สิวหัวแข็ง คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร รักษาอย่างไร เพื่อผิวเนียนใส
สิวหัวแข็ง
สิวหัวแข็งคืออะไร รู้สาเหตุและวิธีรักษา เพื่อผิวเนียนใส
สิวหัวแข็ง เป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมันหรือรูขุมขนกว้าง สิวชนิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน แต่ยังอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย และหากจัดการไม่ถูกต้องอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสิวหัวแข็งให้มากขึ้น พร้อมเผยวิธีจัดการและป้องกันที่ได้ผลจริง
สิวหัวแข็งคืออะไร เป็นอย่างไร
สิวหัวแข็ง หรือสิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedone) เป็นสิวที่เกิดจากไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นตุ่มแข็งใต้ผิวหนัง มักไม่อักเสบแต่กดออกยาก และสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ ได้หากติดเชื้อแบคทีเรีย
ลักษณะของสิวหัวแข็ง
• เป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ สีเดียวกับผิวหรือสีขาว
• ไม่มีหัวหนองเหมือนสิวอักเสบ
• กดออกยาก และมักฝังลึกใต้ผิว
• พบได้บ่อยบริเวณ หน้าผาก คาง แก้ม และข้างจมูก
สิวหัวแข็งเกิดจากอะไร
สิวหัวแข็งเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบของผิวหนัง สาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
1.สิวหัวแข็งเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
• ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ทำให้ไขมันไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวหัวแข็ง
• เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสม เมื่อเซลล์ผิวผลัดตัวไม่สมบูรณ์ ก็จะไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวหัวแข็ง
• สิ่งสกปรกและเครื่องสำอางตกค้าง หากล้างหน้าไม่สะอาดพอ อาจมีสารตกค้างสะสมในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวหัวแข็ง
2.สิวหัวแข็งเกิดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) มีผลต่อการเพิ่มการผลิตน้ำมัน ทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะในวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น โรคถุงน้ำรังไข่ (PCOS)
3.สิวหัวแข็งเกิดจากแบคทีเรีย P.acnes
แบคทีเรีย Propionibacterium acnes เจริญเติบโตในรูขุมขนอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบและสิวหัวแข็ง
4.สิวหัวแข็งเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่าง
• เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงที่มีน้ำมันเยอะ อาจทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวหัวแข็ง
• ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอุดตันรูขุมขน เช่น ซิลิโคนบางประเภท อาจทำให้เกิดสิวหัวแข็งได้
5.สิวหัวแข็งเกิดจากพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิว
• สิวหัวแข็งเกิดจากการล้างหน้าบ่อยเกินไป ทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• สิวหัวแข็งเกิดจากการจับหน้า/บีบสิวบ่อย ๆ นำเชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว ทำให้เกิดสิวอักเสบ
• สิวหัวแข็งเกิดจากอาหารที่มีน้ำตาลสูง / นมวัว อาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินและ IGF-1 ทำให้เกิดสิวมากขึ้น
• สิวหัวแข็งเกิดจากความเครียด ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนและเพิ่มการผลิตน้ำมัน
• สิวหัวแข็งเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการซ่อมแซมผิว ทำให้สิวขึ้นง่ายขึ้น
6.พันธุกรรม
หากพ่อแม่มีปัญหาสิวหัวแข็งหรือมีลักษณะผิวมัน ลูกก็อาจมีแนวโน้มเป็นสิวหัวแข็งได้ง่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องใส่ใจดูแลผิวเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวแข็งหรือสิวอักเสบง่าย
วิธีรักษาสิวหัวแข็งอย่างไรให้หาย
การรักษาสิวหัวแข็งให้หาย ลดความเสี่ยงเกิดสิวอักเสบ มีหลากหลายวิธีที่สามารถใช้กับแต่ละบุคคล ทั้งวิธีรักษาสิวหัวแข็งด้วยตัวเองและวิธีทางการแพทย์ ดังนี้
1.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยลดการอุดตัน
• เลือกคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารระคายเคือง เพื่อช่วยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิวหัวแข็งจนเกิดการอักเสบ
• เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพื่อช่วยขจัดไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันรูขุมขน ลดการเกิดสิวหัวแข็ง
• ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ไม่ควรล้างบ่อยเกินไป เพราะจะกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่ม เป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง
2.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว
• Salicylic Acid (BHA) ซึมเข้าสู่รูขุมขน ช่วยลดการอุดตันและลดการเกิดสิวหัวแข็ง
• Glycolic Acid (AHA) ผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ลดการสะสมของสิ่งสกปรกในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง รวมถึงช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
• Lactic Acid อ่อนโยนกว่ากรดผลัดเซลล์อื่น ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและมีปัญหาสิวหัวแข็ง
• แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวช่วยลดสิวหัวแข็ง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถ้าผิวไม่ระคายเคือง สามารถเพิ่มเป็นทุกวันได้
3.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการใช้เรตินอลช่วยลดการอุดตัน
• Retinol, Adapalene หรือ Tretinoin กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน ทำให้ช่วยลดสิวหัวแข็งตามไปด้วย
• แนะนำเริ่มต้นใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มความถี่ เมื่อผิวปรับตัวได้ เพื่อช่วยลดสิวหัวแข็ง
• แนะนำใช้เรตินอลลดสิวหัวแข็งตอนกลางคืน และควรทากันแดดทุกวัน เพราะผิวจะไวต่อแสง
4.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการหลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดสิว
• เลือกมอยส์เจอไรเซอร์และกันแดดที่เป็น Non-comedogenic ลดการอุดตันรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง
• หลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนัก ๆ หรือซิลิโคนบางชนิด ที่อาจทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง
• หากใช้เครื่องสำอาง ควรล้างออกให้สะอาดหมดจดทุกครั้ง เพื่อช่วยไม่ให้รูขุมขนอุดตันที่เป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง
5.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการหลีกเลี่ยงบีบหรือแกะสิว
• การกดสิวหัวแข็งเองอาจทำให้เกิดการอักเสบและทิ้งรอยแผลเป็น
• หากจำเป็น ควรไปพบแพทย์เพื่อกดสิวหัวแข็งอย่างถูกวิธี
6.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
• ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงและนมวัว เนื่องจากอาจกระตุ้นการเกิดสิวหัวแข็ง
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดโอกาสการอุดตันที่ทำให้เกิดสิวหัวแข็ง
• นอนหลับให้เพียงพอและลดความเครียด เพราะฮอร์โมนที่ไม่สมดุลทำให้เกิดสิวหัวแข็งได้
• เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัว และของใช้ที่สัมผัสหน้าเป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวหัวแข็ง
7.รักษาสิวหัวแข็งด้วยเลเซอร์รักษาสิว AviClear
AviClear เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสิวโดยเฉพาะ โดยใช้ความยาวคลื่น 1,726 นาโนเมตร เพื่อยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว AviClear Laser ได้รับการรับรองจาก US FDA ว่าเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถรักษาสิวทุกระดับความรุนแรง ได้โดยตรงที่ต้นเหตุ โดยไม่ต้องใช้ยา
หลักการทำงานของ AviClear
• AviClear ใช้ พลังงานเลเซอร์ในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะ (1,726 นาโนเมตร) ที่สามารถดูดซับพลังงานเข้าไปในต่อมไขมันโดยตรง
• เมื่อได้รับพลังงานเลเซอร์ ต่อมไขมันจะค่อยๆ ลดการผลิตน้ำมัน ทำให้สิวลดลง โดยไม่ต้องใช้ยา
• AviClear ไม่ทำลายต่อมไขมันโดยตรง แต่ ปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมัน
• เมื่อทำครบ 3 ครั้ง ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันน้อยลง ซึ่งช่วยลดสิวในระยะยาว
