บทความเกี่ยวกับ : เลเซอร์นอนกรน , รักษานอนกรน , รักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
เลเซอร์นอนกรน แก้กรนได้แบบไม่ต้องผ่าตัด
นอนกรน สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเลเซอร์นอนกรน ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องพกอุปกรณ์เพื่อลดเสียงกรนเวลาต้องเปลี่ยนที่นอน ช่วยให้นอนได้เต็มอิ่มยิ่งขึ้น
ปัญหาการนอนกรนสามารถแก้ได้แบบไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเทคโนโลยี เลเซอร์นอนกรน
การแก้นอนกรนด้วยการเลเซอร์นอนกรนนั้น นับว่าเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยมากที่สุดในการรักษานอนกรนแบบไม่ผ่าตัด เพราะใช้เวลาประมาณแค่ 30 นาที/ครั้ง เท่านั้นในการรักษา
สารบัญ เลเซอร์นอนกรน แก้ปัญหาการนอนกรน
• นอนกรนคืออะไร ผลข้างเคียงของการนอนกรนคืออะไร
• เลเซอร์นอนกรนคืออะไร ทำไมจึงสามารถรักษานอนกรนได้
• กระบวนการทำงานของเลเซอร์นอนกรน
• ข้อดีของการรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน
• ข้อควรระวังในการใช้เลเซอร์นอนกรน
• ใครเหมาะกับการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
• การเตรียมตัวก่อนการเข้ารับบริการด้วยเลเซอร์นอนกรน
• ขั้นตอนการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
• ความรู้สึกระหว่างทำเลเซอร์นอนกรนเจ็บไหม
• ผลลัพธ์หลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
• เลเซอร์นอนกรนควรทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
• หลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ควรดูแลตัวเองยังไง
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนปลอดภัยหรือไม่
• ควรเลือกเลเซอร์นอนกรนที่ไหนดี
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์นอนกรน
นอนกรนคืออะไร ผลข้างเคียงของการนอนกรนคืออะไร
ส่วนใหญ่แล้วคนที่รู้ตัวเองว่านอนกรนนั้นน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่คนที่รู้ว่าตัวเองนอนกรนนั้นเกิดจากที่คนที่นอนด้วยเป็นคนบอก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน สามี หรือภรรยา เพราว่าเจ้าตัวคนที่นอนกรนอยู่นั้นมักจะไม่ค่อยรู้ตัวเองถ้าไม่ได้ทำการตรวจการนอนหลับ ( Sleep test ) เพื่อวิเคราะห์การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายอย่างจริงจังระหว่างการนอนหลับ
นอนกรนคืออะไร ?
• การนอนกรนเกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนบน
• ขณะหลับสนิท กล้ามเนื้อในช่องปากจะผ่อนคลายและหย่อนตัวลง
• กล้ามเนื้อที่หย่อนลงทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
• เมื่อทางเดินหายใจแคบลง ลมไม่สามารถไหลไปยังหลอดลมและปอดได้สะดวก
• การที่ลมหายใจถูกขัดขวางทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
• ช่องทางหายใจที่ตีบแคบจนทำให้เกิดเสียงกรน
เช็คลิสต์ผู้ที่เสี่ยงนอนกรน
• มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
• นอนเยอะแต่ยังรู้สึกว่าง่วงอยู่
• รู้สึกอ่อนเพลียในตอนกลางวัน
• หงุดหงิดง่าย เหนื่อยล้าตอนกลางวัน
• สูบบุหรี่เป็นประจำ
• เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ผลข้างเคียงของการนอนกรน
• เสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์
เนื่องจากการนอนกรนจะลดประสิทธิภาพของการนอนหลับ เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ได้
• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
การกรนเป็นสัญญาณหนึ่งของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจทำให้หายใจหยุดชั่วขณะในระหว่างการนอนหลับ
• ความดันโลหิตสูง
การนอนกรนอาจส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
• โรคหัวใจ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เกิดจากการนอนกรนสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ
• โรคหลอดเลือดสมอง
การนอนกรนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจากการขาดออกซิเจนในขณะหลับ
• ภาวะการนอนหลับไม่สนิท
การนอนกรนอาจทำให้การนอนหลับไม่เต็มที่ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าหรือไม่มีพลังในตอนเช้า
• อาการปวดหัว
การนอนหลับไม่สนิทจากการกรนอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวในตอนเช้า
• ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
การนอนกรนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและโรคเบาหวาน
• ปัญหาความสัมพันธ์
เสียงกรนอาจทำให้เกิดปัญหาในการนอนร่วมกับคู่รักหรือผู้ที่นอนด้วยกัน
เลเซอร์นอนกรนคืออะไร ทำไมจึงสามารถรักษานอนกรนได้
เลเซอร์นอนกรน (Snore Laser) คือการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ในการรักษาหรือบรรเทาอาการกรน โดยการใช้แสงเลเซอร์ ในการกระตุ้นการหดตัวของเนื้อเยื่อ ภายในทางเดินหายใจส่วนบนบริเวณเพดานลิ้นไก่ ซึ่งตัวเลเซอร์นอนกรนจะลงสู่ผิวในชั้น mucosa เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้บริเวณดังกล่าวหดตัวขึ้น เพื่อเป็นการเปิดช่องให้อากาศผ่านได้สะดวกยิ่งขึ้น
ทำไมเลเซอร์นอนกรนถึงสามารถรักษาการนอนกรนได้ ?
1.เลเซอร์นอนกรนช่วยกระตุ้นการหดตัวของเนื้อเยื่อ
เลเซอร์นอนกรน เป็นตัวที่ทำให้เนื้อเยื่อในลำคอและเพดานปากหดตัวขึ้นและมีความตึงมากขึ้น ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือนที่เกิดจากการไหลของอากาศผ่านทางเดินหายใจ และช่วยลดหรือหยุดเสียงกรนได้
2.เลเซอร์นอนกรนช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
การใช้เลเซอร์นอนกรนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงขึ้นและไม่เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อมีการหายใจ ซึ่งช่วยลดอาการกรนที่เกิดจากการสั่นของเนื้อเยื่ออ่อนในลำคอ
3.การรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรนปลอดภัยและไม่เจ็บ
การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมักจะใช้เวลาฟื้นตัวน้อยกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่าวิธีการผ่าตัด เช่น การทำศัลยกรรมแก้ไขโครงสร้างทางเดินหายใจ
การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน (Snore Laser) มักจะต้องทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานมีแพทย์เฉพาะทางในการรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
กระบวนการทำงานของเลเซอร์นอนกรน
เลเซอร์นอนกรน (Snore Laser) เป็นวิธีที่ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ Non-Ablative เพื่อกระชับเนื้อเยื่อในช่องปากและลำคอ โดยเฉพาะในบริเวณเพดานอ่อน (Soft Palate) และโคนลิ้น (Tongue Base) ที่เป็นสาเหตุหลักของการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA) วิธีนี้ได้รับความนิยมในวงการแพทย์ เนื่องจากมีความปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน กระบวนการทำงานของเลเซอร์นอนกรน ( Snore Laser) มีเทคโนโลยีที่ใช้ดังนี้
หลักการทำงานของเลเซอร์นอนกรน
เทคโนโลยีที่ใช้ของโปรแกรมเลเซอร์นอนกรน
• เลเซอร์นอนกรน ใช้เครื่อง Fotona ในการรักษานอนกรนใช้พลังงานจาก Erbium:YAG (Er:YAG) ซึ่งมีความยาวคลื่น 2940 นาโนเมตร และ Nd:YAG (Neodymium:YAG) ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร
• พลังงานเลเซอร์นอนกรนถูกออกแบบให้ซึมผ่านเนื้อเยื่อโดยไม่ทำลายพื้นผิว (Non-Ablative) แต่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นเนื้อเยื่อ
ข้อดีของการรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน
การรักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากเลเซอร์นอนกรน สามารถช่วยลดปัญหาเสียงกรนได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น ซึ่งข้อดีของการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนมีอีกมากมายดังนี้
1.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive)
• กระบวนการรักษาไม่ต้องทำการผ่าตัดหรือเปิดแผล
• ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด
2.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนปลอดภัยและแม่นยำ
• เทคโนโลยีเลเซอร์นอนกรน Fotona NightLase ใช้พลังงานที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำ เพื่อกระชับเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง
• ลดการอักเสบหรือระคายเคืองเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
3.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ไม่ต้องพักฟื้น (No Downtime)
• หลังการรักษา ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
• ไม่มีความจำเป็นต้องหยุดงานหรืองดกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
4.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ได้ผลลัพธ์รวดเร็ว
• ผู้ป่วยมักจะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา
• ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังการรักษา 2-3 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์
5.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต
• ช่วยลดเสียงกรนและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของผู้ป่วยและคนที่นอนกับเราด้วย
• ลดความเสี่ยงจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea, OSA) ในระดับเบาถึงปานกลาง
6.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
• เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ในการรักษา OSA
7.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยหลายกลุ่ม
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนหรือ OSA ระดับเบาถึงปานกลาง
• ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงหากทำโดยผู้เชี่ยวชาญ
8.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ใช้เวลาไม่นาน
• การรักษาในแต่ละครั้งใช้เวลาเพียง 20-30 นาที
• ไม่ต้องเตรียมตัวหรือพักฟื้นนาน ทำให้สะดวกสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด
9.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ไม่มีผลข้างเคียงจากยาชาหรือยาสลบ
• กระบวนการส่วนใหญ่ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia) หรือไม่ต้องใช้ยาชาเลยในบางกรณี
• ลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาสลบ
10.การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ลดโอกาสเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
• เลเซอร์นอนกรน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความตึงตัวของเนื้อเยื่อ ลดการยุบตัวของทางเดินหายใจระหว่างนอนหลับ
• ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นที่เป็นสาเหตุของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ข้อควรระวังในการใช้เลเซอร์นอนกรน
การรักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังมีข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสมและปลอดภัยสูงสุด ข้อควรระวังมีดังนี้
ก่อนการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนควรมีการประเมินเบื้องต้น
• ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาการนอนกรนไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น โรคทางเดินหายใจส่วนบนที่รุนแรง หรือโครงสร้างที่ผิดปกติ
• ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง (Severe Obstructive Sleep Apnea, OSA) การใช้เลเซอร์นอนกรนเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยให้การนอนกรนหายไปได้ ควรใช้วิธีการรักษาอื่นร่วมด้วย
ความเชี่ยวชาญของผู้ทำการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
• ควรทำการรักษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนเฉพาะทางในการใช้เลเซอร์นอนกรน
• การตั้งค่าพลังงานเลเซอร์ผิดพลาดอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหายหรือเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
สภาพร่างกายของผู้เข้ารับการรักษา
• ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนเริ่มการรักษา
• สตรีมีครรภ์อาจต้องหลีกเลี่ยงการรักษา จนกว่าจะพ้นช่วงตั้งครรภ์
อาการข้างเคียงหลังได้รับการรักษา
• อาจเกิดอาการระคายเคืองหรือเจ็บบริเวณที่ได้รับการเลเซอร์นอนกรนไป แต่โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะหายไปในเวลาไม่กี่วัน
• หากมีอาการผิดปกติ เช่น อาการเจ็บปวดที่รุนแรงหรือการติดเชื้อ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที
ผลลัพธ์การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
• บางคนอาจเห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก แต่บางรายอาจต้องใช้เวลานานกว่า 2-3 ครั้งในการรักษา
หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ไม่มีมาตรฐาน
• การทำเลเซอร์นอนกรนในสถานที่ที่ไม่ได้รับการรับรอง หรือไม่มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยได้
การรักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อได้รับการประเมินและดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ และผู้เข้ารับบริการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเหมาะสม
ใครเหมาะกับการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
ผู้ที่เหมาะกับการรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน มีดังนี้
ผู้ที่มีอาการนอนกรนระดับเบาถึงปานกลาง
• ผู้ที่เสียงกรนเกิดจากการสั่นของเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อน (Soft Palate) หรือโคนลิ้น (Tongue Base)
• ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบรุนแรง (Severe Obstructive Sleep Apnea, OSA)
