romrawin

Sculpsure กับ Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

Sculpsure กับ Coolsculpting , Sculpsure

Sculpsure กับ Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร ข้อดี ข้อเสีย
หลายคนไม่ว่าจะเพศไหนต่างใส่ใจในรูปร่างของตัวเองกันมากขึ้น เพราะการมีรูปร่างดีช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นด้วย ปัจจุบันจึงมีเทคโนโลยีลดไขมันแบบไม่ต้องผ่าตัดได้รับความนิยมอย่างมาก หนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความสนใจคือ SculpSure และ CoolSculpting ซึ่งทั้งสองวิธีต่างเป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วนโดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองเทคโนโลยีจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่กระบวนการทำงาน กลไกการลดไขมัน รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้กลับมีความแตกต่างกัน

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจถึงข้อแตกต่างระหว่าง SculpSure และ CoolSculpting ในด้านของหลักการทำงาน ประสิทธิภาพ ระยะเวลาเห็นผล ข้อดี-ข้อเสีย และปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการเห็นผลลัพธ์มากที่สุด แต่ก่อนที่จะเปรียบเทียบระหว่าง SculpSure กับ CoolSculpting ว่าแตกต่างกันอย่างไร มารู้ข้อมูลของแต่ละเทคโนโลยีดังต่อไปนี้

Sculpsure คืออะไร
SculpSure คือเทคโนโลยีการสลายไขมันส่วนเกินด้วยเลเซอร์ความร้อน (Laser Lipolysis) ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) โดยใช้เลเซอร์ความเข้มข้นสูงในช่วงความยาวคลื่น 1060 นาโนเมตร เพื่อทำลายเซลล์ไขมันใต้ผิวหนังโดยไม่ต้องผ่าตัด

หลักการทำงานของ SculpSure
1.การปล่อยพลังงานเลเซอร์ของ SculpSure
เลเซอร์จะถูกปล่อยลงไปยังชั้นไขมันเป้าหมายที่อยู่ใต้ผิวหนัง
พลังงานความร้อนจะทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ทำให้ไขมันละลายและถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลืองตามธรรมชาติ

2.ระบบระบายความร้อน (Cooling System) ของ SculpSure
เครื่อง SculpSure มีระบบทำความเย็นเพื่อปกป้องผิวหนังชั้นบน ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป

3.การกำจัดไขมันออกจากร่างกายของ SculpSure
เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกขับออกตามกระบวนการเผาผลาญของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้เวลาประมาณ 6-12 สัปดาห์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

Sculpsure ช่วยอะไรบ้าง
SculpSure ช่วยในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดไขมันเฉพาะจุดและการปรับรูปร่าง โดย SculpSure มีประโยชน์ ดังนี้

1.SculpSure ช่วยลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด
• SculpSure เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมในบริเวณที่ลดได้ยาก เช่น
- หน้าท้อง
- เอวและปีกเอว
- ต้นขา
- สะโพก
- ต้นแขน
- ใต้คาง (เหนียง)
• SculpSure สามารถทำลายเซลล์ไขมันได้อย่างถาวร โดยเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

2.SculpSure ช่วยกระชับสัดส่วนและปรับรูปร่าง
• หลังการทำ SculpSure จะช่วยให้สัดส่วนดูเล็กลงและได้รูปร่างที่กระชับขึ้น เนื่องจากไขมันที่ถูกทำลายแล้วจะไม่กลับมาอีก
• SculpSure ทำให้รูปร่างดูสมส่วนขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจในรูปร่าง

3.SculpSure ช่วยลดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด
• SculpSure เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรมหรือกลัวความเสี่ยงจากการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
• หลังทำ SculpSure ไม่มีแผล ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น

4.SculpSure ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว
พลังงานเลเซอร์ของ SculpSure ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและดูสุขภาพดีขึ้นหลังการรักษา

5.SculpSure ช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง
หลังทำ SculpSure เมื่อสัดส่วนกระชับขึ้นและไขมันส่วนเกินลดลง จะช่วยให้บุคคลมีความมั่นใจในการแต่งตัวและภาพลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น