• ไม่ทำให้ผิวไหม้ ไม่ทำลายเม็ดสีผิว เลือกทำงานเฉพาะกับต่อมไขมัน
• ไม่มีผลข้างเคียง ทำให้สามารถใช้ได้กับทุกสีผิวและทุกสภาพผิว
• AviClear มีระบบ AviCool™ ลดความร้อน ควบคุมอุณหภูมิผิว ลดอาการไม่สบายผิว
ข้อดีของการรักษาด้วย AviClear
• รักษาสิวได้ทุกระดับความรุนแรง
• ลดความมันบนใบหน้า
• ไม่จำเป็นต้องใช้ยาทาหรือยารับประทานเพิ่มเติม
• ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว
• หลังการรักษาไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที
ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการรักษา
• แนะนำให้ทำการรักษา 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละประมาณ 4 สัปดาห์
• แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
หลังการรักษาครบ 3 ครั้ง สิวอักเสบลดลงเฉลี่ย 71% และผลลัพธ์คงอยู่ยาวนานถึง 1-2 ปี
หมายเหตุ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม
8.รักษาสิวหัวแข็งด้วยเลเซอร์รักษาสิว Accure Laser
Accure Laser เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่ใช้สำหรับ รักษาสิวจากต้นเหตุ โดยมุ่งเน้นไปที่การลดการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
หลักการทำงานของ Accure Laser
• ใช้ความยาวคลื่น 1,726 นาโนเมตร ที่สามารถลงลึกถึงต่อมไขมันโดยตรง
• ส่งพลังงานความร้อน ควบคุมอย่างแม่นยำ เพื่อทำให้ต่อมไขมันฝ่อตัวลง
• ช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ทำให้ลดการเกิดสิวในระยะยาว
ข้อดีของการรักษาด้วย Accure Laser
• รักษาสิวจากต้นเหตุ เน้นการลดการทำงานของต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
• ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว
• ลดการใช้ยารักษาสิว ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาทาหรือยารับประทานที่อาจมีผลข้างเคียง
ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการรักษา
• แนะนำให้ทำการรักษาประมาณ 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน
• แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
• หลังการรักษาครั้งแรก สิวอาจลดลงประมาณ 30%
• หลังการรักษาครบ 4 ครั้ง สิวอาจลดลงมากกว่า 70%
หมายเหตุ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนเข้ารับบริการ
9.รักษาสิวหัวแข็งด้วยโปรแกรมรักษาสิว AC Clear
โปรแกรม AC Clear ที่ รมย์รวินท์คลินิก เป็นโปรแกรมการรักษาสิวที่ออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนการรักษาที่ครอบคลุม เพื่อฟื้นฟูสุขภาพผิวและลดการเกิดสิวใหม่
ขั้นตอนการรักษาในโปรแกรม AC Clear
1.การกดสิว แพทย์จะทำการกดสิวอุดตันอย่างถูกวิธี เพื่อลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวอักเสบ
2.การฉีดสิว สำหรับสิวที่มีการอักเสบ แพทย์จะฉีดยาเฉพาะจุดเพื่อยับยั้งการอักเสบ ลดอาการบวมแดง และช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น
3.การทำทรีตเมนต์ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว และควบคุมความมันบนใบหน้า เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่
4.การมาส์ก ขั้นตอนสุดท้ายคือการมาส์กเพื่อปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง และฟื้นฟูสภาพผิวหลังการรักษา
ประโยชน์ของโปรแกรม AC Clear
• รักษาสิวจากต้นตอด้วยขั้นตอนที่ครอบคลุม ช่วยจัดการปัญหาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ
• ลดการเกิดสิวใหม่ด้วยการควบคุมความมันและลดเชื้อแบคทีเรีย
• ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น
หมายเหตุ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนเข้ารับบริการ
สิ่งที่ควรทำเมื่อเป็นสิวหัวแข็ง
1.ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีแอลกอฮอล์และน้ำหอม
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ไม่ล้างบ่อยเกินไป
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยลดการอุดตัน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ Salicylic Acid (BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดสิ่งอุดตัน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ Retinoids (Retinol, Adapalene, Tretinoin) ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ Benzoyl Peroxide ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
