romrawin

ลดไขมันหน้า vs ลดไขมันตัว ต่างกันอย่างไร วิธีไหนเห็นผลไวเร็วสุด

ลดไขมัน

ลดไขมันหน้ากับลดไขมันตัว ต่างกันยังไง วิธีไหนเห็นผลไวสุด
การลดไขมันเป็นอีกหนึ่งอย่างที่หลายคนกลับมาโฟกัส เมื่อเริ่มรักสุขภาพมากขึ้น แต่การลดไขมันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบชัดเจนควรเลือกใช้วิธีหรือเครื่องมือที่เหมาะกับการสะสมของไขมันบริเวณนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด

รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับการลดไขมัน
- ประเภทของไขมันในร่างกาย
- ความแตกต่างของไขมันหน้าและไขมันตัว
- วิธีลดไขมันหน้าและไขมันตัวไปพร้อมๆกัน
- รวมหัตถการลดไขมันหน้า
- รวมหัตถการลดไขมันตัว
- คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการลดไขมัน
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการลดไขมัน

ประเภทของไขมันในร่างกาย
ไขมันถูกสะสมอยู่ในทั่วทั้งร่างกายของเรา ซึ่งพอเราได้ยินคำว่าไขมันจะคิดว่าเป็นสิ่งไม่ดี จะต้องกำจัดออกอย่างเดียว ความเป็นจริงแล้วไขมันมีส่วนที่ดีและจำเป็นอย่างมากในร่างกายของเรา บทความนี้จะอธิบายให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับไขมันมากยิ่งขึ้นเพื่อให้เรามี Mindset เกี่ยวกับไขมันอย่างถูกต้อง

1.ไขมันจำเป็น (Essential Fat)
• เป็นไขมันที่จำเป็นต่อการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย
• พบในสมอง ไขกระดูก อวัยวะภายใน และเซลล์ต่าง ๆ
• มีบทบาทในการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ปกป้องอวัยวะ และผลิตฮอร์โมน
• ปริมาณไขมันจำเป็นในร่างกายควรอยู่ที่
- ผู้ชาย ประมาณ 2-5% ของน้ำหนักตัว
- ผู้หญิง ประมาณ 10-13% ของน้ำหนักตัว

2.ไขมันสะสม (Storage Fat)
• เป็นไขมันที่สะสมไว้เพื่อเป็นพลังงานสำรอง
• พบได้ในชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และรอบอวัยวะภายใน (Visceral Fat)
• ปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพ

3.ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)
• เป็นไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังโดยตรง
• ทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันความร้อนและกันกระแทก
• เป็นไขมันที่มองเห็นและสามารถจับต้องได้
• ปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้รูปร่างอ้วนขึ้น แต่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่เสี่ยงน้อยกว่าไขมันในช่องท้อง

4.ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)
• เป็นไขมันที่อยู่รอบอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ลำไส้
• ปริมาณที่มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- เบาหวานประเภท 2
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันพอกตับ
• เป็นไขมันที่อันตรายที่สุด แต่สามารถลดลงได้ด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร

ไขมันในร่างกายนั้นสำคัญและมีประโยชน์มากแต่ควรจะรักษาสมดุลปริมาณไขมันในร่างกายไม่ให้มีมากจนเกินไป เพราะไม่ว่าจะเป็นไขมันสะสมบริเวณไหนถ้าสะสมในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

ความแตกต่างของไขมันหน้าและไขมันตัว
ไขมันบนใบหน้าและไขมันในร่างกายมีความแตกต่างกันในแง่ของ บริเวณที่ไขมันสะสม , องค์ประกอบ , การสะสม และผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้

ปัจจัย

ไขมันบนใบหน้า (Facial Fat)

ไขมันในร่างกาย (Body Fat)

ตำแหน่งที่สะสม

อยู่ใต้ผิวหนังของใบหน้า เช่น แก้ม คาง เปลือกตา

พบได้ทั่วร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก

ประเภทของไขมัน

ส่วนใหญ่เป็น ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)

มีทั้ง ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)

ปัจจัยที่มีผลต่อการสะสม

พันธุกรรม, อายุ, โภชนาการ, ฮอร์โมน, ระดับน้ำในร่างกาย

อาหาร, การออกกำลังกาย, อายุ, ฮอร์โมน, พันธุกรรม

การส่งผลต่อสุขภาพ

ปริมาณไขมันที่มากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าดูอ้วน, หน้ากลม, แก้มห้อย, คางสองชั้น (Double Chin)

ไขมันสะสมมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคอ้วน, เบาหวาน, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง

ความสามารถในการลดลง

ลดลงได้ยากกว่าร่างกายเนื่องจากโครงสร้างของใบหน้าเป็นการลดแบบเฉพาะเจาะจง

สามารถลดลงได้เร็วขึ้นเมื่อออกกำลังกายและควบคุมอาหาร

วิธีลดไขมันหน้าและไขมันตัวไปพร้อมๆกัน
วิธีลดไขมันหน้าและลดไขมันตัวไปพร้อมๆ กัน จะเป็นวิธีการลดไขมันแบบธรรมชาติ จะไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องลดส่วนไหนมากกว่ากัน เพราะน้ำหนักและไขมันจะลดลงโดยรวม ซึ่งมีวิธีการลดไขมันหน้าและลดไขมันตัวไปพร้อมๆ กัน ดังนี้

