สิวไต ไม่มีหัว คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาอย่างไร
สิวไต
สิวไต ไม่มีหัว คืออะไร เกิดจากอะไร วิธีรักษาให้หาย
สิวไตหรือสิวที่ไม่มีหัว เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อย และสร้างความกังวลใจให้กับหลายคน เพราะทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสและคนอื่นสังเกตได้ง่าย แม้ว่าสิวไตอาจหายเองได้ในบางกรณี แต่การรักษาอาจใช้ระยะเวลานาน และหากดูแลไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา เช่น รอยดำ หลุมสิว หรือการอักเสบของสิวที่รุนแรงขึ้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและวิธีรักษาสิวไตอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถรักษาสิวไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิวไต หรือ สิวเป็นไต คืออะไร
สิวไต หรือ สิวเป็นไต (Nodular Acne) เป็นคำที่คนทั่วไปมักใช้เรียกสิวที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง อยู่ใต้ผิวหนัง และไม่มีหัวชัดเจน จะกดสิวหรือบีบออกไม่ได้ และอาจทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส สิวชนิดนี้เกิดจากการอักเสบลึกของรูขุมขนและต่อมไขมัน สิวไตอาจอักเสบรุนแรงจนเป็นสิวหัวช้างได้
ลักษณะของสิวไต
• เป็นตุ่มแข็งและลึกใต้ผิวหนัง
• ไม่มีหัวหนองให้กดสิวออก
• มักมีอาการเจ็บหรือปวดบริเวณที่เป็น
• อาจเป็นตุ่มแดงหรือบวมร่วมด้วย
• หากหายแล้วอาจเกิดรอยดำหรือหลุมสิวได้ง่าย
สิวไตเกิดจากสาเหตุอะไร
สิวไตหรือสิวเป็นไตเกิดจากหลายปัจจัย ที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบลึกใต้ผิวหนัง ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
1.สิวไตเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
• เกิดจากไขมัน (Sebum) ที่ผลิตมากเกินไป
• เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมจนทำให้รูขุมขนอุดตัน
• การสะสมของแบคทีเรียทำให้เกิดการอักเสบ
2.สิวไตเกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุล
• วัยรุ่นที่มีระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น
• ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน
• โรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น PCOS (กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ)
3.สิวไตเกิดจากพันธุกรรม
หากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวเคยเป็นสิวอักเสบรุนแรง หรือสิวไต มีโอกาสที่คุณจะเป็นได้ง่ายขึ้น
4.สิวไตเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน
• เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหนักๆ
• ล้างหน้าไม่สะอาด ทำให้มีสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขน
5.สิวไตเกิดจากความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ
• ความเครียดกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• การนอนดึกทำให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ไม่ดี
6.สิวไตเกิดจากอาหารและพฤติกรรมการกิน
• อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมปังขาว น้ำหวาน ของทอด
• นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนม อาจมีฮอร์โมนที่กระตุ้นการเกิดสิว
• ดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายขับของเสียออกไม่ดี
7.สิวไตเกิดจากสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
• สัมผัสใบหน้าบ่อยๆ ทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว
• ใช้หมอน ผ้าห่ม โทรศัพท์มือถือที่ไม่สะอาด
• มลภาวะ ฝุ่นละออง และเหงื่อ ทำให้ผิวระคายเคือง
สิวไตมักพบบริเวณไหนบ่อย ๆ
สิวไตมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ และมีแนวโน้มเกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ง่าย โดยบริเวณที่พบบ่อย ได้แก่
1.สิวไตที่ใบหน้า
• สิวไตที่คาง และ สิวไตที่กราม มักเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิง เช่น ช่วงมีประจำเดือน
• สิวไตที่หน้าผาก มักเกิดจากความมันสะสม และการใช้ผลิตภัณฑ์ผมที่อุดตันรูขุมขน
• สิวไตที่จมูก และ สิวไตข้างจมูก เป็นบริเวณที่มีรูขุมขนกว้างและผลิตน้ำมันมาก
• สิวไตที่แก้ม อาจเกิดจากแบคทีเรียที่สะสมจากการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ หรือหมอนสกปรก
2.สิวไตที่หลัง
• บริเวณกลางหลังและช่วงบนของหลัง เป็นจุดที่มีต่อมไขมันหนาแน่น
• อาจเกิดจากเหงื่อสะสม เสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว
3.สิวไตที่หน้าอก
• มักเกิดจากความอับชื้น เหงื่อสะสม และเสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี
• บางครั้งอาจเกิดจากฮอร์โมน เช่นเดียวกับสิวไตบริเวณคาง
4.สิวไตที่ก้น และ สิวไตที่ต้นขา
• มักเกิดจากการเสียดสีของเสื้อผ้า หรือการอุดตันของรูขุมขน
• อาจเกี่ยวข้องกับการนั่งนาน ๆ หรือการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น
5.สิวไตที่ขมับหรือไรผม
อาจเกิดจากความมันของเส้นผม การใช้ผลิตภัณฑ์ผมที่อุดตันรูขุมขน หรือหมวกที่ไม่สะอาด
สิวไตหายเองได้ไหม กี่วันหาย
สิวไตสามารถยุบหรือหายเองได้ในบางกรณี แต่สิวไตมักใช้เวลานานกว่าสิวประเภทอื่น เนื่องจากสิวไตเป็นสิวอักเสบที่เกิดลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวหนองให้ระบายออก ทำให้ระยะเวลาการหายของสิวขึ้นอยู่กับร่างกายและการดูแลผิวของแต่ละบุคคล
ระยะเวลาที่สิวไตจะหาย
• หากปล่อยให้หายเอง อาจใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรง
• หากมีการอักเสบรุนแรง อาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าสิวจะยุบหรือจางลง
• สิวไตที่มีขนาดใหญ่และไม่ได้รับการรักษา อาจทิ้งรอยดำหรือรอยแผลเป็นถาวร
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการหายของสิวไต
• ขนาดและความรุนแรงของสิวไต ถ้าสิวไตมีขนาดใหญ่มาก การอักเสบจะรุนแรงและใช้เวลาหายนานขึ้น
• พฤติกรรมการดูแลผิว การใช้ยาแต้มสิวที่เหมาะสมสามารถช่วยลดระยะเวลาการหาย
• อาหารและการใช้ชีวิต อาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิวไต เช่น นมวัว น้ำตาล ของมัน อาจทำให้สิวหายช้าขึ้น
• การรักษาสิวไตที่เหมาะสม หากพบแพทย์และใช้ยา เช่น ยาทาผสมเรตินอยด์ ยาปฏิชีวนะ หรือการฉีดสเตียรอยด์เฉพาะจุด อาจช่วยให้สิวยุบได้ภายในไม่กี่วัน
สิวไตรักษาอย่างไร มีวิธีอะไรบ้าง
สิวไตเป็นสิวอักเสบที่ฝังลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวและมักหายช้า ดังนั้นการรักษาต้องเน้นลดการอักเสบของสิว และป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว โดยสามารถรักษาได้ทั้งแบบธรรมชาติ และหัตถการทางการแพทย์ ดังนี้
วิธีรักษาสิวไตแบบธรรมชาติ
1.ประคบอุ่นเพื่อให้สิวยุบเร็วขึ้น
• ใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำอุ่น (อุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนเกินไป)
• ประคบบริเวณที่เป็นสิวไต วันละ 10-15 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
• ความร้อนช่วยเปิดรูขุมขน กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยให้สิวระบายตัวเร็วขึ้น
2.ใช้น้ำผึ้งฆ่าเชื้อสิว และลดอาการอักเสบ
• น้ำผึ้งแท้มีสารต้านแบคทีเรีย ที่ช่วยฆ่าเชื้อและลดการอักเสบของสิว
• วิธีใช้
1.ใช้น้ำผึ้งดิบแต้มลงบนสิวไต ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที
2.ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำวันละ 1-2 ครั้ง
3.ใช้เจลว่านหางจระเข้ลดอาการบวมแดง
• ว่านหางจระเข้ มีสารต้านการอักเสบและช่วยปลอบประโลมผิว
• วิธีใช้
1.ทาเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์ลงบนสิว
2.ปล่อยให้ซึมเข้าสู่ผิวโดยไม่ต้องล้างออก
3.ใช้วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน
4.แต้มสิวด้วยน้ำมันทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)
• ทีทรีออยล์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบของสิว
• วิธีใช้
1.ผสมน้ำมันทีทรีออยล์ 1-2 หยด กับน้ำสะอาดหรือน้ำมันมะพร้าว
2.ใช้สำลีแต้มลงบนสิวไต ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
3.ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำวันละ 1-2 ครั้ง
5.ใช้ขมิ้นลดการอักเสบของสิวไต
• ขมิ้นมีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่ช่วยลดการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย
• วิธีใช้
1.ผสมผงขมิ้นกับน้ำสะอาดหรือน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อครีม
2.แต้มลงบนสิวไต ทิ้งไว้ 15-20 นาที
3.ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละ 1 ครั้ง
6.ใช้น้ำแข็งลดอาการบวมและปวดสิวไต
• น้ำแข็งช่วยลดการอักเสบ ทำให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น
• วิธีใช้
1.ห่อก้อนน้ำแข็งด้วยผ้าสะอาด
2.ประคบลงบนสิวไตครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
7.มาส์กหน้าด้วยดินสอพอง + น้ำมะนาว ลดความมันและสิวไต
• ดินสอพองช่วยดูดซับความมันส่วนเกิน
• น้ำมะนาวมีกรด AHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
• วิธีใช้
1.ผสมดินสอพองกับน้ำมะนาวเล็กน้อยให้เป็นเนื้อครีม
2.ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที
3.ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
8.ดื่มน้ำขิงลดการอักเสบจากภายใน
• ขิงมีสารต้านการอักเสบและช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
• วิธีใช้
1.ฝานขิงบางๆ แล้วแช่ในน้ำร้อน
2.ดื่มวันละ 1-2 แก้ว
9.ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดการเกิดสิวไต
• ล้างหน้าให้สะอาดแต่ไม่บ่อยเกินไป ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่มีสารก่อให้เกิดการอุดตัน
• ใช้สกินแคร์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic) หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนัก ๆ
• ควบคุมอาหาร ลดของมัน ของทอด และน้ำตาล เลี่ยงอาหารที่กระตุ้นสิว เช่น ชานมไข่มุก ของหวาน
• ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
• นอนหลับให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ลดความเครียดและช่วยให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และลดฮอร์โมนความเครียด
วิธีรักษาสิวไตด้วยหัตถการทางการแพทย์
แม้ว่าบางกรณีสิวไตก็สามารถหายได้เอง แต่หากปล่อยสิวไตไว้นานเกินไปโดยไม่รักษา อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะยุบลง และอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้ การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ จึงสามารถช่วยลดการอักเสบของสิวไตให้หายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหรือรอยหลุมสิว
1.การฉีดสเตียรอยด์เข้าสิว
หลักการทำงาน
• ใช้สารคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Triamcinolone Acetonide) ฉีดเข้าไปในสิวไตโดยตรง
• ลดอาการบวม อักเสบ และทำให้สิวยุบเร็วขึ้น
ข้อดี
• เห็นผลเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง
• ลดการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวไต
ข้อควรระวัง
• ไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวเป็นรอยบุ๋มถาวร
• การฉีดสิวรักษาสิวไต ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น
2.การกดสิวหรือเจาะสิว
หลักการทำงาน
• แพทย์ใช้เครื่องมือปลอดเชื้อในการเจาะหรือกดสิวออก
• ช่วยระบายหนองออก ลดการอักเสบ และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น
ข้อดี
• ลดโอกาสที่สิวไตจะอักเสบมากขึ้น
• ป้องกันการเกิดสิวซ้ำที่เดิม
ข้อควรระวัง
• ห้ามกดเอง เพราะอาจทำให้สิวอักเสบหนักขึ้นหรือเกิดแผลเป็น
• ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมเท่านั้น
3.เลเซอร์รักษาสิว
เลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาสิวไต
3.1 AviClear Laser
• เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ล่าสุดที่ได้รับการรับรองจาก US FDA สำหรับรักษาสิว
• ใช้ความยาวคลื่น 1726 นาโนเมตร เจาะจงไปที่ ต่อมไขมัน เพื่อลดการผลิตน้ำมัน
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง รวมถึงสิวไต
• ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และช่วยลดการเกิดสิวในอนาคต
3.2 Intense Pulsed Light (IPL) Laser
• ใช้พลังงานแสงเข้มข้นหลายช่วงคลื่นในการลดสิวและรอยแดงจากสิว
• ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes ที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบ
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยดำและรอยแดงจากสิว
ข้อดีของการใช้เลเซอร์รักษาสิวไต
• เลเซอร์รักษาสิวไตช่วยลดอาการอักเสบของสิวไต
• เลเซอร์รักษาสิวไตช่วยป้องกันการเกิดรอยดำและรอยแผลเป็น
• เลเซอร์รักษาสิวไตช่วยเร่งการฟื้นฟูผิวให้สภาพดีขึ้น
ข้อควรระวัง
• ควรทำโดยแพทย์ และแนะนำให้ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
• หลังทำเลเซอร์ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
4.การฉายแสงลดสิว (LED Light Therapy)
หลักการทำงาน
ใช้แสงสีน้ำเงิน (Blue Light 415 nm) หรือแสงสีแดง (Red Light 630 nm) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดอาการอักเสบของสิว
ข้อดี
• ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เข็มหรือยา
• ช่วยลดสิวอักเสบและสิวไตได้โดยไม่ต้องสัมผัสผิว
ข้อควรระวัง
อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้เห็นผลชัดเจน
5.การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว
หลักการทำงาน
• ใช้กรดผลัดเซลล์ผิว เช่น Salicylic Acid, Glycolic Acid หรือ TCA (Trichloroacetic Acid)
• ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดสิวไตที่ฝังลึก
ข้อดี
• ลดความมันบนผิว ลดโอกาสเกิดสิวใหม่
• ช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้นและลดรอยสิว
ข้อควรระวัง
• อาจเกิดอาการแสบ แดง และผิวลอกหลังทำ
• ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด
6.การรักษาสิวไตด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RF Therapy)
หลักการทำงาน
• ใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุช่วยกระชับรูขุมขน ลดความมัน และลดสิวอักเสบ
• ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นหลังจากสิวหาย
ข้อดี
• ลดการเกิดสิวซ้ำ ควบคุมการทำงานของต่อมไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น
• กระชับรูขุมขน ป้องกันการอุดตันของรูขุมขนในอนาคต
• ช่วยลดรอยสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
ข้อควรระวัง
ต้องทำหลายครั้งเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
7.นวัตกรรมเลเซอร์รักษาสิว AviClear
AviClear เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาปัญหาสิวโดยเฉพาะ รวมถึงสิวไต ซึ่งเป็นสิวอักเสบที่ฝังลึกใต้ผิวหนัง เลเซอร์ AviClear มีความยาวคลื่น 1726 นาโนเมตร ที่สามารถเจาะจงไปยังต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) เพื่อลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
คุณสมบัติและประสิทธิภาพของ AviClear
• รักษาสิวทุกระดับความรุนแรง AviClear สามารถรักษาสิวได้ตั้งแต่ระดับเบาจนถึงรุนแรง รวมถึงสิวไต
• ผลลัพธ์ยาวนาน จากการศึกษาพบว่า 92% ของผู้เข้ารับการรักษามีสิวลดลงอย่างมีนัยสำคัญภายใน 1 ปีหลังการรักษา
• ความปลอดภัย AviClear ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ว่าสามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ข้อดีของการรักษาสิวด้วย AviClear
• เลเซอร์รักษาสิว AviClear ช่วยลดการใช้ยา การรักษาด้วยเลเซอร์ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาทาและยารับประทานที่อาจมีผลข้างเคียง
• เลเซอร์รักษาสิว AviClear ระยะเวลาการรักษาสั้น แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที และควรทำการรักษาทั้งหมด 3 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
• เลเซอร์รักษาสิว AviClear ไม่ต้องพักฟื้น หลังการรักษาสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที
สรุป AviClear เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาสิวไตและสิวประเภทอื่น ๆ โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินจากต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว หากคุณสนใจการรักษาด้วย AviClear ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสม และวางแผนการรักษาที่ตรงกับสภาพผิวของคุณ
สิวไตบีบหรือเจาะเองได้ไหม
ไม่ควรบีบหรือเจาะสิวไตเอง เพราะสิวไตเป็นสิวอักเสบที่ฝังลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวให้กดออกเหมือนสิวหัวหนองหรือสิวอุดตัน หากพยายามบีบหรือกด อาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น
เหตุผลที่ไม่ควรบีบสิวไตเอง
• สิวไตไม่มีหัวหนองให้กดออก การพยายามบีบจะไปกระตุ้นการอักเสบ ทำให้สิวยิ่งบวมแดงและเจ็บมากขึ้น อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียกระจายไปยังบริเวณอื่น
• บีบสิวไตเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มือที่ไม่สะอาดหรือการบีบสิวด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงขึ้น อาจทำให้เกิดฝีหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง ซึ่งรักษายากกว่าเดิม
• บีบสิวไตเองเสี่ยงเกิดรอยดำและหลุมสิว การบีบสิวแรงเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดแผล และกระตุ้นให้เม็ดสีผิวเข้มขึ้น ทำให้เกิดรอยดำหลังสิวหาย อาจทำให้เกิดหลุมสิวถาวร เพราะเนื้อเยื่อถูกทำลายจากการกดสิว
• บีบสิวไตเองอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น หากบีบสิวไตไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดการอักเสบลึกขึ้นและกลายเป็นสิวหัวช้าง (Cystic Acne) ที่รักษายากกว่าเดิม
สิวไตสามารถปล่อยไว้ได้ไหม
สิวไตไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป โดยเฉพาะถ้าสิวมีขนาดใหญ่ขึ้น จะเจ็บมากหรืออักเสบรุนแรง อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อ การเกิดสิวลุกลาม หรือรอยแผลเป็นจากสิวถาวร
สิวไตแบบไหนที่ควรรีบรักษา
หากมีอาการต่อไปนี้ ไม่ควรปล่อยสิวไตไว้ และควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษา
• สิวไตมีขนาดใหญ่และเจ็บมาก
• สิวไตเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในตำแหน่งเดิม
• สิวไตมีอาการบวม แดง หรือเป็นหนอง
• มีไข้ร่วมกับการอักเสบของสิวไต (อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อรุนแรง)
• สิวไตไม่ยุบหลังผ่านไป 2-4 สัปดาห์
สิวไตส่งผลกระทบอะไรบ้าง
1.สิวไตส่งผลกระทบทางร่างกาย
• อาการปวดและความไม่สบายตัว
• การอักเสบและลุกลามของสิว
• การเกิดรอยแผลเป็น รอยดำ และหลุมสิว
• อาจลุกลามเป็นฝีหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง
2.สิวไตส่งผลกระทบทางจิตใจและอารมณ์
• ส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง
• อาจทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล
• ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
3.สิวไตส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและการใช้ชีวิต
• ใช้เวลามากขึ้นในการดูแลผิว
• ต้องปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต
• อาจต้องพึ่งพาการรักษาทางการแพทย์
วิธีป้องกันไม่ให้สิวไตกลับมาเป็นซ้ำ
1.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสม
• ล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
• เลือกคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอุดตัน เช่น Salicylic Acid หรือ Benzoyl Peroxide
• หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวแห้งและผลิตน้ำมันมากขึ้น
2.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตโดยหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน
• ใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีคำว่า "Non-comedogenic"
• หลีกเลี่ยงครีมที่มีน้ำมันหนัก ๆ หรือเนื้อเหนียวหนึบ
• เช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนเข้านอน
3.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการควบคุมความมันบนใบหน้า
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความมัน เช่น โทนเนอร์ที่มี Witch Hazel หรือ Niacinamide
• ซับหน้าด้วยกระดาษซับมันระหว่างวัน
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ
4.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการหลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิว
• ไม่ควรบีบสิวไต เพราะอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเกิดรอยแผลเป็น
• หากสิวมีขนาดใหญ่ ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้อง
5.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการควบคุมอาหารและดื่มน้ำให้เพียงพอ
• ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง ของทอด และผลิตภัณฑ์จากนมวัว
• เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มี Omega-3 เช่น ปลาแซลมอน ถั่ว และเมล็ดแฟลกซ์
• ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
6.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
• หลีกเลี่ยงความเครียดที่อาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิว
• นอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูตัวเอง
7.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการหมั่นทำความสะอาดของใช้ส่วนตัว
• เปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
• ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย
• ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้า
8.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตโดยหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผมที่อาจทำให้เกิดสิว
• สเปรย์แต่งผมและน้ำมันใส่ผมอาจทำให้รูขุมขนอุดตัน
• หากใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ควรหลีกเลี่ยงการให้สัมผัสผิวหน้า
9.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการใช้ยาทาหรือยาป้องกันสิวหากจำเป็น
• ทายาในกลุ่ม Retinoid (Tretinoin, Adapalene) เพื่อช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
• หากเป็นสิวไตบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยา
10.ป้องกันไม่ให้เกิดสิวไตด้วยการตรวจเช็คปัญหาฮอร์โมนหากสิวไตเกิดขึ้นบ่อย
• หากสิวไตขึ้นบ่อยโดยเฉพาะบริเวณคางหรือกราม อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
• ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาในกลุ่มที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน
สรุปเกี่ยวกับสิวไต
สรุปได้ว่า สิวไตเป็นสิวอักเสบที่เกิดลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวหนองให้กดออก และมักหายช้ากว่าสิวทั่วไป สิวไตสามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหรือสิวเรื้อรังที่รักษายาก การดูแลรักษาสิวไตสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งวิธีรักษาสิวไตแบบธรรมชาติและการรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ อย่างเช่น เลเซอร์รักษาสิว AviClear ที่ช่วยลดโอกาสเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวไต อาการรุนแรงหรือเกิดขึ้นซ้ำ ๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด