romrawin

ฝ้าเลือดคืออะไร เกิดจากอะไร มีวิธีรักษายังไงให้หายขาด

ฝ้าเลือด

ฝ้าเลือดคืออะไร เกิดจากอะไร รักษายังไงให้หาย
ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่หลายคนคุ้นเคย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานหรือวัยกลางคน ที่เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่รู้หรือไม่ว่า “ฝ้า” ไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว หนึ่งในรูปแบบที่รักษาได้ยากและซับซ้อนกว่าฝ้าทั่วไป ก็คือ “ฝ้าเลือด” ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับฝ้าประเภทนี้อยู่ ฝ้าเลือดมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างจากฝ้าทั่วไป โดยเกี่ยวข้องกับทั้งเม็ดสีเมลานินและเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ทำให้ต้องใช้วิธีรักษาที่เจาะจงและเหมาะสมมากกว่า ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับฝ้าเลือดให้ชัดเจนขึ้น ว่าฝ้าเลือดคืออะไร มีลักษณะอย่างไร สาเหตุของการเกิดฝ้าเลือด ความแตกต่างระหว่างฝ้าเลือดกับฝ้าอื่น ๆ และแนวทางวิธีรักษาฝ้าเลือด เพื่อให้คุณสามารถดูแลรักษาฝ้าเลือดให้จางลงได้อย่างถูกต้อง

ฝ้าเลือดคืออะไร มีลักษณะอย่างไร
ฝ้าเลือด (Telangiectatic Melasma) คือ ฝ้าประเภทหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังร่วมกับการสะสมของเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดรอยปื้นคล้ำที่มีสีออก แดง ชมพู หรือสีน้ำตาลอมแดง แตกต่างจากฝ้าทั่วไปที่มักมีสีน้ำตาลเข้มหรือเทา

ลักษณะของฝ้าเลือด
• ฝ้าเลือดมีสีผิวเปลี่ยนแปลงเป็นสีแดงหรือชมพู มักมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ เห็นชัดบนผิวหน้า โดยเฉพาะเวลาถ่ายภาพด้วยแสงแฟลชหรือส่องกล้องขยาย
• ฝ้าเลือดอาจมีสีผสมกันระหว่างแดง ชมพู และน้ำตาล สีของฝ้าไม่สม่ำเสมอ มีทั้งโทนร้อน (จากเส้นเลือด) และโทนเข้ม (จากเม็ดสี)
• ฝ้าเลือดมักพบบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และสันจมูก
• ฝ้าเลือดอาจมีลักษณะคล้ายฝ้าธรรมดา แต่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป เช่น การทาครีมลดฝ้าอาจไม่ได้ผลดี เพราะต้นเหตุเกี่ยวข้องกับเส้นเลือด

ฝ้าเลือดเกิดจากอะไร รู้ต้นตอปัญหา
ฝ้าเลือดเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวผิดปกติ ร่วมกับการสะสมของเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

1.ฝ้าเลือดเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง
เส้นเลือดฝอยมีการขยายตัวมากกว่าปกติ ทำให้มองเห็นเป็นปื้นแดงหรือชมพูบนใบหน้า และทำให้สีของฝ้ามีลักษณะคล้ายแดงเรื่อ ๆ ไม่ใช่แค่สีน้ำตาลแบบฝ้าทั่วไป

2.ฝ้าเลือดเกิดจากการกระตุ้นจากรังสี UV
แสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB กระตุ้นการสร้างเมลานิน และทำให้เส้นเลือดฝอยขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่มีฝ้าเลือด

3.ฝ้าเลือดเกิดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการรักษาด้วยฮอร์โมน มีผลต่อการกระตุ้นเมลานินและความไวของผิว ทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น

4.ฝ้าเลือดเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์
ครีมหรือยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือสารเคมีอันตราย เมื่อใช้ติดต่อกันนานเกินไป อาจทำให้ผิวบางลงและเกิดการขยายของเส้นเลือดฝอย ทำให้ฝ้าเลือดชัดเจนขึ้น

5.ฝ้าเลือดเกิดจากการระคายเคืองผิว
การขัดถูแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรงบ่อย ๆ อาจกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวและเกิดรอยฝ้าเลือด

6.ฝ้าเลือดเกิดจากพันธุกรรม
หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้าเลือด มีโอกาสสูงที่บุคคลในสายเลือดเดียวกันจะมีแนวโน้มเกิดฝ้าประเภทนี้ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

ฝ้าเลือดพบบ่อยบริเวณไหน
ฝ้าเลือดมักพบในบริเวณที่ผิวหน้าสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นประจำ และมีแนวโน้มเกิดได้ง่ายในตำแหน่งที่มีเส้นเลือดฝอยอยู่ใกล้ผิวหนังมาก โดยบริเวณที่พบฝ้าเลือดได้บ่อย ได้แก่

1.ฝ้าเลือดที่โหนกแก้ม เป็นบริเวณที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากรับแสงแดดโดยตรงมากที่สุดเมื่ออยู่กลางแจ้ง
2.ฝ้าเลือดที่หน้าผาก มีผิวบางและรับรังสี UV ได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สวมหมวกหรือใช้ครีมกันแดด
3.ฝ้าเลือดที่เหนือริมฝีปาก (ระหว่างจมูกกับปาก) เป็นจุดที่พบฝ้าชนิดนี้ได้บ่อย และอาจทำให้ลักษณะดูคล้ายเงาเหนือริมฝีปาก
4.ฝ้าเลือดที่สันจมูก เป็นจุดที่แดดตกกระทบโดยตรงเช่นกัน และบางรายอาจพบว่ามีเส้นเลือดฝอยปรากฏเด่นชัด
5.ฝ้าเลือดที่ขมับและกรอบหน้า โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่มีส่วนผสมระคายเคือง อาจเกิดร่วมกับฝ้าเลือด

โดยทั่วไปฝ้าเลือดจะมีลักษณะเป็น ปื้นสีชมพู แดง หรือน้ำตาลแดง ที่ไม่สม่ำเสมอ และอาจเห็นเส้นเลือดเล็ก ๆ ใต้ผิวร่วมด้วย ซึ่งแตกต่างจากฝ้าธรรมดาที่มักเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทา

ฝ้าเลือดส่งผลกระทบอะไรบ้าง
ฝ้าเลือดแม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงหรืออันตรายต่อชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อหลายด้านในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในแง่สุขภาพผิวหรือความมั่นใจ ดังนี้

1.ฝ้าเลือดส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์
• ฝ้าเลือดทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน
• สีของฝ้าเลือดมักเป็นแดง ชมพู หรือน้ำตาลแดง ซึ่งเห็นชัดเจน โดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางแดดหรือแสงไฟ
• หลายคนที่มีปัญหาฝ้าเลือดมักรู้สึกกังวลเมื่อต้องพบปะผู้คน หรือถ่ายรูปแบบไม่มีแอพแต่งผิว

2.ฝ้าเลือดส่งผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ
• บางคนที่มีปัญหาฝ้าเลือดอาจรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลจากการรักษาแล้วไม่ดีขึ้น
• คนที่มีฝ้าเลือดอาจเกิดความรู้สึกหงุดหงิด หรือเสียสมาธิจากการคิดถึงสภาพผิวอยู่ตลอดเวลา
• ในบางกรณีสำหรับคนที่มีปัญหาฝ้าเลือดอาจถึงขั้นหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม

3.ฝ้าเลือดส่งผลต่อสุขภาพผิวระยะยาว
• หากไม่ดูแลหรือรักษาฝ้าเลือดอย่างถูกต้อง อาจทำให้ฝ้าเลือดลุกลามหรือฝังลึกขึ้น
• การใช้ครีมผิดประเภทหรือสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์ อาจทำให้ผิวบางลงและเส้นเลือดฝอยชัดขึ้นมากกว่าเดิม
• อาจเกิดปัญหาอื่นร่วมกับฝ้าเลือด เช่น ผิวอักเสบ ระคายเคือง หรือเกิดเส้นเลือดขอดบนใบหน้า

4.ฝ้าเลือดส่งผลกระทบด้านค่าใช้จ่าย
• การรักษาฝ้าเลือดมักต้องใช้ระยะเวลาและความต่อเนื่อง อาจต้องทำทรีตเมนต์หรือเลเซอร์หลายครั้ง
• ค่าใช้จ่ายจึงสูงกว่าการดูแลฝ้าทั่วไป และหากรักษาฝ้าเลือดไม่ถูกวิธี อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน

ฝ้าเลือดสามารถรักษาให้หายได้ไหม
ฝ้าเลือดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้จางลงและควบคุมไม่ให้กลับมาเข้มขึ้นได้ หากได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธีอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลที่ฝ้าเลือดรักษาให้หายขาดไม่ได้
• ฝ้าเลือดมีสาเหตุจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังที่ขยายตัวผิดปกติ ซึ่งเป็นโครงสร้างถาวรในชั้นผิว ไม่สามารถทำให้หายได้ทั้งหมด
• นอกจากนี้ฝ้าเลือดยังมีปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก เช่น แสงแดด และ ฮอร์โมน ที่หลีกเลี่ยงได้ยากในชีวิตประจำวันอีกด้วย

ฝ้าเลือดต่างจากฝ้าชนิดอื่นอย่างไร
ฝ้าเลือดแตกต่างจากฝ้าชนิดอื่น ๆ ทั้งในด้านลักษณะสีของฝ้า สาเหตุการเกิด และแนวทางวิธีรักษา โดยสามารถเปรียบเทียบได้ ดังนี้

ตารางเปรียบเทียบฝ้าเลือด vs ฝ้าชนิดอื่น

 

ฝ้าธรรมดา (ฝ้าตื้น/ฝ้าลึก)

ฝ้าเลือด

ลักษณะ

สีน้ำตาลอ่อน เทา หรือน้ำตาลเข้ม

สีชมพู แดง น้ำตาลอมแดง

สาเหตุหลัก

เม็ดสีเมลานินสะสมในผิว

เม็ดสีเมลานินและเส้นเลือดฝอยใต้ผิวขยายตัวผิดปกติ

ตำแหน่งที่พบบ่อย

โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก

โหนกแก้ม หน้าผาก ข้างจมูก เหนือริมฝีปาก

การมองเห็นเส้นเลือดฝอย

ไม่เห็น

เห็นเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ใต้ผิวชัดเจน

แนวทางวิธีรักษา

ครีมทาฝ้า ทรีตเมนต์ผลัดผิว เลเซอร์เม็ดสี

ครีมทาฝ้า เลเซอร์ลดเส้นเลือด เช่น IPL, ND YAG

โอกาสกลับมาเป็นซ้ำ

มีโอกาสสูง หากไม่ดูแลผิวหรือโดนแดด

มีโอกาสสูงเช่นกัน และมักต้องดูแลต่อเนื่องมากกว่า

สรุปความแตกต่างของฝ้าเลือดและฝ้าชนิดอื่น
• ฝ้าชนิดอื่น เกิดจากเม็ดสีเมลานินเพียงอย่างเดียว มักตอบสนองต่อครีมและการป้องกันแสง
• ฝ้าเลือด มีความซับซ้อนมากกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับทั้งเม็ดสีและเส้นเลือด จึงต้องใช้แนวทางรักษาเฉพาะ เช่น เลเซอร์ที่ลดรอยแดง

ทำความรู้จัก ฝ้ามีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ฝ้า (Melasma) คือภาวะที่ผิวหนังมีจุดหรือปื้นสีเข้มกว่าสีผิวปกติ เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีคล้ำขึ้น ฝ้ามักเกิดบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม จมูก หรือเหนือริมฝีปาก โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงง่าย เช่น ช่วงตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด รวมถึงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้า เช่น แสงแดด ความร้อน ฮอร์โมน การอักเสบของผิว หรือแม้กระทั่งพันธุกรรมก็มีส่วนเช่นกัน

ฝ้าแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่
1.ฝ้าตื้น
เป็นฝ้าที่เกิดอยู่ในชั้นบนสุดของผิว หรือ ชั้นหนังกำพร้า

ลักษณะ
• สีของฝ้ามักจะเป็น สีน้ำตาลเข้ม หรือสีช็อกโกแลต
• ขอบเขตของฝ้าชัดเจน มองเห็นชัดเมื่ออยู่กลางแสง
• มักเกิดบนโหนกแก้ม หน้าผาก หรือจมูก
• สาเหตุหลักมักเกี่ยวข้องกับ แสงแดด ฮอร์โมน และ การใช้เครื่องสำอางบางชนิด

การรักษา
• มักตอบสนองต่อการรักษาโดยทั่วไปได้ดี เช่น ใช้ครีมทาฝ้า
• ใช้ครีมบำรุงผิวที่ทำให้ผิวกระจ่างใส เช่น กรดผลไม้ วิตามินซี
• การลอกผิว (Peeling) หรือ เลเซอร์ Q-Switched ก็สามารถช่วยได้

2.ฝ้าลึก
เป็นฝ้าที่อยู่ลึกลงไปในชั้นหนังแท้ (Dermis)

ลักษณะ
• สีของฝ้ามักจะเป็น สีน้ำตาลเทา หรือเทาอมฟ้า
• ขอบของฝ้าจะไม่ชัดเจน
• มักเป็นเรื้อรัง อยู่ได้นาน และเกิดซ้ำง่าย
• อาจเกิดจากปัจจัยลึก เช่น ฮอร์โมนเรื้อรัง ความเครียด การอักเสบของผิวเรื้อรัง

การรักษา
• ตอบสนองต่อการรักษาโดยทั่วไป เช่น ใช้ครีมทาฝ้า ได้น้อย
• ต้องใช้เวลานาน และต้องใช้การรักษาร่วมกันหลายทาง เช่น
- ยาทา
- เลเซอร์ เช่น Picosecond, Fractional
- การรับประทานอาหารเสริมที่ลดเม็ดสี

3.ฝ้าผสม
เป็นฝ้าที่มีลักษณะทั้งตื้นและลึกผสมกันในบริเวณเดียวกัน

ลักษณะ
• มีทั้งจุดที่เป็น น้ำตาลเข้ม (ฝ้าตื้น) และ สีเทาอมฟ้า (ฝ้าลึก)
• พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยฝ้า
• สังเกตยาก ต้องใช้เครื่องมือช่วยในการวินิจฉัย

การรักษา
• ต้องใช้การรักษาหลายวิธีควบคู่กัน เช่น
- ครีม
- ทรีตเมนต์
- เลเซอร์
• ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด

4.ฝ้าเลือด
ฝ้าชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกับ การขยายตัวของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง มากกว่าการสะสมของเม็ดสีเมลานิน

ลักษณะ
• ผิวจะมีสีแดงเรื่อ ๆ ชมพู หรือม่วงอ่อน บางครั้งอาจดูคล้ายผิวอักเสบ
• มักเกิดบริเวณโหนกแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
• สัมผัสผิวแล้วมักจะรู้สึกร้อนง่าย หรือแดงง่ายเวลาโดนแดดหรืออากาศร้อน
• มักพบร่วมกับฝ้าแบบอื่น เช่น ฝ้าผสม

การรักษา
• ใช้ครีมทั่วไปอาจไม่ได้ผล
• ต้องใช้เลเซอร์ที่ช่วยลดฝ้าเลือด เช่น
- V-Beam (Pulsed Dye Laser)
- IPL (Intense Pulsed Light)
• ควบคู่กับการหลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ออกแดด ซาวน่า

วิธีรักษาฝ้าเลือดให้ดูจางลง
ฝ้าเลือด ถือเป็นหนึ่งในประเภทของฝ้าที่รักษาค่อนข้างยาก และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฝ้าธรรมดา จึงทำให้หลายคนใช้ครีมลดฝ้าทั่วไปแล้วไม่เห็นผล เพราะสาเหตุของฝ้าเลือดไม่ได้เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ซึ่งมองเห็นเป็นสีแดงเรื่อ ชมพู หรือม่วงอ่อน โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มที่มักไวต่อแสงและความร้อน
การดูแลฝ้าเลือดจึงต้องใช้แนวทางควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เพื่อให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น และฝ้าค่อย ๆ จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ ขอแนะนำแนวทางการรักษาฝ้าเลือด ทั้งในด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ลดฝ้าเลือด และการดูแลผิวในชีวิตประจำวัน ที่สามารถช่วยให้ฝ้าเลือดดูจางลง

1.ลดฝ้าเลือดด้วยการใช้ครีมทาฝ้า
แม้ฝ้าเลือดจะมีองค์ประกอบของเส้นเลือด แต่เม็ดสีเมลานินก็ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมจึงยังจำเป็น โดยส่วนใหญ่ส่วนผสมที่นิยมใช้ในครีมทาฝ้า เช่น

• Tranexamic Acid ช่วยลดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี และลดการอักเสบในผิว
• Niacinamide (Vitamin B3) ช่วยลดรอยแดง เสริมเกราะผิว ลดการระคายเคืองและชะลอการสร้างเมลานิน
• Vitamin C ต้านอนุมูลอิสระ ลดเม็ดสีเมลานิน กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรง
• Arbutin / Kojic Acid / Licorice Extract เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยลดจุดด่างดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

คำแนะนำ ควรเลือกครีมที่ไม่มีสารระคายเคืองหรือสเตียรอยด์ เพราะสารเหล่านี้จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวเด่นชัดขึ้นและเป็นฝ้าซ้ำได้ง่าย

2.ลดฝ้าเลือดด้วยเลเซอร์และพลังงานแสง
การรักษาฝ้าเลือดด้วยเลเซอร์และพลังงานแสง ถือเป็นวิธีรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในรายที่ฝ้าเลือดปรากฏเป็นรอยแดงหรือเส้นเลือดฝอยร่วมด้วย โดยประเภทเลเซอร์และพลังงานแสงที่นิยมใช้ เช่น

• IPL (Intense Pulsed Light) ใช้พลังงานแสงหลายความยาวคลื่นในการลดเส้นเลือดฝอย รอยแดง และช่วยให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น เหมาะกับฝ้าเลือดที่มีสีแดง ชมพู
• Q-switched ND:YAG Laser ใช้เพื่อลดเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว เหมาะกับฝ้าเลือดที่มีทั้งรอยแดงและรอยคล้ำผสมกัน
• VBeam Laser / Pulsed Dye Laser (PDL) ออกแบบมาสำหรับลดรอยแดงและเส้นเลือดฝอยโดยตรง เป็นเลเซอร์ที่นิยมใช้ในการรักษาฝ้าเลือด

คำแนะนำ ควรทำโดยแพทย์และประเมินสภาพผิวก่อนทุกครั้ง โดยการทำเลเซอร์อาจต้องทำซ้ำเป็นคอร์สต่อเนื่อง 3-6 ครั้งขึ้นไป

3.ลดฝ้าเลือดด้วยทรีตเมนต์บำรุงผิว
• วิตามินบำรุงผิว เช่น Vitamin C, E, ALA หรือกลูต้าไธโอน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมความแข็งแรงของผิว เพื่อช่วยลดฝ้าเลือด
• ทรีตเมนต์หน้าใส (Brightening Facial) ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ลดการอุดตันของผิว เพิ่มประสิทธิภาพของการดูดซึมครีมบำรุง ให้ช่วยลดเลือนฝ้าและฝ้าเลือด

4.ลดฝ้าเลือดด้วยการดูแลตัวเอง
• ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ใช้ SPF 50 PA+++ ขึ้นไป ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อออกกลางแจ้งหรืออยู่ใกล้แสงไฟแรง เพื่อช่วยไม่ให้ฝ้าเลือดเข้มขึ้น
• หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 09.00 - 16.00 น.และหากจำเป็นควรใส่หมวกปีกกว้างหรือกางร่ม เพื่อช่วยไม่ให้ฝ้าเลือดเข้มขึ้น
• หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวหน้าแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดแรง ๆ (AHA, BHA) โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ป้องกันการเกิดฝ้าเลือด
• ควบคุมฮอร์โมน เช่น พิจารณาเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด หรือปรึกษาแพทย์หากสงสัยว่า ฝ้าเลือดอาจมีสาเหตุจากรอบเดือนหรือภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
• พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพราะความเครียดและการนอนดึก กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่อาจส่งผลต่อผิวและทำให้เกิดฝ้าเลือด

สรุปแม้ว่าฝ้าเลือดจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและทำให้จางลงได้ หากใช้แนวทางรักษาฝ้าเลือดที่เหมาะสม ร่วมกับการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ และป้องกันปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้าเลือด

วิธีป้องกันฝ้าเลือดไม่ให้เข้มขึ้น
การป้องกันฝ้าเลือดถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การรักษา เพราะถึงแม้ฝ้าเลือดจะรักษาให้จางลงได้ แต่หากยังมีปัจจัยกระตุ้นเดิม ๆ อยู่ ฝ้าเลือดก็สามารถกลับมาเข้มขึ้นได้อีก การป้องกันจึงเน้นทั้งการลดสิ่งกระตุ้นจากภายนอก และการดูแลสุขภาพผิวจากภายในอย่างต่อเนื่อง

1.ป้องกันฝ้าเลือดด้วยการทาครีมกันแดด
• ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ไม่ได้ออกจากบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเลือด
• เลือกครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ ขึ้นไป และป้องกันได้ทั้ง UVA/UVB
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเลือด
• ป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเลือด โดยใส่หมวกปีกกว้าง หรือใช้ร่มกัน UV เมื่อออกนอกบ้าน
• หลีกเลี่ยงแดดช่วง 09.00 - 16.00 น.ซึ่งเป็นช่วงที่รังสี UV เข้มข้นที่สุด

2.ป้องกันฝ้าเลือดด้วยการหลีกเลี่ยงความร้อน
• ฝ้าเลือดมีความไวต่ออุณหภูมิสูง เช่น แดด เตาไฟ หรือไอน้ำ
• หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรืออยู่ใกล้เตาแก๊ส/เตารีด เป็นเวลานาน
• หลีกเลี่ยงการใช้ไดร์ร้อนเป่าหน้าโดยตรง ซึ่งความร้อนอาจทำให้เกิดฝ้าเลือด

3.ป้องกันฝ้าเลือดด้วยการเลือกใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยน
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม กรดแรง ๆ หรือสารกัดผิว
• หลีกเลี่ยงครีมที่มีสเตียรอยด์ โดยเฉพาะที่ไม่ระบุฉลากชัดเจน ซึ่งทำให้เกิดฝ้าเลือด
• เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวจากฝ้าเลือด เช่น
- Niacinamide ช่วยลดการระคายเคืองและรอยแดง
- Ceramide / Hyaluronic Acid ช่วยเติมความชุ่มชื้น

4.ป้องกันฝ้าเลือดด้วยการควบคุมฮอร์โมนอย่างเหมาะสม
• หากสงสัยว่าฝ้าเลือดเกี่ยวข้องกับยาคุมกำเนิด หรือการรักษาด้วยฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม
• ดูแลสุขภาพรอบเดือน และรักษาสมดุลฮอร์โมนด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเลือด

5.ป้องกันฝ้าเลือดด้วยการหลีกเลี่ยงการขัดถูหรือทำร้ายผิวหน้า
• หลีกเลี่ยงการใช้สครับที่หยาบหรือการขัดหน้ารุนแรง
• ไม่ควรใช้แปรงไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดที่ทำให้เกิดแรงเสียดสีบนผิวมากเกินไป

6.ป้องกันฝ้าเลือดด้วยการดูแลสุขภาพจากภายใน
• รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผัก ผลไม้ วิตามิน C และ E
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น ลดการเกิดฝ้าและฝ้าเลือด
• นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อคืน)
• หลีกเลี่ยงความเครียด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นฮอร์โมนที่อาจส่งผลต่อการเกิดฝ้า

สรุปว่าการป้องกันฝ้าเลือดต้องเน้นความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพราะถึงแม้จะรักษาฝ้าให้จางได้ แต่หากยังสัมผัสกับแสงแดดหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายผิว ฝ้าเลือดก็มีโอกาสกลับมาเข้มขึ้นอีก การดูแลที่ดีจึงเริ่มต้นจากพฤติกรรมประจำวัน

สรุปเกี่ยวกับฝ้าเลือดคืออะไร
สรุปได้ว่า ฝ้าเลือดเป็นภาวะผิวที่หลายคนอาจมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงฝ้าชนิดทั่วไป แต่ในความจริงแล้ว ฝ้าเลือดมีความซับซ้อนมากกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยใต้ผิว รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน และพฤติกรรมการดูแลผิว แม้ฝ้าเลือดจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ร่วมกับการดูแลผิวที่เหมาะสม สามารถช่วยให้ฝ้าจางลงได้ และควบคุมไม่ให้กลับมาเข้มขึ้นอีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรู้จักฝ้าเลือดอย่างถูกต้อง และเลือกแนวทางรักษาอย่างเหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณมีผิวที่เรียบเนียน กระจ่างใส และมีความมั่นใจได้อีกครั้ง

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