1.ลดไขมันหน้าและลดไขมันตัวด้วยการควบคุมอาหาร (Dietary Changes)
การกินอาหารที่ดีช่วยลดไขมันทั่วร่างกาย รวมถึงการลดไขมัน ใบหน้าด้วย ซึ่งการกินอาหารเพื่อลดไขมันสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลย

ลดปริมาณแคลอรี่ (Caloric Deficit)
• คำนวณ TDEE (Total Daily Energy Expenditure) และกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ
• ลดพลังงานลง 300-500 kcal ต่อวัน เพื่อเผาผลาญไขมันและทำให้ลดไขมันได้อย่างปลอดภัย

เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง
• โปรตีนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและรักษามวลกล้ามเนื้อ
• แหล่งโปรตีนที่ดี อกไก่, ปลา, ไข่, เต้าหู้, ถั่ว, กรีกโยเกิร์ต

ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว
• หลีกเลี่ยงขนมหวาน, น้ำอัดลม, ข้าวขาว, ขนมปังขาว
• เปลี่ยนเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง, มันหวาน, ควินัว, ธัญพืชเต็มเมล็ด

เพิ่มไฟเบอร์และผักผลไม้
• ช่วยให้อิ่มนานและลดการสะสมไขมัน
• ควรกินผักใบเขียวและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เช่น แอปเปิ้ล, ฝรั่ง, เบอร์รี่, อะโวคาโด

ดื่มน้ำให้เพียงพอ (Hydration)
• ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร ช่วยลดอาการบวมน้ำและกำจัดสารพิษ
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีโซเดียมสูง

2.ลดไขมันหน้าและลดไขมันตัวด้วยการออกกำลังกาย (Exercise)
คาร์ดิโอ (Cardio) เผาผลาญไขมันลดไขมันสะสม
• ออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) หรือ LISS (Low-Intensity Steady State) เช่น
- HIIT วิ่งเร็ว 30 วินาที สลับเดิน 30 วินาที (15-20 นาที)
- LISS เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ (30-60 นาที)
• ทำคาร์ดิโออย่างน้อย 4-5 วัน/สัปดาห์

เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เสริมกล้ามเนื้อ
• เวทเทรนนิ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วน
• เน้นฝึกกล้ามเนื้อหลัก เช่น Squats, Lunges, Deadlifts, Push-ups, Pull-ups
• เล่นเวทอย่างน้อย 3-4 วัน/สัปดาห์

ออกกำลังกายใบหน้า (Facial Exercises)
• บริหารกล้ามเนื้อใบหน้าเพื่อลดไขมันสะสม เช่น
- Cheek Puff เป่าลมในปากสลับแก้มซ้าย-ขวา 30 วินาที
- Jawline Exercise เงยหน้าขึ้นและขยับขากรรไกรค้างไว้ 10 วินาที
- Tongue Press กดลิ้นกับเพดานปากและยิ้มค้างไว้

3.ลดไขมันหน้าและลดไขมันตัวด้วยการปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์
นอนหลับให้เพียงพอ (7-9 ชั่วโมง/คืน)
• การนอนน้อยทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้สะสมไขมันมากขึ้น ถ้าเรานอนหลับอย่างเพียงพอจะทำให้เราสามารถลดไขมันทั้งหน้าและตัวได้

ลดความเครียด (Stress Management)
• ความเครียดสูงกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันโดยเฉพาะที่ช่องท้องและใบหน้า
• วิธีลดความเครียด โยคะ, สมาธิ, ออกกำลังกาย, เดินเล่น, ฟังเพลง

หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและโซเดียมสูง
• อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด, ขนมขบเคี้ยว, อาหารกระป๋อง ทำให้เกิดอาการบวมน้ำและไขมันสะสมบริเวณใบหน้า

หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
• แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายสะสมไขมันและเพิ่มอาการบวมน้ำ
• บุหรี่ส่งผลต่อระบบเผาผลาญและทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพ

รวมหัตถการลดไขมันหน้า
ถ้าใครลองคุมอาหารออกกำลังกายแล้ว ไขมันหน้าไม่ได้ลดลงได้เท่าที่ต้องการ การทำหัตถการความงามเกี่ยวกับการลดไขมันบนใบหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เราได้ผลลัพธ์ในแบบที่เราต้องการ

1.หัตถการลดไขมันบนใบหน้าด้วย EMFACE
ลดไขมันใบหน้าด้วย EMFACE คืออะไร ?
EMFACE เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อ ลดไขมันส่วนเกินและยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด แตกต่างจากหัตถการลดไขมันใบหน้าแบบเดิม เนื่องจากใช้ พลังงานคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (RF) ควบคู่กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFES™ (High-Intensity Focused Electromagnetic Stimulation) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและสลายไขมันใต้ผิว ลดไขมันบนใบหน้า