6.SculpSure ช่วยลดไขมันอย่างถาวร
เซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดออกไปแล้วจะไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามหลังทำ SculpSure ควรรักษาน้ำหนักให้คงที่ด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร

7.SculpSure ช่วยประหยัดเวลาในการลดไขมัน
แต่ละครั้งของการทำ SculpSure ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่าการลดไขมันด้วยการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว

8.SculpSure เหมาะกับทุกสภาพผิว
เทคโนโลยี SculpSure สามารถใช้ได้กับทุกโทนสีผิวและไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ

Sculpsure มีข้อดีอะไรบ้าง
• Sculpsure ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีระยะพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที
• Sculpsure ลดไขมันได้อย่างถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาอีก
• Sculpsure ใช้เวลารักษาสั้น ใช้เวลาต่อครั้งประมาณ 25 นาทีต่อบริเวณที่ทำการรักษา
• Sculpsure ลดไขมันเฉพาะจุดได้ดี เหมาะสำหรับบริเวณหน้าท้อง ต้นขา สะโพก ปีกเอว และบริเวณใต้คาง
• Sculpsure ไม่เจ็บปวดมาก รู้สึกอุ่นๆ และอาจมีความรู้สึกตึงบริเวณที่ทำ

Sculpsure เหมาะกับใคร
SculpSure เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดและปรับรูปร่างโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยกลุ่มคนที่เหมาะสม ได้แก่

1.SculpSure เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด
ผู้ที่มีไขมันสะสมในบริเวณที่กำจัดได้ยาก เช่น หน้าท้อง เอวและปีกเอว ต้นขา ต้นแขน ใต้คาง (เหนียง) หลังและสะโพก

2.SculpSure เหมาะกับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในช่วงปกติหรือน้ำหนักเกินเล็กน้อย
เหมาะสำหรับผู้ที่มี BMI ไม่เกิน 30 และต้องการปรับแต่งรูปร่างให้สมส่วนขึ้น ไม่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักแบบองค์รวม แต่ใช้เพื่อลดไขมันเฉพาะจุดเท่านั้น

3.SculpSure เหมาะกับผู้ที่ยังมีไขมันสะสมบางส่วน
SculpSure เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายและควบคุมอาหารอยู่แล้ว แต่ยังมีไขมันสะสมบางส่วน หรือ มีไขมันบางส่วนที่กำจัดออกได้ยากแม้ใช้วิธีอื่น

4.SculpSure เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือมีเวลาพักฟื้น
ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที

5.SculpSure เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและถาวร
ไขมันที่ถูกกำจัดออกด้วย SculpSure จะไม่กลับมาอีก ตราบใดที่ยังคงมีการดูแลสุขภาพที่ดี

Sculpsure ไม่เหมาะกับใคร
ถึงแม้ว่า SculpSure จะมีประสิทธิภาพสูงในการลดไขมันเฉพาะจุด แต่ก็มีข้อจำกัดและไม่เหมาะกับบางกลุ่มคน ดังนี้

• SculpSure ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินมากหรือโรคอ้วนขั้นรุนแรง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
• SculpSure ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แม้ว่า SculpSure จะไม่มีผลกระทบโดยตรง แต่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้เพื่อความปลอดภัย
• SculpSure ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประเภท เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำเหลือง หัวใจ โรคผิวหนัง หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
• SculpSure ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ความร้อน หรือมีโรคที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
• SculpSure ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก SculpSure ช่วยกำจัดไขมัน แต่ไม่ได้ช่วยกระชับผิวมากนัก ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากอาจต้องการวิธีการอื่นเพิ่มเติม เช่น การทำเลเซอร์ยกกระชับผิว

Sculpsure กี่วันเห็นผล
ผลลัพธ์จากการทำ SculpSure ไม่ได้เห็นผลทันที แต่ต้องใช้เวลาสักระยะในการให้ร่างกายขับเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกตามกระบวนการธรรมชาติ โดยระยะเวลาที่สามารถเริ่มเห็นผลได้มีรายละเอียดดังนี้

