที่แสดงอาการแสบหรือคัน หากสัมผัสหรือเกาอาจยิ่งระคายเคืองและกระจายตัวไปมากขึ้น

สิวผดเป็นปัญหาที่ดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาผิวหนังที่ใหญ่ขึ้น เช่น การติดเชื้อหรือเกิดการอักเสบเพิ่มเติม การทำความเข้าใจลักษณะของสิวผดอย่างละเอียด จะช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีการดูแลและรักษาได้อย่างเหมาะสมและตรงจุดมากที่สุด

สาเหตุของการเกิดสิวผด
สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Malassezia Folliculitis) เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผิวหน้าและระบบรูขุมขน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมร้อนชื้นและการตอบสนองของผิวต่อสิ่งเร้าภายนอก ต่อไปนี้คือ สาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดสิวผด พร้อมคำอธิบายอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยง แก้ไขปัญหาการเกิดสิวผดได้อย่างตรงจุด

1.ความร้อนและความชื้นส่งผลให้เกิดสิวผด
• ความร้อนเป็นตัวกระตุ้นหลัก เมื่อผิวสัมผัสกับความร้อน เช่น จากแสงแดดหรืออากาศที่อบอ้าว ต่อมเหงื่อจะทำงานหนักขึ้นเพื่อระบายความร้อนให้ร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เหงื่อสะสมและรูขุมขนอุดตัน ส่งผลให้เกิดสิวผด
• ความชื้นสูงทำให้ผิวอับ ในสภาพอากาศร้อนชื้น น้ำมันและเหงื่อรวมตัวกันบนผิวหน้า ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและกระตุ้นการเกิดสิวผด

ลองนึกถึงวันที่เราอยู่กลางแดดหรือในที่ร้อนจัด เราอาจจะรู้สึกหน้ามัน เหงื่อออก และเกิดผื่นหรือสิวเม็ดเล็กๆ เหล่านี้คือปฏิกิริยาของผิวที่สะสมเหงื่อและความมัน

2.เชื้อราบนผิวหนัง (Malassezia) ส่งผลให้เกิดสิวผด
• เชื้อรากลุ่ม Malassezia เป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บนผิวหนังตามธรรมชาติ แต่เมื่อผิวมีเหงื่อหรือความมันมากเกินไป เชื้อรานี้จะเติบโตเร็วขึ้น และก่อให้เกิดการอักเสบในรูขุมขน
• อาการแพ้จากเชื้อรา สำหรับบางคนที่มีผิวบอบบาง เชื้อราเหล่านี้สามารถกระตุ้นการเกิดผื่นและสิวผดได้

เปรียบเสมือนดินที่มีความชื้น เชื้อราจะเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมนี้ เช่นเดียวกับผิวหน้าที่มีเหงื่อและความชื้น

3.เหงื่อสะสมและการระคายเคืองส่งผลให้เกิดสิวผด
• เหงื่อเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ หลังการออกกำลังกาย หรือการทำงานที่ทำให้เหงื่อออก หากไม่ล้างหน้าให้สะอาด เหงื่อจะกลายเป็นอาหารสำหรับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
• การเช็ดหน้าแรงๆ การเช็ดหน้าด้วยผ้าแรงๆ หรือการใช้มือที่ไม่สะอาดลูบหน้า จะทำให้ผิวระคายเคืองและสิวผดกำเริบ

หากเราออกกำลังกายแล้วปล่อยให้เหงื่อแห้งเองโดยไม่ล้างหน้า จะสังเกตได้ว่าสิวผดมักขึ้นในบริเวณที่เหงื่อสะสม

4.การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมส่งผลให้เกิดสิวผด
• ครีมหรือเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน ผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น ครีมกันแดดที่มีน้ำมันสูง หรือเครื่องสำอางที่ไม่ระบายอากาศ อาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวผด
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ อาจทำให้ผิวอ่อนแอและกระตุ้นสิวผด