เทคโนโลยีนี้เป็นนวัตกรรมจาก BTL Aesthetics ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาอุปกรณ์เสริมความงามระดับโลกที่อยู่เบื้องหลัง EMSCULPT (เทคโนโลยีปั้นหุ่นและลดไขมันหน้าท้องด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)

หลักการลดไขมันบนใบหน้าของ EMFACE
1.การเผาผลาญและลดไขมันด้วยคลื่นความร้อน RF (Radiofrequency)
• คลื่น RF (Radiofrequency) แบบ Monopolar RF ทำหน้าที่เพิ่มอุณหภูมิใต้ผิวหนังให้สูงขึ้นประมาณ 40-42°C
• เมื่ออุณหภูมิถึงระดับนี้ ไขมันใต้ผิวหนังจะเริ่มละลาย และกระตุ้นให้ร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันผ่านกระบวนการทางชีวภาพ (apoptosis - เซลล์ไขมันตายตามธรรมชาติ)
• ส่งผลให้ไขมันสะสมที่แก้ม, คาง และกรอบหน้าลดลง

2.การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFES™ (High-Intensity Focused Electromagnetic Stimulation)
• คลื่น HIFES™ ทำให้เกิด ซุปเปอร์คอนแทรคชั่น (Super Contraction) ซึ่งเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวมากกว่าปกติ ถึง 30,000 ครั้งภายใน 20 นาที
• การกระตุ้นนี้ช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ levator muscles ที่ทำหน้าที่ยกพยุงผิว เช่น
- กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis)
- กล้ามเนื้อรอบตา (Orbicularis Oculi)
- กล้ามเนื้อแก้ม (Zygomaticus Major & Minor)
• ทำให้ใบหน้าดูกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง และปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน

3.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- คลื่น RF และ HIFES™ ทำให้เกิด neocollagenesis (กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่) และเพิ่มความยืดหยุ่นของอีลาสติน
- ช่วยให้ผิวหน้าแน่นขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และเสริมความแข็งแรงของชั้นผิว

การลงลึกของคลื่นพลังงานในการลดไขมันบนใบหน้าของ Emface
เทคโนโลยีลดไขมันบนใบหน้าของ EMFACE ใช้พลังงาน Radiofrequency (RF) และ High-Intensity Focused Electromagnetic Stimulation (HIFES™) ซึ่งมีผลต่อ 3 ชั้นผิวหลัก ได้แก่

1.ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast)
ระดับที่ EMFACE ทำงาน
• คลื่น RF ช่วยกระตุ้น ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
• กระตุ้น Neocollagenesis (การสร้างคอลลาเจนใหม่) ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น
• ช่วยลดริ้วรอยตื้น ๆ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
- ริ้วรอยลดลง ผิวเนียนขึ้น และกระชับขึ้น
- สีผิวสม่ำเสมอขึ้น และลดรอยยับใต้ตาหรือหน้าผาก

2.ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat Layer)
ระดับที่ EMFACE ทำงานในการลดไขมัน
• RF (Radiofrequency) ช่วยเพิ่มอุณหภูมิของชั้นไขมันให้สูงขึ้น (ประมาณ 40-42°C)
• เมื่อไขมันโดนความร้อนอย่างต่อเนื่อง เซลล์ไขมันจะเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis (เซลล์ตายตามธรรมชาติ)
• ร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดไขมันผ่านระบบน้ำเหลือง ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในการลดไขมัน
- ลดไขมันสะสมบริเวณแก้ม คางสองชั้น และกรอบหน้า
- ใบหน้าดูคมชัดขึ้น โดยไม่มีอาการบวมเหมือนการฉีดเมโสแฟต

3.ชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า (Superficial Musculoaponeurotic System หรือ SMAS)
ระดับที่ EMFACE ทำงาน
• HIFES™ (High-Intensity Focused Electromagnetic Stimulation) กระตุ้นกล้ามเนื้อในระดับลึก โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อ SMAS
• ทำให้เกิด Super Contraction (หดตัวแบบสุดขีด) ส่งผลให้กล้ามเนื้อใบหน้าแข็งแรงขึ้นและกระชับขึ้น
• กล้ามเนื้อที่ได้รับการกระตุ้น ได้แก่
- กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis) - ลดรอยย่นที่หน้าผาก
- กล้ามเนื้อแก้ม (Zygomaticus Major & Minor) - ช่วยยกมุมปากและลดแก้มหย่อนคล้อย
- กล้ามเนื้อรอบตา (Orbicularis Oculi) - ลดความหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
- ใบหน้าถูกยกกระชับโดยธรรมชาติ คล้ายการทำ HIFU หรือ Ulthera แต่ลึกกว่า
- ช่วยยกกระชับแนวกราม (Jawline) และลดความหย่อนคล้อยของผิว

2.หัตถการลดไขมันบนใบหน้าด้ว Oligio
ลดไขมันบนใบหน้าด้วย Oligio คืออะไร
Oligio เป็นเทคโนโลยี คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบโมโนโพลาร์ (Monopolar RF - Radiofrequency) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ยกกระชับใบหน้า ลดไขมันสะสมใต้ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม
เทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาให้ความรู้สึกสบายกว่า มีการควบคุมพลังงานที่แม่นยำขึ้น และสามารถลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้าได้ดีโดยไม่ทำให้ผิวไหม้

หลักการทำงานในการลดไขมันบนใบหน้าของ Oligio
1.ส่งพลังงาน RF (Radiofrequency) ลงสู่ชั้นผิวอย่างลึก
• Oligio ใช้ Monopolar RF ที่สามารถลงลึกถึง ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
• อุณหภูมิของพลังงาน RF สามารถเพิ่มได้ถึง 40-45°C โดยไม่ทำให้รู้สึกแสบร้อน

ผลลัพธ์ในการลดไขมันบนใบหน้า
- เผาผลาญไขมันส่วนเกินในบริเวณแก้ม คางสองชั้น และกรอบหน้า
- กระตุ้นการสลายไขมันผ่านกระบวนการ Apoptosis (เซลล์ไขมันตายตามธรรมชาติ)

2.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
• คลื่น RF จาก Oligio ช่วยกระตุ้น Fibroblast Cells ในชั้นหนังแท้ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
• ส่งผลให้ผิวดูแน่นขึ้น ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
ผลลัพธ์
- ช่วยลดความหย่อนคล้อยและกระชับผิว
- ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม

3.ลดไขมัน + ยกกระชับใบหน้าไปพร้อมกัน
• พลังงาน RF สามารถช่วย ทำให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัว (Collagen Remodeling) ทำให้ใบหน้าดูตึงขึ้นทันทีหลังทำ
• พร้อมกับช่วย กำจัดไขมันสะสมใต้ผิว โดยร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดไขมันออกทางระบบน้ำเหลืองภายใน 2-4 สัปดาห์

ผลลัพธ์หลังลดไขมันด้วย Oligio
- โครงหน้าเรียวขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด
- ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้นโดยธรรมชาติ

3.หัตถการลดไขมันบนใบหน้าด้วย Ulthera SPT
ลดไขมันบนใบหน้าด้วย Ulthera SPT คืออะไร
Ulthera SPT (See, Plan, Treat) เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของ Ultherapy ที่ใช้ คลื่นเสียงอัลตราซาวด์แบบโฟกัส (Focused Ultrasound) พลังงานสูง (HIFU - High-Intensity Focused Ultrasound) เพื่อลดไขมันใบหน้า พร้อมกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System)

Ulthera SPT เป็นเทคโนโนโลยีดไขมันที่ ได้รับการพัฒนาให้ มีความแม่นยำสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยใช้เทคนิค See, Plan, Treat ซึ่งทำให้แพทย์สามารถ มองเห็นชั้นผิวหนังแบบเรียลไทม์ เพื่อวางแผนและยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล

หลักการทำงานในการลดไขมันของ Ulthera SPT
1.See - Visualization (มองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์)
• Ulthera SPT มีหน้าจอแสดงภาพอัลตราซาวด์แบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์สามารถ มองเห็นชั้นผิวและไขมันใต้ผิว ก่อนทำการรักษา
• ช่วยให้แพทย์เลือกจุดที่เหมาะสมในการยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำ

2.Plan - วางแผนการยิงพลังงานให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
• แพทย์สามารถกำหนดระดับความลึกของพลังงานอัลตราซาวด์ให้เหมาะกับปัญหาผิวแต่ละชั้น
• หากต้องการ ลดไขมันบนใบหน้า จะยิงพลังงานลงไปที่ชั้น ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และ SMAS
• หากต้องการ ยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน จะเน้นที่ ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast Cells)

3.Treat - การส่งพลังงาน HIFU ลงสู่ชั้นผิว
• Ulthera SPT ใช้ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ยิงพลังงานลงไปที่ 3 ระดับชั้นผิว ได้แก่
1.ชั้นหนังแท้ (Dermis) - 1.5 mm - กระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย
2.ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) - 3.0 mm - สลายไขมันใต้ผิว ลดแก้มและเหนียง
3.ชั้น SMAS - 4.5 mm - ยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย

ผลลัพธ์ในการลดไขมันของ Ulthera SPT
- ลดไขมันสะสมบริเวณแก้ม คางสองชั้น และกรอบหน้า
- ยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย และเพิ่มความตึงกระชับของผิว

4.หัตถการลดไขมันบนใบหน้าด้วย Ultraformer MPT
ลดไขมันด้วย Ultraformer MPT คืออะไร
การลดไขมันด้วย Ultraformer MPT เป็นเทคโนโลยี HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เจเนอเรชันล่าสุด ที่ถูกพัฒนาโดย Classys Global ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิต Ultraformer III
เทคโนโลยีนี้ออกแบบมาให้สามารถ ลดไขมันใต้ผิวหนังและกระชับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยใช้พลังงานอัลตราซาวด์ที่สามารถลงลึกถึง ชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS)
Ultraformer MPT ถือเป็นการอัปเกรดจาก Ultraformer III โดยเพิ่มฟังก์ชัน Micro Pulse Technology (MPT) ซึ่งช่วยให้พลังงานถูกปล่อยออกมาอย่าง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทำให้ลดไขมันได้ดีขึ้นและเห็นผลเร็วขึ้น

หลักการทำงานในการลดไขมันของ Ultraformer MPT
1.Micro Pulse Technology (MPT) - พลังงานต่อเนื่องและแม่นยำ
• พลังงานอัลตราซาวด์แบบโฟกัส (HIFU) ถูกปล่อยออกมาในลักษณะของ Micro Pulse ซึ่งช่วยให้ กระจายพลังงานได้สม่ำเสมอทั่วผิว
• ลดอาการเจ็บในขณะทำ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการแสบร้อน
• ทำให้ไขมันถูกเผาผลาญอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

2.สลายไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat Reduction)
• Ultraformer MPT สามารถปล่อยพลังงานลงลึกที่ระดับ 3.0 - 4.5 mm ซึ่งเป็นระดับที่สามารถ
- ทำลายเซลล์ไขมันใต้ผิว
- กระตุ้นกระบวนการ Apoptosis (เซลล์ไขมันตายตามธรรมชาติ)
• เหมาะสำหรับ ลดไขมันบริเวณแก้ม คางสองชั้น และแนวกรอบหน้า

3.กระชับผิวและยกกระชับกล้ามเนื้อ (SMAS Tightening)
• พลังงานสามารถลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการทำศัลยกรรมดึงหน้า
• ทำให้เกิดการ หดตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวตึงขึ้นและใบหน้ากระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ลดไขมันที่หน้าอย่างเห็นได้ชัด

4.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
• คลื่นอัลตราซาวด์ทำให้ ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ในชั้นหนังแท้ (Dermis) ถูกกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
• ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น

ลองเลือกหัตถการในการลดไขมันบนใบหน้าที่เหมาะกับปัญหาของเรา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

รวมหัตถการลดไขมันตัว
1.หัตถการลดไขมันตัวด้วย Coolsculpting
การลดไขมันตัวด้วยเครื่อง CoolSculpting เป็นเทคโนโลยี Cryolipolysis ซึ่งใช้หลักการของ ความเย็นจุดเยือกแข็ง (-11°C ถึง -13°C) เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยไม่มีการผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น

เทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาโดย Harvard Medical School และได้รับการรับรองจาก U.S.FDA ว่าสามารถกำจัดไขมันได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออื่น ๆ เช่น ผิวหนัง เส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อ

หลักการทำงานในการลดไขมันตัวของ CoolSculpting
1.Cryolipolysis - แช่แข็งไขมันให้ตายแบบธรรมชาติ
• ใช้ อุณหภูมิต่ำกว่า -11°C เพื่อทำให้ เซลล์ไขมันตกผลึก (Fat Freezing) และเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis (เซลล์ไขมันตายตามธรรมชาติ)
• เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกกำจัดออกทางระบบน้ำเหลืองของร่างกายภายใน 2-3 เดือน

2.กำจัดเฉพาะเซลล์ไขมันโดยไม่กระทบเนื้อเยื่อรอบข้าง
• CoolSculpting ใช้เทคโนโลยีเฉพาะในการกำหนดอุณหภูมิให้เหมาะสม ลดเฉพาะเซลล์ไขมันโดยไม่ทำลายผิวหนัง เส้นเลือด หรือกล้ามเนื้อ
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมดื้อยาและไม่สามารถลดได้ด้วยการออกกำลังกาย สามารถลดไขมันออกเฉพาะจุดได้เป็นอย่างดี

3.เซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดจะไม่กลับมาอีก
• หลังจากเซลล์ไขมันถูกทำลายและถูกขับออกจากร่างกาย จะไม่สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ หากไม่มีการเพิ่มน้ำหนักมากเกินไป

การลดไขมันตัวด้วย CoolSculpting สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง
• หน้าท้อง (Abdomen) - ลดไขมันสะสมที่ดื้อจากการออกกำลังกาย
• เอวและด้านข้างลำตัว (Love Handles / Flanks) - ปรับเอวให้ดูเพรียวขึ้น
• ต้นแขน (Upper Arms) - ลดไขมันบริเวณแขนที่หย่อนคล้อย
• ต้นขา (Inner / Outer Thighs) - ลดไขมันส่วนเกินบริเวณต้นขาด้านในและด้านนอก
• คางสองชั้น (Double Chin) - ลดไขมันบริเวณใต้คาง
• สะโพก (Banana Roll - ใต้ก้น) - ลดไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณก้น

ผลลัพธ์ที่ได้จากการลดไขมันด้วย CoolSculpting
• ลดปริมาณไขมันบริเวณที่ทำลง 20-30% ต่อครั้ง
• เห็นผลลัพธ์ภายใน 1-3 เดือน หลังจากร่างกายขจัดเซลล์ไขมันออก
• ปรับรูปร่างให้กระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
• ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