ผู้ที่กลัวการผ่าตัดหรือไม่อยากผ่าตัด
• เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงวิธีการรักษาที่รุกราน เช่น การผ่าตัดเพดานอ่อน (UPPP)
• ไม่ต้องการพักฟื้นนานหรือหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
ผู้ที่ไม่อยากใช้เครื่อง CPAP ในการรักษานอนกรน
• เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ได้
• ต้องการวิธีการรักษาที่ง่ายและสะดวกกว่า
ผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมดี
• ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือการติดเชื้อในช่องปาก
• ไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์
ผู้ที่มีปัญหาคุณภาพการนอนหลับลดลง
• ผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ เช่น ตื่นกลางดึกบ่อย หรือรู้สึกเหนื่อยล้าหลังตื่นนอน อันเนื่องมาจากเสียงกรน
• ต้องการปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวม
ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาได้
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน มักต้องทำ 2-3 ครั้ง และต้องมีการติดตามผล ดังนั้นผู้ที่สามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาและรักษาตาม นัดหมายได้จะได้รับผลลัพธ์ที่ดี
ผู้ที่ไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินหายใจ
• ผู้ที่ไม่มีความผิดปกติของโครงสร้าง เช่น กรามเล็ก หรือโครงสร้างจมูกที่แคบ ซึ่งอาจต้องการการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย
ผู้ที่ต้องการวิธีการรักษาที่สะดวกและรวดเร็ว
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดและไม่ต้องการการรักษาที่มีกระบวนการที่ซับซ้อนแลต้องพักฟื้น
การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนเหมาะกับผู้ที่มีอาการกรน เบาถึงปานกลาง และต้องการวิธีที่ปลอดภัย ไม่ชอบการผ่าตัด อีกทั้งต้องมีสุขภาพโดยรวมที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อประเมินความเหมาะสมของการรักษานอนกรน ด้วยเลเซอร์นอนกรน เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อเรามากที่สุด
การเตรียมตัวก่อนการเข้ารับบริการด้วยเลเซอร์นอนกรน
1.เตรียมผล Sleep Test
• นำผลการตรวจสุขภาพการนอนหลับ (Sleep Test) มาใช้ประกอบการประเมิน เพื่อวิเคราะห์ระดับความรุนแรงของอาการนอนกรนและวางแผนการรักษากับหมอเฉพาะทาง
2.แจ้งประวัติการใช้ยา
• หากมียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบล่วงหน้า เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
3.ดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ
• หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่น การสัมผัสผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ
• รักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนเข้ารับการรักษา
4.ระมัดระวังไม่ให้มีแผลในช่องปาก
• หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดแผลในปาก เช่น การรับประทานอาหารแข็งหรือรสจัด
• หากมีปัญหาหรือบาดแผล ควรรอจนกว่าแผลหายดีก่อนการรักษา
5.ปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม
• เข้าพบแพทย์เพื่อพูดคุยรายละเอียดการรักษาและเตรียมตัวตามคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล
การเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนอย่างถูกต้องจะช่วยให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ขั้นตอนการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
• แพทย์จะสอดหัวโพรบ (Probe) เข้าไปในช่องปากเพื่อล็อกตำแหน่งที่จะทำการเลเซอร์
• เลเซอร์นอนกรนจะถูกยิงไปยังบริเวณเพดานอ่อน (Soft Palate) , โคนลิ้น (Tongue Base) และกระพุ้งแก้มตามความเหมาะสมที่แพทย์ประเมิณ
• การทำหัตถการเลเซอร์นอนกรน ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที ต่อครั้ง
• ระหว่างการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน แพทย์อาจพักให้ผู้ป่วยกลั้วคอ เพื่อลดอาการคอแห้งจากการอ้าปากนาน
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ไม่ต้องฉีดยาชา หรือดมยาสลบ ทำให้สะดวกและปลอดภัย
• หลังทำหัตถการเลเซอร์นอนกรนเสร็จ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันที และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
ความรู้สึกระหว่างทำเลเซอร์นอนกรนเจ็บไหม
การรักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน เป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เนื่องจากการใช้เลเซอร์นอนกรนไม่มีการผ่าตัดหรือการใช้เข็มฉีดยา ความรู้สึกขณะทำเลเซอร์นอนกรน ที่อาจสัมผัสได้ระหว่างทำมีดังนี้
1.ความอุ่นเบา ๆ
• ระหว่างยิงเลเซอร์นอนกรน ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกถึงความอุ่นบริเวณเนื้อเยื่อในช่องปาก เช่น เพดานอ่อนหรือโคนลิ้น
• ความอุ่นนี้เป็นผลจากพลังงานเลเซอร์ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับเนื้อเยื่อ
2.ความรู้สึกแห้งในช่องปาก
• การอ้าปากค้างเป็นเวลานาน อาจทำให้รู้สึกคอแห้งเล็กน้อย
• แพทย์จะให้ผู้เข้ารับการรักษากลั้วคอหรือดื่มน้ำระหว่างพักเพื่อบรรเทาอาการนี้
3.ไม่มีความเจ็บปวด
• การใช้เลเซอร์นอนกรนไม่ต้องฉีดยาชาหรือดมยาสลบ จึงไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือระคายเคือง
• พลังงานเลเซอร์ถูกปรับให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อ
4.ความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย (ในบางกรณี)
• อาจรู้สึกถึงแรงกดหรือสัมผัสของหัวโพรบ (Probe) ที่สอดเข้าไปในช่องปาก
• อาการนี้มักไม่รุนแรงและสามารถทนได้
5.ความสบายหลังการรักษา
• เมื่อการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนเสร็จ ผู้เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที โดยไม่มีอาการเจ็บเลย
ผลลัพธ์หลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนถ้าทำตามแผนที่แพทย์วางไว้จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
1.ลดเสียงกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• เสียงกรนลดลงหรือเงียบสนิทในหลายกรณีหลังจากทำเลเซอร์นอนกรน
• ผลจากการกระชับเนื้อเยื่อในช่องปากและลำคอช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเสียงกรน
2.คุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น
• ผู้เข้ารับการรักษามักรู้สึกว่าหลังจากทำเลเซอร์นอนกรน รู้สึกหลับสบายและตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นกว่าเดิม
• ลดปัญหาการตื่นกลางดึกหรือการหยุดหายใจชั่วคราวในระหว่างนอนหลับ
3.เพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ช่วยลดความรำคาญให้คู่สมรสหรือคนรอบข้างที่นอนด้วยได้เป็นอย่างดี
• ส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในครอบครัวและความสัมพันธ์
4.ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน มีผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยเฉพาะหากผู้เข้ารับการรักษาดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
• ในบางกรณีอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน เพิ่มเติมเพื่อคงผลลัพธ์ให้ไม่กลับมานอนกรนอีก
5.ไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรง
• โดยทั่วไป ไม่มีการบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงรุนแรงหลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
• อาจมีความระคายเคืองเล็กน้อยในช่องปาก ซึ่งจะหายไปภายใน 1-2 วัน
6.ลดปัญหาสุขภาพอื่นที่เกี่ยวข้องกับการนอนกรน
• ช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
7.ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจนหลัง 1-3 ครั้ง
• การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน มักต้องทำ 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ
• ผู้เข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนบางรายเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษา
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
ผลลัพธ์หลังทำเลเซอร์นอนกรน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ, สุขภาพโดยรวม และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ผู้เข้ารับการรักษาควรติดตามผลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
เลเซอร์นอนกรนควรทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
การทำเลเซอร์นอนกรน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังจากทำเสร็จ ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้เข้ารับบริการด้วย ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เข้ารับการบริการรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน จะเห็นผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจหลังจากการเข้ารับบริการหลายครั้ง แต่จำนวนครั้งที่ต้องทำขึ้นอยู่กับอาการและปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย
• จำนวนครั้งที่เข้ารับบริการ
ปกติแล้วจะต้องรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์นอนกรน อย่างน้อย 3-5 ครั้ง โดยจะทำการรักษาในระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้เนื้อเยื่อในลำคอได้รับการกระตุ้นและฟื้นฟูอย่างได้เต็มที่
• ผลลัพธ์ที่เห็นหลังทำเลเซอร์นอนกรน
การทำเลเซอร์นอนกรน จะช่วยกระชับเนื้อเยื่อในลำคอ ลดการสั่นของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดเสียงกรน และช่วยเปิดทางเดินหายใจ ทำให้เสียงกรนเบาลงหรือหายไปเลยซึ่งผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
• ระยะเวลาในการเห็นผล
หลังจากการทำเลเซอร์นอนกรนแต่ละครั้ง ผู้ที่ทำมักจะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางประการ เช่น กรนเบาลง หรือไม่กรนเลยหลังจากการทำครั้งที่ 3 หรือครั้งที่ 4 แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะเห็นภายใน 1-2 เดือนหลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนครั้งสุดท้าย
การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนเป็นวิธีที่เป็นทางเลือกที่ง่ายและเจ็บตัวน้อยที่สุดในการรักษานอนกรน แต่ถ้าอาการกรนยังคงมีอยู่แม้หลังจากการทำเลเซอร์นอนกรนไปแล้ว อาจจำเป็นต้องพิจารณาวิธีการรักษาอื่นๆ ร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับการแนะนำของแพทย์
หลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน ควรดูแลตัวเองยังไง
หลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลการรักษาอยู่ได้นาน และช่วยให้การฟื้นฟูเร็วขึ้น นี่คือคำแนะนำในการดูแลตัวเอง หลังการรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรน
1.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
• แอลกอฮอล์และบุหรี่อาจทำให้เนื้อเยื่อในลำคออักเสบหรือระคายเคืองมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาล่าช้าหรือไม่ดีเท่าที่ควร
• แนะนำให้หลีกเลี่ยงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังการรักษา
2.ไม่ควรใช้เสียงมากเกินไปหลังการทำเลเซอร์นอนกรน
• ควรหลีกเลี่ยงการพูดเสียงดังหรือร้องเพลงหนักๆ ในช่วง 1-2 วันแรกหลังการเข้ารับบริการเลเซอร์นอนกรน เพื่อไม่ให้ลำคอเกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บ
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
• การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้เนื้อเยื่อในลำคอชุ่มชื้น และช่วยในการฟื้นฟูเร็วขึ้นหลังจากทำเลเซอร์นอนกรน
• ควรดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นปกติ โดยหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์
4.หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรือเผ็ด
• อาหารที่มีรสเผ็ด หรือรสจัดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในลำคอ ควรเลือกทานอาหารที่นุ่มและไม่เผ็ดร้อนในช่วง 2-3 วันแรกหลังจากทำเลเซอร์นอนกรน
5.การนอนหลับในท่าที่เหมาะสม
• พยายามนอนหงายแทนการนอนตะแคง เพราะการนอนตะแคงอาจทำให้แรงดันในลำคอมีผลต่อการรักษา
• ใช้หมอนที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้คอและลำคออยู่ในท่าที่สบายและไม่กดทับ
6.ไม่ควรทำการออกกำลังกายหนัก
• ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนเกินไปในช่วง 2-3 วันแรกหลังการรับบริการเลเซอร์นอนกรน เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองในลำคอ
7.หากมีอาการบวม หรือเจ็บคอ
• หากรู้สึกเจ็บปวดหรือบวมมากผิดปกติ อาจใช้ยาที่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการ หรือใช้การประคบเย็นที่คอเพื่อช่วยลดบวม
• หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติ ควรติดต่อแพทย์ทันที
การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
การรักษาด้วยเลเซอร์นอนกรนปลอดภัยหรือไม่
การรักษานอนกรนด้วยโปรแกรมเลเซอร์นอนกรน ด้วยนวัตกรรม Fotona ซึ่งได้รับการรับรองจากหลายหน่วยงานที่มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งช่วยยืนยันถึงความปลอดภัย และประสิทธิภาพของเครื่องมือดังกล่าว ในการรักษาการนอนกรน
1.FDA (Food and Drug Administration)
• Fotona ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียงในการตรวจสอบและอนุมัติผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเครื่องมือทางการแพทย์ทั่วโลก การรับรองจาก FDA ยืนยันว่าเครื่องเลเซอร์ Fotona ได้ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพสำหรับการรักษาการนอนกรน
• การรับรองจาก FDA เป็นการยืนยันว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีมาตรฐานและความปลอดภัยในการใช้งาน
2.CE Marking
• เครื่องเลเซอร์ Fotona ยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก CE Marking ซึ่งเป็นการรับรองความปลอดภัยและคุณภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสหภาพยุโรป
• การได้รับ CE Marking แสดงให้เห็นว่า Fotona สามารถใช้งานได้ตามมาตรฐานที่กำหนดในยุโรป
3.ISO Certification
• เครื่องเลเซอร์ Fotona ยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก ISO (International Organization for Standardization) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์
• การรับรอง ISO เป็นการยืนยันว่าเครื่องเลเซอร์ Fotona ได้ผ่านการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดและมีมาตรฐานในการผลิต
การรับรองเหล่านี้ทำให้เครื่องเลเซอร์นอนกรนด้วย Fotona เป็นที่ยอมรับในวงการการแพทย์ และมีความเชื่อถือในด้านความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการรักษาอาการกรน และการใช้ในคลินิกต่างๆ ทั่วโลก
ควรเลือกเลเซอร์นอนกรนที่ไหนดี
การเลือกสถานที่ สำหรับการรักษานอนกรน ด้วยเลเซอร์นอนกรนเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษานอนกรน
1.เลือกคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
• ควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษากรน โดยเฉพาะการใช้เลเซอร์นอนกรน หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ใช้ในการรักษากรน
2.ตรวจสอบการรับรองและมาตรฐาน
• เลือกสถานที่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่มีมาตรฐาน เช่น FDA, CE, ISO, ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ในความปลอดภัยและคุณภาพของการรักษา
• คลินิกที่มีการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยและมีคุณภาพ ซึ่งมีผลต่อผลลัพธ์ของการรักษา
3.มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
• เลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้เลเซอร์นอนกรน ในการรักษานอนกรน และมีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยมาก่อน
• การเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญจะช่วยให้ผลลัพธ์ของการรักษาดีขึ้นและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
4.ตรวจสอบเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้
• ควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่องเลเซอร์นอนกรนที่มีคุณภาพสูงและทันสมัย เช่น Fotona ซึ่งได้รับการรับรองจาก FDA และ CE Marking
• การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
5.ประเมินผลลัพธ์จากผู้เข้ารับการรักษาก่อนหน้านี้
• ขอข้อมูลจากคลินิกเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษาของผู้ทำเลเซอร์นอนกรนก่อนหน้า โดยอาจขอดูภาพก่อนและหลังการรักษาหรือฟังคำรีวิวจากผู้ที่ได้รับการรักษา
ทำไมต้องเลือกรับบริการเลเซอร์นอนกรนที่รมย์รวินท์คลินิก
ที่รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์เฉพาะทางในการให้คำปรึกษาเพื่อประเมิณอาการเบื้องต้นของผู้เข้ารับบริการ และวางแผนการรักษาให้เหมาะกับปัญหาของแต่ละบุคคล หลายคนที่เข้ารับบริการเลเซอร์นอนกรน ต่างได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ พร้อมแนะนำและบอกต่อ ด้วยการบริการที่พรีเมียม เครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย รมย์รวินท์คลินิกเลยเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการดูแลรักษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่างๆ ใครสนใจสามารถสอบถามและนัดปรึกษาได้เลย
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์นอนกรน
การรักษานอนกรนเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เพราะการนอนกรนอันตรายถึงชีวิต เราควรรักษาตั้งแต่เนิ่น ซึ่งวิธีการรักษาที่ง่าย สะดวกและปลอดภัยที่สุดขอยกให้เป็นการรักษาด้วย เลเซอร์นอนกรน ที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ผลข้างเคียงน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับวิธีการรักษานอนกรนด้วยวิธีอื่น อีกทั้งยังไม่ต้องพกอุปกรณ์อะไร เวลาที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนที่นอน และสิ่งสำคัญในการรักษาการนอนกรน ด้วยเลเซอร์นอนกรนนั้นคือ จะต้องเลือกรับบริการคลินิกที่ได้มาตรฐานรับรอง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและความปลอดภัยของสุขภาพในระยะยาว