โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ กี่ยูนิต ฉีดจุดไหนได้บ้าง ช่วยอะไร กี่วันเห็นผล
ฉีดโบท็อกซ์
ฉีดโบท็อกซ์ กี่ยูนิต ฉีดจุดไหนได้บ้าง ช่วยอะไร กี่วันเห็นผล
ฉีดโบท็อกซ์ กี่ยูนิต ฉีดจุดไหนได้บ้าง ช่วยอะไร กี่วันเห็นผล
หนึ่งในหัตถการเสริมความงามยอดนิยมของคนยุคนี้ คือ การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ไม่เพียงเพราะสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถยกกระชับปรับรูปหน้าให้ดูเรียว ลดเหงื่อ รักษาไมเกรน และช่วยแก้ปัญหากล้ามเนื้อกระตุกได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
แต่ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ การเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ เช่น จุดที่ฉีดได้ ปริมาณยูนิตที่ใช้ ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ อันตรายจากโบท็อกซ์ปลอม รวมถึงการเลือกยี่ห้อและคลินิกที่ได้มาตรฐาน จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
บทความนี้จะพาไปรู้จักโบท็อกซ์อย่างครอบคลุม เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เห็นผลลัพธ์ตรงตามความต้องการ และไม่เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง
ฉีดโบท็อกซ์ คืออะไร
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) คือการฉีดสารสกัดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum เข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณที่ต้องการ เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว ซึ่งจะช่วยให้ริ้วรอยต่างๆ จางลง และสามารถใช้ในการปรับรูปหน้าได้อีกด้วย
กลไกการทำงานของโบท็อกซ์นั้น เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อ จะทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งของสารอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นคลายตัว ริ้วรอยที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อจึงลดลง และผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์ในจุดไหนได้บ้าง
การฉีดโบท็อกซ์สามารถทำได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย โดยแต่ละตำแหน่งมีความต้องการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า หรือเพื่อการรักษาทางการแพทย์ โดยจุดที่นิยมฉีดโบท็อกซ์มีดังนี้
• ฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก ลดรอยย่นที่เกิดจากการขมวดคิ้วหรือยกคิ้ว ช่วยให้หน้าดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียนขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้ว ลดรอยขมวดคิ้วตรงกลางหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าดุหรือหน้าตึงเครียด
• ฉีดโบท็อกซ์หางตา ลดริ้วรอยที่หางตาจากการยิ้ม ตาดูเปิดกว้าง สดใสขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้วและดึงคิ้วขึ้น ช่วยยกคิ้วให้โค้งสวย เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาตกเล็กน้อย
• ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ลดรอยย่นหรือเส้นใต้ตาบาง ๆ ทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์จมูก ลดรอยย่นที่เกิดข้างจมูกเวลายิ้ม ทำให้จมูกดูเรียบเนียนและไม่หงิกงอ
• ฉีดโบท็อกซ์ริมฝีปากบน ลดรอยย่นเล็ก ๆ รอบปาก ทำให้ปากดูเรียบขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์มุมปาก แก้ปัญหามุมปากตก ดูเศร้าหมอง ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนวัย
• ฉีดโบท็อกซ์คาง ลดรอยย่นหรือผิวขรุขระที่คาง หรือที่เรียกว่าคางส้ม ช่วยให้คางดูเรียบเนียนขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์กราม ลดกล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่จากการบดเคี้ยว ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็กขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์ลำคอ ลดรอยเส้นที่คอ ช่วยให้คอเรียบตึง ไม่หย่อนคล้อย
• ฉีดโบท็อกซ์บ่าและไหล่ ช่วยลดความเกร็งของกล้ามเนื้อบ่า ทำให้คอเรียวยาว
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ลดเหงื่อและกลิ่นตัว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ
• ฉีดโบท็อกซ์ฝ่ามือ / ฝ่าเท้า ลดเหงื่อและอาการลื่นจากเหงื่อที่มากเกินไป
• ฉีดโบท็อกซ์น่อง ลดกล้ามเนื้อน่อง ทำให้น่องเล็กลง ขาดูเรียวสวย
• ฉีดโบท็อกซ์ต้นแขน ลดกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน ทำให้ดูเรียว
• ฉีดโบท็อกซ์ไมเกรนเรื้อรัง ฉีดที่ศีรษะและท้ายทอยเพื่อบรรเทาอาการ
• ฉีดโบท็อกซ์หนังตากระตุก / กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม
คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้วการฉีดโบท็อกซ์ไม่อันตราย หากทำโดยแพทย์ ใช้ตัวยาแท้ และดำเนินการในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เช่น ใช้ตัวยาปลอม แพทย์ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ หรือทำในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือ ภาวะแทรกซ้อนหลังฉีดโบท็อกซ์ได้
อันตรายจากฉีดโบท็อกซ์ปลอม
การฉีดโบท็อกซ์ปลอมเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ความงามเป็นเรื่องใกล้ตัว และมีคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานกระจายอยู่ทั่วไป การฉีดโบท็อกซ์ปลอมไม่เพียงแต่ไม่เห็นผล แต่ยังสามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ระวัง ซึ่งอันตรายที่อาจเกิดจากการฉีดโบท็อกซ์ปลอมที่ควรรู้ มีดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์ปลอม ไม่เห็นผล หรือผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
• โบท็อกซ์ปลอมอาจไม่มีสารออกฤทธิ์จริงหรือมีในปริมาณต่ำ
• ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดโบท็อกซ์ปลอมไม่ลดริ้วรอยจริง หรืออาจหน้าเบี้ยว หน้าไม่เท่ากัน
2.ฉีดโบท็อกซ์ปลอมอาจเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดตำแหน่ง
• หากโบท็อกซ์เคลื่อนไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่เกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดภาวะ เช่น
- หนังตาตก
- ยิ้มไม่ได้
- กลอกตาไม่ได้
3.ฉีดโบท็อกซ์ปลอมอาจเกิดอาการแพ้หรืออักเสบรุนแรง
• โบท็อกซ์ปลอมมักผลิตในโรงงานเถื่อน ไม่มีการควบคุมความสะอาด
• อาจปนเปื้อนแบคทีเรีย โลหะหนัก หรือสารกันเสียที่ไม่ปลอดภัย ทำให้
- ผื่น ลมพิษ
- อาการบวมแดง ปวดร้อน
- ภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
4.ฉีดโบท็อกซ์ปลอมอาจติดเชื้อบริเวณที่ฉีด
• วัสดุหรือเข็มที่ใช้ร่วมกับตัวยาปลอมอาจไม่มีความสะอาด
• ฉีดโบท็อกซ์ปลอมเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Staphylococcus aureus
• อาจเกิดฝีหนอง แผลเน่า หรือเป็นรอยแผลถาวร
5.ฉีดโบท็อกซ์ปลอมอาจเสี่ยงเสียชีวิตในกรณีรุนแรง
• หากโบท็อกซ์ปลอมมีสารพิษที่ไม่ได้ควบคุม และซึมเข้าสู่ระบบประสาท อาจทำให้หายใจลำบาก กล้ามเนื้อทั่วร่างกายหยุดทำงาน
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปลอมอาจเกิดอาการดังกล่าว เป็นกรณีฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาด่วน
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์มีอะไรบ้าง
การฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะให้ผลลัพธ์ด้านความงามและสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์มีหลากหลาย ได้แก่
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างรวดเร็ว
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดเหงื่อใต้วงแขน / ฝ่ามือ / ฝ่าเท้า
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยรักษาอาการไมเกรนเรื้อรัง (ในทางการแพทย์)
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยรักษาอาการตากระตุก / กล้ามเนื้อกระตุกเฉพาะที่
• การฉีดโบท็อกซ์ใช้เวลาทำน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
• การฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ
• การฉีดโบท็อกซ์ไม่เป็นอันตรายเมื่อทำโดยแพทย์ ใช้ตัวยาแท้ และคลินิกได้มาตรฐาน
• การฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่ให้ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์
ฉีดโบท็อกซ์ช่วยอะไรบ้าง
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมทั้งในด้านความงามและการรักษาทางการแพทย์ ด้วยคุณสมบัติของสาร “โบทูลินัมท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A)” ที่ช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้การฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและเห็นผลชัดเจน
1.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า
• ฉีดโบท็อกซ์ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่น เช่น
- ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดรอยย่นหน้าผาก
- ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดรอยขมวดคิ้ว
- ฉีดโบท็อกซ์ช่วยรอยตีนกา
- ฉีดโบท็อกซ์ช่วยรอยย่นข้างจมูก
• ฉีดโบท็อกซ์ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน ใบหน้าดูอ่อนวัยลง
2.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าเรียว (V-shape)
• ฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม ช่วยลดกล้ามเนื้อบดเคี้ยว
• ฉีดโบท็อกซ์เหมาะกับผู้ที่มีกรามใหญ่ หน้าบานจากกล้ามเนื้อ
• ฉีดโบท็อกซ์ทำให้หน้าเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดกราม
3.ฉีดโบท็อกซ์ยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง
• ฉีดโบท็อกซ์บริเวณมุมปาก แก้ม คอ เพื่อยกกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อย
• ฉีดโบท็อกซ์ทำให้หน้าดูสดใสขึ้นโดยไม่ต้องใช้ไหมหรือผ่าตัด
4.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อในร่างกายบางส่วน
• ฉีดโบท็อกซ์ที่น่องหรือต้นแขนเพื่อให้เรียวเล็กลง
• ฉีดโบท็อกซ์นิยมในผู้หญิงที่ต้องการความมั่นใจในการแต่งตัวมากขึ้น
5.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว
• ฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยลดเหงื่อออกมากและลดกลิ่นตัวได้
- ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ เพื่อควบคุมเหงื่อและกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ฉีดโบท็อกซ์ฝ่ามือ / ฝ่าเท้า สำหรับผู้ที่เหงื่อออกมากเกินปกติ
• ฉีดโบท็อกซ์ทำให้บริเวณผิวใต้วงแขน ผิวมือ ผิวฝ่าเท้า แห้ง สะอาด มั่นใจมากขึ้น
6.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยปรับลักษณะเฉพาะบนใบหน้า
• ฉีดโบท็อกซ์คางทำให้ผิวเรียบเนียน ลดลักษณะคางส้ม
• ฉีดโบท็อกซ์ช่วยปรับริมฝีปากให้ยิ้มมุมปากขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์ช่วยยกคิ้วให้ตาดูโต สดใสยิ่งขึ้น
7.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยรักษาไมเกรนเรื้อรัง
• ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อและการกระตุ้นเส้นประสาท
• ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8.ฉีดโบท็อกซ์ช่วยรักษากล้ามเนื้อกระตุกผิดปกติ
• ฉีดโบท็อกซ์เหมาะใช้ในผู้ที่มีอาการ
- หนังตากระตุก
- กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก
• ฉีดโบท็อกซ์ช่วยให้ผู้มีอาการดังกล่าวกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ง่ายขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน
การเลือกยี่ห้อฉีดโบท็อกซ์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ความปลอดภัย และความคงทนของการรักษาในแต่ละบุคคล ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อให้เลือกฉีดโบท็อกซ์ โดยแต่ละยี่ห้อมีจุดเด่น ระยะเวลาผลลัพธ์อยู่ได้นานที่แตกต่างกัน
1.Botox Allergan (อัลเลอร์แกน) - สหรัฐอเมริกา
เป็นโบท็อกซ์รุ่นแรกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการรับรองจาก FDA ทั้งของสหรัฐฯ และประเทศไทย ถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในคลินิกชั้นนำทั่วโลก
• ความบริสุทธิ์ของสารสูงมาก
• ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับโลก
• มีผลการวิจัยรองรับประสิทธิภาพมายาวนาน
• แพทย์สามารถควบคุมการกระจายตัวยาได้อย่างแม่นยำ จึงเหมาะกับบริเวณที่ต้องการความละเอียด เช่น รอบดวงตา หางตา หน้าผาก
• อยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน โดยขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลและตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์
2.Botulax (โบทูลักซ์) - เกาหลีใต้
เป็นแบรนด์ยอดนิยมจากประเทศเกาหลีใต้ ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย และผ่านมาตรฐานการผลิตระดับสากลในเอเชีย
• ราคาย่อมเยา เหมาะกับผู้เริ่มต้นฉีดโบท็อกซ์
• เห็นผลเร็วภายใน 3-5 วัน
• เหมาะกับการฉีดบริเวณกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ เช่น กราม น่อง หน้าผาก
• กระจายตัวดี ช่วยให้ใบหน้าดูละมุนหลังฉีด
• อยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน หลังฉีดโบท็อกซ์
3.Nabota (นาโบตะ) - เกาหลีใต้
อีกหนึ่งแบรนด์จากเกาหลีที่ได้รับการรับรองจาก US FDA และอย.ไทย จุดเด่นคือความบริสุทธิ์ของตัวยาที่สูงถึง 99.9% ซึ่งลดความเสี่ยงต่อการดื้อยาในอนาคต
• ตัวยาบริสุทธิ์ ทำให้ร่างกายตอบสนองได้ดีและไม่เกิดผลข้างเคียง
• เหมาะกับการฉีดทั้งบริเวณละเอียดและกว้าง เช่น หางตา มุมปาก กราม
• เป็นที่นิยมในคลินิกเกาหลีระดับพรีเมียม
• อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน หลังฉีดโบท็อกซ์
4.Xeomin (ซีโอมิน) - เยอรมนี
โบท็อกซ์จากประเทศเยอรมนี มีจุดเด่นคือเป็น “Purified Botulinum” ที่ไม่มีโปรตีนเจือปน เป็นรุ่นเดียวที่เรียกว่า “Naked Botox” ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิต้านทานตัวยา
• ลดโอกาสการดื้อยาในระยะยาว
• เหมาะกับผู้ที่ต้องฉีดโบท็อกซ์บ่อย ๆ หรือต้องการดูแลระยะยาว
• กระจายตัวยาดีเยี่ยม เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น รอบดวงตา คาง
• อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน หลังฉีดโบท็อกซ์
5.Aestox (เอสต็อกซ์) - เกาหลีใต้
อีกหนึ่งแบรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม มีความบริสุทธิ์ของตัวยาสูง และผ่านมาตรฐานในระดับนานาชาติ
• ความบริสุทธิ์ของยาอยู่ในระดับสูง
• ราคาสมเหตุสมผล คุ้มค่าต่อผลลัพธ์
• เห็นผลไวภายใน 3-5 วัน
• เหมาะกับทั้งใบหน้าและกล้ามเนื้อขนาดใหญ่
• อยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน หลังฉีดโบท็อกซ์
วิธีการดูโบท็อกซ์แท้ที่ปลอดภัย
การฉีดโบท็อกซ์ให้ได้ผลลัพธ์ดีและปลอดภัย ต้องเริ่มต้นจากการเลือกใช้ตัวยาโบท็อกซ์แท้ 100% เท่านั้น เพราะโบท็อกซ์ปลอมอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง เช่น ใบหน้าเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดที่ หรือแม้แต่การติดเชื้อรุนแรง ดังนั้นการรู้วิธีตรวจสอบว่าโบท็อกซ์ที่ได้รับเป็นของแท้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
1.ก่อนฉีดโบท็อกซ์เช็กเลขทะเบียน อย.ของโบท็อกซ์ และสามารถตรวจสอบได้
ตัวยาโบท็อกซ์ทุกยี่ห้อที่ถูกต้องตามกฎหมายจะต้องมีเลขทะเบียนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ผ่านเว็บไซต์ของ อย.หรือแอปพลิเคชัน
วิธีตรวจสอบ
• เข้าเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th
• ค้นหาจากชื่อทางการค้าหรือชื่อสารออกฤทธิ์
• เปรียบเทียบกับเลขทะเบียนที่ระบุบนกล่องยา
หากไม่มีเลขทะเบียน หรือเลขไม่ตรงกับระบบ ถือว่ามีความเสี่ยงสูงว่าเป็นของปลอม
2.ก่อนฉีดโบท็อกซ์เช็กกล่องบรรจุและขวดยาต้องสมบูรณ์ ไม่มีรอยแกะหรือปลอมแปลง
• บรรจุภัณฑ์ของโบท็อกซ์แท้จะต้องแน่นหนา พิมพ์ชัดเจน ไม่มีรอยลอกซีดหรือสติ๊กเกอร์แปะทับ
• ขวดยาจะเป็นหลอดแก้วที่ปิดผนึกแน่น ฝาไม่หลวม ไม่มีคราบแปลกปลอม
• ฉลากต้องมีข้อมูลครบถ้วน ได้แก่
- ชื่อผลิตภัณฑ์
- หมายเลข Lot
- วันผลิตและวันหมดอายุ
- ประเทศที่ผลิต
- ผู้จัดจำหน่ายในไทย (ต้องตรงกับข้อมูลของ อย.)
3.ก่อนฉีดโบท็อกซ์เช็ก Lot Number และ Serial Number ของโบท็อกซ์ที่ตรวจสอบได้
โบท็อกซ์แท้จะมีเลข Lot และ Serial Number ซึ่งสามารถใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับไปยังผู้ผลิต
• เลข Lot บนกล่องและบนขวดต้องตรงกัน
• ยี่ห้อคุณภาพสูง เช่น Allergan, Nabota หรือ Xeomin จะมีระบบ QR Code ให้ตรวจสอบได้ด้วยตนเอง
• หากแพทย์เปิดยาให้ดูตรงหน้า และมีเลข Lot ตรงกัน ถือว่าเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่แสดงถึงความโปร่งใส
4.ก่อนฉีดโบท็อกซ์เช็กฉลากและภาษาข้างกล่องโบท็อกซ์
• โบท็อกซ์ที่นำเข้าอย่างถูกต้องจะมีฉลากภาษาไทยติดไว้ พร้อมข้อมูลผู้แทนจำหน่ายที่ชัดเจน
• ถ้าเป็นกล่องที่มีแต่ภาษาอังกฤษ หรือไม่มีฉลากภาษาไทยเลย ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นของหิ้วหรือไม่ได้ผ่านการรับรองจาก อย.
5.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ขอให้แพทย์เปิดขวดใหม่ต่อหน้า
หนึ่งในวิธีง่ายที่สุดที่ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้คือ ขอให้แพทย์เปิดขวดโบท็อกซ์ใหม่ต่อหน้า
• สังเกตลักษณะของขวดที่แพทย์เปิด ว่าไม่มีคราบ ไม่มีรอยปิดซ้ำ
• สอบถามแพทย์ถึงชื่อยี่ห้อ และดูขวดจริงก่อนฉีดทุกครั้ง
หากคลินิกใดไม่ยินยอมให้ดูยา หรือให้เหตุผลว่า “ฉีดจากขวดรวม” หรือ “เปิดไว้แล้ว” ควรหลีกเลี่ยงทันที
6.ก่อนฉีดโบท็อกซ์เช็กราคาให้เหมาะสม ไม่ถูกเกินจริงมากเกินไป
• โบท็อกซ์แท้คุณภาพดีมีต้นทุนสูง หากเจอราคาถูกเกินจริง เช่น ยูนิตละไม่กี่สิบบาท ให้ระวังว่าอาจเป็นของปลอม หรือเจือจางมากกว่ามาตรฐาน
• ราคาที่ต่ำเกินกว่ามาตรฐานอาจหมายถึงการใช้ของปลอม หรือยาที่ไม่มีคุณภาพ
7.ฉีดโบท็อกซ์เฉพาะกับแพทย์ในคลินิกที่ได้รับอนุญาต
• คลินิกต้องมีใบอนุญาตสถานพยาบาลถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุข
• แพทย์ผู้ฉีดโบท็อกซ์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
• ปัจจุบันสามารถค้นหาแพทย์และคลินิกที่ได้ใบอนุญาตผ่านระบบของแพทยสภาและเว็บไซต์ อย.
แต่ละจุดต้องฉีดโบท็อกซ์กี่ยูนิต
การฉีดโบท็อกซ์ในแต่ละจุดของใบหน้าและร่างกายต้องใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง กล้ามเนื้อ ความลึกของรอย และความต้องการของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะมีปริมาณฉีดโบท็อกซ์ที่นิยมใช้ในแต่ละจุดดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
• ปริมาณประมาณ 10 - 20 ยูนิต
• ใช้ลดเลือนริ้วรอยแนวนอนที่เกิดจากการขยับหน้าผาก
2.ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว
• ปริมาณประมาณ 15 - 25 ยูนิต
• ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้หน้าดูดุหรือเครียด
3.ฉีดโบท็อกซ์หางตา
• ปริมาณข้างละ 6 - 12 ยูนิต รวมสองข้างประมาณ 12 - 24 ยูนิต
• ลดริ้วรอยรอบดวงตาจากการยิ้ม
4.ฉีดโบท็อกซ์ยกคิ้ว
• ปริมาณประมาณ 2 - 5 ยูนิต ต่อข้าง
• สำหรับผู้ที่มีเปลือกตาตกหรืออยากยกคิ้วเล็กน้อย
5.ฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตา
• ปริมาณข้างละ 2 - 4 ยูนิต
• ต้องใช้เทคนิคละเอียด และทำโดยแพทย์เท่านั้น
6.ฉีดโบท็อกซ์กราม
• ปริมาณข้างละ 25 - 40 ยูนิต รวมสองข้างประมาณ 50 - 80 ยูนิต
• เพื่อลดกรามและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
7.ฉีดโบท็อกซ์ลิฟต์กรอบหน้า
• ปริมาณประมาณ 20 - 30 ยูนิต
• ช่วยยกกระชับแนวกรามและลำคอ
8.ฉีดโบท็อกซ์คอ
• ปริมาณข้างละ 10 - 20 ยูนิต รวมสองข้างประมาณ 20 - 40 ยูนิต
• ใช้ลดความเด่นของเส้นกล้ามเนื้อที่คอยามพูดหรือแสดงอารมณ์
9.ฉีดโบท็อกซ์คาง
• ปริมาณประมาณ 6 - 10 ยูนิต
• แก้ปัญหาคางบุ๋มหรือผิวไม่เรียบจากการขยับกล้ามเนื้อ
10.ฉีดโบท็อกซ์จมูก
• ปริมาณข้างละ 2 - 5 ยูนิต รวมประมาณ 4 - 10 ยูนิต
• ลดรอยย่นข้างจมูกเวลายิ้ม
11.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ (ลดเหงื่อ / รักษากลิ่นตัว)
• ปริมาณข้างละ 50 ยูนิต รวมสองข้าง 100 ยูนิต
12.ฉีดโบท็อกซ์ฝ่ามือ / ฝ่าเท้า (ลดเหงื่อ)
• ปริมาณข้างละ 50 - 100 ยูนิต รวมสองข้าง 100 - 200 ยูนิต
หมายเหตุ
• ปริมาณที่ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามลักษณะของกล้ามเนื้อ ความต้องการของผู้รับบริการ และดุลยพินิจของแพทย์
• หากใช้โบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นที่มีความเข้มข้นหรือสูตรต่างกัน ปริมาณอาจปรับได้ตามมาตรฐานของยี่ห้อนั้น ๆ
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบท็อกซ์
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยา ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง และทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นอย่างปลอดภัย โดยข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบท็อกซ์มีดังนี้
1.ก่อนฉีดโบท็อกซ์หลีกเลี่ยงการใช้ยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
ยาหรืออาหารเสริมบางชนิดอาจทำให้เลือดหยุดไหลช้าหรือมีรอยช้ำง่ายหลังฉีด เช่น
• ยาแอสไพริน (Aspirin)
• ยากลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen, Naproxen
• วิตามินอี
• น้ำมันปลา
• โสม
• กระเทียม
ควรงดอย่างน้อย 3 - 7 วันก่อนฉีด หรือปรึกษาแพทย์หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้เป็นประจำ
2.ก่อนฉีดโบท็อกซ์หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
• ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
• เพราะแอลกอฮอล์มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำหรือบวม
3.ก่อนฉีดโบท็อกซ์พักผ่อนให้เพียงพอ
• การนอนหลับให้เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล
• ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ลดการอักเสบหรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อยา
4.ก่อนฉีดโบท็อกซ์หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในวันที่ฉีด
• เพื่อป้องกันการอุดตันหรือการติดเชื้อจากเครื่องสำอางบริเวณที่ต้องฉีด
• ควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับบริการ
5.ก่อนฉีดโบท็อกซ์งดทำหัตถการบางอย่างก่อนฉีด
ควรงดเว้นหัตถการหรือกิจกรรมที่ส่งผลต่อผิวหรือกล้ามเนื้อใบหน้าก่อนฉีด เช่น
• เลเซอร์
• RF (คลื่นวิทยุ)
• HIFU
• นวดหน้าหรือยกกระชับ
ควรงดเว้นอย่างน้อย 3 - 7 วัน หรือทำหลังโบท็อกซ์ผ่านไปแล้วอย่างน้อย 1 - 2 สัปดาห์
6.ก่อนฉีดโบท็อกซ์แจ้งประวัติการแพ้หรือโรคประจำตัว
• หากมีประวัติแพ้ยาโดยเฉพาะพวกโปรตีนจากแบคทีเรีย
• หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบประสาทอ่อนแรง (Myasthenia Gravis) โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ควรแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ
7.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ตรวจสอบว่าอยู่ในกลุ่มคนที่ควรเลี่ยงหรือไม่
• หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยง เพราะยังไม่มีข้อมูลเพียงพอด้านความปลอดภัย
• ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องปรึกษาแพทย์เป็นพิเศษ
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ต้องทำอย่างถูกต้อง ปลอดเชื้อ และปลอดภัย ต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด ซึ่งขั้นตอนมาตรฐานในการฉีดโบท็อกซ์สามารถแบ่งได้เป็นดังนี้
1.ประเมินใบหน้าและพูดคุยกับแพทย์
• แพทย์จะซักประวัติสุขภาพ ตรวจสอบลักษณะของกล้ามเนื้อ และริ้วรอยที่ต้องการรักษา
• ถามถึงความคาดหวัง ผลลัพธ์ที่ต้องการ และข้อควรระวังเฉพาะบุคคล
• แพทย์จะเลือกตำแหน่งที่จะฉีด ปริมาณยูนิตที่เหมาะสม และอธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
2.ทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีด
• ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ หรือเบตาดีน เช็ดทำความสะอาดผิว
• ป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิวหนัง
3.ทายาชาหรือประคบน้ำแข็ง (ถ้าจำเป็น)
• โดยทั่วไปโบท็อกซ์จะไม่เจ็บมาก แต่ในบางกรณีแพทย์อาจใช้ยาชาแบบทาหรือประคบน้ำแข็งก่อนฉีด
• เพื่อลดความรู้สึกเจ็บหรือทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายใจขึ้น
4.ฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่กล้ามเนื้อ
• ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อเป้าหมายโดยตรงในปริมาณที่เหมาะสม
• แต่ละจุดจะใช้เวลาฉีดเพียงไม่กี่วินาที
• โดยทั่วไปใช้เวลาในการฉีดทั้งหมดประมาณ 10 - 20 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนจุด
5.ดูแลหลังฉีดเบื้องต้น
• แพทย์จะอธิบายวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด เช่น หลีกเลี่ยงการนอนราบ การจับ นวด หรือกดจุดที่ฉีด
• หากมีอาการบวมแดงหรือช้ำเล็กน้อย แนะนำให้ประคบเย็น
6.นัดติดตามผล (ถ้าจำเป็น)
• หากเป็นเคสแก้ไข ปรับแต่ง หรือฉีดครั้งแรก แพทย์อาจนัดมาตรวจผลลัพธ์หรือเติมจุดที่ยังไม่เท่ากัน
• การเห็นผลของโบท็อกซ์จะเริ่มตั้งแต่ 3 - 7 วัน และชัดเจนเต็มที่ประมาณ 14 วัน
ระยะเวลาทั้งหมด
• โดยทั่วไป ขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่พบแพทย์ถึงฉีดเสร็จใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาที
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อกซ์
หลังการฉีดโบท็อกซ์อาจเกิดอาการข้างเคียงได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวและไม่รุนแรง แต่ในบางกรณีอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่ควรเฝ้าระวัง โดยสามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
อาการข้างเคียงทั่วไป (พบได้บ่อยและมักหายได้เอง)
1.รอยเข็ม / บวมแดง / ช้ำ
• อาจเกิดขึ้นบริเวณจุดที่ฉีดโบท็อกซ์
• เกิดจากการที่เข็มกระทบหลอดเลือดฝอย
• ประคบเย็นภายใน 24 ชั่วโมงแรก และหลีกเลี่ยงการกดหรือนวด
2.ปวดบริเวณที่ฉีด / ตึงกล้ามเนื้อ
• รู้สึกเหมือนมีแรงดึงหรือเกร็งเบา ๆ โดยเฉพาะในช่วง 2 - 5 วันแรก
• มักเกิดจากการที่กล้ามเนื้อเริ่มตอบสนองต่อยา
3.ปวดศีรษะ
• บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยภายใน 1 - 3 วันหลังฉีด
• โดยเฉพาะเมื่อฉีดบริเวณหน้าผากหรือขมับ
4.อาการคล้ายเป็นหวัด
• เช่น คัดจมูก คอแห้ง น้ำมูกไหล
• เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะหายได้เองในไม่กี่วัน
อาการข้างเคียงเฉพาะจุด หรือที่พบได้น้อย (ควรสังเกตอย่างใกล้ชิด)
1.คิ้วหรือเปลือกตาตก
• เกิดจากโบท็อกซ์แพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการให้คลายตัว
• มักเกิดในช่วง 3 - 7 วันแรก และอาการจะดีขึ้นภายใน 2 - 4 สัปดาห์
2.รอยยิ้มผิดรูป / ยิ้มเบี้ยว
• มักเกิดจากการฉีดบริเวณกรามหรือมุมปาก แล้วโบท็อกซ์กระจายไปโดนกล้ามเนื้อรอบปาก
• อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อฤทธิ์ของโบท็อกซ์ลดลงในช่วง 1 - 3 เดือน
3.พูดไม่ชัด / กลืนลำบาก
• พบได้น้อยมาก และส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดปริมาณมากบริเวณลำคอ หรือคนไข้ที่มีโรคทางระบบประสาท
4.อาการแพ้
• เช่น มีผื่นแดง คัน หายใจลำบาก หรือหน้าบวม
• ควรรีบพบแพทย์ทันที หากเกิดอาการเหล่านี้
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบท็อกซ์
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์อย่างถูกต้อง มีผลต่อประสิทธิภาพของยาและความปลอดภัยของผลลัพธ์อย่างมาก โดยช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ดี ตรงจุด และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น ยาไหลผิดตำแหน่ง หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดจุด ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
1.หลังฉีดโบท็อกซ์งดนอนราบอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
• หลังฉีดควรนั่งหรือลุกเดินปกติ ห้ามนอนราบหรือก้มหน้า
• เพื่อป้องกันไม่ให้ยาไหลไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ
2.หลังฉีดโบท็อกซ์หลีกเลี่ยงการจับ กด นวด หรือถูบริเวณที่ฉีด
• อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก หลังฉีดโบท็อกซ์
• เพราะอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายผิดตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดภาวะคิ้วตก ยิ้มเบี้ยว หรือผลลัพธ์ไม่สมมาตร
3.หลังฉีดโบท็อกซ์งดออกกำลังกายหนัก / ซาวน่า / อบไอน้ำ / แช่น้ำร้อน
• ภายใน 24 - 48 ชั่วโมง หลังฉีดโบท็อกซ์
• เพราะเหงื่อ ความร้อน และการเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไป อาจเร่งการกระจายของยาและลดประสิทธิภาพของโบท็อกซ์
4.หลังฉีดโบท็อกซ์งดดื่มแอลกอฮอล์
• อย่างน้อย 24 ชั่วโมง หลังฉีดโบท็อกซ์
• เพราะแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อรอยช้ำหรือบวม
5.หลังฉีดโบท็อกซ์งดทำหัตถการบริเวณใบหน้า
• เช่น นวดหน้า RF HIFU เลเซอร์ โฟโน หรือคลื่นวิทยุทุกชนิด
• ควรงดอย่างน้อย 1 - 2 สัปดาห์ เพื่อไม่รบกวนตัวยาที่กำลังออกฤทธิ์
6.หลังฉีดโบท็อกซ์หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า (บริเวณที่ฉีด)
• ภายใน 4 - 6 ชั่วโมงแรก หลังฉีดโบท็อกซ์
• เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อหรือการกดทับจากแปรงแต่งหน้า
7.หลังฉีดโบท็อกซ์สังเกตอาการผิดปกติ
• หากมีอาการตาโตไม่เท่ากัน ยิ้มเบี้ยว กลืนลำบาก หรือหายใจลำบาก ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที
• อาการทั่วไป เช่น บวมเล็กน้อย ช้ำ หรือรู้สึกตึง ๆ มักหายไปเองใน 3 - 7 วัน
8.หลังฉีดโบท็อกซ์ปฏิบัติตามคำแนะนำและนัดติดตามผล
• แพทย์อาจนัดประเมินผลหลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์
• เพื่อดูผลลัพธ์โดยรวม และเติมยาเพิ่มเติมหากจำเป็น (กรณีที่ไม่เท่ากัน หรือยังไม่เห็นผลชัด)
ถ้าโบท็อกซ์สลายหมด จะทำให้หน้าแก่กว่าเดิมไหม
คำตอบคือ การฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ทำให้หน้าแก่กว่าเดิมเมื่อฤทธิ์ของยาเริ่มสลายไป อย่างไรก็ตาม มีบางประเด็นที่ควรรู้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลลัพธ์หลังโบท็อกซ์หมดฤทธิ์
• ความเคยชินกับผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์
หลังฉีดโบท็อกซ์ ใบหน้าจะตึง เรียบ และดูอ่อนเยาว์ เมื่อฤทธิ์ยาหมด กล้ามเนื้อกลับมาทำงานตามปกติ ริ้วรอยจึงกลับมาเหมือนเดิม หรืออาจเด่นชัดขึ้นในบางคน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าแย่ลง เมื่อเทียบกับสภาพหลังฉีด ไม่ใช่ว่าหน้าแก่กว่าเดิมจริง
• อายุที่มากขึ้นตามธรรมชาติ
หากฉีดโบท็อกซ์ต่อเนื่องมาหลายปี เมื่อหยุดฉีดอาจบังเอิญเป็นช่วงที่อายุเพิ่มขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกขึ้นตามธรรมชาติ จึงเหมือนกับว่าหน้าดูโทรมลง ซึ่งไม่ใช่ผลจากโบท็อกซ์โดยตรง
ฉีดสลายโบท็อกซ์
โดยทั่วไป โบท็อกซ์ไม่สามารถฉีดสลายได้โดยตรง เหมือนกับการฉีดสลายฟิลเลอร์ แต่มีแนวทางการจัดการเมื่อเกิดปัญหาหลังฉีดโบท็อกซ์ เช่น ยาเกิน, ยาเข้าผิดตำแหน่ง, หรือเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
ทำไมไม่สามารถฉีดสลายโบท็อกซ์ได้
• โบท็อกซ์ (Botulinum toxin) คือสารโปรตีนชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์ “ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ” โดยไม่มีเอนไซม์เฉพาะสำหรับยับยั้งหรือสลายเหมือนฟิลเลอร์
• เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ตัวยาจะจับกับปลายประสาทของกล้ามเนื้อ และต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟูปลายประสาทเอง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของโบท็อกซ์และร่างกายของแต่ละคน
แนวทางแก้ไขเมื่อเกิดผลข้างเคียงหรือผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์
1.รอให้โบท็อกซ์สลายเอง
• เป็นวิธีที่ปลอดภัยและธรรมชาติที่สุด
• ช่วง 2 - 4 สัปดาห์แรก อาการที่ไม่พึงประสงค์อาจยังเห็นชัด แต่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ
• แพทย์อาจให้คำแนะนำเรื่องการดูแล หรือยาบรรเทาอาการชั่วคราว
2.ทำเลเซอร์อ่อน ๆ หรืออัลตราซาวด์ (ในบางกรณี)
• เช่น HIFU หรือ RF ที่ เน้นพลังงานความร้อนระดับตื้น
• อาจช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตในบริเวณที่ฉีด ทำให้ตัวยาสลายไวขึ้นเล็กน้อย
• แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะการใช้ผิดเทคนิคอาจทำให้ผลแย่ลง
3.นวดกล้ามเนื้อบางตำแหน่ง (เฉพาะกรณี)
• เช่น กรณีที่ยาฉีดแล้วทำให้ยิ้มเบี้ยว หรือกล้ามเนื้อไม่สมดุล
• แพทย์อาจแนะนำการขยับหรือบริหารกล้ามเนื้อ เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวเร็วขึ้น
• ไม่ควรนวดเองโดยไม่มีคำแนะนำ
การขูดโบท็อกซ์
การขูดโบท็อกซ์ เป็นคำที่เริ่มถูกพูดถึงในวงการเสริมความงามในช่วงหลัง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้รับบริการฉีดโบท็อกซ์บางรายต้องการให้ฤทธิ์ของโบท็อกซ์สลายเร็วขึ้น เนื่องจากผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจ เช่น คิ้วตก ยิ้มเบี้ยว หรือฉีดเกินจนใบหน้าแข็งตึง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องการขูดโบท็อกซ์นั้น ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์รองรับ และมักเกิดจากความเข้าใจผิดหรือการนำเสนอทางการตลาดมากกว่า
• การขูดโบท็อกซ์ เป็นแนวคิดที่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยัน
• โบท็อกซ์ไม่สามารถขูดออกได้ เพราะอยู่ลึกในชั้นกล้ามเนื้อ
• การขูดผิวอาจทำให้ เกิดแผล อักเสบ หรือติดเชื้อ มากกว่าจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์สั้นลง
• ทางเลือกที่ปลอดภัยคือการรอเวลาให้โบท็อกซ์สลายตามธรรมชาติ หรือฉีดปรับแก้โดยแพทย์
ต้องรอให้โบท็อกซ์เดิมสลายหมดก่อนไหม ถึงจะฉีดเพิ่มได้
คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องรอให้โบท็อกซ์เดิมสลายหมดก่อนเสมอไป แต่การจะฉีดโบท็อกซ์เพิ่มหรือฉีดโบท็อกซ์เติม ต้องอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ เพื่อป้องกันปัญหายาเกินหรือกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ
กรณีที่สามารถฉีดโบท็อกซ์เพิ่มได้เลย
1.ฉีดโบท็อกซ์ครั้งแรกแล้วผลยังไม่เท่ากัน / ไม่สมดุล
• เช่น คิ้วยังไม่เท่ากัน รอยขมวดคิ้วยังเหลือฝั่งเดียว
• สามารถเติมแต่งได้ ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ หลังฉีดโบท็อกซ์
• โดยแพทย์จะประเมินจากผลลัพธ์ที่เริ่มคงที่
2.ปริมาณที่ฉีดครั้งแรกไม่เต็มโดส
• แพทย์อาจฉีดโบท็อกซ์ปริมาณต่ำก่อนเพื่อดูปฏิกิริยาในเคสใหม่ หรือคนที่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง
• หากเห็นว่าไม่พอ สามารถเติมเพิ่มในภายหลังได้อย่างปลอดภัย
กรณีที่ควรรอให้โบท็อกซ์สลายก่อน
1.กล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิน หรือหน้าแข็งตึง
• หากมีอาการยิ้มเบี้ยว คิ้วตก หรือหนังตาหนัก ต้องรอฤทธิ์ยาค่อย ๆ สลาย
• การฉีดโบท็อกซ์เพิ่มอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง
2.ไม่แน่ใจว่าอาการเกิดจากยาที่ออกฤทธิ์ช้า หรือฉีดผิดจุด
• โดยปกติโบท็อกซ์ใช้เวลา 3 - 14 วัน ถึงจะออกฤทธิ์เต็มที่
• หากฉีดโบท็อกซ์ซ้ำเร็วเกินไปโดยยังไม่รู้ผลเต็มที่ อาจทำให้ยาเกินและกล้ามเนื้อแข็งเกิน
หลังโบท็อกซ์สลายหมดแล้ว เปลี่ยนยี่ห้อที่ฉีดได้ไหม
คำตอบคือ การฉีดโบท็อกซ์สามารถเปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกซ์ได้ หลังจากโบท็อกซ์เดิมสลายหมดแล้ว โดยไม่เป็นอันตราย และไม่ส่งผลเสียใด ๆ ต่อผิวหรือกล้ามเนื้อ
เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกซ์
1.ฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อเดิมแล้วไม่เห็นผล
• อาจเกิดจากการดื้อยา หรือร่างกายตอบสนองน้อยลง
2.ต้องการผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์ที่ต่างออกไป
• เช่น ต้องการให้เห็นผลไวขึ้น อยู่ได้นานขึ้น หรือกระจายตัวแคบขึ้นในบางตำแหน่ง
3.ต้องการทดลองแบรนด์อื่นที่เหมาะสมกับงบประมาณ
• บางคนอาจเคยฉีด Allergan แล้วต้องการเปลี่ยนเป็น Nabota เพื่อประหยัดงบโดยยังได้ผลลัพธ์ดี
ข้อควรรู้เมื่อเปลี่ยนยี่ห้อฉีดโบท็อกซ์
• ควรเว้นระยะห่างจากการฉีดครั้งก่อนอย่างน้อย 3 - 6 เดือน หรือจนแน่ใจว่าโบท็อกซ์เดิมหมดฤทธิ์แล้ว
• ให้แพทย์ทราบว่ายี่ห้อเดิมที่เคยฉีดคืออะไร จำนวนเท่าใด และบริเวณไหน
• ไม่ควร “ผสมยี่ห้อ” ฉีดในครั้งเดียวกัน เพราะสูตรและโมเลกุลแตกต่างกัน อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอ
เลือกฉีดโบท็อกซ์ที่ไหนดี
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เป็นหัตถการที่ช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และเสริมความมั่นใจได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามคือ "การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และเชื่อถือได้" เพราะหากเลือกผิด อาจเสี่ยงต่อการฉีดตัวยาไม่ได้คุณภาพ กล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดตำแหน่ง หรือแม้แต่อาการแพ้รุนแรง
วิธีเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์ให้ปลอดภัย
1.แพทย์ต้องมีใบอนุญาต และประสบการณ์ฉีดโบท็อกซ์
• ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลแพทย์ผ่านเว็บไซต์แพทยสภา
• เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านผิวหนังหรือปรับรูปหน้า เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าได้แม่นยำ และฉีดในตำแหน่งที่ปลอดภัย
2.ใช้โบท็อกซ์แท้ 100% จากแหล่งที่เชื่อถือได้
• ต้องแสดงกล่องบรรจุ ขวดยา และ Lot number ให้ลูกค้าดูได้
• ยี่ห้อยอดนิยมที่ควรมี อย.ไทย เช่น Allergan (USA), Nabota (Korea), Aestox
3.มีใบอนุญาตเปิดคลินิกถูกต้องตามกฎหมาย
• ตรวจสอบเลขที่ใบอนุญาตคลินิก (ติดหน้าร้าน)
• สถานที่สะอาด ได้มาตรฐาน มีห้องฉีดปลอดเชื้อ และอุปกรณ์ครบครัน
4.ให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา
• แพทย์ควรประเมินใบหน้าอย่างละเอียด ไม่เร่งขายคอร์ส
• ให้ข้อมูลเรื่องผลลัพธ์ที่เหมาะสมตามโครงสร้างหน้า และเตือนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
5.มีรีวิวจริง และผู้ใช้บริการต่อเนื่อง
• รีวิวจากผู้ใช้บริการจริงที่ตรวจสอบได้ เช่น บน Google Maps, Facebook หรือ Instagram
• ไม่ใช้ภาพรีวิวฉีดโบท็อกซ์ปลอม หรือ Before-After ที่ไม่ตรงกับผลลัพธ์จริง
สำหรับผู้ที่สนใจฉีดโบท็อกซ์ รมย์รวินท์คลินิก (Romrawin Clinic) คือหนึ่งในคลินิกความงามที่ได้รับความไว้วางใจมายาวนาน ด้วยมาตรฐานที่ครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัย ผลลัพธ์ และบริการที่เป็นมืออาชีพ
• แพทย์เฉพาะทางผิวหนังและยกกระชับปรับรูปหน้า
• ใช้โบท็อกซ์แท้ 100% ที่ได้รับรองมาตรฐาน
• ตรวจสอบขวดยา กล่องยา และ Lot number ได้ก่อนฉีด
• คลินิกสะอาด ได้มาตรฐาน พร้อมอุปกรณ์ครบครัน
• ให้คำปรึกษาฟรี และประเมินโดยแพทย์จริงทุกเคส
ไม่ว่าจะต้องการลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า ปรับรูปหน้าเรียว หรือลดกราม รมย์รวินท์คลินิกสามารถตอบโจทย์ได้ครบ ด้วยบริการที่ใส่ใจและได้มาตรฐานในทุกขั้นตอน
ฉีดโบท็อกซ์ราคาเท่าไหร่ ทำไมแต่ละจุดราคาต่างกัน
การฉีดโบท็อกซ์มีราคาที่แตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีด ปริมาณยูนิตที่ใช้ ยี่ห้อของตัวยา และชื่อเสียงของคลินิก โดยทั่วไปราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่ 3,000-20,000 บาทต่อจุด
ทำไมราคาฉีดโบท็อกซ์แต่ละจุดถึงแตกต่างกัน
1.ฉีดโบท็อกซ์แต่ละจุดใช้ปริมาณยูนิตที่ไม่เท่ากัน
• จุดที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง เช่น กรามหรือรักแร้ ต้องใช้ปริมาณมากกว่า
• จุดเล็ก ๆ เช่น รอยย่นข้างจมูก คาง หรือยิ้มเห็นเหงือก ใช้จำนวนน้อยกว่า ราคาจึงต่างกัน
2.ยี่ห้อฉีดโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ฉีดในแต่ละจุด
• โบท็อกซ์นำเข้าจากสหรัฐฯ (เช่น Allergan) ราคาสูงกว่าประเทศอื่น เช่น เกาหลี (Nabota, Aestox)
• แบรนด์ที่มีโมเลกุลบริสุทธิ์สูงก็อาจมีราคาสูงขึ้น
3.ชื่อเสียงของคลินิกและประสบการณ์แพทย์
• คลินิกที่มีมาตรฐานสูง มีแพทย์ที่มีประสบการณ์ฉีดโบท็อกซ์ และการบริการที่ครอบคลุม ราคาจะสูงกว่า แต่ให้ความมั่นใจด้านมาตรฐานและผลลัพธ์
4.โปรโมชั่นและแพ็กเกจ
• บางคลินิกมีการจัดโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจฉีดโบท็อกซ์แบบเหมาจุดหรือแบบยูนิต รวมถึงออกใบรับรอง (Certificate) สำหรับโบท็อกซ์แท้ ทำให้ราคามีความหลากหลาย
รีวิว ฉีดโบท็อกซ์
รีวิว ฉีดโบท็อกซ์ ก่อนและหลัง จากผู้ใช้บริการจริงที่ Romrawin Clinic
Q&A ฉีดโบท็อกซ์
ฉีดโบท็อกซ์กี่วันเห็นผลหลังทำ
หลังฉีดโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นผลภายใน 3 - 7 วัน และเห็นผลชัดเจนที่สุดประมาณ 14 วัน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ ชนิดของโบท็อกซ์ การดูแลตัวเองหลังทำ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
ฉีดโบท็อกซ์อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 3 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีด ชนิดของโบท็อกซ์ที่ใช้ ปริมาณยูนิตที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังทำ
ฉีดโบท็อกซ์ควรทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
การฉีดโบท็อกซ์ไม่จำเป็นต้องทำบ่อยเกินไป และไม่มีจำนวนครั้งที่ตายตัวว่าควรทำทั้งหมดกี่ครั้ง เพราะขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการรักษา ปัญหาเฉพาะบุคคล และการตอบสนองของร่างกายต่อโบท็อกซ์ อย่างไรก็ตาม แพทย์จะแนะนำแนวทางการฉีดโบท็อกซ์ซ้ำตามรอบที่เหมาะสม เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
ฉีดโบท็อกซ์ควรทำบ่อยแค่ไหน
โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่างระหว่างการฉีดโบท็อกซ์แต่ละครั้งประมาณ 3 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด ดังนี้
บริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ |
ความถี่ฉีดโบท็อกซ์ที่แนะนำ |
ฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก / ระหว่างคิ้ว / หางตา |
ทุก 3 – 4 เดือน |
ฉีดโบท็อกซ์กราม (หน้าเรียว) |
ทุก 4 – 6 เดือน |
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ / ฝ่ามือ (ลดเหงื่อ) |
ทุก 5 – 6 เดือน |
ฉีดโบท็อกซ์คาง / จมูก / มุมปาก |
ทุก 3 – 4 เดือน |
สรุปเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์
สรุปว่า การฉีดโบท็อกซ์เป็นทางเลือกหัตถการความงามยอดนิยม ที่ช่วยลดริ้วรอย กระชับผิวหย่อนคล้อย ยกกระชับปรับรูปหน้า และช่วยด้านสุขภาพบางอย่างได้มีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
อย่างไรก็ตาม แม้โบท็อกซ์จะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ รวมถึงความเสี่ยงหากเลือกใช้บริการจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือได้ ดังนั้น ความรู้ ความเข้าใจ และการวางแผนก่อน-หลังการฉีดอย่างรอบคอบ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ควรเลือกฉีดกับแพทย์ ใช้โบท็อกซ์แท้ที่ได้รับการรับรอง และคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