2.หัตถการลดไขมันตัวด้วย INDIBA
หัตถการ ลดไขมันตัวด้วย INDIBA คืออะไร
การลดไขมันด้วย INDIBA เป็นเทคโนโลยี Radiofrequency (RF) Therapy ที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงที่ 448 kHz ซึ่งเป็นความถี่เฉพาะที่มีผลต่อเซลล์ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีลดไขมันนี้ได้รับการวิจัยและพัฒนาจากประเทศสเปน และได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางการแพทย์ระดับสากล (CE และ FDA) ว่ามีความปลอดภัยและช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วน และฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ดี

หัตถการลดไขมันด้วย INDIBA ใช้พลังงานอะไร
• ใช้ คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF - Radiofrequency) ที่ความถี่ 448 kHz
• ความถี่นี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ INDIBA ที่สามารถลงลึกถึง ชั้นไขมันใต้ผิวและกล้ามเนื้อ ได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
• เทคโนโลยีนี้แบ่งเป็น 2 โหมดพลังงานในการลดไขมัน

1.CAP Mode (Capacitive Mode) - ทำงานในระดับ ผิวชั้นตื้น (Superficial Layer) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
2.RES Mode (Resistive Mode) - ทำงานในระดับ ชั้นไขมันลึก (Subcutaneous Fat) และชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer)

ลดไขมันตัวด้วย INDIBA มีผลต่อชั้นผิวระดับไหน

ชั้นผิว

พลังงานที่ใช้

ผลลัพธ์

ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)

CAP Mode

ฟื้นฟูผิว เพิ่มความชุ่มชื้น

ชั้นหนังแท้ (Dermis)

CAP Mode

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลดริ้วรอยและเซลลูไลต์

ชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Fat)

RES Mode

เผาผลาญไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกผ่านระบบน้ำเหลือง

ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer)

RES Mode

กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดการตึงของกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูเนื้อเยื่อ

หลักการทำงานในการลดไขมันของ INDIBA
1.CAP Mode - กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว
• คลื่น RF จะปล่อยพลังงานลงไปในระดับ ผิวชั้นตื้นและชั้นหนังแท้ (Dermis)
• กระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
• ลดอาการบวมน้ำและเซลลูไลต์ ทำให้ผิวดูกระชับและแน่นขึ้น

2.RES Mode - เผาผลาญไขมันและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
• พลังงาน RF ลงลึกถึงระดับ ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer) ลดไขมันสะสม
• ช่วย เพิ่มอุณหภูมิในชั้นไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวและถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง
• กระตุ้น การไหลเวียนเลือดและออกซิเจนในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นและช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ

INDIBA ใช้ลดไขมันบริเวณไหนได้บ้าง
• หน้าท้อง (Abdomen) - ลดไขมันหน้าท้องและช่วยให้ผิวกระชับขึ้น
• ต้นขาและสะโพก (Thighs & Hips) - ลดไขมัน ลดเซลลูไลต์ และกระชับต้นขา
• ต้นแขน (Arms) - ลดไขมันแขนที่หย่อนคล้อยและทำให้แขนกระชับขึ้น
• แผ่นหลังและเอว (Back & Flanks) - ลดไขมันสะสมบริเวณด้านหลังและรอบเอว
• ก้น (Buttocks) - ลดไขมันและทำให้ก้นกระชับขึ้น
• น่อง (Calves) - ลดไขมันและทำให้น่องดูเรียวขึ้น

ลดไขมันตัวด้วย INDIBA เหมาะกับใคร
• ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด
• ผู้ที่ต้องการกระชับผิว ลดเซลลูไลต์ และปรับรูปร่าง
• ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและลดอาการปวดจากการออกกำลังกาย
• ผู้ที่ต้องการเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
• ผู้ที่ต้องการลดอาการบวมน้ำและกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต

3.หัตถการลดไขมันตัวด้วย Emsulpt
หัตถการลดไขมันด้วย Emsculpt เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM™ - High-Intensity Focused Electromagnetic Technology) เพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงและต่อเนื่อง (Supramaximal Contractions)

• สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว มากกว่า 20,000 ครั้งภายใน 30 นาที ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายตามปกติ
• ช่วย เผาผลาญไขมัน (Lipolysis) และเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ (Hypertrophy & Hyperplasia) ได้ในเวลาเดียวกัน

การลดไขมันตัวด้วย Emsculpt ใช้พลังงานอะไร
• ใช้ พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM™ - High-Intensity Focused Electromagnetic Technology)
• HIFEM™ เป็น พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวอย่างรุนแรง (Supramaximal Contractions) โดยไม่ต้องใช้แรงจากร่างกาย
• พลังงานนี้สามารถ ลงลึกได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผิวหนังชั้นบนหรืออวัยวะอื่น ๆ

การลดไขมันตัวด้วย EmSculpt ทำงานกับชั้นผิวระดับไหน

ชั้นผิว / ชั้นไขมัน

ระดับความลึก

ผลของ EmSculpt

ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)

0-0.5 mm

ไม่มีผลโดยตรง

ชั้นหนังแท้ (Dermis)

1-2 mm

ไม่มีผลโดยตรง

ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)

3-5 mm

กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน (Lipolysis)

ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer)

5-10 mm

กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ สร้างกล้ามเนื้อใหม่ (Hypertrophy & Hyperplasia)

หลักการทำงานในการลดไขมันตัวของ EmSculpt
1.กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบ Supramaximal Contractions
• คลื่น HIFEM™ กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวอย่างต่อเนื่องและรุนแรง มากกว่า 20,000 ครั้งภายใน 30 นาที
• การหดตัวระดับนี้เป็นไปไม่ได้ในการออกกำลังกายปกติ

2.เผาผลาญไขมันและกำจัดเซลล์ไขมัน
• ขณะกล้ามเนื้อทำงานอย่างหนัก ร่างกายจะดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงาน
• กระบวนการ Lipolysis (การสลายไขมัน) เกิดขึ้น ทำให้เซลล์ไขมันถูกกำจัดออกทางระบบน้ำเหลือง สามารถลดไขมันได้แบบเห็นได้ชัด

ลดไขมันตัวด้วย EmSculpt สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง
• หน้าท้อง (Abdomen) - ลดไขมันหน้าท้อง สร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abs)
• ก้น (Buttocks - Emsculpt Butt Lift) - กระชับและยกก้นโดยไม่ต้องฉีดไขมัน
• ต้นแขน (Arms - Biceps & Triceps) - เพิ่มกล้ามแขน ลดไขมันต้นแขน
• ต้นขา (Thighs - Quadriceps & Hamstrings) - เสริมความแข็งแรงของต้นขา
• น่อง (Calves) - เสริมกล้ามเนื้อน่อง

ผลลัพธ์ที่ได้จากการลดไขมันด้วย EmSculpt
• เพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ 16-18% ภายใน 4 ครั้ง
• ลดไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ได้ 19-23%
• สร้างกล้ามท้องและ Six-Pack ได้เร็วขึ้น
• กระชับกล้ามเนื้อและลดไขมันโดยไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
• ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน - 1 ปี หากดูแลร่างกายดี

เปรียบเทียบหัตถการลดไขมัน EmSculpt vs Indiba vs CoolSculpting
เทคโนโลยีที่ใช้ในการลดไขมันของแต่ละตัว

หัตถการ

เทคโนโลยี

หลักการทำงาน

EmSculpt

HIFEM™ (High-Intensity Focused Electromagnetic Technology)

กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวระดับสูงสุด (Supramaximal Contractions) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมัน

Indiba

Monopolar RF (448 kHz Radiofrequency)

ใช้คลื่นวิทยุความถี่เฉพาะเจาะจงเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน กระชับผิว และฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

CoolSculpting

Cryolipolysis (Fat Freezing Technology)

ใช้ความเย็น -9°C แช่แข็งเซลล์ไขมันให้ตายและถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการลดไขมัน
1.ออกกำลังกายแบบไหนช่วยลดไขมันได้เร็วที่สุด?
การออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญและลดไขมันได้เร็วที่สุดคือ คาร์ดิโอแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) เช่น

• Sprint 30 วินาที + เดิน 30 วินาที (วนซ้ำ 15-20 นาที)
• Jump Squats, Burpees, Mountain Climbers (ทำเป็นเซ็ตสลับกัน)

HIIT เผาผลาญไขมันได้ดีกว่าคาร์ดิโอแบบปกติ และช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานหลังออกกำลังกาย (Afterburn Effect)
นอกจากนี้ ควรทำ เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ควบคู่กัน เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเร่งการเผาผลาญไขมันในระยะยาว

2.ลดไขมันเฉพาะจุดได้จริงหรือไม่ ?
ไม่สามารถลดไขมันเฉพาะจุดได้ตามธรรมชาติ เช่น ซิทอัพไม่ได้ช่วยลดพุงโดยตรง แต่การลดไขมันต้องทำให้ไขมันทั่วร่างกายลดลง โดยใช้

• คาร์ดิโอ + ควบคุมอาหาร เพื่อให้ร่างกายใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงาน
• เวทเทรนนิ่ง เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันตลอดเวลา

หากต้องการลดไขมันเฉพาะจุดแบบรวดเร็ว อาจใช้ หัตถการทางการแพทย์ เช่น CoolSculpting, Emsculpt, Indiba หรือ HIFU เพื่อกำจัดไขมันในบริเวณที่ต้องการ

3.ควรกินอะไรเพื่อลดไขมัน ?
อาหารที่ช่วยลดไขมันควรเป็น อาหารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญและลดการสะสมไขมัน เช่น

• โปรตีนสูง - อกไก่, ไข่, ปลา, กรีกโยเกิร์ต, เต้าหู้ (ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมันดีขึ้น)
• ไขมันดี - อะโวคาโด, ถั่ว, น้ำมันมะกอก, น้ำมันมะพร้าว (ช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานได้ดี)
• ไฟเบอร์สูง - ผักใบเขียว, ธัญพืชเต็มเมล็ด, เบอร์รี่ (ช่วยให้อิ่มนานและลดการกินจุกจิก)
• คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน - ข้าวกล้อง, มันหวาน, ควินัว, ขนมปังโฮลวีต (ให้พลังงานที่ยั่งยืนและไม่ทำให้ไขมันสะสมง่าย)

หลีกเลี่ยง น้ำตาล, อาหารแปรรูป, ไขมันทรานส์, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ไขมันสะสมง่ายขึ้น

4.การทำ IF (Intermittent Fasting) ช่วยลดไขมันได้จริงไหม ?
สามารถช่วยลดไขมันได้ เพราะ IF ช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงาน โดยมีวิธีที่นิยมคือ 16/8 (อด 16 ชั่วโมง กิน 8 ชั่วโมง)

• ระหว่างช่วงอดอาหาร อินซูลินลดลง ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
• กระตุ้น Autophagy (กระบวนการฟื้นฟูเซลล์) ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
• ควรเลือกกินอาหารที่มี โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และไขมันดี ในช่วงที่กิน

อย่างไรก็ตาม IF ไม่ได้ช่วยลดไขมันโดยอัตโนมัติ ถ้ากินเกินพลังงานที่ร่างกายต้องการ ก็ยังอ้วนได้

5.ทำไมบางคนลดไขมันได้เร็ว แต่บางคนลดช้า ?
การลดไขมันเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

1.อัตราการเผาผลาญ (Metabolism) - คนที่มีกล้ามเนื้อมากจะเผาผลาญไขมันได้เร็วกว่า
2.ฮอร์โมน - ฮอร์โมนไทรอยด์และอินซูลินมีผลต่อการเผาผลาญไขมัน
3.อายุ - อายุที่มากขึ้นทำให้ระบบเผาผลาญช้าลง
4.กิจกรรมประจำวัน - คนที่เคลื่อนไหวมาก (NEAT สูง) เผาผลาญไขมันได้มากกว่า
5.พฤติกรรมการกิน - การกินอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง ไขมันทรานส์ ทำให้ลดไขมันได้ยากขึ้น

วิธีแก้ไข
• เน้นอาหารที่มี โปรตีนสูง + ไฟเบอร์สูง
• ออกกำลังกายให้ เน้นเวทเทรนนิ่ง + คาร์ดิโอ
• เพิ่มการเคลื่อนไหวระหว่างวัน เช่น เดินมากขึ้น

6.ดื่มน้ำช่วยลดไขมันได้จริงไหม ?
ดื่มน้ำช่วยลดไขมันได้จริง เพราะ
• ช่วยกระตุ้น Metabolism (อัตราการเผาผลาญพลังงาน) ได้ถึง 30%
• ลดอาการบวมน้ำ ทำให้ร่างกายขับโซเดียมและสารพิษออก
• ทำให้รู้สึกอิ่ม ลดความอยากอาหาร
• ช่วยให้ ตับและไตทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น

ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหารจะช่วยลดปริมาณการกินลงได้

7.หัตถการทางการแพทย์ช่วยลดไขมันได้จริงหรือไม่ ?
สามารถช่วยลดไขมันได้ แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับเป้าหมาย

1.CoolSculpting - กำจัดไขมันถาวรโดยใช้ความเย็น (-9°C) ทำให้เซลล์ไขมันตายและถูกขับออกจากร่างกาย
2.Emsculpt - ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM™ กระตุ้นกล้ามเนื้อหดตัวระดับสูงสุด (20,000 ครั้งใน 30 นาที) ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมัน
3.Indiba - ใช้คลื่นวิทยุ RF (448 kHz) เผาผลาญไขมัน กระชับผิว ลดเซลลูไลต์ และฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
4.Liposuction (ดูดไขมัน) - เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสมเยอะและต้องการกำจัดออกแบบรวดเร็ว

ข้อสำคัญ
• หัตถการช่วยลดไขมันเฉพาะจุด แต่ไม่ได้ช่วยควบคุมน้ำหนักโดยรวม
• หากไม่คุมอาหารและออกกำลังกาย ไขมันอาจกลับมาสะสมใหม่ได้

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการลดไขมัน
การลดไขมันทางหัตถการทางแพทย์ สามารถแยกออกมาเป็นการลดไขมันที่ใบหน้า และการลดไขมันที่ลำตัว เราต้องเลือกเทคโนโลยีที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เรากังวลให้มากที่สุด เพื่อให้เราได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจมากที่สุด แต่ถ้าเกิดใครยังไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับหัตถการอะไร สามารถทักมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ ในการประเมิณปัญหาและ สามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับปัญหา ซึ่งทางรมย์รวินท์คลินิก มีเทคโนโลยที่ทันสมัยและมีแพทย์ Specialist ที่พร้อมกำจัดไขมันส่วนเกินและออกแบบใบหน้าและรูปร่างให้ดูสมส่วน

เรื่อง บทความน่ารู้ ที่คุณอาจสนใจ