3.เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์และกันแดดที่ไม่อุดตัน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรเลือกใช้สกินแคร์ที่ Non-comedogenic หรือ Oil-Free
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ครีมกันแดดสูตร Physical หรือ Chemical Sunscreen ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว
4.ดูแลการกินอาหารและไลฟ์สไตล์
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง นมวัว และอาหารไขมันสูง
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรดื่มน้ำให้เพียงพอและพักผ่อนให้เพียงพอ
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดความเครียด
5.พบแพทย์หากสิวไม่ดีขึ้น
หากสิวหัวแข็งเป็นเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยา หรือทำเลเซอร์รักษาสิว
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวหัวแข็ง
1.ห้ามบีบ แกะ หรือกดสิวเอง
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรบีบ แกะเกา หรือกดสิวเอง เพราะการบีบสิวอาจทำให้เกิดการอักเสบ และกลายเป็นรอยแผลเป็นหรือหลุมสิว
2.หลีกเลี่ยงการล้างหน้าหรือขัดผิวแรงเกินไป
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรล้างหน้าหรือขัดผิวแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง และอาจกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น
3.ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนัก หรืออุดตันรูขุมขน
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรหลีกเลี่ยงครีมบำรุงหรือเครื่องสำอางที่มีซิลิโคนหนัก ๆ น้ำมันมิเนอรัล และพาราเบน
4.ไม่ใช้ยาแต้มสิวหลายตัวพร้อมกัน
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรใช้ยาแต้มสิวหลายตัวพร้อมกัน เพราะการใช้หลายผลิตภัณฑ์อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวมากขึ้น
5.ไม่สัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ เพราะมือมีเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก อาจทำให้ปัญหาสิวแย่ลง
6.หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นสิว
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง นมวัว อาหารทอด และอาหารแปรรูป เพราะอาจกระตุ้นให้สิวเพิ่มขึ้น
สิวหัวแข็งหายเองได้ไหม
คำตอบคือ สิวหัวแข็ง (สิวอุดตันหัวปิด) อาจหายเองได้ แต่ใช้เวลานาน และมีโอกาสพัฒนาเป็นสิวอักเสบ ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ดูแลอย่างเหมาะสม
ปัจจัยที่ทำให้สิวหัวแข็งหายเองได้
• กระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ - ผิวมีการผลัดเซลล์และขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนเอง แต่กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
• ฮอร์โมนที่สมดุลขึ้น - ในบางกรณีที่สิวเกิดจากฮอร์โมน หากฮอร์โมนกลับมาอยู่ในระดับปกติ สิวอาจลดลงเอง
• ดูแลผิวอย่างเหมาะสม - หากหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น อาหารที่ก่อให้เกิดสิว หรือการใช้ผลิตภัณฑ์อุดตันรูขุมขน อาจช่วยให้สิวค่อยๆ ดีขึ้น
กรณีที่สิวหัวแข็งไม่หายเอง
• หากรูขุมขนอุดตันลึกและแน่นมาก - สิวหัวแข็งบางชนิดอาจอยู่ใต้ผิวหนังเป็นเวลานาน และไม่สามารถหายไปเอง
• อาจพัฒนาเป็นสิวอักเสบ - ถ้าต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปและมีเชื้อแบคทีเรียเข้ามา สิวหัวแข็งอาจกลายเป็นสิวอักเสบที่เจ็บและเกิดรอยแผลเป็น
• สิวหัวแข็งจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุล - หากสิวเกิดจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุล เช่น ในช่วงวัยรุ่น หรือผู้ที่มีภาวะ PCOS (ถุงน้ำรังไข่) สิวอาจไม่หายเอง
สิวหัวดำแข็ง ๆ อันตรายไหม
โดยทั่วไป สิวหัวดำแข็ง ๆ หรือสิวหัวแข็ง ไม่ได้อันตรายร้ายแรง ในกรณีที่มีน้อยและดูแลรักษาอย่างถูกต้องก่อนลุกลาม แต่หากมีสิวหัวแข็งจำนวนมากและปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจทำให้เกิดปัญหาผิวในระยะยาว เช่น อักเสบ ติดเชื้อ เกิดรอยแผลเป็นจากสิว หรือหลุมสิว
