ฝ้า เกิดจากอะไร มีกี่ชนิด สาเหตุ วิธีการป้องกันและการรักษา รวมปัจจัยเสี่ยงและวิธีป้องกันก่อนเกิดบนหน้าเรา
ฝ้า
ฝ้าเกิดจากอะไร รวมปัจจัยเสี่ยงและวิธีป้องกันก่อนเกิดบนหน้าเรา
การที่ฝ้าอยู่บนหน้าเราอาจทำให้หลายคนไม่มั่นใจได้ แต่ด้วยความที่อายุเพิ่มมากขึ้น ต้องเจอกับความร้อน ฝุ่น ควัน มลภาวะ อีกทั้งพันธุกรรมและฮอร์โมน เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เราเกิดฝ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับฝ้า
- ฝ้าคืออะไร มีทั้งหมดกี่ประเภท
- ฝ้าเกิดจากอะไร
- ฝ้าและกระต่างกันอย่างไร
- ทำไมผู้หญิงเสี่ยงเกิดฝ้ามากกว่าผู้ชาย
- เราเสี่ยงเป็นฝ้าเพราะพันธุกรรมจริงหรือไม่
- สารเคมีในเครื่องสำอางค์ตัวไหนทำให้เกิดฝ้า
- อาหารที่เข้าไปกระตุ้นฝ้า
- วิธีป้องกันฝ้าเบื้องต้น
- ครีมลดเลือนฝ้า
- หัตถการลดเลือนฝ้า
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับฝ้า
- Q and A ที่ทำให้เกิดฝ้า
ฝ้าคืออะไร มีทั้งหมดกี่ประเภท
ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซท์ (Melanocytes) ซึ่งเป็นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำหรือจุดด่างดำบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปากทำให้เกิดฝ้าขึ้น
ฝ้ามีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง
หลัก ๆ แล้วฝ้ามีทั้งหมด 3 ประเภท จะมีอะไรบ้างแล้วลักษณะเป็นอย่างไรเรามาดูกัน
1.ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)
ฝ้าตื้นเกิดที่ชั้นผิวไหน อยู่ใน ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังด้านบนสุด
ลักษณะของฝ้าตื้น เป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ขอบชัด มักเห็นชัดขึ้นเมื่อส่องไฟ
ฝ้าตื้นเกิดจากอะไร แสงแดด, ฮอร์โมน, สารเคมีจากเครื่องสำอาง, มลภาวะ
ฝ้าตื้นรักษาได้ง่ายหรือไม่ ค่อนข้างรักษาง่าย ตอบสนองต่อการรักษาด้วยครีมบำรุงและเลเซอร์
2.ฝ้าลึก (Dermal Melasma)
ฝ้าลึกเกิดที่ชั้นผิวไหน อยู่ใน ชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นลึกกว่าหนังกำพร้า
ลักษณะของฝ้าลึก เป็นสี น้ำตาลเทาหรือออกม่วงคล้ำ ขอบไม่ชัดเจน
ฝ้าลึกเกิดจากอะไร มีผลจากฮอร์โมนเป็นหลัก เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด, การตั้งครรภ์, กรรมพันธุ์
ฝ้าลึกรักษาได้ง่ายหรือไม่ ฝ้าลึกรักษายากกว่าแบบฝ้าตื้น เพราะเม็ดสีอยู่ลึก ต้องใช้เลเซอร์หรือการรักษา
3.ฝ้าผสม (Mixed Melasma)
ฝ้าผสมเกิดที่ชั้นผิวไหน มีทั้งใน ชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้
ลักษณะของฝ้าผสม เป็นสี น้ำตาลเข้มและน้ำตาลเทาผสมกัน พบได้บ่อยที่สุด
ฝ้าผสมเกิดจากอะไร เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งแสงแดด ฮอร์โมน และการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
ฝ้าผสมรักษาได้ง่ายหรือไม่ ปานกลาง ต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน เช่น ครีมกันแดด, ยาทา, ทรีตเมนต์ และเลเซอร์
ฝ้าสามารถเกิดที่ชั้นผิวไหนได้บ้าง
ฝ้าสามารถเกิดที่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นที่ฝ้าตื้นเกิดขึ้น เกิดจากเมลาโนไซท์ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป
ฝ้าสามารถเกิดที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นที่ฝ้าลึกเกิดขึ้น เพราะเม็ดสีเมลานินตกค้างอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้การรักษายากขึ้น
ฝ้าเกิดจากอะไร
การเกิดฝ้ามีหลายปัจจัย เพราะฝ้าเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanocytes) ในผิวหนัง ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำเป็นปื้นบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดดมาก เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก เรามาดูกันว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้ามีอะไรบ้าง
สาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าของเราเกิดฝ้า
1.รังสี UV จากแสงแดดทำให้เกิดฝ้า
แสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า
• รังสี UVA & UVB กระตุ้นให้เมลาโนไซท์สร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น
• รังสี UV ยังทำให้เกิด อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ซึ่งทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเร่งให้ฝ้าชัดขึ้น
• ฝ้าที่เกิดจากแดดมักเป็น ฝ้าตื้น เพราะเม็ดสีสะสมอยู่ในชั้นหนังกำพร้า
2.ฮอร์โมน (Hormones) โดยเฉพาะเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า
• การตั้งครรภ์ทำให้ระดับ เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูงขึ้น กระตุ้นการสร้างเมลานิน
• ยาคุมกำเนิดและการบำบัดด้วยฮอร์โมนสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
• ฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนมักเป็น ฝ้าลึก เพราะเม็ดสีถูกสะสมในชั้นหนังแท้
3.กรรมพันธุ์ (Genetics) ที่ทำให้เกิดฝ้า
• หากพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัวมีฝ้า โอกาสที่เราจะมีฝ้าสูงขึ้น
• ยีนที่เกี่ยวข้องกับเมลาโนไซท์อาจส่งผลให้ผิวไวต่อการเกิดเม็ดสีผิดปกติ
4.มลภาวะและอนุมูลอิสระ (Pollution & Free Radicals) ที่ทำให้เกิดฝ้า
• ฝุ่น ควัน มลพิษ ทำให้เกิด ภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งกระตุ้นเมลาโนไซท์
• สารพิษจากมลภาวะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า
5.ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้เกิดฝ้า
• ความเครียดกระตุ้นฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งส่งผลให้เซลล์เมลาโนไซท์ทำงานผิดปกติ
• การนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ไม่ดีและเกิดฝ้าง่ายขึ้น
6.เครื่องสำอางและสารเคมีบางชนิดทำให้เกิดฝ้า
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี สารสเตียรอยด์, ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone), ปรอท อาจกระตุ้นการเกิดฝ้า
• การขัดถูหน้าแรง ๆ ทำให้ผิวอักเสบและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
ตารางสรุปปัจจัยและการกระตุ้นการเกิดฝ้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า |
กระตุ้นฝ้าอย่างไร |
แสงแดด |
กระตุ้นการผลิตเมลานิน |
ฮอร์โมน |
ทำให้เซลล์เมลาโนไซท์ทำงานมากขึ้น |
กรรมพันธุ์ |
ทำให้มีแนวโน้มเกิดฝ้ามากขึ้น |
มลภาวะ |
ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ |
ความเครียด |
กระตุ้นฮอร์โมนที่ส่งผลต่อผิว |
เครื่องสำอาง |
สารเคมีบางชนิดกระตุ้นเมลาโนไซท์ |
ฝ้าและกระต่างกันอย่างไร
ฝ้า (Melasma) และ กระ (Freckles & Lentigines) เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการทำงานของเซลล์เมลาโนไซท์ (Melanocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ทำให้เกิดรอยคล้ำบนใบหน้า แม้ว่าทั้งฝ้าและกระจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในแง่ของ สาเหตุ, ตำแหน่งที่เกิด, สี และขนาด
เรามาดูกันว่าฝ้าและกระต่างกันอย่างไร เราจะสรุปเป้นตารางเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่าย
ลักษณะ |
ฝ้า (Melasma) |
กระ (Freckles & Lentigines) |
สาเหตุหลัก |
ฮอร์โมน, แสงแดด, กรรมพันธุ์, มลภาวะ |
แสงแดด, กรรมพันธุ์ |
สี |
น้ำตาลอ่อน-น้ำตาลเข้ม หรือเทา |
น้ำตาลอ่อน-น้ำตาลเข้ม (กระตื้น), น้ำตาล-ดำ (กระลึก) |
ขนาด |
ใหญ่ เป็นปื้นกว้าง ขอบไม่ชัด |
เล็ก เป็นจุดๆ ขอบชัด |
ตำแหน่งที่พบบ่อย |
โหนกแก้ม, หน้าผาก, เหนือริมฝีปาก, คาง |
แก้ม, สันจมูก, ไหล่, แขน |
ชั้นผิวที่เกิด |
หนังกำพร้า (Epidermis) และ หนังแท้ (Dermis) |
ส่วนใหญ่อยู่ที่หนังกำพร้า |
การกระตุ้น |
ฮอร์โมนและแสงแดดเป็นปัจจัยหลัก |
แสงแดดเป็นปัจจัยหลัก |
อายุที่พบมาก |
25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในผู้หญิง |
พบตั้งแต่วัยเด็ก และเพิ่มขึ้นตามอายุ |
ความรุนแรง |
เกิดทั้งในหนังกำพร้าและหนังแท้ มักคงอยู่เป็นเวลานาน |
กระตื้นอาจจางลงเมื่อหลีกเลี่ยงแสงแดด แต่กระลึกมักคงอยู่ถาวร |
ทำไมผู้หญิงเสี่ยงเกิดฝ้ามากกว่าผู้ชาย
แม้ว่าฝ้าสามารถเกิดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่การเกิดฝ้าพบในผู้หญิงมากกว่าถึง 90% โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 20-50 ปี) นั่นเป็นเพราะ ฮอร์โมนเพศหญิงมีบทบาทสำคัญต่อการกระตุ้นเมลาโนไซท์ (Melanocytes) ซึ่งเป็นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง
ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงเกิดฝ้ามากกว่าผู้ชาย
1.ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
ผู้หญิงมีระดับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูงกว่าผู้ชาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเซลล์เมลาโนไซท์
• เอสโตรเจน กระตุ้นให้เมลาโนไซท์สร้างเมลานินมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้รับแสงแดด
• โปรเจสเตอโรน เพิ่มความไวของผิวต่อรังสี UV ทำให้เม็ดสีสะสมง่ายขึ้น ทำให้เกิดฝ้าขึ้นมาได้
2.การตั้งครรภ์ (Pregnancy Melasma หรือ "Mask of Pregnancy")
หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดฝ้าสูงมาก เนื่องจากระดับฮอร์โมน เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และฮอร์โมน MSH (Melanocyte-Stimulating Hormone) เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินถูกสร้างขึ้นมากผิดปกติ
ฝ้าประเภทนี้มักเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ และอาจค่อย ๆ จางลงหลังคลอด แต่บางรายฝ้าอาจคงอยู่ถาวร
3.การใช้ยาคุมกำเนิดและฮอร์โมนทดแทนอาจทำให้เกิดฝ้าได้
• ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Estrogen + Progesterone) กระตุ้นให้เกิดฝ้าในผู้หญิงที่มีแนวโน้มไวต่อเมลานิน
• ฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน (Hormone Replacement Therapy - HRT) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้า เนื่องจากยังคงกระตุ้นเมลาโนไซท์ให้ทำงานมากขึ้น
4.ผิวของผู้หญิงมีความไวต่อแสงมากกว่าผู้ชาย
• ผิวของผู้หญิงโดยธรรมชาติ บางกว่าผู้ชายประมาณ 25% ทำให้ชั้นหนังกำพร้ารับผลกระทบจากรังสี UV ได้ง่ายกว่า
• ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่มีสารทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น AHA, Retinol หรือกรดผลไม้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดด
5.พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงและผู้ชายที่อาจทำให้เกิดฝ้า
• ผู้หญิงใช้เครื่องสำอางบ่อยกว่าผู้ชาย ซึ่งบางชนิดอาจมีสารกระตุ้นฝ้า เช่น น้ำหอม, แอลกอฮอล์ หรือสารไวต่อแสง
• การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว หรือเลเซอร์บางประเภทที่ไม่เหมาะสม อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
• ผู้หญิงมักทำงานในที่ร่มมากกว่าผู้ชาย แต่ยังโดนแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และไฟฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งมี แสงสีฟ้า (Blue Light) ที่อาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้เช่นกัน
ผู้ชายเกิดฝ้าได้หรือไม่ ?
แม้ฝ้าพบในผู้หญิงมากกว่า แต่ผู้ชายก็สามารถเกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
• ทำงานกลางแดดเป็นเวลานานโดยไม่ใช้ครีมกันแดด
• มีกรรมพันธุ์ที่ทำให้ผิวไวต่อเม็ดสี
• มีระดับฮอร์โมนผิดปกติ เช่น การใช้ฮอร์โมนเพาะกาย
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวไวต่อแสง
เราเสี่ยงเป็นฝ้าเพราะพันธุกรรมจริงหรือไม่
งานวิจัยและหลักฐานทางการแพทย์ชี้ให้เห็นว่า พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า อัตราความเสี่ยงของการเกิดฝ้าในผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นฝ้าจะสูงขึ้นถึง 40-60%
กลไกที่พันธุกรรมมีผลต่อการเกิดฝ้า
1.ลักษณะผิวและความไวต่อแสง
- คนที่มีผิวขาว-เหลือง หรือผิวโทนกลาง (Fitzpatrick Skin Type III-IV) มีแนวโน้มเกิดฝ้าง่ายกว่าคนที่มีผิวเข้ม
- ผิวที่ไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติอาจมีแนวโน้มสร้างเม็ดสีเมลานินผิดปกติ ทำให้เกิดฝ้าเร็วขึ้น
2.ความผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซท์
- พันธุกรรมอาจกำหนดการทำงานของ เมลาโนไซท์ ทำให้บางคนผลิตเม็ดสีมากเกินไป เมื่อได้รับแสงแดดหรือฮอร์โมนกระตุ้น
3.ยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเมลานิน
- นักวิจัยพบว่ายีนบางตัว เช่น MC1R, TYR และ MITF มีบทบาทในการควบคุมการผลิตเม็ดสี ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้บางคนเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าปกติ
4.โครงสร้างผิวและเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier Function)
- ผู้ที่มีพันธุกรรมที่ทำให้ เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ มีแนวโน้มไวต่อปัจจัยกระตุ้น เช่น มลภาวะและรังสี UV ส่งผลให้เกิดฝ้าได้ง่าย
ฝ้ากับกรรมพันธุ์เกี่ยวข้องกันแค่ไหน
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าฝ้ามีแนวโน้มถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
• ผู้ที่มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นฝ้า มีโอกาสเกิดฝ้าสูงกว่าคนทั่วไป
• กลุ่มชาติพันธุ์เอเชีย, ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง พบว่ามีแนวโน้มเป็นฝ้ามากกว่าคนผิวขาวหรือผิวเข้มมาก
• แฝดแท้ (Identical Twins) ที่มีฝ้าเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อการเกิดฝ้า
แม้ว่าพันธุกรรมจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดฝ้า แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว ฝ้าส่วนใหญ่เกิดจากการกระตุ้นของปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด, ฮอร์โมน, มลภาวะ และพฤติกรรมการดูแลผิว
สารเคมีในเครื่องสำอางค์ตัวไหนทำให้เกิดฝ้า
เรามาดูกันว่าสารเคมีชนิดไหนในเครื่องสำอางค์ที่ทำให้เกิดฝ้าได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เราไปใช้สารชนิดนั้น
1.สารกันแดดบางชนิด (Chemical Sunscreens) ที่ไวต่อแสง
สารกันแดดในกลุ่ม Chemical Sunscreens บางชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ โดยทำให้ผิวไวต่อแสงและเกิดการอักเสบ เช่น
• Oxybenzone - ดูดซับรังสี UV แต่มีโอกาสทำให้เกิด การอักเสบในชั้นผิว ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินถูกผลิตมากขึ้น
• Octinoxate (Octyl Methoxycinnamate) - อาจก่อให้เกิด การแพ้แสง (Photosensitivity) ทำให้ผิวไวต่อรังสี UVA
• Avobenzone - แม้จะป้องกัน UVA ได้ดี แต่ไม่เสถียรเมื่อเจอแสงแดด และอาจทำให้เกิด อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เร่งกระบวนการสร้างเม็ดสี
สารกันแดดแบบ Physical Sunscreen (เช่น Titanium Dioxide และ Zinc Oxide) จะอ่อนโยนกว่าและลดความเสี่ยงของฝ้าได้มากกว่า
2.ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) และอนุพันธ์ของมัน
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารฟอกผิวที่ช่วยลดเลือนฝ้าได้ในระยะสั้น แต่หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะผิวด่างถาวร (Ochronosis) และกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้รุนแรงขึ้น
• การใช้ไฮโดรควิโนนเกิน 2% โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ อาจทำให้เกิด ผิวไวต่อแสงและเกิดรอยดำถาวร
• การหยุดใช้ไฮโดรควิโนนอย่างกะทันหันอาจทำให้ ผิวกลับมาคล้ำกว่าเดิม (Rebound Hyperpigmentation)