ระยะเวลาที่คาดหวังผลลัพธ์หลังทำ SculpSure
หลังทำ SculpSure เริ่มเห็นผลในช่วง 6 สัปดาห์แรก
• หลังจากการทำ SculpSure ร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายผ่านระบบน้ำเหลือง
• ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังทำ SculpSure อาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เช่น รูปร่างดูกระชับขึ้นเล็กน้อย

หลังทำ SculpSure เห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วง 8-12 สัปดาห์
• ประมาณ 8-12 สัปดาห์ หลังทำ SculpSure จะเริ่มเห็นการลดลงของไขมันอย่างชัดเจน
• หลังทำ SculpSure ในเวลานี้ร่างกายจะขจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไปเกือบทั้งหมด ทำให้สัดส่วนดูเล็กลงและกระชับขึ้น

หลังทำ SculpSure เห็นผลลัพธ์สูงสุดประมาณ 3 เดือนขึ้นไป
หลังทำ SculpSure ประมาณ 12 สัปดาห์ขึ้นไป จะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ โดยไขมันส่วนเกินในบริเวณที่รักษาจะลดลงประมาณ 24% ต่อการทำ 1 ครั้ง

SculpSure ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
โดยทั่วไปการลดไขมันด้วย SculpSure แนะนำให้ทำ 1-2 ครั้งต่อบริเวณ ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและเป้าหมายที่ต้องการ สามารถทำซ้ำในบริเวณเดิมได้ทุก 6 สัปดาห์ หากต้องการลดไขมันมากขึ้น

Sculpsure อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์จากการทำ SculpSure สามารถอยู่ได้นานถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจากการรักษาจะไม่สามารถกลับมาใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความยาวนานของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์หลังการทำหัตถการ

Sculpsure เจ็บไหมขณะทำ
โดยทั่วไป การทำ SculpSure ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดมาก แต่ผู้เข้ารับการรักษาอาจรู้สึก ไม่สบายตัว หรือมีความรู้สึกอุ่นร้อนในบริเวณที่ทำการรักษา เนื่องจากเลเซอร์ปล่อยพลังงานความร้อนเพื่อทำลายเซลล์ไขมัน อย่างไรก็ตาม เครื่อง SculpSure มี ระบบระบายความร้อน (Cooling System) ที่ช่วยปกป้องผิวหนังและทำให้ความรู้สึกสบายขึ้นระหว่างการรักษา

ความรู้สึกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำ SculpSure
1.ความร้อนหรืออุ่น ๆ ใต้ผิวหนัง – คล้ายกับความรู้สึกร้อนลึก ๆ แต่ไม่ถึงขั้นแสบร้อน
2.รู้สึกตึงหรือดึงรั้งที่ผิวหนัง – อาจมีความรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อถูกดึงเบา ๆ
3.รู้สึกชาหน่อย ๆ ในบริเวณที่ทำการรักษา – เกิดจากพลังงานเลเซอร์ที่ทำลายเซลล์ไขมัน

ระดับความรู้สึกไม่สบายตัวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่สามารถทนได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา และไม่จำเป็นต้องหยุดกิจกรรมประจำวันหลังทำ

Sculpsure อันตรายหรือไม่
SculpSure เป็นวิธีที่ปลอดภัย และได้รับการรับรองจาก FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ) ว่าเป็นวิธีการลดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัดที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและมีความเสี่ยงต่ำ

ข้อดีด้านความปลอดภัยของ SculpSure
• การทำ SculpSure ไม่ใช่การผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีเข็มฉีดยา ไม่มีความเสี่ยงจากการดมยาสลบ
• การทำ SculpSure ไม่มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง พลังงานเลเซอร์ส่งผลเฉพาะเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ
• การทำ SculpSure ไม่มีระยะเวลาพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
• การทำ SculpSure เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรอง ผ่านการทดลองทางคลินิกและได้รับการยอมรับจากแพทย์ด้านความงามทั่วโลก

วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Sculpsure
การดูแลตัวเองหลังทำ SculpSure มีความสำคัญต่อการช่วยให้ร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันออกไปอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด ต่อไปนี้เป็นแนวทางการดูแลตัวเองที่ควรปฏิบัติ

1.หลังทำ SculpSure ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับไขมันออกจากร่างกาย
• ควรดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร หลังทำ SculpSure เพื่อช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองในการกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลาย
• การดื่มน้ำอย่างเพียงพอหลังทำ SculpSure จะช่วยให้ร่างกายขจัดของเสียได้เร็วขึ้นและลดการเกิดอาการบวม

2.หลังทำ SculpSure ควรออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ
• การเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเดิน การทำคาร์ดิโอเบา ๆ หรือโยคะ หลังทำ SculpSure จะช่วยให้ร่างกายขับไขมันออกได้เร็วขึ้น
• หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก หลังทำ SculpSure เพื่อให้ร่างกายปรับตัว

3.หลังทำ SculpSure ควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาล
• หลังทำ SculpSure ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีนลีน และไขมันดี (เช่น อะโวคาโด ถั่ว ปลาแซลมอน)
• หลังทำ SculpSure หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารแปรรูป และน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันการสะสมของไขมันใหม่

4.หลังทำ SculpSure ควรนวดบริเวณที่ทำการรักษา
การนวดเบา ๆ ในบริเวณที่ทำ SculpSure วันละ 5-10 นาที สามารถช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง การนวดจะช่วยลดความรู้สึกตึงและเร่งการกำจัดไขมัน

5.หลังทำ SculpSure ควรหลีกเลี่ยงความร้อนจัดใน 24 ชั่วโมงแรก
• หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด ซาวน่า หรือการโดนแสงแดดเป็นเวลานานในช่วงแรกหลังทำ SculpSure เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง
• ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือประคบเย็นหากรู้สึกร้อนมากบริเวณที่ทำ SculpSure

6.หลังทำ SculpSure ห้ามนวดแรงหรือกดแรงในบริเวณที่ทำทันทีหลังการรักษา
แม้ว่าการนวดเบา ๆ หลังทำ SculpSure จะช่วยได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกดแรง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองผิว

7.หลังทำ SculpSure ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับให้เพียงพอทั้งก่อนและหลังทำ SculpSure ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและเร่งกระบวนการกำจัดไขมันได้ดียิ่งขึ้น

8.หลังทำ SculpSure ควรติดตามผลกับแพทย์
• หลังทำ SculpSure ควรเข้ารับการประเมินผลจากแพทย์หรือนักบำบัดตามนัดหมาย เพื่อดูความคืบหน้าของผลลัพธ์
• หลังทำ SculpSure อาจต้องทำซ้ำในบริเวณเดิมหากต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

9.หลังทำ SculpSure ควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
แอลกอฮอล์และบุหรี่สามารถชะลอการฟื้นตัวของร่างกายและทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานได้ไม่เต็มที่

Coolsculpting คืออะไร
CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีกำจัดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) ที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้ความเย็นในระดับที่สามารถทำลายเซลล์ไขมันได้โดยไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ

Coolsculpting ช่วยอะไรบ้าง
CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ด้วยความเย็นแบบถาวรโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยให้รูปร่างดูสมส่วนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมที่กำจัดได้ยากด้วยวิธีปกติ เช่น การออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร ประโยชน์ของ CoolSculpting ได้แก่

• CoolSculpting ช่วยลดไขมันเฉพาะจุดอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกำจัดไขมันในบริเวณที่ลดยาก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เหนียงใต้คาง ปีกหลัง เอว และแผ่นหลังส่วนล่าง
• CoolSculpting ช่วยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังทำ
• CoolSculpting ช่วยไขมันถูกกำจัดออกอย่างถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งจะตายและถูกขับออกจากร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ
• CoolSculpting ช่วยกระชับสัดส่วน เพิ่มความมั่นใจ ทำให้รูปร่างดูได้สัดส่วนมากขึ้น ใส่เสื้อผ้าได้สวยงามขึ้น

Coolsculpting มีข้อดีอะไรบ้าง
• Coolsculpting ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
• Coolsculpting ปลอดภัย ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA)
• Coolsculpting ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันที
• Coolsculpting ลดไขมันถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาอีก
• Coolsculpting ไม่เจ็บปวดมาก อาจมีความรู้สึกเย็นและตึงผิวในช่วงทำ แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บปวดรุนแรง

Coolsculpting เหมาะกับใคร
• Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก
• Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวใกล้เคียงเกณฑ์ปกติแต่ต้องการกระชับสัดส่วน
• Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการศัลยกรรมหรือใช้วิธีการที่ต้องพักฟื้น
• Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ดูแลสุขภาพโดยรวมดีและมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ

Coolsculpting ไม่เหมาะกับใคร
• Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิต
• Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความเย็น เช่น โรค Cold Urticaria
• Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
• Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลหรือปัญหาผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำ

Coolsculpting กี่วันเห็นผล
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 3-4 สัปดาห์ หลังทำ และเห็นผลชัดเจนใน 8-12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายแต่ละคน

Coolsculpting อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานอย่างถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดจะไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตาม การควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมีผลสำคัญในการรักษารูปร่างให้คงอยู่ในระยะยาว

Coolsculpting เจ็บไหม อันตรายหรือไม่
CoolSculpting ไม่ได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง อาจมีอาการตึงผิว รู้สึกเย็นจัด หรือชาบริเวณที่ทำ แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือวันหลังจากทำ โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยหากทำโดยแพทย์

วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting
• หลังทำ Coolsculpting ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับเซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดออกจากร่างกาย
• หลังทำ Coolsculpting หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดทับบริเวณที่ทำในช่วงแรก
• หลังทำ Coolsculpting ออกกำลังกายและควบคุมอาหารเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้น
• หลังทำ Coolsculpting อาจมีอาการบวม ตึง หรือชาที่ผิวเป็นเรื่องปกติ สามารถใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการ
• หลังทำ Coolsculpting หลีกเลี่ยงความร้อนจัด เช่น ซาวน่าหรืออาบน้ำร้อนจัดในช่วงแรก

เปรียบเทียบ Sculpsure กับ Coolsculpting
SculpSure และ CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการกำจัดไขมันส่วนเกินแบบถาวรโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่มีหลักการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยมีรายละเอียดเปรียบเทียบดังนี้

หลักการทำงานของ Sculpsure กับ Coolsculpting

ปัจจัย

SculpSure

CoolSculpting

เทคโนโลยี

ใช้พลังงานเลเซอร์ (Diode Laser) 1060 nm เพื่อให้ความร้อนแก่เซลล์ไขมัน

ใช้เทคโนโลยีความเย็น (Cryolipolysis) เพื่อลดอุณหภูมิของเซลล์ไขมันจนตาย

กระบวนการ

เซลล์ไขมันถูกทำลายด้วยความร้อน (42-47°C) และถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง

เซลล์ไขมันถูกแช่แข็ง (-11°C) ทำให้เกิดการตายแบบ Apoptosis และขับออกทางระบบน้ำเหลือง

การกระตุ้นคอลลาเจน

ช่วยกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

อาจเกิดภาวะผิวหย่อนคล้อยในบางกรณี

ผลลัพธ์และประสิทธิภาพ Sculpsure กับ Coolsculpting

ปัจจัย

SculpSure

CoolSculpting

ระยะเวลาการทำงาน

25 นาทีต่อบริเวณ

35-60 นาทีต่อบริเวณ

ระยะเวลาเห็นผล

6-12 สัปดาห์

8-12 สัปดาห์

จำนวนเซลล์ไขมันที่ลดลง

ประมาณ 24% ต่อครั้ง

ประมาณ 20-25% ต่อครั้ง

บริเวณที่ทำได้

หน้าท้อง เอว ต้นขา ใต้คาง ต้นแขน

หน้าท้อง เอว ต้นขา ใต้คาง ต้นแขน

ความรู้สึกขณะทำและหลังทำ Sculpsure กับ Coolsculpting

ปัจจัย

SculpSure

CoolSculpting

ความรู้สึกขณะทำ

รู้สึกอุ่น ๆ หรือร้อนบริเวณที่ทำ

รู้สึกเย็นจัดและชาในช่วงแรก จากนั้นอาจรู้สึกตึงและเจ็บเล็กน้อย

ผลข้างเคียง

อาจมีรอยแดงหรืออาการแสบร้อนเล็กน้อยชั่วคราว

อาจเกิดรอยช้ำ บวม หรือมีอาการชาได้นานหลายสัปดาห์

การพักฟื้น

ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวหากมีอาการบวมและช้ำ


ความสะดวกและความยืดหยุ่นในการทำ Sculpsure กับ Coolsculpting

ปัจจัย

SculpSure

CoolSculpting

รูปแบบการทำงาน

ใช้หัวเลเซอร์แนบกับผิว สามารถทำได้หลายจุดพร้อมกัน

ใช้หัวดูดสุญญากาศ อาจจำกัดเฉพาะบริเวณที่สามารถดูดจับไขมันได้

ความยืดหยุ่นในการทำ

ทำได้กับไขมันที่มีชั้นบางและไขมันสะสมในบริเวณที่เรียบ

ต้องมีไขมันมากพอให้สามารถดูดจับได้


ข้อดีและข้อเสียของ Sculpsure กับ Coolsculpting
SculpSure (ความร้อน)
ข้อดี
• ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเป็น
• ช่วยกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• เหมาะกับคนที่มีไขมันไม่มากและต้องการลดเฉพาะจุด
• ระยะเวลาทำสั้นกว่าต่อบริเวณ
ข้อเสีย
• อาจรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยในขณะทำ
• ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมหนามาก

CoolSculpting (ความเย็น)
ข้อดี
• เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานและได้รับความนิยมสูง
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมปานกลางถึงมาก
• สามารถทำในพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า
ข้อเสีย
• อาจเกิดอาการบวมและช้ำหลังทำ
• ต้องใช้เวลาพักฟื้นมากกว่า
• อาจเกิดภาวะ "พาราด็อกซ์ ฟัต ไฮเปอร์พลาสเซีย" (ไขมันแข็งตัวผิดปกติ) ในบางกรณี

SculpSure หรือ CoolSculpting เลือกแบบไหนดี
• หากต้องการ ลดไขมันในบริเวณที่ไม่หนามาก และต้องการผลลัพธ์ที่กระชับ SculpSure อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
• หากมีไขมันสะสมมากและต้องการลดขนาดบริเวณกว้าง CoolSculpting อาจให้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกว่า

การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมควรพิจารณาจาก ปริมาณไขมัน งบประมาณ ระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล และความสามารถในการทนต่อความรู้สึกขณะทำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับร่างกาย

สรุปความแตกต่างของ Sculpsure กับ Coolsculpting
สรุปว่าทั้ง SculpSure และ CoolSculpting ต่างเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันส่วนเกินโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่มีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน โดย SculpSure ใช้พลังงานเลเซอร์ในการทำลายเซลล์ไขมัน ขณะที่ CoolSculpting ใช้ความเย็นควบคุมเพื่อลดไขมันเฉพาะจุด การเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น บริเวณที่ต้องการลดไขมัน ระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล ระดับความสะดวกสบายระหว่างทำ และงบประมาณที่มี

หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีเวลาน้อยในการพักฟื้น SculpSure อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณต้องการการลดไขมันที่สามารถกำจัดออกไปอย่างถาวรด้วยความเย็นที่ควบคุมได้ CoolSculpting ก็อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า การปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ จะช่วยให้ได้รับคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

สำหรับผู้ที่สนใจอยากลดไขมันด้วยนวัตกรรม Sculpsure หรือ Coolsculpting สามารถนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรม Coolsculpting ที่คุณอาจสนใจ