สาเหตุของสิวหัวดำแข็ง ๆ
• สิวหัวแข็งเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยมีไขมัน (Sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมตัวกัน
• สิวหัวแข็งที่มีสีดำเพราะไขมันที่สัมผัสอากาศ แล้วเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation)
• หากสิวหัวแข็งมีสีดำและฝังลึก อาจเกิดจากไขมันที่แข็งตัวและสะสมเป็นเวลานาน
เมื่อไหร่ที่สิวหัวดำแข็ง ๆ อาจเป็นอันตราย
• หากมีการอักเสบของสิวหัวแข็ง - ถ้าสิวหัวดำแข็งเริ่ม บวม แดง หรือเจ็บ อาจเกิดการติดเชื้อและกลายเป็น สิวอักเสบ
• หากสิวหัวแข็งมีขนาดใหญ่ผิดปกติ - อาจไม่ใช่แค่สิวธรรมดา แต่เป็น ซีสต์ไขมัน (Sebaceous Cyst) หรือ ตุ่มเนื้องอกใต้ผิวหนัง
• หากพยายามบีบหรือกดสิวหัวแข็งออกเอง - อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน ทำให้เกิด สิวอักเสบ รอยแดง หรือแผลเป็น
สรุปสิวหัวแข็งสีดำอันตรายไหม
• สิวหัวดำแข็ง ๆ หรือสิวหัวแข็ง ไม่อันตราย แต่ถ้าปล่อยไว้อาจอักเสบหรือกลายเป็นสิวเรื้อรัง
• หากสิวหัวแข็งมากและไม่หลุดเอง ควรพบแพทย์ แทนการบีบออกเอง
• สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายหัวสิว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
หากสิวหัวดำหรือสิวหัวแข็งมีมากและไม่หาย อาจต้องใช้วิธีกดสิว ทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ เพื่อรักษาสิวหัวแข็งอย่างปลอดภัย
สิวหัวแข็งสามารถกดเองได้ไหม
คำตอบคือ ไม่แนะนำให้กดสิวหัวแข็งเอง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น สิวอักเสบ รอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็น หากกดสิวผิดวิธี
ทำไมไม่ควรกดสิวหัวแข็งเอง
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะอาจกดไม่หมดและอุดตันซ้ำ สิวหัวแข็งมักฝังลึก หากกดออกไม่หมด อาจทำให้สิวกลับมาอุดตันซ้ำ
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ หากกดแรงเกินไป ผิวอาจได้รับบาดเจ็บและทำให้เกิดสิวอักเสบ
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มือและอุปกรณ์ที่ไม่สะอาดอาจนำเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะจะเกิดรอยดำและหลุมสิว การกดสิวแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็นหลุมสิว
ทำไมสิวหัวแข็งถึงบีบไม่ออก
สิวหัวแข็ง หรือ สิวอุดตันหัวปิด เป็นสิวที่ฝังลึกและมีชั้นผิวหนังปิดทับอยู่ ทำให้ไม่สามารถบีบออกได้ง่ายเหมือนสิวหัวเปิด โดยมีสาเหตุที่สิวหัวแข็งบีบไม่ออก ดังนี้
1.สิวอุดตันอยู่ลึกเกินไป
• สิวหัวแข็งมักเกิดจากการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วจึงอยู่ลึกใต้ผิว
• สิวหัวแข็งไม่มีรูเปิดที่ผิวหนัง จึงไม่สามารถบีบออกได้ง่าย
2.ไขมันที่อุดตันมีลักษณะแข็งตัว
• ไขมัน (Sebum) และเคราตินที่สะสมเป็นเวลานาน อาจกลายเป็นก้อนแข็ง ฝังแน่นในรูขุมขน
• การบีบสิวหัวแข็งเองไม่สามารถดึงไขมันแข็งนี้ออกมาได้ทั้งหมด
3.สิวยังไม่สุก หรือหัวสิวไม่เปิด
ถ้าสิวหัวแข็งยังไม่พัฒนาเต็มที่ การบีบออกจะทำได้ยาก และอาจทำให้เกิดการอักเสบแทน
4.รูขุมขนถูกปิดกั้นด้วยชั้นผิวหนัง
• บางครั้งผิวหนังชั้นบนหนาเกินไป ทำให้สิวหัวแข็งไม่สามารถทะลุออกมาเองได้
• การรักษาสิวหัวแข็งจำเป็นต้องใช้วิธีช่วยผลัดเซลล์ผิวให้รูขุมขนเปิด
5.บีบผิดวิธีหรือใช้แรงมากเกินไป
• หากบีบสิวหัวแข็งโดยใช้แรงมากไป อาจทำให้ผิวช้ำหรือเป็นแผลโดยที่หัวสิวยังไม่ออก
• การบีบสิวหัวแข็งผิดตำแหน่งอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น
สรุปเกี่ยวกับสิวหัวแข็ง
สรุปว่า สิวหัวแข็งเป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง สิวหัวแข็งอาจนำไปสู่สิวอักเสบหรือทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนผิว การเข้าใจสาเหตุของสิวหัวแข็ง รวมถึงวิธีรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการเลือกใช้เทคโนโลยีรักษาสิว เช่น AviClear หรือ Accure Laser สามารถช่วยลดสิวหัวแข็งและปัญหาสิวอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่มีสิวหัวแข็งหรือปัญหาสิวที่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน และลดโอกาสเกิดสิวซ้ำซากได้ดีที่สุด ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด