นอนกรนเกิดจากอะไร อันตรายไหม มีสาเหตุและวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง
นอนกรนเกิดจาก
นอนกรนเกิดจากอะไร เรามีสิทธิ์นอนกรนได้ไหม
หลายคนเข้าใจว่าการนอนกรนเกิดจากการที่เราอ้วน น้ำหนักเกิน เท่านั้น แต่ความจริงแล้วการนอนกรนสามารถเกิดได้หลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะอ้วน หรือจะผอมมีสิทธิ์ที่จะนอนกรนได้หมดเลย
รวมทุกหัวข้อนอนกรนเกิดจากอะไร
• นอนกรนคืออะไร
• วิธีสังเกตว่าเรานอนกรน
• อันตรายจากการนอนกรน
• การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
• การนอนกรนเกิดจากการโครงสร้างของใบหน้าและลำคอ
• การนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้น
• การนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
• การนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ
• การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย
• การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์
• การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่เป็นประจำ
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการนอนกรนเกิดจากอะไร
นอนกรนคืออะไร
นอนกรน (Snoring) คือ เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ในระหว่างการนอนหลับ ซึ่งเกิดจาก การอุดกั้นบางส่วนของช่องทางเดินอากาศ ทำให้อากาศไหลผ่านได้ยากขึ้น ส่งผลให้เนื้อเยื่อภายในลำคอสั่นและเกิดเสียงกรนขึ้นมา
กลไกของการเกิดเสียงกรน
การนอนกรนเกิดขึ้นจาก ความแคบของทางเดินหายใจส่วนบน (เช่น ช่องลำคอ, เพดานอ่อน, ลิ้นไก่) ซึ่งทำให้เกิด การสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ โดยมีกระบวนการที่ทำให้เกิดเสียงกรนดังนี้
1.กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนคลายตัว เมื่อนอนหลับ
2.ช่องทางเดินหายใจแคบลง ทำให้อากาศไหลเวียนลำบาก
3.อากาศที่ไหลผ่านช่องแคบมีความเร็วสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงดันต่ำ
4.เนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่สั่นสะเทือน ส่งผลให้เกิดเสียงกรน
เสียงกรนจะดังขึ้นเมื่อช่องทางเดินหายใจแคบลงมากขึ้น และหากเกิดการอุดกั้นอย่างสมบูรณ์ อาจนำไปสู่ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) อันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
ประเภทของการนอนกรน
การนอนกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1.นอนกรนแบบธรรมดา (Primary Snoring)
• ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
• มักไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร้ายแรง
• อาจเกิดจากความเหนื่อยล้า การนอนหงาย หรือดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน
2.นอนกรนแบบอันตราย (Snoring with Obstructive Sleep Apnea - OSA)
• มีช่วงหยุดหายใจเป็นระยะ ๆ ระหว่างการนอน
• ส่งผลต่อคุณภาพการนอนและการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด
• อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
วิธีสังเกตว่าเรานอนกรน
การนอนกรนเกิดจากการที่คนข้าง ๆ บอกเราว่าเมื่อคืนเรานอนกรนนะ แล้วถ้าเกิดเราเป็นคนที่นอนคนเดียวเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรานอนกรน
จริงๆแล้วค่อนข้างยากที่เราจะสามารถรู้ได้ว่าเรานอนกรนหรือไม่ แต่สามารถใช้วิธีต่อไปนี้ตรวจสอบตัวเองเบื้องต้นได้เลยว่าเรานอนกรนหรือไม่
1.ใช้แอปพลิเคชันบันทึกเสียงขณะนอนหลับ
ใช้แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับเสียงกรน เช่น
• SnoreLab
• SnoreClock
• Sleep Cycle
แอปเหล่านี้สามารถบันทึกและวิเคราะห์ระดับเสียงกรน รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงของเสียงกรนในแต่ละคืน
2.สังเกตอาการตอนตื่นนอน
• รู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่สดชื่น แม้ว่าจะนอนเต็มที่
• ปวดหัวหลังตื่นนอน เนื่องจากออกซิเจนในเลือดลดลงระหว่างการกรน
• ตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง หรือรู้สึกหายใจติดขัดขณะหลับ
• มีอาการปากแห้งหรือเจ็บคอ เพราะการนอนอ้าปากขณะกรน
3.ตรวจสอบอาการง่วงผิดปกติในเวลากลางวัน
• ง่วงมากผิดปกติแม้จะนอนครบ 7-8 ชั่วโมง
• รู้สึกง่วงขณะทำกิจกรรม เช่น ขับรถ ทำงาน หรือดูทีวี
• ไม่มีสมาธิหรือรู้สึกมึนงงในระหว่างวัน
หากรู้สึกง่วงมากผิดปกติในตอนกลางวัน อาจจะสื่อได้ว่ามีคุณภาพการนอนที่ไม่ดีจากการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
4.ทดสอบการหายใจทางจมูกก่อนนอน
• ปิดรูจมูกข้างหนึ่งแล้วหายใจผ่านอีกข้าง หากรู้สึกว่าหายใจลำบาก อาจมีปัญหาการอุดกั้นของจมูกที่ทำให้เกิดการนอนกรน
• หากเป็นหวัดหรือภูมิแพ้บ่อย อาจส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง และทำให้เกิดอาการกรน
5.ตรวจสุขภาพการนอนแบบละเอียด ( Sleep Test )
เพื่อเป็นการวัดว่า เรามีภาวะการนอนกรน เข้าขั้นอันตรายจนทำให้หยุดหายใจขณะหลับรึเปล่า ให้ตรวจสุขภาพการนอนหลับแบบละเอียด
อันตรายจากการนอนกรน
แม้ว่าการนอนกรนอาจดูเหมือนเป็นเพียงปัญหาเรื่องเสียงรบกวน แต่ในความเป็นจริง การนอนกรนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง โดยเฉพาะถ้ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย (Obstructive Sleep Apnea - OSA)
1.เสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA)
อาการ หายใจติดขัดหรือหยุดหายใจชั่วขณะเป็นช่วง ๆ ระหว่างนอนหลับ
อันตราย
- ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง
- หัวใจและสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
- ส่งผลให้ร่างกายสะดุ้งตื่นบ่อย ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง
- อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว
หากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับ ควรพบแพทย์ทันที
2.เสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
การนอนกรนเป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรับออกซิเจน
อันตราย
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension) จากการขาดออกซิเจน
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย (Heart Attack) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
คนที่นอนกรนรุนแรงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนทั่วไป 2-3 เท่า
3.ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและง่วงผิดปกติในตอนกลางวัน
คนที่นอนกรนมักมี คุณภาพการนอนไม่ดี เพราะร่างกายต้องตื่นเป็นช่วง ๆ โดยไม่รู้ตัว
อันตราย
- สมองไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ทำให้รู้สึกง่วงผิดปกติ
- ไม่มีสมาธิในการทำงานหรือเรียน
- เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และที่ทำงาน
คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3-5 เท่า!
4.ทำให้ระบบเผาผลาญผิดปกติ เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน
การนอนกรนและการขาดออกซิเจนในระหว่างนอนส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน
อันตราย
- ทำให้ระดับ อินซูลิน ในร่างกายผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
- ส่งผลให้ร่างกาย สะสมไขมันมากขึ้น ทำให้น้ำหนักขึ้นง่าย
- มีความสัมพันธ์กับภาวะ ดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า
5.ทำให้สมองทำงานแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
การขาดออกซิเจนขณะหลับ ส่งผลกระทบต่อความจำและการทำงานของสมอง
อันตราย
- ทำให้สมาธิลดลง ความจำสั้น
- เพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
- อาจมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และอารมณ์แปรปรวน
หากคุณนอนกรนเป็นประจำและรู้สึกว่าความจำเริ่มแย่ลง ควรตรวจสุขภาพการนอนหลับทันที!
6.ทำให้มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
เสียงกรนที่ดังมาก อาจรบกวนการนอนของคู่รักหรือคนในครอบครัว
อันตราย
- ทำให้คู่รักมีปัญหานอนไม่หลับ
- อาจต้องนอนแยกห้องจากคู่รัก
- ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิต
"นอนกรน" อาจเป็นสาเหตุของความเครียดในความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว
การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
การนอนกรนเกิดจาก น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน (ภาวะอ้วน) โดยเฉพาะการสะสมของไขมันในบริเวณลำคอและช่องทางเดินหายใจ ซึ่งส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง และอากาศไหลผ่านได้ยากขึ้น ส่งผลให้เกิดเสียงกรน
1.การนอนกรนเกิดจากกลไกที่น้ำหนักเกิน
เมื่อมีน้ำหนักเกินหรืออ้วน (BMI สูงกว่ามาตรฐาน) ร่างกายจะมีไขมันสะสมในบริเวณลำคอและทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้เกิดการอุดกั้นของอากาศระหว่างการนอนหลับ
• นอนกรนเกิดจากไขมันรอบลำคอและทางเดินหายใจ
- ทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง
- เพิ่มโอกาสที่เนื้อเยื่อในลำคอจะสั่นสะเทือนและเกิดเสียงกรน
- มีแรงกดจากภายนอกที่ทำให้หายใจลำบากขึ้น
• นอนกรนเกิดจากไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)
- กดทับกระบังลม (Diaphragm) และปอด ทำให้ปอดขยายตัวได้น้อยลง
- ลดความสามารถในการรับออกซิเจน ส่งผลให้ร่างกายพยายามหายใจแรงขึ้น และเพิ่มการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ
• การนอนกรนเกิดจากแรงดันในระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น
- น้ำหนักเกินทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจต้องทำงานหนักขึ้น
- ทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) ได้ง่าย
2.การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักเกินและความสัมพันธ์กับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
การนอนกรนที่รุนแรงและเกิดร่วมกับภาวะอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนขณะนอนหลับ
มากกว่า 70% ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
สัญญาณเตือนว่าอาจมี OSA จากภาวะอ้วน
• นอนกรนเสียงดังมาก และมีจังหวะหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
• ตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมความรู้สึกสำลักอากาศ
• ตื่นมาพร้อมอาการปวดหัวหรือรู้สึกอ่อนเพลีย
• ง่วงผิดปกติในเวลากลางวัน และไม่มีสมาธิในการทำงาน
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพการนอนหลับ
3.นอนกรนเกิดจากน้ำหนักเกินมีวิธีลดความเสี่ยงด้วย 4 ข้อ
1.การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักเกินควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
• ลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นและลดการนอนกรนได้
• ลดปริมาณไขมันรอบลำคอและหน้าท้อง เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น
2.การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักเกินควรปรับพฤติกรรมการนอน
• นอนตะแคง แทนนอนหงาย เพื่อลดการกดทับของลิ้นและเพดานอ่อน
• ใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูงขึ้น เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น
3.การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักเกินควร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• ออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
• การฝึกกล้ามเนื้อลำคอและกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ เช่น ฝึกเปล่งเสียงหรือเล่นเครื่องดนตรีที่ใช้ลม
4.การนอนกรนเกิดจากน้ำหนักเกินควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเกินไป
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนนอน
• หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักก่อนนอน
การนอนกรนเกิดจากการโครงสร้างของใบหน้าและลำคอ
การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างของใบหน้าและลำคอ เกิดจาก การที่โครงสร้างใบหน้าและลำคอผิดปกติหรือมีลักษณะเฉพาะตัวที่ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ส่งผลให้อากาศไหลเวียนติดขัดและทำให้เนื้อเยื่อบริเวณลำคอสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงกรน
การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่แล้วมีลักษณะทางกายวิภาคดังนี้
1.เพดานอ่อนและลิ้นไก่ที่ยาวหรือหย่อนตัว
• คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีเพดานอ่อนที่ยาวหรือหย่อนตัวมากเกินไปสามารถปิดกั้นบางส่วนของทางเดินหายใจ ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน
• คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีลิ้นไก่ที่ยาวเกินไปจะกระทบกับกระแสลมขณะหายใจ ทำให้เกิดเสียงกรน
2.ขนาดของลิ้นที่ใหญ่ (Macroglossia)
คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีลิ้นที่ใหญ่ผิดปกติสามารถตกไปด้านหลังของลำคอและอุดกั้นทางเดินหายใจได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในท่านอนหงาย
3.กรามเล็กหรือคางหดรั้ง (Retrognathia หรือ Micrognathia)
คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีหากขากรรไกรล่างเล็กหรือถอยร่นไปด้านหลัง จะทำให้ลิ้นมีพื้นที่น้อยลง และอาจตกไปปิดทางเดินหายใจขณะหลับ
4.ช่องคอแคบหรือผนังคอที่หนา
คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีลำคอหนาหรือไขมันสะสมรอบลำคอมาก จะมีทางเดินหายใจที่แคบลง ส่งผลให้เกิดแรงต้านของอากาศและเสียงกรน
5.ผนังกั้นโพรงจมูกคด (Deviated Nasal Septum)
คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีโครงสร้างภายในจมูกที่เบี่ยงเบนไปจากแนวปกติอาจทำให้การไหลของอากาศติดขัด ส่งผลให้ต้องหายใจทางปากมากขึ้น และเพิ่มโอกาสการนอนกรน
6.ต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต (พบบ่อยในเด็ก)
คนที่นอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าและลำคอส่วนใหญ่ มีต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ที่มีขนาดใหญ่เกินไป สามารถอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการกรนและอาจนำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้ากับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
• การนอนกรนเกิดจากการมีโครงสร้างของใบหน้าและลำคอที่แคบมักมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA)
• หากมีอาการกรนรุนแรง ร่วมกับช่วงหยุดหายใจเป็นระยะ ๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะออกซิเจนต่ำในเลือดและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้ามีวิธีแก้ไขต่อไปนี้
1.การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าแก้ได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการนอน
• นอนตะแคงเพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
• ใช้หมอนที่ช่วยพยุงศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่เปิดทางเดินหายใจมากขึ้น
2.การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าแก้ได้ด้วย
• การออกกำลังกายกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
• ฝึกบริหารลิ้นและกล้ามเนื้อลำคอ เช่น การออกเสียง “อา-อี-อู” หรือเล่นเครื่องดนตรีที่ใช้ลม
3.การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าแก้ได้ด้วยการใช้เครื่องมือช่วยหายใจหรืออุปกรณ์ทันตกรรม
• เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (CPAP) ในกรณีที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
• อุปกรณ์ทันตกรรมที่ช่วยดันขากรรไกรล่างไปด้านหน้าเพื่อเปิดทางเดินหายใจ
4.การนอนกรนเกิดจากโครงสร้างใบหน้าแก้ได้ด้วยการรักษาทางการแพทย์หรือการผ่าตัด
• หากมีโครงสร้างที่เป็นปัญหาอย่างรุนแรง อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด เช่น
- Uvulopalatopharyngoplasty (UPPP) ตัดลิ้นไก่และเพดานอ่อนบางส่วน
- Septoplasty แก้ไขผนังกั้นโพรงจมูกคด
- Genioglossus Advancement (GA) ปรับตำแหน่งของลิ้นให้ไปด้านหน้า
- Tonsillectomy/Adenoidectomy ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ออก
การนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้น
การนอนกรนเกิดจากเมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างของระบบทางเดินหายใจและกล้ามเนื้อลำคอจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการนอนกรน โดยมีปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
• การนอนกรนเกิดจากเมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนหย่อนตัวลง ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง
• การนอนกรนเกิดจากเมื่ออายุมากขึ้น ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อสั่นสะเทือนง่ายขึ้นเมื่ออากาศไหลผ่าน
• การนอนกรนเกิดจากเมื่ออายุมากขึ้น การควบคุมระบบประสาทและกล้ามเนื้อแย่ลง ทำให้กลไกการเปิด-ปิดของทางเดินหายใจไม่ทำงานได้เต็มที่
• การนอนกรนเกิดจากเมื่ออายุมากขึ้น น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตามอายุ ทำให้มีไขมันสะสมรอบลำคอมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
ความสัมพันธ์ของการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป
สาเหตุที่อายุที่มากขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อ OSA
• การลดลงของโทนกล้ามเนื้อ ทำให้เนื้อเยื่อในลำคอปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
• โครงสร้างทางเดินหายใจที่เปลี่ยนไปตามวัย ทำให้มีแนวโน้มเกิดการอุดกั้นของอากาศมากขึ้น
• ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนที่พบบ่อยในวัยกลางคนขึ้นไป เพิ่มแรงกดบนทางเดินหายใจ
อาการของ OSA รวมถึงการนอนกรนเสียงดัง หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ระหว่างการนอน และรู้สึกง่วงผิดปกติในตอนกลางวัน หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพการนอนหลับ
วิธีลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้น
1.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการ บริหารกล้ามเนื้อลำคอและลิ้น
• วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการ ออกกำลังกายโดยการฝึก เปล่งเสียง เช่น การออกเสียง "อา-อี-อู" เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในลำคอ
• วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการฝึกการเคลื่อนลิ้น โดยการเลื่อนลิ้นไปข้างหน้าหรือยกขึ้นแตะเพดานปาก
2.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการควบคุมน้ำหนัก
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะไขมันรอบลำคอทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
3.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการปรับท่านอน
• นอนตะแคงแทนนอนหงาย เพื่อลดการอุดกั้นของลิ้นที่ตกไปด้านหลัง
• ใช้ หมอนพิเศษ เพื่อช่วยจัดตำแหน่งศีรษะให้เหมาะสม
4.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยานอนหลับ
สารเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อลำคอคลายตัวมากเกินไป ซึ่งทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
5.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการดูแลสุขภาพจมูก
หากมีอาการคัดจมูกเรื้อรังหรือภูมิแพ้ ควรใช้ น้ำเกลือล้างจมูก และดูแลระบบทางเดินหายใจให้โล่ง
6.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการใช้อุปกรณ์ช่วยเปิดทางเดินหายใจ
อุปกรณ์ทันตกรรมที่ช่วยปรับตำแหน่งของขากรรไกร หรือเครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (CPAP) ในกรณีที่มีภาวะ OSA
7.วิธีการลดการนอนกรนเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วยการพบแพทย์หากอาการรุนแรง
หากนอนกรนหนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพการนอนเพื่อหาทางแก้ไขที่เหมาะสม
การนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายเนื่องจากการนอนกรนในท่านอนนี้ แรงโน้มถ่วงทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่อบริเวณลำคอตกไปด้านหลัง ซึ่งอาจปิดกั้นทางเดินหายใจบางส่วน ทำให้การไหลของอากาศติดขัดและเกิดเสียงกรน
เมื่อทางเดินหายใจตีบลง อากาศที่ไหลผ่านจะต้องใช้แรงมากขึ้น ส่งผลให้เนื้อเยื่อในลำคอ เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และลิ้น สั่นสะเทือนมากขึ้น การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงกรนได้
กลไกที่ทำให้การนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
• เมื่อ นอนหงาย ลิ้นจะ เลื่อนถอยไปด้านหลัง และอาจไปปิดกั้นทางเดินหายใจ
• เพดานอ่อนและลิ้นไก่จะ หย่อนตัวมากขึ้น เมื่อหลับลึก ทำให้เกิดการอุดกั้นของอากาศ
• แรงดันของอากาศที่ต้องไหลผ่านช่องทางแคบจะเพิ่มขึ้น ทำให้ เนื้อเยื่อสั่นสะเทือนมากขึ้นและเกิดเสียงกรน
ปัจจัยที่ทำให้การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายรุนแรงมากขึ้น
1.น้ำหนักตัวเกินหรือภาวะอ้วน
• ไขมันสะสมรอบลำคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
• เมื่ออยู่ในท่านอนหงาย ทางเดินหายใจที่ตีบแคบอยู่แล้วจะถูกปิดกั้นมากขึ้นทำให้การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายรุนแรงมากขึ้น
2.กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนตัวมากเกินไป
• พบได้ในผู้สูงอายุ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ยานอนหลับ
• เมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น ลิ้นและเพดานอ่อนจะปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายทำให้การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายรุนแรงมากขึ้น
3.โครงสร้างของใบหน้าและลำคอ
คนที่มี ขากรรไกรเล็ก, ลิ้นใหญ่, หรือเพดานอ่อนยาว จะมีแนวโน้มเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจทำให้การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายรุนแรงมากขึ้น
4.ภาวะคัดจมูกและโพรงจมูกแคบ
หากหายใจทางจมูกไม่ได้ดีพอ ขณะนอนหงายจะยิ่งทำให้ต้องหายใจทางปาก ทำให้การนอนกรนเกิดจากการนอนหงายรุนแรงมากขึ้น
วิธีแก้ไขการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
1.เปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคง
• ท่านอนตะแคง ช่วยให้ลิ้นไม่ตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ
• อาจใช้ หมอนพิเศษ หรือ กอดหมอนข้าง เพื่อช่วยพยุงร่างกายให้อยู่ในท่านอนตะแคงเพื่อป้องกันการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
2.ใช้หมอนที่รองรับศีรษะและลำคอได้ดี
• หมอนที่หนุนศีรษะสูงเล็กน้อยสามารถช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น
• หลีกเลี่ยงหมอนที่นิ่มหรือเตี้ยเกินไป เพราะอาจทำให้ลำคองอและเกิดการอุดกั้นของอากาศ เพื่อป้องกันการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
3.ควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกาย
• การลดน้ำหนักช่วยลดแรงกดบนทางเดินหายใจ
• ออกกำลังกายช่วยให้กล้ามเนื้อลำคอแข็งแรงขึ้นและลดการหย่อนตัว เพื่อป้องกันการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย
4.หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยานอนหลับ
แอลกอฮอล์และยาคลายกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากขึ้น
5.ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ (CPAP) หรืออุปกรณ์ทันตกรรม
• ในผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจต้องใช้ เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (CPAP)
• อุปกรณ์ทันตกรรมที่ช่วยปรับตำแหน่งของขากรรไกรล่างสามารถช่วยเปิดทางเดินหายใจ แต่จะต้องทำกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
การนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ
นอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) คือ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายในหลายระบบ รวมถึง ระบบทางเดินหายใจและกล้ามเนื้อลำคอ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการนอนกรน
กลไกที่การนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ
เมื่อระดับฮอร์โมนไทรอยด์ลดลง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจและเพิ่มโอกาสเกิดการนอนกรน ดังนี้
• กล้ามเนื้อทางเดินหายใจอ่อนแรง
- ฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทสำคัญในการควบคุม กล้ามเนื้อและการเผาผลาญพลังงาน
- เมื่อฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ กล้ามเนื้อรอบลำคอและลิ้นจะอ่อนแรง ทำให้ เนื้อเยื่อหย่อนตัวและอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
- ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ การนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเสียงกรน
• เนื้อเยื่อบวมและสะสมของมูกในลำคอ
- ภาวะไทรอยด์ต่ำทำให้ร่างกายมีการกักเก็บของเหลวมากขึ้น ส่งผลให้เนื้อเยื่อในลำคอและลิ้นบวม
- นอกจากนี้ ยังทำให้เกิด การสะสมของมูกและเสมหะ ในทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้การไหลของอากาศติดขัดการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเสียงกรน
• น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ฮอร์โมนไทรอยด์ช่วยควบคุมการเผาผลาญพลังงาน หากฮอร์โมนลดลง ระบบเผาผลาญจะทำงานช้าลง ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ง่าย
- การมีน้ำหนักเกินหรืออ้วนทำให้ ไขมันสะสมบริเวณลำคอมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเสียงกรน
• การทำงานของระบบประสาทลดลง
- ระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจทำงานช้าลง ส่งผลให้การหายใจขณะนอนหลับไม่ราบรื่น
- คนที่มีภาวะไทรอยด์ต่ำอาจมีภาวะ หายใจตื้นหรือหยุดหายใจชั่วขณะในระหว่างนอนหลับการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเสียงกรน
ความสัมพันธ์ระหว่างการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
มีการศึกษาพบว่า การนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA)
คนที่มีภาวะ OSA และมีภาวะไทรอยด์ต่ำร่วมด้วย มักมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่รุนแรงกว่า
สัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีภาวะไทรอยด์ต่ำร่วมกับการนอนกรน
• นอนกรนเสียงดังและมีช่วงหยุดหายใจขณะหลับ
• ง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน แม้ว่าจะนอนเต็มที่
• น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
• รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และไม่มีแรง
• ผิวแห้ง หน้าบวม หรือรู้สึกหนาวง่าย
• พูดช้า คิดช้า หรือรู้สึกสับสน
หากมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์
วิธีแก้ไขและรักษาการนอนกรนที่เกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ
• รับการรักษาภาวะไทรอยด์ต่ำ
- การรักษาภาวะไทรอยด์ต่ำ ด้วยยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (Levothyroxine) สามารถช่วยบรรเทาอาการนอนกรนและลดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
- ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและปรับขนาดยาให้เหมาะสม
• ลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร
- หากภาวะไทรอยด์ต่ำทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
- การลดน้ำหนัก แม้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว สามารถช่วยลดความรุนแรงของการนอนกรนได้
• ปรับพฤติกรรมการนอน
- นอนตะแคงแทนนอนหงาย เพื่อลดการอุดกั้นของลิ้นและทางเดินหายใจ
- ใช้ หมอนรองคอให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น
• บริหารกล้ามเนื้อลำคอและลิ้น
ฝึกเปล่งเสียงหรือเล่นเครื่องดนตรีที่ใช้ลม เช่น เป่าขลุ่ย หรือเล่นดิดเจอริดู (Didgeridoo) เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อลำคอแข็งแรงขึ้น
การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย
การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลียหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาททำงานได้ลดลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อในลำคอและทางเดินหายใจ คลายตัวมากกว่าปกติ ขณะหลับ ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย เลยทำให้เกิดเสียงกรนได้
กลไกของการนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย
• กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนตัวมากขึ้น
- เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อของลิ้น, เพดานอ่อน และลำคอจะคลายตัวมากขึ้นกว่าปกติ
- ส่งผลให้เนื้อเยื่อเหล่านี้อุดกั้นทางเดินหายใจ และเกิดการสั่นสะเทือนเมื่ออากาศไหลผ่าน การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลียเลยทำให้มีเสียงกรนขึ้น
• การเข้าสู่ภาวะหลับลึกเร็วเกินไป
- คนที่อ่อนเพลียมักเข้าสู่ ช่วงหลับลึก (Deep Sleep) เร็วกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น
- หากกล้ามเนื้อคลายตัวมากเกินไป โอกาสเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจก็เพิ่มขึ้น เลยทำให้การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย เลยมีโอกาสทำให้เกิดเสียงกรนมากขึ้น
• ความเหนื่อยสะสมส่งผลต่อการควบคุมการหายใจ
สมองอาจไม่สามารถปรับจังหวะการหายใจได้ดีเมื่อร่างกายอ่อนล้า ส่งผลให้เกิดการหายใจไม่สม่ำเสมอ เลยทำให้การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลียเกิดเสียงกรนขึ้นได้
ปัจจัยที่ทำให้การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย
• การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
หากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ สมองและระบบประสาทจะทำงานลดลง ทำให้กล้ามเนื้อลำคอหย่อนตัวมากขึ้น การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลียเลยเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดเสียงกรน
• การทำงานหนักหรือออกกำลังกายหนักเกินไป
การใช้พลังงานมากเกินไปในระหว่างวัน อาจทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมด การฟื้นฟูแบบลึก ซึ่งเพิ่มการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลียเลยเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดเสียงกรน
• ภาวะเครียดและเหนื่อยล้าทางจิตใจ
ความเครียดสะสมทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ ซึ่งอาจรบกวนระบบควบคุมการหายใจและกล้ามเนื้อ การนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลียเลยเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดเสียงกรน
วิธีลดการนอนกรนเกิดจากความอ่อนเพลีย
• ปรับพฤติกรรมการนอนให้เหมาะสม
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
- เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน
• ลดภาวะความเครียดและอ่อนเพลียสะสม
- หากต้องทำงานหนัก ควร จัดเวลาพักเป็นระยะ เพื่อลดภาวะเหนื่อยล้า
- ฝึก เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือโยคะ
การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์
การนอนกรนเกิดจากแอลกอฮอล์เป็นสารกดประสาทที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน กล้ามเนื้อในลำคอจะคลายตัวมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจและมีความเสี่ยงสูงที่ทำให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์
กลไกของการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
• กล้ามเนื้อทางเดินหายใจคลายตัวมากเกินไป
- แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อรอบลิ้น เพดานอ่อน และลำคอคลายตัวมากขึ้น
- ส่งผลให้ลิ้นและเนื้อเยื่อรอบลำคออุดกั้นทางเดินหายใจบางส่วน ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อหายใจเข้าออก ส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มีเสียงกรนขึ้น
• ลดการตอบสนองของสมองต่อการควบคุมระบบหายใจ
- สมองควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อในลำคอและทางเดินหายใจ แต่แอลกอฮอล์ทำให้ การตอบสนองของระบบประสาทช้าลง
- ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถตึงตัวได้ดีพอ ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง ส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มีเสียงกรนขึ้น
• ทำให้ระยะเวลาของการหลับลึกนานขึ้น
- การเข้าสู่ภาวะหลับลึกเร็วขึ้นจากแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากกว่าปกติ
- ส่งผลให้แรงต้านของอากาศเพิ่มขึ้นและส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มีเสียงกรนดังขึ้น
• ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
- แอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิด การอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกและลำคอ
- อาจทำให้เกิดภาวะคัดจมูก ทำให้ต้องหายใจทางปากแทน ซึ่งเพิ่มโอกาสให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มีเสียงกรนดังขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์
• ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
- ยิ่งดื่มแอลกอฮอล์มากเท่าไร กล้ามเนื้อทางเดินหายใจก็จะคลายตัวมากขึ้น
- ทำให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์ส่งผลให้เสียงกรนที่รุนแรงขึ้นและนานขึ้น
• ช่วงเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
- หากดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะหลับลึกอย่างรวดเร็ว และกล้ามเนื้อคลายตัวมากขึ้น
- ทำให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์ส่งผลให้เสียงกรนดังขึ้นกว่าปกติ
• น้ำหนักตัวเกินหรือภาวะอ้วน
หากมีน้ำหนักตัวมากและดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน โอกาสเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจจะสูงขึ้น ทำให้การนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์มีเสียงกรนที่ดังขึ้น
• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
- แอลกอฮอล์ทำให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) รุนแรงขึ้น
- ผู้ที่มี OSA และดื่มแอลกอฮอล์อาจมีช่วงหยุดหายใจที่ยาวขึ้นและเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่รุนแรงขึ้น
วิธีลดการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
• หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน
ควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดผลกระทบต่อกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ และหลีกเลี่ยงการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
• ลดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
หากต้องดื่ม ควรดื่มในปริมาณน้อย และไม่ดื่มทุกวัน
การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่เป็นประจำ
การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่เป็นประจำ เนื่องจากควันบุหรี่เต็มไปด้วยสารพิษที่ทำให้เกิด การอักเสบ ระคายเคือง และการบวมของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจ ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงและทำให้เกิดเสียงกรน
กลไกของการนอนกรนเกิดกรนจากการสูบบุหรี่
• การอักเสบและบวมของเยื่อบุทางเดินหายใจ
- สารเคมีในควันบุหรี่ทำให้ เนื้อเยื่อในจมูกและลำคอเกิดการอักเสบ
- ทำให้โพรงจมูกและลำคอบวมขึ้น ซึ่งทำให้ช่องทางเดินอากาศแคบลงและเกิดแรงต้านต่อการไหลของอากาศ ส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ มีการกรนที่รุนแรงขึ้น
• การเพิ่มของเสมหะและมูกในลำคอ
- บุหรี่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตเสมหะมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสารระคายเคือง
- เสมหะที่สะสมในลำคอทำให้เกิดการอุดกั้นบางส่วนและเพิ่มการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อเมื่อหายใจเข้าออก ส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่มีอัตราความเสี่ยงสูงขึ้น
• การระคายเคืองต่อกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
- ควันบุหรี่ทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเปิด-ปิดของทางเดินหายใจทำงานผิดปกติ
- กล้ามเนื้อในลำคอและเพดานอ่อนอาจหย่อนตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของอากาศขณะหลับ ส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ มีเสียงกรนเกิดขึ้น
• การลดประสิทธิภาพของปอดและระบบหายใจ
- การสูบบุหรี่เป็นเวลานานทำให้ความสามารถของปอดในการรับออกซิเจนลดลง
- ส่งผลให้ร่างกายต้องออกแรงหายใจมากขึ้น ส่งผลให้การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยง
• จำนวนมวนบุหรี่ที่สูบต่อวันส่งผลต่อการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่
- ยิ่งสูบบุหรี่มากเท่าไร ทางเดินหายใจจะอักเสบมากขึ้น ทำให้เสียงกรนดังขึ้น
- คนที่สูบบุหรี่วันละ 10 มวนขึ้นไป มีโอกาสเกิดการนอนกรนมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่
• ระยะเวลาที่สูบบุหรี่ส่งผลต่อการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่
คนที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลานานมีโอกาสเกิดอาการกรนเรื้อรังสูง เนื่องจาก เนื้อเยื่อทางเดินหายใจได้รับความเสียหายสะสม
• การสูบบุหรี่ก่อนนอนส่งผลต่อการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่
- หากสูบบุหรี่ก่อนนอน ควันบุหรี่จะกระตุ้นให้เกิด การอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ มากขึ้น
- ส่งผลให้การอุดกั้นของทางเดินหายใจรุนแรงขึ้น และทำให้เสียงกรนดังขึ้น
• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) และการสูบบุหรี่
- ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มเป็น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) สูงกว่าคนทั่วไป
- การสูบบุหรี่ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง ซึ่งอาจทำให้การหยุดหายใจขณะหลับรุนแรงขึ้น
วิธีลดการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่
• เลิกบุหรี่หรือจำกัดปริมาณการสูบ
- การเลิกบุหรี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดการอักเสบของทางเดินหายใจและช่วยลดการนอนกรน
- หากเลิกไม่ได้ ควรลดปริมาณบุหรี่ที่สูบลง โดยเฉพาะ ก่อนนอน
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ก่อนนอน
ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดการอักเสบของทางเดินหายใจ
• ดูแลสุขภาพทางเดินหายใจ
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำเพื่อลดเสมหะและช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดความหนืดของเสมหะและลดการระคายเคืองในลำคอ
• ใช้เครื่องทำความชื้นในห้องนอน
การใช้เครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier) ช่วยให้เยื่อบุโพรงจมูกไม่แห้ง และลดการอักเสบจากควันบุหรี่
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการนอนกรนเกิดจากอะไร
การนอนกรนเกิดจากพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างของเรา ไม่ว่าจะเป็นการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอลล์ การนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ หรือการนอนกรนเกิดจากการมีน้ำหนักตัวที่เกณฑ์เกินมาตรฐาน แต่ไม่ว่าการนอนกรนเกิดจากอะไร ถ้าเรารู้ตัวว่านอนกรนไม่ควรปล่อยเอาไว้ ควรรีบรักษา เพราะการนอนกรนไม่ได้ส่งผลเสียแค่ทำให้คนที่นอนด้วยรำคาญเท่านั้น แต่ส่งผลเสียไปถึงขั้นทำให้เราเสียชีวิตได้
เพราะฉะนั้นควรรีบรักษาตัวจากการนอนกรนตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าเริ่มจากการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หรือหาหมอเพื่อทำหัตถการรักษาอาการนอนกรนที่เหมาะสม แต่จะต้องหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วย ซึ่งทางรมย์รวินท์คลินิก มีหัตถการรักษานอนกรนที่ไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำโดยแพทย์ specialist สามารถจองคิวนัดพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการนอนก่อนได้ เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มได้ที่เรา