หากใช้ครีมที่หนักเกินไป หรือไม่ได้ล้างเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนนอน เช้าวันถัดมาอาจเห็นสิวผดขึ้นที่หน้าผากหรือโหนกแก้ม

5.เสื้อผ้าและผ้าเช็ดหน้าไม่สะอาดส่งผลให้เกิดสิวผด
• ผ้าสกปรกเป็นตัวการสะสมแบคทีเรีย การใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือปลอกหมอนที่ไม่สะอาด อาจทำให้ผิวสัมผัสกับแบคทีเรียและกระตุ้นสิวผด
• เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ เสื้อผ้าหนาๆ หรือคับเกินไปทำให้เหงื่อและความร้อนสะสมในบริเวณที่สัมผัสผิว

หากใช้ผ้าขนหนูที่ไม่ได้ซักนานๆ หรือเสื้อผ้าระบายเหงื่อไม่ดี สิวผดอาจเกิดขึ้นในบริเวณที่ผิวสัมผัสได้

บริเวณไหนที่มักเกิดสิวผด
สิวผดมักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มี ต่อมเหงื่อ และ ต่อมไขมัน หนาแน่น หรือในจุดที่ผิวสัมผัสกับความร้อน ความชื้น และมลภาวะได้ง่ายที่สุด ต่อไปนี้คือบริเวณหลักที่สิวผดพบได้บ่อยมาก

1.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณหน้าผาก
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ หน้าผากเป็นบริเวณที่มีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันจำนวนมาก อีกทั้งยังมักเผชิญกับเหงื่อที่ไหลลงมาจากหนังศีรษะโดยตรง โดยเฉพาะเวลาที่เราออกกำลังกายหรืออยู่กลางแจ้งในที่ร้อน
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การใส่หมวกที่ระบายอากาศไม่ดี หรือการสัมผัสหน้าผากด้วยมือที่สกปรก

2.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณโหนกแก้ม
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ โหนกแก้มเป็นส่วนที่โดนแสงแดดโดยตรงมากที่สุด ซึ่งความร้อนและรังสี UV จากแสงแดดสามารถกระตุ้นการผลิตเหงื่อและน้ำมันในบริเวณนี้ ส่งผลให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวผด
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การใช้ครีมกันแดดที่ไม่เหมาะสม หรือเครื่องสำอางที่หนักเกินไป

3.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณขมับ
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ ขมับเป็นบริเวณที่มักสัมผัสกับเส้นผม ผลิตภัณฑ์แต่งผม เช่น เจลหรือสเปรย์ อาจไหลลงมาและอุดตันรูขุมขน
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การใส่หมวกหรือแว่นกันแดดที่ทำให้เกิดการกดทับหรือการสะสมของเหงื่อ

4.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณจมูก
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ จมูกเป็นจุดที่มีรูขุมขนกว้างและต่อมไขมันทำงานมาก เมื่อเจอความร้อนและความชื้น เหงื่อและน้ำมันในบริเวณนี้อาจทำให้เกิดการอุดตันและสิวผด
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ทำให้จมูกอบร้อนและเกิดการระคายเคือง

5.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณคางและกราม
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ คางและกรามมักสัมผัสกับมือหรือผ้าปิดปาก เช่น หน้ากากอนามัย ที่อาจสะสมเหงื่อและแบคทีเรีย
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือการล้างหน้าไม่สะอาด

6.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณลำคอ
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ ลำคอเป็นจุดที่เหงื่อสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าคอสูงหรือคอปิด ซึ่งระบายอากาศได้ไม่ดี
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การเช็ดลำคอแรงๆ หรือการล้างคอไม่สะอาดหลังเหงื่อออก

7.สิวผดมักจะขึ้นบริเวณหลัง
• เหตุผลที่สิวผดเกิดบ่อยบริเวณนี้ หลังเป็นบริเวณที่มีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันหนาแน่น อีกทั้งยังมักระบายอากาศได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อใส่เสื้อผ้ารัดแน่นหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก เช่น ออกกำลังกาย
• ตัวกระตุ้นเพิ่มเติมในการเกิดสิวผด การใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ เช่น ผ้าสังเคราะห์ หรือการสะพายเป้ที่ทำให้เกิดการเสียดสี

ทำไมผิวแพ้ง่ายถึงเกิดสิวผดบ่อย
ผิวแพ้ง่ายเป็นผิวที่มีความไวต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ มากกว่าผิวปกติ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม สารเคมี หรือการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ผิวมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวผดบ่อยขึ้น ต่อไปนี้คือเหตุผลที่ผิวแพ้ง่ายมีความเสี่ยงต่อสิวผด มากกว่าคนที่มีผิวปกติ ดังนี้

1.เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อ่อนแอ
• ผิวแพ้ง่ายมักมีเกราะป้องกันผิวที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายและไวต่อการระคายเคือง ส่งผลให้เกิดสิวผดได้ง่าย
• เมื่อเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ เหงื่อ น้ำมัน และสิ่งสกปรกจากสภาพแวดล้อมสามารถเข้าสู่รูขุมขนได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันและกระตุ้นการเกิดสิวผด

ผิวที่เปรียบเสมือนกำแพงที่มีรอยร้าว แม้กระทั่งปัจจัยเล็กน้อย เช่น ความร้อนหรือเหงื่อ ก็สามารถเล็ดลอดเข้ามากระตุ้นให้เกิดสิวผดได้

2.ผิวไวต่อความร้อนและความชื้น
• ผิวแพ้ง่ายมีความไวต่ออุณหภูมิและความชื้นที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
• เมื่อผิวสัมผัสกับความร้อน เช่น จากแสงแดด อากาศร้อน หรือหลังออกกำลังกาย ผิวจะแสดงปฏิกิริยาด้วยการผลิตเหงื่อและน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจอุดตันรูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวผด

หากเรามีผิวแพ้ง่าย อาจสังเกตว่าแค่เผชิญแสงแดดสักพัก ผิวจะเริ่มแสบร้อนและมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว

3.การตอบสนองต่อสารระคายเคือง
• ผิวแพ้ง่ายมักมีการตอบสนองไวต่อสารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสีย
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมระคายเคืองสามารถทำให้รูขุมขนระคายเคืองและเกิดสิวผดได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมเหงื่อและไขมันหนาแน่น

ลองนึกถึงการใช้ครีมกันแดดที่ไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย หลังจากทาแล้วอาจรู้สึกแสบผิวและเกิดตุ่มเล็กๆ หรือสิวผดในเวลาไม่นาน

4.ความไวต่อเชื้อราและแบคทีเรีย
• ผิวแพ้ง่ายมีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อเชื้อราและแบคทีเรียที่พบตามธรรมชาติบนผิวหนัง เช่น เชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผด
• เมื่อเหงื่อและน้ำมันสะสมบนผิว เชื้อราสามารถเจริญเติบโตและทำให้เกิดการอักเสบในรูขุมขนของคนผิวแพ้ง่ายได้ง่ายกว่าผิวปกติ

หากมีผิวแพ้ง่ายและเหงื่อออกหลังการออกกำลังกาย สิวผดอาจเกิดขึ้นเร็วและมากกว่าคนที่มีผิวปกติ

5.การฟื้นฟูผิวช้ากว่าปกติ
• ผิวแพ้ง่ายมักมีการฟื้นฟูตัวเองที่ช้ากว่าผิวธรรมดา ทำให้เมื่อเกิดการระคายเคืองหรือสิวผด ผิวต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับสู่สภาวะปกติ
• การที่ผิวไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อความร้อน ความชื้น หรือสิ่งเร้าภายนอก ทำให้สิวผดมีแนวโน้มเกิดซ้ำหรือเห่อบ่อยขึ้น

เมื่อผิวแพ้ง่ายเกิดสิวผด แม้จะหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นแล้ว แต่ผิวยังต้องใช้เวลาหลายวันในการสงบตัวลง

6.ความไวต่อการเสียดสีและการสัมผัส
• ผิวแพ้ง่ายไวต่อการสัมผัสหรือการเสียดสี เช่น การเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูแรงๆ หรือการใส่เสื้อผ้าที่แน่นเกินไป
• การเสียดสีเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้รูขุมขนระคายเคือง และเป็นสาเหตุให้เกิดสิวผดในบริเวณที่ผิวอับชื้น เช่น หลัง ลำคอ หรือกราม

หากผิวแพ้ง่ายโดนผ้าหยาบๆ เช็ดหลังออกกำลังกาย สิวผดอาจเห่อขึ้นในบริเวณนั้นทันที

7.การเลือกผลิตภัณฑ์ผิดประเภท
• คนผิวแพ้ง่ายที่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่หนักเกินไป หรือมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน เช่น ซิลิโคนหรือสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic) จะทำให้ผิวไม่สามารถหายใจหรือระบายความร้อนได้ดี
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมจะยิ่งทำให้ผิวไวต่อการเกิดสิวผดมากขึ้น

หากใช้ครีมกันแดดสูตรมันบนผิวแพ้ง่าย สิวผดมักจะปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ ในไม่กี่ชั่วโมงหลังการใช้

วิธีดูแลผิวแพ้ง่ายเพื่อลดการเกิดสิวผด
1.เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ รวมถึงเลือกสูตร Non-Comedogenic เพื่อป้องกันการอุดตัน
2.หลีกเลี่ยงความร้อนและเหงื่อสะสม อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน
3.รักษาความชุ่มชื้นของผิว ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สูตรเบาสำหรับผิวแพ้ง่าย เพื่อช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
4.ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หากสิวผดเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลผิวอย่างถูกต้อง

PM 2.5 เป็นตัวกระตุ้นสิวผดจริงหรือไม่
คำตอบคือ "จริง" PM 2.5 (Particulate Matter ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวผดได้ โดยเฉพาะในคนที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวมัน เนื่องจากอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อผิวหนังได้ ดังนี้

1.PM 2.5 อุดตันรูขุมขน
• อนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 มีขนาดเล็กมากจนสามารถแทรกซึมเข้าสู่รูขุมขนได้ง่าย และเมื่อสะสมอยู่ในรูขุมขน จะทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของสิวผด
• PM 2.5 ส่งผลต่อความมันและเหงื่อ ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนและความชื้น PM 2.5 จะเกาะติดกับน้ำมันและเหงื่อบนผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นการเกิดสิวผด

2.กระตุ้นการอักเสบของผิว
• สร้างอนุมูลอิสระ (Free Radicals) PM 2.5 สามารถกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระในชั้นผิวหนัง ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบในรูขุมขน และเป็นสาเหตุให้สิวผดเห่อขึ้น
• ทำลายเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) มลพิษจาก PM 2.5 อาจทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น

3.ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย
• PM 2.5 ทำให้ผิวหน้าสกปรกและชื้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา Malassezia และแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นตัวการของสิวผด
• อนุภาคฝุ่นอาจเพิ่มปริมาณน้ำมันบนผิว ทำให้เชื้อราหรือแบคทีเรียที่อาศัยในรูขุมขนเติบโตได้ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวผดได้

4.กระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวมากขึ้น
PM 2.5 อาจกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันบนผิวหนัง ทำให้ผลิตน้ำมันส่วนเกิน ซึ่งเมื่อน้ำมันรวมตัวกับเหงื่อและฝุ่นละออง จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวผดได้ง่าย

5.กระตุ้นอาการแพ้ในคนผิวแพ้ง่าย
• สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน หรือสิวผดที่ขึ้นในรูปแบบของตุ่มเล็กๆ สีแดง
• มลภาวะจาก PM 2.5 อาจกระตุ้นให้ผิวมีการตอบสนองไวเกินปกติ ส่งผลให้เกิดสิวผดแม้เพียงสัมผัสกับอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้

ความเครียดมีผลต่อสิวผดยังไงบ้าง
ความเครียดส่งผลต่อร่างกายและผิวหนังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของการเกิดสิวผด แม้ว่าสิวผดจะมีปัจจัยกระตุ้นหลักจากความร้อน เหงื่อ และมลภาวะ แต่ความเครียดถือเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้สิวผดเกิดขึ้นหรือแย่ลง โดยความเครียดส่งผลต่อสิวผดดังนี้

1.ความเครียดกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
• เมื่อร่างกายเกิดความเครียด สมองจะส่งสัญญาณให้หลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลให้การทำงานของ ต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) เพิ่มขึ้น
• ไขมันส่วนเกิน (Sebum) จะรวมตัวกับเหงื่อและสิ่งสกปรก ทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวผด

2.ความเครียดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผิวอ่อนแอ
• ความเครียดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผิวลดลง ส่งผลให้ผิวไวต่อปัจจัยกระตุ้นภายนอก เช่น ความร้อนและเชื้อรา Malassezia ที่เป็นสาเหตุของสิวผด
• ผิวที่อ่อนแอจากความเครียดมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบง่ายขึ้น แม้เพียงเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ปกติ

3.ความเครียดส่งผลต่อเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
• ความเครียดรบกวนการผลิตสารสำคัญในชั้นผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides) และไขมันที่จำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้น
• เมื่อเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ความชุ่มชื้นในผิวลดลง และผิวจะไวต่อการระคายเคืองจากเหงื่อหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ใช้อยู่ ทำให้เกิดสิวผดได้ง่าย

4.ความเครียดส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลตัวเอง
• ความเครียดอาจทำให้คุณละเลยกิจวัตรการดูแลผิว เช่น การล้างหน้าไม่สะอาด หรือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผิดประเภท ซึ่งนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน
• ในบางคน ความเครียดทำให้เกิดพฤติกรรมการสัมผัสหรือเกาผิวหน้า ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและสิวผด

5.ความเครียดกระตุ้นอาการแพ้และการอักเสบในผิว
• ในคนที่มีผิวแพ้ง่าย ความเครียดจะกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของผิว เช่น เซลล์ Mast Cells หลั่งสารเคมี เช่น ฮิสตามีน (Histamine) ออกมา ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดสิวผด หรือทำให้สิวผดที่มีอยู่แย่ลง
• การอักเสบนี้ทำให้ผิวไวต่อเหงื่อ ความร้อน และสิ่งกระตุ้นอื่นๆ มากขึ้น

6.ความเครียดส่งผลต่อการนอนหลับ
• ความเครียดทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งรบกวนกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติในช่วงกลางคืน
• ผิวที่ไม่ได้รับการฟื้นฟูจะมีแนวโน้มเกิดสิวผดง่ายขึ้น เพราะไม่สามารถซ่อมแซมความเสียหายจากมลภาวะและเหงื่อที่สะสมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฮอร์โมนส่งผลต่อสิวผดอย่างไร
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการทำงานของผิวหนังและสามารถส่งผลต่อการเกิดสิวผดได้โดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน ความเครียด หรือการเปลี่ยนแปลงในร่างกายอื่นๆ ต่อไปนี้คือการอธิบายถึงบทบาทของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อสิวผด

1.ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) และการกระตุ้นต่อมไขมัน
• ฮอร์โมนแอนโดรเจน (เช่น เทสโทสเตอโรน) เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ให้ผลิตน้ำมัน (Sebum) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวผดง่ายขึ้น
• น้ำมันส่วนเกินที่ผลิตออกมาสามารถรวมตัวกับเหงื่อ เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก ทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวผด
• การเพิ่มขึ้นของแอนโดรเจนมักเกิดในวัยรุ่น หรือในช่วงที่ร่างกายมีความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

2.ความไม่สมดุลของฮอร์โมน (Hormonal Imbalance)
• ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) และฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) สามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผิวหนัง
• ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลอาจทำให้ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เหงื่อและน้ำมันสะสมในรูขุมขนมากขึ้น และกระตุ้นการเกิดสิวผด

3.ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จากความเครียด
• เมื่อร่างกายเครียด จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น
• คอร์ติซอลยังรบกวนการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ทำให้ผิวไวต่อปัจจัยกระตุ้น เช่น ความร้อนและความชื้น ซึ่งเป็นตัวการของสิวผด

4.การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน
• ในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน (Progesterone) จะลดลง ในขณะที่แอนโดรเจนยังคงมีระดับสูง
• การเปลี่ยนแปลงนี้กระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวผด โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก คาง และกราม

5.ฮอร์โมนและการเจริญเติบโตของเชื้อ Malassezia
• ฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป เช่น แอนโดรเจน ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของสิวผด
• เชื้อรานี้ชอบอยู่ในบริเวณที่มีความมันและความชื้น เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม หรือบริเวณหลัง

6.ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่น
• ในวัยรุ่น ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนจะพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนมีแนวโน้มอุดตันง่ายขึ้น
• ฮอร์โมนในวัยรุ่นยังเพิ่มความไวของผิวต่อปัจจัยกระตุ้น เช่น ความร้อน เหงื่อ และสารระคายเคือง

7.ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในวัยผู้ใหญ่
• ในวัยผู้ใหญ่ ระดับฮอร์โมนอาจไม่สมดุล เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง หรือแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน
• ความไม่สมดุลนี้อาจทำให้สิวผดในวัยผู้ใหญ่เกิดขึ้น แม้ในคนที่ไม่เคยมีสิวในวัยรุ่น

สิวผดกับสิวอื่นๆ ต่างกันอย่างไร
ตารางเปรียบเทียบสิวผดกับสิวประเภทอื่นๆ

หัวข้อเปรียบเทียบ

สิวผด

สิวอุดตัน

สิวอักเสบ

สิวฮอร์โมน

ลักษณะทั่วไป

ตุ่มเล็กๆ สีแดงหรือสีเดียวกับผิว ไม่มีหัวหนอง

ตุ่มเล็กๆ หัวขาวหรือหัวดำ

ตุ่มบวมแดง มีหัวหนอง หรือเป็นถุงใต้ผิว

ตุ่มแดงหรือหนอง มักขึ้นที่คางหรือกราม

สาเหตุหลัก

ความร้อน ความชื้น เชื้อรา Malassezia

การอุดตันของรูขุมขนด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตาย

การติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น แอนโดรเจน

อาการร่วม

คันหรือแสบร้อน ผิวไวต่อความร้อนและเหงื่อ

ไม่ค่อยมีอาการร่วม

เจ็บหรือปวดบริเวณที่อักเสบ

อาจเจ็บหรือปวดบริเวณตุ่มสิว

ตำแหน่งที่พบบ่อย

หน้าผาก โหนกแก้ม ขมับ หลัง

จมูก หน้าผาก แก้ม คาง

ใบหน้า หน้าอก หลัง ไหล่

คาง กราม แนวขากรรไกร

ปัจจัยกระตุ้น

ความร้อน ความชื้น มลภาวะ ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว การล้างหน้าไม่สะอาด

ความเครียด อาหารที่มีน้ำตาลสูง

ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน

การเกิดซ้ำ

เกิดซ้ำบ่อยในอากาศร้อนชื้นหรือเหงื่อสะสม

เกิดซ้ำหากรูขุมขนอุดตันอีก

อาจเกิดซ้ำจากการติดเชื้อ

เกิดซ้ำตามรอบการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

สิวผดจำเป็นต้องกดออกหรือไม่
"ไม่จำเป็น" และ "ไม่ควรกดสิวผด" เนื่องจากสิวผดแตกต่างจากสิวประเภทอื่น เช่น สิวอุดตันหรือสิวหัวดำ ซึ่งอาจมีไขมันหรือน้ำมันสะสมในรูขุมขนที่สามารถกดออกได้ สิวผดมีลักษณะเฉพาะที่ไม่ควรถูกกดออกด้วยเหตุผลดังนี้

1.ลักษณะของสิวผดไม่เหมาะกับการกด
• ไม่มีไขมันอุดตันหรือหัวหนอง สิวผดมักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดงหรือสีเดียวกับผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของรูขุมขนที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เหงื่อ หรือเชื้อรา Malassezia ไม่ใช่จากไขมันหรือน้ำมันอุดตัน
• การกดสิวในกรณีนี้จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะไม่มี "หัวสิว" ที่จะถูกดันออก

2.การกดสิวผดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น
• ทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น การกดสิวผดอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองและอักเสบมากกว่าเดิม
• เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การกดสิวด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด หรือการใช้นิ้วมือกด จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียที่รูขุมขน

3.สิวผดมักหายเองเมื่อปัจจัยที่กระตุ้นลดลง
สิวผดมักเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ความร้อน ความชื้น หรือเหงื่อ เมื่อคุณหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ และดูแลผิวอย่างเหมาะสม สิวผดจะลดลงและหายไปเองโดยไม่ต้องกด

4.การกดสิวผดอาจทำให้เกิดรอยแผลหรือรอยดำ
ผิวบริเวณที่เกิดสิวผดมักมีความอ่อนแอและไวต่อการระคายเคือง การกดหรือบีบอาจทำให้เกิดแผลเป็น รอยดำ หรือรอยแดงหลังสิวหาย ซึ่งใช้เวลานานมากในการฟื้นฟู ให้ผิวกลับมาเป็นสภาพเดิม

วิธีรักษาสิวผดแบบธรรมชาติ
การรักษาสิวผดด้วยวิธีธรรมชาติเน้นการลดการระคายเคืองของผิว ลดการอุดตันรูขุมขน และป้องกันการกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ โดยไม่ใช้สารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองเพิ่มเติม วิธีที่สามารถทำได้ง่ายมีดังนี้

• ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
- ช่วยลดอาการแสบร้อนและลดการระคายเคืองผิว
- น้ำเย็นช่วยกระชับรูขุมขนและลดเหงื่อสะสมที่เป็นสาเหตุของสิวผด

• ใช้น้ำผึ้งธรรมชาติ
- มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ
- พอกบางๆ บริเวณที่มีสิวผด ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก

• ใช้เจลว่านหางจระเข้สด
- ช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการคันและการอักเสบ
- ทาเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์ลงบนผิว ทิ้งไว้ 15-20 นาที

• พอกหน้าด้วยโยเกิร์ตธรรมชาติ
- มีกรดแลคติก (Lactic Acid) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและลดการอุดตัน
- ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติทาบริเวณที่เป็นสิวผด ทิ้งไว้ 10-15 นาที

• อบไอน้ำผิวหน้า
- ช่วยเปิดรูขุมขนและขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตัน
- ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยใช้น้ำอุ่นผสมสมุนไพร เช่น ตะไคร้หรือใบสะระแหน่

• หลีกเลี่ยงความร้อนและเหงื่อสะสม
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดหรือในที่ร้อนชื้นเป็นเวลานาน
- อาบน้ำหรือเช็ดตัวทันทีหลังเหงื่อออก

• ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น
- ช่วยล้างสารพิษในร่างกายและเพิ่มภูมิคุ้มกันของผิว
- ดื่มเป็นประจำในตอนเช้าเพื่อช่วยให้ผิวสดใสและลดโอกาสการเกิดสิว

• ใช้แตงกวาฝานแปะผิว
- แตงกวาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง
- ฝานแตงกวาเป็นแผ่นบางๆ วางบนผิว ทิ้งไว้ 15-20 นาที

คำแนะนำเพิ่มเติม
• รักษาความสะอาด ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละ 2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเหงื่อและสิ่งสกปรก
• เลือกอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอด และน้ำตาลสูง เพราะอาจกระตุ้นการเกิดสิว
• พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวฟื้นฟูตัวเอง

การรักษาสิวผดแบบธรรมชาติอาจต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมเพิ่มเติม

ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ปลอดภัย
เรื่องล้างหน้าก็เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันสิวผด ถ้าเราเลือกโฟมล้างหน้าที่ทำให้หน้าแห้งเกินไป หรือมีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ จะยิ่งทำให้เราเป็นสิวผดได้ง่าย ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าจากรมย์รวินท์คลินิก
ROMRAWIN AC-CLEAR SOLUTION GENTLE FOAMING
รมย์รวินท์ แอค-เคลียร์ โซลูชั่น เจนเทิล โฟมมิ่ง คลีนเซอร์ - โฟมล้างหน้าคุมมัน ลดสิว
- โฟมล้างหน้าเนื้อละเอียดนุ่มนวล ชำระล้างสิ่งสกปรกอย่างอ่อนโยนไม่ระคายเคืองผิว เพื่อผิวหน้าสะอาดนุ่มนวล ไม่แห้งกร้าน รูขุมขนแลดูเล็กลง พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป

จุดเด่นของโฟมล้างหน้านี้
1.ควบคุมความมันส่วนเกิน
2.ลดการเกิดสิว
3.ผิวสะอาด

ส่วนประกอบสำคัญ
- Witch Hazel สารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยลดความมันบนใบหน้า กระชับรูขุมขน ลดการเกิดสิว

วิธีรักษาสิวผดด้วยหัตถการ
หัตถการที่กำลังมาแรงในการรักษาสิวตอนนี้ ขอยกให้ AviClear Laser
AviClear Laser เป็นนวัตกรรมเลเซอร์รักษาสิวที่ FDA รับรอง ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาสิวทุกประเภท โดยเฉพาะสิวอักเสบและสิวเรื้อรัง โดยเน้นการจัดการที่ต้นเหตุของสิวอย่างตรงจุด ด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและไม่ทำให้ผิวเสียหาย

วิธีการทำงานของ AviClear Laser
• AviClear ใช้เลเซอร์ความยาวคลื่น 1726 นาโนเมตร ซึ่งถูกออกแบบมาให้ เจาะลึกถึงต่อมไขมัน (Sebaceous Glands)
• เลเซอร์จะ ลดการผลิตน้ำมัน (Sebum) ในต่อมไขมัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิว
• กระบวนการนี้ช่วย ปรับสมดุลต่อมไขมัน โดยไม่ทำลายเซลล์ผิวรอบข้างและลดการเกิดสิวใหม่ในระยะยาว

ข้อดีของ AviClear Laser
• ไม่ต้องใช้ยา เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากใช้ยาทาหรือยารับประทาน เช่น ยาแก้อักเสบหรือยาคุม
• เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัยทั้งผิวมัน ผิวแห้ง และผิวแพ้ง่าย
• ผลลัพธ์ระยะยาว ลดสิวและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ เพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันน้อยลง
• ไม่มีช่วงพักฟื้น (No Downtime) หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

ระยะเวลาและความถี่ในการรักษา
• ใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง
• โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ผลลัพธ์ที่ได้
• ผิวเริ่มเรียบเนียนขึ้นและสิวลดลงหลังการทำ 2-4 สัปดาห์
• ลดการเกิดสิวใหม่ในระยะยาว และช่วยลดรอยแดงจากสิว

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวผด
ใครที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาสิวผด หรืออาจมีปัญหาสิวอื่นๆ จนรบกวนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความไม่มั่นใจ รู้สึกคันหน้าอยู่ตลอดเวลา สามารถทักปรึกษาคุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิก เพื่อที่จะได้ออกแบบโปรแกรมกำจัดสิวให้เหมาะกับปัญหาผิวของคนไข้ได้อย่างตรงจุด และให้ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ เพราะรมย์รวินท์คลินิกมั่นใจว่าเราสามารถเป็นตัวเองได้ใน Version ที่ดีกว่าเดิม

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