ไฮโดรควิโนนมีประสิทธิภาพในการลดฝ้า แต่ต้องใช้ในปริมาณที่ปลอดภัยและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
3.สเตียรอยด์ (Steroids) ในครีมทาผิวที่ทำให้เกิดฝ้า
ครีมที่มี สเตียรอยด์ (Corticosteroids) โดยเฉพาะ ชนิดเข้มข้น อาจทำให้ผิวบางลง และไวต่อแสงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าง่ายขึ้น
• สเตียรอยด์แรง ๆ อาจทำให้ เมลาโนไซท์ถูกกระตุ้นและสร้างเม็ดสีผิดปกติ
• การใช้ ครีมสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้ เส้นเลือดฝอยขยายตัว ผิวอ่อนแอ และเกิดฝ้าแบบถาวร
ควรหลีกเลี่ยงครีมหน้าขาวที่มีสเตียรอยด์โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
4.น้ำหอมและสารแต่งกลิ่น (Fragrances & Perfumes)
น้ำหอมในเครื่องสำอางหรือสกินแคร์บางชนิดมีสารที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น
• Bergamot Oil - มี Psoralen ที่สามารถทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
• Linalool และ Limonene - ทำปฏิกิริยากับแสงแดดและเกิด ภาวะการอักเสบของผิว (Phototoxic Reaction)
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น Fragrance-Free หรือปราศจากน้ำหอมเพื่อป้องกันฝ้าและอาการแพ้
5.แอลกอฮอล์ (Alcohols) ในเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดฝ้า
แอลกอฮอล์บางชนิดสามารถทำให้ผิวแห้งและไวต่อแสง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดฝ้า เช่น
• Ethanol, Denatured Alcohol, Isopropyl Alcohol - อาจทำให้ผิวแห้งและไวต่อรังสี UV
• Benzyl Alcohol - อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นเมลาโนไซท์
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์แบบรุนแรง (Alcohol-Free หรือ Low-Alcohol Formulas) เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดฝ้า
6.กรดผลัดเซลล์ผิวบางชนิด (AHA, BHA, Retinol) และผลิตภัณฑ์ไวต่อแสง
• AHA (Alpha Hydroxy Acids) เช่น Glycolic Acid, Lactic Acid - เร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่ทำให้ผิวไวต่อแสง UV มากขึ้น
• BHA (Beta Hydroxy Acid) หรือ Salicylic Acid - อาจทำให้ผิวอ่อนแอและไวต่อการเกิดฝ้า
• Retinol และอนุพันธ์ของวิตามิน A - ช่วยลดริ้วรอยแต่ทำให้ ผิวบางลงและไวต่อรังสี UV
หากใช้สารเหล่านี้ควรทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด
อาหารที่เข้าไปกระตุ้นฝ้า
อาหารบางชนิดสามารถส่งผลให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ โดยอาหารเหล่านั้นมีสารที่ไปกระตุ้นการอักเสบ การทำงานของฮอร์โมนและการผลิตเม็ดสีได้
1.อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง (High Glycemic Index - GI สูง)
อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงทำให้ระดับ อินซูลิน (Insulin) ในเลือดพุ่งสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ การอักเสบในร่างกาย กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซท์ทำงานหนักขึ้น
ตัวอย่างอาหาร GI สูงที่อาจทำให้เกิดฝ้า
• ขนมปังขาว, ข้าวขาว, เส้นก๋วยเตี๋ยว
• น้ำตาล, น้ำอัดลม, ขนมหวาน
• มันฝรั่งทอด, ขนมกรุบกรอบ
2.อาหารที่มีไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูง
ไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวทำให้เกิด การอักเสบเรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้ร่างกายผลิต ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น และอาจทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้น
ตัวอย่างอาหารไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูงที่อาจทำให้เกิดฝ้า
• อาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น เฟรนช์ฟราย, เบอร์เกอร์
• มาการีน, เนยขาว
• อาหารทอดในน้ำมันซ้ำ
3.อาหารที่มีฮอร์โมนหรือกระตุ้นฮอร์โมน
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) อาหารบางชนิดอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย
ตัวอย่างอาหารที่อาจส่งผลต่อฮอร์โมน
• ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้, นมถั่วเหลือง
• นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส, โยเกิร์ต
• ไก่หรือเนื้อสัตว์ที่ใช้ฮอร์โมนเร่งโต
4.คาเฟอีนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
คาเฟอีนและแอลกอฮอล์อาจทำให้ ร่างกายขาดน้ำและเพิ่มระดับคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และอาจทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้น
ตัวอย่างเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำเกิดฝ้าชัดเจนขึ้น
• กาแฟที่มีคาเฟอีนสูง
• เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์
5.อาหารที่มีสารไทรามีนสูง (Tyramine-Rich Foods)
ไทรามีน (Tyramine) เป็นสารที่พบในอาหารหมักดองและแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจกระตุ้น การไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นการผลิตเมลานิน
ตัวอย่างอาหารที่มีไทรามีนสูง
• อาหารหมักดอง เช่น กะปิ, ปลาเค็ม, น้ำปลา, ผักดอง
• ชีสเก่า เช่น บลูชีส, เชดดาร์ชีส
• ไวน์แดงและเครื่องดื่มหมัก
6.อาหารที่มีสารออกซิเดชันสูง (Oxidative Stress Foods)
อาหารที่ทำให้เกิด อนุมูลอิสระ (Free Radicals) มากขึ้น อาจทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพและกระตุ้นฝ้าได้
ตัวอย่างอาหารที่มีออกซิเดชันสูง
• อาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก, แฮม, อาหารกระป๋อง
• น้ำมันที่ผ่านความร้อนสูง เช่น น้ำมันพืชที่ใช้ทอดซ้ำ
วิธีป้องกันฝ้าเบื้องต้น
เราสามารถป้องกันการเกิดฝ้าเบื้องต้นได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
1.ป้องกันแสงแดด - ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ PA++++ ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงแดดจัด
2.เลี่ยงการกระตุ้นฮอร์โมน - หลีกเลี่ยงยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนสูง และปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ฮอร์โมนทดแทน
3.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน - หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นฝ้า เช่น ไฮโดรควิโนน, สเตียรอยด์, น้ำหอม และแอลกอฮอล์
4.บำรุงผิวด้วย Antioxidants - ใช้เซรั่มวิตามินซี, วิตามินอี และไนอะซินาไมด์ เพื่อลดเม็ดสี
5.ควบคุมอาหาร - ลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ แอลกอฮอล์ กินผักผลไม้ที่มีวิตามินสูง
6.ลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ - นอนหลับ 7-8 ชั่วโมง ออกกำลังกาย และทำสมาธิ
ครีมลดเลือนฝ้า
เราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ สกินแคร์ที่คอยช่วยดูแลและลดเลือนฝ้า และจุดด่างดำ ควรเป็นครีมที่มีสารที่สามารถช่วยยับยั้งการทำงานของ เซลล์เมลาโนไซต์ และเอไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งตัวของ ABSOLUTE LIGHT CREAM มีสารของ
Niacinamide - ยับยั้งการขนส่งเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ลดรอยดำ และเพิ่มความกระจ่างใส
Tranexamic Acid - ควบคุมการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ถูกกระตุ้นจากรังสียูวี ช่วยลดฝ้าที่เกิดจากแสงแดด
Kojic Dipalmitate - ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ โดยเฉพาะรอยฝ้าที่ฝังลึก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
Allantoin - ลดการระคายเคือง ปกป้องผิวจากการแพ้และอักเสบ เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
“ ทางรมย์รวินท์คลินิก ได้พัฒนาสูตรเพื่อแก้ปัญหาลดเลือนฝ้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งคิดค้นโดยแพทย์ Specialist ใครที่สนใจสามารถทักมาปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาอย่างตรงจุดได้เลย ”
หัตถการลดเลือนฝ้า
การรักษาฝ้าในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการลดเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ แต่เป็น การฟื้นฟูผิวเชิงลึก เพื่อลดโอกาสการเกิดซ้ำ รมย์รวินท์คลินิกมี 2 หัตถการหลักที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาฝ้าโดยเฉพาะ ได้แก่ Pico Laser และ Code Of White Mini ซึ่งทั้งสองเทคนิคนี้มีแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันแต่สามารถเสริมประสิทธิภาพกันได้
1.Pico Laser การลดเลือนฝ้าด้วยพลังงานเลเซอร์ความเร็วสูง
Pico Laser เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่ใช้ พลังงานระดับ Picosecond (1 ต่อ 1 ล้านล้านวินาที) ในการ แตกตัวเม็ดสีเมลานินอย่างละเอียดและแม่นยำ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ต่างจากเลเซอร์แบบเดิมที่ทำให้เกิดความร้อนสะสมมากขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีซ้ำได้
หลักการทำงานของ Pico Laser ต่อฝ้า
- ทำลายเม็ดสีเมลานินอย่างจำเพาะเจาะจง - พลังงานเลเซอร์แบบพิโควินาทีสามารถ ทำให้เม็ดสีฝ้าสลายตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กมาก และถูกกำจัดออกไปโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ - พลังงานเลเซอร์ไม่ได้แค่ลดฝ้า แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิว ให้เนียนเรียบขึ้น
- ลดโอกาสเกิดฝ้าซ้ำ - ด้วยพลังงานที่แม่นยำและไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้ โอกาสการกลับมาของฝ้าน้อยลงกว่าการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิม
ข้อดีของ Pico Laser ในการรักษาฝ้า
• เห็นผลไวกว่าเลเซอร์แบบเดิม ลดฝ้าได้ลึกและรวดเร็ว
• ผลข้างเคียงน้อย ไม่ทำให้ผิวไหม้หรือเกิดรอยดำหลังทำ
• สามารถรักษาฝ้าในทุกโทนสีผิว รวมถึงผิวบอบบาง
2.Code Of White Miniแ ฟื้นฟูและยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี
หัตถการ Code Of White Mini เป็น เทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก ที่มุ่งเน้น การลดเลือนเม็ดสีฝ้าจากต้นเหตุ โดยใช้สารสำคัญที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเม็ดสีเมลานิน
หลักการทำงานของ Code Of White Mini ต่อฝ้า
ลดการทำงานของเซลล์เมลาโนไซท์ - สารบำรุงที่ใช้ในการรักษาจะเข้าไป ยับยั้งเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้าจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ
ฟื้นฟูผิวจากภายใน - นอกจากลดเม็ดสีแล้ว ยังมีสารช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ - ไม่เพียงแค่รักษาฝ้า แต่ยังช่วยปรับสีผิวที่ไม่เรียบเนียนให้กระจ่างใสขึ้น
ข้อดีของ Code Of White Mini ในการรักษาฝ้า
• ลดฝ้าอย่างอ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง เหมาะกับทุกสภาพผิว
• ลดฝ้าที่เกิดจากแสงแดดและฮอร์โมนได้ดี
• เสริมประสิทธิภาพให้กับ Pico Laser ช่วยให้ผลลัพธ์ของการรักษาฝ้ายาวนานขึ้น
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับฝ้า
ฝ้า (Melasma) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซท์ ซึ่งทำให้เม็ดสีเมลานินถูกผลิตออกมามากเกินไป ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำเป็นปื้นบนผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้าคือแสงแดด ซึ่งกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ ฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด กรรมพันธุ์ มลภาวะ และสารเคมีบางชนิดในเครื่องสำอาง ก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
ฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ฝ้าตื้น ซึ่งเกิดในชั้นหนังกำพร้าและรักษาได้ง่ายกว่า ฝ้าลึกที่อยู่ในชั้นหนังแท้และมีสีเข้มขึ้นทำให้รักษายากกว่า และฝ้าผสม ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้บ่อยที่สุด การป้องกันฝ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50+ PA++++ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่กระตุ้นการผลิตเม็ดสี เช่น Niacinamide, Tranexamic Acid และสารต้านอนุมูลอิสระ
การรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใช้สารบำรุงที่ช่วยลดเม็ดสี การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Pico Laser ซึ่งช่วยทำลายเม็ดสีที่สะสมในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ และการทำทรีตเมนต์บำรุงผิว เช่น Code Of White Mini ที่ช่วยควบคุมการสร้างเม็ดสีและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก อย่างไรก็ตาม การรักษาฝ้ามักต้องใช้เวลาและการดูแลต่อเนื่อง เพราะฝ้ามีแนวโน้มกลับมาเกิดใหม่ได้ง่าย
ดังนั้น การดูแลผิวในระยะยาวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรปกป้องผิวจากแสงแดด หลีกเลี่ยงสารเคมีที่กระตุ้นฝ้า ควบคุมอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ และลดความเครียดที่อาจส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ผิว การป้องกันและดูแลที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถควบคุมฝ้าและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด