โปรแกรม PRP คืออะไร ข้อดีข้อเสีย กี่ครั้งเห็นผล อยู่ได้นานไหม
PRP
โปรแกรม PRP คืออะไร ช่วยอะไร กี่ครั้งเห็นผล อยู่ได้นานไหม
ปัญหาผิวที่หลายคนกังวล ไม่ว่าจะเป็นผิวหมองคล้ำ ความแห้งกร้าน รอยสิว หลุมสิว หรือริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เริ่มปรากฏตามวัย ล้วนเป็นสัญญาณว่าผิวกำลังเสื่อมสภาพและต้องการการฟื้นฟูจากภายใน แต่แค่การบำรุงด้วยครีมหรือเซรั่มอาจไม่เพียงพอ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาวิธีที่เห็นผลมากกว่า
หนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของตัวเองมาฟื้นฟูผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ เพราะสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้าดูโทรมให้กลับมาสดใส รวมถึงยังมีประโยชน์อีกมากมาย
แต่ก่อนตัดสินใจทำ PRP มีอะไรบ้างที่ควรรู้ ไม่ว่าจะเป็นหลักการทำงาน ช่วยเรื่องอะไรบ้าง กี่ครั้งถึงเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน เหมาะกับใคร รวมถึงข้อจำกัดและข้อควรระวัง เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและได้ผลลัพธ์ที่ดีบทความนี้จะพามาทำความเข้าใจถึง PRP เพื่อใครที่กำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวที่เห็นผลในระยะยาว
โปรแกรม PRP คืออะไร
PRP (Platelet Rich Plasma) คือ หัตถการที่นำส่วนหนึ่งของเลือดที่ผ่านกระบวนการปั่นแยกส่วนประกอบอื่น ๆ ออก ทำให้เหลือเพียงพลาสมาเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วยเกล็ดเลือด โปรตีน และเซลล์ต้นกำเนิดที่ช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อในร่างกาย โดยเกล็ดเลือดเหล่านี้มีสารที่เรียกว่า โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน รวมถึงซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย
PRP มักถูกใช้ในวงการแพทย์และความงาม เช่น
• ฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส กระชับรูขุมขน ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• รักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ข้อ และเส้นเอ็น โดยช่วยให้หายเร็วขึ้นและลดการอักเสบ
• ฉีดบริเวณหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมและแก้ปัญหาผมบางหรือผมร่วง
การทำ PRP เริ่มจากการเจาะเลือดของคนไข้ประมาณ 10-30 มิลลิลิตร แล้วนำไปปั่นในเครื่องปั่นเหวี่ยง (centrifuge) เพื่อแยกเกล็ดเลือดเข้มข้นออกมา จากนั้นส่วนนี้จะถูกฉีดกลับเข้าสู่บริเวณที่ต้องการรักษาหรือฟื้นฟู ซึ่งเป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงน้อยเพราะใช้เลือดของตัวเอง ไม่มีการต่อต้านหรือแพ้จากร่างกาย
หลักการทำงานของโปรแกรม PRP
หลักการทำงานของ PRP (Platelet Rich Plasma) คือการใช้พลาสมาเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งได้จากการนำเลือดของคนไข้มาปั่นแยกและแยกเอาเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูงกว่าปกติประมาณ 3-10 เท่าออกมา โดยเกล็ดเลือดใน PRP จะปล่อยสารสำคัญที่เรียกว่า Growth Factors และ Cytokines หลายชนิด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
สารเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ การสร้างคอลลาเจน การสร้างเส้นเลือดใหม่ และการลดการอักเสบ กระบวนการนี้ช่วยให้ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นฟูและดูมีสุขภาพดีขึ้น
โดยทั่วไป PRP จะถูกฉีดเข้าสู่บริเวณที่ต้องการฟื้นฟู เช่น ผิวหนังเพื่อให้เนียนกระจ่างใส หรือบริเวณข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อซ่อมแซมและลดอาการบาดเจ็บโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้เป็นวิธีที่ลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เพราะใช้เลือดตัวเอง ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกาย
โปรแกรม PRP ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) คือการใช้พลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของตัวเอง เพื่อช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมผิวในระดับเซลล์ จึงสามารถช่วยได้หลายด้าน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาผิวที่ต้องการการฟื้นฟู
1.PRP ช่วยฟื้นฟูผิวหมองคล้ำ ให้ผิวกระจ่างใส
Growth Factors จากเกล็ดเลือดช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น ฉ่ำใสขึ้น และดูสุขภาพดีอย่างดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนผิวหมอง คล้ำเสียจากแดดหรือพักผ่อนน้อย
2.PRP ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และเสริมความตึงกระชับ
PRP กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ริ้วรอยเล็ก ๆ จางลง ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา หน้าผาก และร่องแก้ม
3.PRP ช่วยลดรอยสิว และช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
Growth Factors มีคุณสมบัติซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้หลุมสิวที่เป็นแบบตื้น-ปานกลางดีขึ้น พร้อมช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิวได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ ถ้าทำควบคู่กับ Microneedle หรือเลเซอร์ ผลลัพธ์จะยิ่งดีขึ้น
4.PRP ช่วยฟื้นฟูผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย ให้กลับมาแข็งแรง
เหมาะกับคนที่ผิวบาง อ่อนแอ แพ้ง่าย หรือผ่านการทำเลเซอร์มาหลายครั้ง PRP จะช่วยเติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดการอักเสบ และลดโอกาสแพ้ซ้ำ
5.PRP ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความฉ่ำฟูจากภายใน
ผิวจะดูอิ่มน้ำ เนียนละเอียด และดูฉ่ำวาวมากขึ้น เพราะ PRP กระตุ้นกระบวนการสร้างผิวใหม่และเพิ่มความยืดหยุ่นในชั้นผิว
6.PRP ช่วยลดรอยแดง รอยแผล รอยดำ ให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
การซ่อมแซมเนื้อเยื่อด้วย PRP จะช่วยให้รอยต่าง ๆ จางเร็วขึ้น โดยเฉพาะรอยสิว รอยแผลเล็ก ๆ และผิวไม่เรียบเนียน
7.PRP ช่วยบรรเทาผิวอักเสบและเร่งการสมานแผล
เกล็ดเลือดเข้มข้นใน PRP มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงช่วยลดการระคายเคือง ลดผิวแดง และทำให้แผลหายไวขึ้น
8.PRP ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง PRP สามารถกระตุ้นรากผมให้กลับมาแข็งแรง เพิ่มการงอกของเส้นผมใหม่ และลดการร่วงได้ดี
โปรแกรม PRP เหมาะกับใคร
PRP (Platelet-Rich Plasma) ถือเป็นหัตถการฟื้นฟูผิวที่ใช้เลือดของตัวเองในการสกัดเกล็ดเลือดเข้มข้น จึงเหมาะกับคนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวที่ไม่ต้องการใช้สารสังเคราะห์ โดยกลุ่มคนที่เหมาะกับการทำ PRP ได้แก่
1.PRP เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ
ผู้ที่ต้องการให้ผิวดีขึ้นแบบไม่ต้องฉีดสารเติมเต็มหรือสารสังเคราะห์ PRP ใช้เลือดของตัวเอง ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการแพ้ได้มาก
2.PRP เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส
PRP ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้า เหมาะกับคนที่ผิวหมองจากแดด พักผ่อนน้อย หรือผิวโทรมจากมลภาวะ
3.PRP เหมาะกับคนที่มีปัญหาหลุมสิวหรือรอยสิว
เกล็ดเลือดเข้มข้นช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้หลุมสิวตื้นขึ้นและรอยดำจากสิวลดลง หากทำร่วมกับ Microneedle หรือเลเซอร์จะเห็นผลชัดเจนขึ้น
4.PRP เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เริ่มเห็นชัด
PRP ช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ เช่น บริเวณใต้ตา หางตา หน้าผาก ช่วยให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียนและอิ่มฟูขึ้น
5.PRP เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
เหมาะมากสำหรับผิวแห้งเป็นขุย ผิวที่ขาดความยืดหยุ่น เพราะ PRP ช่วยเติมความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวดูโกลว์และสุขภาพดี
6.PRP เหมาะกับคนที่ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย หรือผ่านหัตถการหนักมา
ผู้ที่ทำเลเซอร์บ่อย ใช้กรดผลไม้ หรือทรีตเมนต์ที่ระคายเคืองผิว PRP จะช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น เหมาะอย่างยิ่งกับผิวบอบบางแพ้ง่าย
7.PRP เหมาะกับผู้ที่ต้องการเร่งฟื้นฟูหลังทำเลเซอร์/ทรีตเมนต์
หลังทำเลเซอร์บางชนิดผิวอาจแดง บาง หรือระคายเคืองง่าย PRP ช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
8.PRP เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง (กรณี PRP ผม)
PRP สามารถกระตุ้นรากผมและเร่งการงอกของเส้นผม เหมาะกับคนที่มีอาการผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ความเครียด หรือฮอร์โมน
9.PRP เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวเนียนละเอียด กระชับ อิ่มฟู
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยให้ผิวเนียนละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะคนวัย 25-45 ปีที่เริ่มสูญเสียคอลลาเจนตามธรรมชาติ
โปรแกรม PRP กี่ครั้งถึงเห็นผล
โดยทั่วไป การทำ PRP มักต้องทำอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไปถึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจน โดยแต่ละครั้งจะเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ซึ่งผลลัพธ์จะไม่เห็นทันทีในครั้งเดียว แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามกระบวนการซ่อมแซมและการสร้างเซลล์ใหม่ของเนื้อเยื่อ
ตัวอย่างเช่น สำหรับการฉีด PRP บริเวณหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม จะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีด 2-3 ครั้งขึ้นไปและควรฉีดต่อเนื่องเดือนละครั้งในช่วงแรก จากนั้นสามารถเว้นระยะนานขึ้นเพื่อรักษาผลลัพธ์
ส่วนการฟื้นฟูผิวหน้าหรือการรักษาอื่น ๆ ก็แนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้งเหมือนกัน จากนั้นอาจนัดฉีดซ้ำเป็นระยะเพื่อคงผลลัพธ์ โดยถ้าต้องการผลลัพธ์ยาวนาน อาจต้องทำซ้ำทุก 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาและความรุนแรงของแต่ละบุคคล
โปรแกรม PRP อยู่ได้นานแค่ไหน
PRP อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน หลังจากฉีด จะช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การสร้างเซลล์ใหม่ และการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่ฉีด ผลลัพธ์นี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ฉีด PRP อย่างน้อย 3 ครั้ง ห่างกันเดือนละครั้งในช่วงแรก เพื่อให้เห็นผลชัดเจน หลังจากนั้นถ้าต้องการรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน อาจต้องฉีดซ้ำทุก 6-12 เดือน นอกจากนี้ผลลัพธ์จะดีและอยู่ได้นานขึ้นหากดูแลสุขภาพโดยรวมอย่างดีและไม่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อภูมิคุ้มกัน
ข้อดี-ข้อจำกัดของโปรแกรม PRP
ข้อดีของ PRP
• ใช้เลือดตัวเองในการรักษา จึงมีความเสี่ยงน้อย โอกาสแพ้หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำ
• กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยธรรมชาติด้วยสาร Growth Factors ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจน สร้างเซลล์ใหม่ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย
• ใช้รักษาได้หลายสภาพปัญหา เช่น ฟื้นฟูผิวหน้า ลดริ้วรอย รอยแผลเป็น สิว ฝ้า รอยดำ รวมถึงลดผมบางผมร่วง
• ลดการใช้ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบแบบสเตียรอยด์ที่อาจมีผลข้างเคียง
• สามารถทำซ้ำได้หลายครั้งโดยไม่เสี่ยงต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อจำกัดของ PRP
• ผลการรักษาอาจไม่เหมือนกันในแต่ละบุคคล ขึ้นกับสภาพร่างกาย อายุ และความรุนแรงของปัญหา
• ต้องทำซ้ำในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อคงผลลัพธ์ และผลลัพธ์อาจไม่ถาวร
• ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเลือดบางชนิด หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
• บางครั้งอาจมีความเจ็บเล็กน้อยหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด
โปรแกรม PRP เจ็บไหม อันตรายไหม
การฉีด PRP อาจมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด ซึ่งมักเป็นความเจ็บที่ทนได้และมักมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ก่อนฉีดเพื่อลดความเจ็บ อาจมีอาการปวดตึง บวม แดง หรือฟกช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดภายใน 1-2 วันหลังทำ ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง และโดยทั่วไปการฉีด PRP ถือว่าไม่เป็นอันตราย เพราะใช้เลือดของตัวเอง ลดความเสี่ยงแพ้หรือผลข้างเคียงรุนแรงได้
อย่างไรก็ตาม หลังฉีดควรหลีกเลี่ยงการใช้งานหนักบริเวณที่ทำการรักษาในช่วงแรก และหากมีอาการปวดมากสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม NSAIDs เพราะอาจลดประสิทธิภาพของการรักษาได้ นอกจากนี้ การฉีด PRP อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเลือดผิดปกติหรือโรคภูมิคุ้มกันบางชนิด
โดยสรุป PRP อาจเจ็บเล็กน้อยและมีผลข้างเคียงเล็กน้อยที่หายได้เอง แต่โดยรวมถือว่าไม่เป็นอันตราย เมื่อทำโดยแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
โปรแกรม PRP มีผลข้างเคียงไหม
การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) ถือว่าเป็นหัตถการที่ค่อนข้างไม่เป็นอันตราย เพราะใช้เลือดของผู้เข้ารับบริการเอง แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้จากขั้นตอนการเจาะเลือดและการฉีดเข้าสู่ผิว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวและหายได้เอง ซึ่งสรุปผลข้างเคียงทั้งหมดที่ควรรู้ดังนี้
1.รอยแดงบนผิวบริเวณที่ฉีด
หลังฉีดอาจมีความแดงเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือใต้ตา อาการนี้มักหายเองภายใน 24-48 ชั่วโมง
2.บวมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด
การฉีด PRP จะทำให้เกิดการบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของผิว มักหายภายใน 2-3 วัน
3.อาการช้ำจากรอยเข็ม
เพราะเป็นการฉีดหลายจุด จึงมีโอกาสเกิดรอยช้ำตามตำแหน่งที่ฉีด โดยเฉพาะผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยมากหรือผิวบาง มักหายภายใน 3-7 วัน
4.ความรู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อยหลังทำ
บางคนอาจรู้สึกตึงผิวหรือเจ็บเล็กน้อย มักเกิดใน 1-2 วันแรก และค่อย ๆ ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องรักษาเพิ่มเติม
5.อาการคัน หรือระคายเคืองบริเวณที่ฉีด
เป็นผลจากการอักเสบระดับเบา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟู อาการคันมักจะหายภายในไม่กี่วัน
6.ผิวแห้งลอกเล็กน้อย
หลังทำ 2-3 วัน บางคนอาจมีผิวแห้งหรือมีสะเก็ดลอก เกิดจากการกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ ควรเพิ่มการบำรุงผิวและใช้มอยส์เจอไรเซอร์
7.ปวดศีรษะเล็กน้อย (กรณีฉีดบริเวณหนังศีรษะ)
ในกรณีทำ PRP ผม อาจมีอาการปวดตึงที่หนังศีรษะ อาการจะดีขึ้นภายใน 1-3 วัน
8.การติดเชื้อ
พบได้น้อยมาก หากทำโดยแพทย์ ใช้เข็มและอุปกรณ์ปลอดเชื้อ แต่หากมีอาการ เช่น บวมแดงมาก เจ็บร้อน อุณหภูมิผิวสูงขึ้น ควรพบแพทย์ทันที
9.ก้อนนูนหรือผิวไม่เรียบ
เกิดจากการกระจายของ PRP ยังไม่สม่ำเสมอ มักจะเรียบลงเองภายในไม่กี่วัน หากนานกว่านั้นควรพบแพทย์
10.อาการแพ้ (พบได้น้อยมากมาก)
เพราะ PRP ใช้เลือดของตัวเอง โอกาสแพ้น้อยมาก แต่หากมีอาการบวมแดงแบบผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที
โปรแกรม PRP ไม่เหมาะกับใคร
แม้ว่า PRP (Platelet-Rich Plasma) จะเป็นหัตถการที่ความเสี่ยงน้อย เพราะใช้เลือดของตัวเองในการฟื้นฟูผิว แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่ไม่ควรทำ หรือควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อน เนื่องจากอาจเกิดความเสี่ยงหรือผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าที่ควร
1.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือโรคเกี่ยวกับเกล็ดเลือด
เพราะ PRP ต้องอาศัยเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์และเข้มข้นเพื่อช่วยซ่อมแซมผิว หากเกล็ดเลือดต่ำเกินไป ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ดี และอาจเกิดรอยฟกช้ำง่ายกว่าปกติ
2.PRP ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคโลหิตจางรุนแรง
หากมีภาวะโลหิตจางมาก การเจาะเลือดอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และได้ PRP ที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ ควรรักษาภาวะโลหิตจางให้ดีขึ้นก่อน
3.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
แม้ PRP จะถือว่าไม่เป็นอันตราย แต่โดยมาตรฐานทางการแพทย์ ไม่แนะนำให้ทำหัตถการที่มีการฉีดใด ๆ ในช่วงนี้ เพื่อความปลอดภัยของแม่และทารก
4.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเรื้อรังบางชนิด
เช่น โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด โรคตับรุนแรง โรคมะเร็งบางชนิด ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ควรให้แพทย์ประเมินก่อนทุกครั้ง
5.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
เช่น Aspirin, Warfarin หรือยากลุ่ม Anticoagulants เพราะจะทำให้เลือดออกง่าย ช้ำง่าย และเสี่ยงต่อการฟกช้ำหลังทำ PRP
6.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้าในขณะนั้น
หากมีสิวอักเสบจำนวนมาก ผื่นติดเชื้อ แผลอักเสบ เชื้อรา ควรรักษาให้หายก่อน เพื่อป้องกันการกระจายเชื้อและลดความเสี่ยงการอักเสบ
7.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังป่วย หรือมีไข้
ร่างกายอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจทำให้ผลลัพธ์การฟื้นฟูไม่ดี และการเจาะเลือดอาจทำให้ยิ่งเพลียขึ้น
8.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่กลัวการเจาะเลือดหรือไม่ชอบหัตถการแบบฉีด
เพราะ PRP ต้องเจาะเลือดและฉีดหลายจุด ถ้าผู้รับบริการมีความกังวลมาก อาจไม่ใช่หัตถการที่เหมาะที่สุด
9.PRP ไม่เหมาะกับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ
PRP ให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีหรือเกินจริง
การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม PRP
การเตรียมตัวก่อนทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การปั่นแยกเกล็ดเลือดมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงของอาการบวม ช้ำ หรือระคายเคืองหลังทำ การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้ได้ PRP ที่มีคุณภาพสูงและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น
1.ก่อนทำ PRP ควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 1-2 วันก่อนทำ
การดื่มน้ำมากพอช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ปั่นแยกเกล็ดเลือดได้มีคุณภาพมากขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร ก่อนเข้ารับบริการ
2.ก่อนทำ PRP หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
แอลกอฮอล์ทำให้เลือดบางลงและอาจทำให้ได้ PRP คุณภาพไม่ดี รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟกช้ำหลังทำ
3.ก่อนทำ PRP งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
การสูบบุหรี่ทำให้การไหลเวียนเลือดแย่ลง ส่งผลต่อคุณภาพ Growth Factors และชะลอการฟื้นฟูผิว
4.ก่อนทำ PRP หยุดยาบางชนิดที่ทำให้เลือดออกง่าย
เช่น ยา Aspirin ยากลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด วิตามิน E น้ำมันปลา ควรหยุดก่อนทำประมาณ 3-7 วัน แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
5.ก่อนทำ PRP หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์แรง ๆ ก่อนทำ
ควรงดหัตถการที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง เช่น เลเซอร์ที่ใช้ความร้อน การทำ Microneedle และ AHA/BHA เข้มข้น อย่างน้อย 3-7 วัน เพื่อไม่ให้ผิวอักเสบก่อนทำ
6.ก่อนทำ PRP ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนที่ดีช่วยให้เลือดมีคุณภาพและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนวันทำ
7.ก่อนทำ PRP หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
ควรงดออกกำลังกายหนักก่อนทำ PRP เพราะอาจทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า และอาจทำให้เส้นเลือดแตกง่ายขึ้นขณะฉีด
8.ก่อนทำ PRP ควรเตรียมผิวหน้าให้สะอาด
ไม่ต้องแต่งหน้า รองพื้น หรือครีมกันแดดหนา ๆ ในวันที่เข้ารับบริการ เพื่อให้แพทย์ทำความสะอาดและเริ่มหัตถการได้ง่ายและลดความเสี่ยง
9.ก่อนทำ PRP แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ
รวมถึงยาที่รับประทานประจำ ประวัติโรคประจำตัว อาการแพ้ การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมก่อนทำ
การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม PRP
หลังทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) การดูแลผิวอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็ว ลดอาการระคายเคือง และทำให้ Growth Factors ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้จะชัดเจนและยาวนานขึ้น หากดูแลตามคำแนะนำต่อไปนี้
1.หลังทำ PRP หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าและการเกา
หลังทำอาจมีความรู้สึกตึง แดง หรือคันเล็กน้อย ควรหลีกเลี่ยงการจับหน้า เกา หรือบีบผิวบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคืองและลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
2.หลังทำ PRP งดล้างหน้า 6-8 ชั่วโมงแรก
เพื่อให้ PRP ซึมเข้าสู่ผิวได้เต็มที่ ควรงดล้างหน้า 6-8 ชั่วโมงแรกหลังทำ จากนั้นสามารถล้างหน้าอย่างอ่อนโยน ด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำอุณหภูมิปกติ
3.หลังทำ PRP ใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยนเท่านั้น
หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมต่อไปนี้ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
• กรดผลไม้ (AHA / BHA / Retinol)
• วิตามินซีความเข้มข้นสูง
• น้ำหอม / แอลกอฮอล์
ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยลดการอักเสบ เช่น
• มอยส์เจอไรเซอร์อ่อนโยน
• สเปรย์น้ำแร่
• เจลว่านหางจระเข้ (ชนิดที่ปราศจากน้ำหอม)
4.หลังทำ PRP งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
เพื่อป้องกันการอุดตันและการระคายเคือง เมื่อเริ่มแต่งหน้าได้ ควรเลือกเครื่องสำอางเนื้อบางเบาและล้างหน้าให้สะอาดเสมอ
5.หลังทำ PRP หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด
ไม่ควรตากแดดจัดอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง เมื่อออกแดดควรทาครีมกันแดด SPF 50+ และใส่หมวกหรือกางร่ม เพื่อป้องกันรอยดำและการอักเสบหลังทำ
6.หลังทำ PRP งดออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมงแรก
เพราะเหงื่อและความร้อนสูงจะทำให้ผิวระคายเคือง บวม หรือแดงมากขึ้น แต่สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้หลังทำ 1-2 วัน
7.หลังทำ PRP งดซาวน่า อบไอน้ำ หรืออาบน้ำอุ่นจัด
หลีกเลี่ยงซาวน่า อบไอน้ำ หรืออาบน้ำอุ่นจัด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพราะความร้อนทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น อาจทำให้บวมช้ำหนักขึ้น
8.หลังทำ PRP ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูผิว
การดื่มน้ำช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและทำให้ Growth Factors ทำงานได้ดีขึ้น ควรดื่ม 1.5-2 ลิตรต่อวันในช่วง 2-3 วันแรก และควรดื่มน้ำต่อวันให้เพียงพอต่อร่างกาย
9.หลังทำ PRP หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หรือหัตถการแรง ๆ หลังทำ
ควรงดเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ที่มีการผลัดผิวอย่างแรง 5-7 วัน หากต้องการทำควรให้แพทย์ประเมินก่อนทุกครั้ง
10.หลังทำ PRP หากมีรอยแดงหรือช้ำ สามารถประคบเย็นได้
ประคบเย็นเบา ๆ 10-15 นาที เพื่อลดบวมและลดอาการช้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกดหรือถูแรง
11.หลังทำ PRP ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ ควรหลีกเลี่ยงดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะแอลกอฮอล์และบุหรี่อาจทำให้เกิดรอยช้ำง่ายขึ้นและฟื้นฟูช้า
โปรแกรม PRP ทำร่วมกับหัตถการอะไรได้บ้าง
PRP (Platelet Rich Plasma) เป็นเทคนิคที่ใช้เลือดของตัวเองผ่านกระบวนการปั่นแยกเพื่อแยกเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วย Growth Factors ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่ออย่างล้ำลึก เทคนิคนี้สามารถนำมาร่วมกับหัตถการความงามหลากหลาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเห็นผลดีขึ้น ในด้านความงาม PRP นิยมใช้ร่วมกับหัตถการต่าง ๆ ดังนี้
• การทำเลเซอร์ผิว เช่น Fractional Laser, IPL และ Gold Derma Laser เพื่อรักษาริ้วรอย หลุมสิว และจุดด่างดำ โดย PRP จะช่วยเร่งกระบวนการสมานผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจน และลดการอักเสบหลังทำเลเซอร์ ทำให้ผิวฟื้นฟูเร็วและมีสุขภาพดีขึ้น
• การทำ Microneedling ซึ่งคือการใช้เข็มเล็กๆ ทิ่มผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เมื่อผสมผสานกับ PRP จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการซ่อมแซมและเสริมการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
• การทำ Subcision (ตัดพังผืดใต้หลุมสิว) โดย PRP จะช่วยเติม Growth Factors ให้เนื้อเยื่อสามารถฟื้นฟูรวดเร็วและสมบูรณ์ขึ้น ทำให้ผลลัพธ์มีความยาวนานและหลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
• การฉีดสารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ ร่วมกับ PRP เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและกระชับผิว มีผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ผิวดีขึ้นและมีความอ่อนเยาว์มากขึ้น
• การฉีดสเต็มเซลล์ ร่วมกับการบำรุงผิวด้วย PRP เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ช่วยทั้งการกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดและการฟื้นฟูเนื้อเยื่ออย่างล้ำลึก
ด้วยการผสมผสานเทคนิคเหล่านี้ PRP จึงกลายเป็นหัตถการที่ช่วยให้ผิวพรรณและเนื้อเยื่อได้รับการฟื้นฟูในแบบองค์รวม นอกจากนี้ยังสามารถลดระยะเวลาการฟื้นตัวและผลข้างเคียงได้ เพราะเป็นการรักษาที่ใช้องค์ประกอบจากร่างกายตัวเอง โดยแพทย์จะประเมินและออกแบบแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคลอย่างละเอียด
สรุป โปรแกรม PRP ดีไหม
สรุป PRP คือหนึ่งในหัตถการฟื้นฟูผิวที่ตอบโจทย์ทั้งความเสี่ยงน้อยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เพราะใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของตัวเอง มาช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมผิวอย่างลึกถึงระดับเซลล์ จึงช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ รอยสิว หลุมสิว ริ้วรอยเล็ก ๆ ไปจนถึงผมบางผมร่วง ปัจจุบัน PRP จึงถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ก่อนตัดสินใจทำ PRP สิ่งสำคัญคือ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เข็มหรืออุปกรณ์สะอาดปลอดเชื้อ และมีแพทย์เป็นผู้ดูแลให้คำปรึกษา เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