romrawin

10 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ลดรอยดำ คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้ามีอะไรบ้าง

รักษารอยแผลเป็นจากสิว

10 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ให้ดูจางลง หน้าเนียนใส
รอยแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน แม้สิวจะหายแล้ว แต่ร่องรอยที่ทิ้งไว้บนผิวหน้ายังคงอยู่ และอาจส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง รอยแผลเป็นจากสิวมีหลายรูปแบบ ทั้งรอยดำ รอยแดง หลุมสิว และแผลเป็นนูน ซึ่งแต่ละแบบก็มีแนวทางการดูแลรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่แตกต่างกันไป

การเข้าใจประเภทของรอยแผลเป็น รวมถึงเลือกวิธีการรักษารอยแผลเป็นจากสิวและดูแลผิวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผิวฟื้นฟูกลับมาเรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ทั้งรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง และการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ พร้อมข้อควรระวังและเคล็ดลับการดูแลผิว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูผิวหน้าให้กลับมาเนียนใส

รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร
รอยแผลเป็นจากสิว (Acne Scars) คือร่องรอยความเสียหายของผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากการอักเสบของสิว ซึ่งโดยทั่วไปมักเกิดจากสิวที่มีการอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง หรือสิวอุดตันที่กดหรือบีบจนเกิดการทำลายชั้นผิวหนังอย่างลึก ส่งผลให้ร่างกายต้องซ่อมแซมเนื้อเยื่อในบริเวณนั้น แต่กระบวนการซ่อมแซมอาจไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นตามมา ซึ่งการรักษารอยแผลเป็นจากสิวจะแตกต่างกันตามความรุนแรงของปัญหาผิว

รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่แบบ
เพื่อการรักษารอยแผลเป็นจากสิวให้มีประสิทธิภาพดี ควรรู้ว่าปัญหาผิวที่กำลังเป็นคือรอยแผลเป็นจากสิวประเภทใด โดยรอยแผลเป็นจากสิวสามารถแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

1.แผลเป็นจากสิวชนิดหลุม (Atrophic Scars)
แผลเป็นกลุ่มนี้เกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียเนื้อเยื่อและคอลลาเจนในระหว่างการซ่อมแซมหลังสิวอักเสบ จึงทำให้เกิดเป็นหลุมหรือร่องบนผิวหน้า โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทย่อย

1.1 Boxcar Scar
• ลักษณะ หลุมสิวขอบชัด รูปร่างคล้ายกล่อง สี่เหลี่ยมหรือกลม ขอบค่อนข้างชัน
• ความลึก ปานกลางถึงลึก
• มักพบ บริเวณแก้ม

1.2 Rolling Scar
• ลักษณะ หลุมตื้น ขอบโค้งมน ผิวดูเป็นลอนคลื่น ไม่เรียบเสมอ
• ความลึก ตื้นถึงปานกลาง
• มักเกิดจาก สิวอักเสบที่รักษาช้า หรือมีการอักเสบลึก

1.3 Ice Pick Scar
• ลักษณะ หลุมแคบ ลึกเหมือนรอยเจาะเข็ม ขอบแคบแต่ลึก
• ความลึก ลึกมากที่สุดในบรรดาหลุมสิวทั้งหมด
• มักพบ บริเวณหน้าผาก หรือบริเวณแก้มที่ผิวบาง

2.แผลเป็นจากสิวชนิดนูน (Hypertrophic & Keloid Scars)
เกิดจากการที่ร่างกายผลิตคอลลาเจนมากเกินไปในช่วงที่ผิวกำลังซ่อมแซมตัวเอง จึงกลายเป็นรอยนูนขึ้นจากผิวเดิม แบ่งได้ 2 ประเภท

2.1 Hypertrophic Scar
• ลักษณะ รอยนูนแข็ง สีชมพูหรือแดง แต่ไม่ล้ำออกจากบริเวณสิวเดิม
• ความรุนแรง น้อยกว่าคีลอยด์ และมักจางลงได้บ้างเมื่อเวลาผ่านไป
• มักพบ บริเวณหน้าอก หลัง หรือกราม

2.2 Keloid Scar
• ลักษณะ รอยนูนหนา แข็ง สีเข้มหรือคล้ำ และล้ำออกนอกบริเวณสิวเดิม
• ความรุนแรง สูงกว่า Hypertrophic รอยนูนอาจขยายใหญ่ขึ้นได้
• อาการร่วม บางรายอาจมีอาการคัน เจ็บ หรือระคายเคืองร่วมด้วย

3.รอยดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH)
ลักษณะของรอยดำ
• จุดหรือปื้นสีเข้ม เช่น สีน้ำตาล น้ำตาลคล้ำ หรือเทาอมน้ำเงิน
• เกิดขึ้นหลังสิวอักเสบหายไปแล้ว
• รอยอยู่ในระดับ ผิวหนังกำพร้า (epidermis) หรือ หนังแท้ (dermis) หากลึกมาก สีจะคล้ำมากและจางยาก

สาเหตุของรอยดำ
• การอักเสบจากสิวกระตุ้นการสร้างเมลานินมากผิดปกติ
• พฤติกรรมบีบหรือแกะสิว
• การโดนแสงแดดโดยไม่ทาครีมกันแดด ทำให้รอยดำเข้มขึ้น

4.รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema - PIE)
ลักษณะของรอยแดง
• จุดหรือบริเวณที่เป็นสีแดง ชมพู หรือแดงอมม่วง
• เกิดจากการที่เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวหรือเสียหาย
• พบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวขาวหรือผิวบอบบางง่าย

สาเหตุของรอยแดง
• การอักเสบของสิวทำให้เส้นเลือดฝอยเสียหาย
• บางครั้งร่างกายยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ ทำให้เส้นเลือดยังคงขยายอยู่
• บีบสิวแรง ๆ หรือใช้วิธีรุนแรงกับผิว

สาเหตุที่ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวแย่ลง
นอกจากรู้ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิวแล้ว การรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวแย่ลงก็เป็นสิ่งสำคัญ ในการช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างตรงจุด

1.การบีบ แกะ หรือเกาสิว
การบีบหรือแกะสิวโดยไม่ใช้อุปกรณ์ที่สะอาด หรือใช้นิ้วมือเปล่าที่มีแบคทีเรียสะสม อาจทำให้ผิวหนังชั้นลึกเสียหาย ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นถาวร เช่น หลุมสิวหรือแผลเป็นนูน นอกจากนี้ยังอาจทำให้สิวอักเสบลุกลามและทิ้งรอยแดงหรือรอยดำที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

2.การไม่ป้องกันแสงแดด
เมื่อผิวหนังได้รับรังสี UV โดยไม่มีการปกป้อง รังสีนี้จะกระตุ้นการสร้างเมลานินมากขึ้น ทำให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้นและใช้เวลาจางนานกว่าเดิม รวมถึงอาจเร่งให้รอยแดงเปลี่ยนเป็นรอยคล้ำถาวรได้ การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

3.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
การใช้สกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน หรือสารผลัดเซลล์ผิวแรงเกินไป เช่น AHA หรือ BHA ในปริมาณมากและบ่อยครั้ง อาจทำให้ผิวบางลง อักเสบ และระคายเคือง ซึ่งจะส่งผลให้รอยแผลเป็นแย่ลงหรือฟื้นตัวช้าลง ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

4.ปล่อยให้สิวอักเสบอยู่นานโดยไม่รักษา
สิวอักเสบที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะทำลายเนื้อเยื่อผิวในระยะยาว ทำให้เกิดการซ่อมแซมที่ผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่การเกิดแผลเป็นลึก หรือแผลเป็นนูนได้ในบางราย ยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นถาวร ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

5.พฤติกรรมที่ทำให้ผิวอ่อนแอ
การนอนดึก ความเครียด การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ของทอด หรือผลิตภัณฑ์จากนมมากเกินไป ล้วนมีผลต่อการอักเสบของผิว ทำให้สิวเกิดซ้ำและเกิดรอยแผลเป็นใหม่ในตำแหน่งเดิมได้บ่อยขึ้น ผิวที่อักเสบซ้ำจะมีแนวโน้มเกิดพังผืดและแผลเป็นลึกมากกว่า ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

6.การล้างหน้าแรงเกินไปหรือบ่อยเกินไป
การถูหน้ารุนแรงหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดสครับขัดถูผิวมากเกินไป อาจทำให้ผิวอักเสบ รบกวนกระบวนการฟื้นฟู และทำให้รอยแผลเป็นยิ่งเห็นชัดขึ้น ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

7.การละเลยไม่รักษารอยแผลเป็นตั้งแต่เนิ่น ๆ
แผลเป็นที่เริ่มต้นใหม่มักสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ง่ายกว่ารอยเก่าที่ฝังลึก หากปล่อยให้รอยอยู่เป็นปี ร่างกายอาจสร้างพังผืดและคอลลาเจนผิดรูปจนทำให้การรักษาในอนาคตยากขึ้น ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

8.การทำหัตถการหรือเลเซอร์โดยไม่ปรึกษาแพทย์
บางคนเลือกทำเลเซอร์หรือฉีดฟิลเลอร์โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ เกิดรอยด่างใหม่ หรือแผลเป็นที่แย่ลงกว่าเดิม หากเลือกวิธีการที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือประเภทของรอยแผลเป็น ส่งผลให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ยาก

รอยแผลเป็นจากสิว หายเองได้ไหม
คำถามที่หลายคนสงสัยว่า รอยแผลเป็นจากสิวหายเองได้ไหม ? คำตอบขึ้นอยู่กับ ชนิดของรอยแผลเป็น ว่าเป็นรอยแบบไหน เพราะแต่ละประเภทมีโอกาสในการหายแตกต่างกัน แม้ว่าจะรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้

• รอยแดงจากสิว
เป็นรอยที่เกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหายไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือผิวขาว รอยแดงนี้เกิดจากการที่เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวหรือเสียหายจากกระบวนการอักเสบของสิว รอยแดงมีโอกาสจางลงได้เองเมื่อเวลาผ่านไป โดยทั่วไปมักใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือนในการฟื้นตัวเต็มที่
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวในแต่ละบุคคล หากมีการดูแลรักษารอยแผลเป็นจากสิวอย่างเหมาะสม เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบอย่างใบบัวบกหรือไนอะซินาไมด์ หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ จะยิ่งช่วยให้รอยแดงจางลงได้เร็วขึ้น หรือในบางกรณีอาจเลือกใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวเห็นผลเร็วขึ้น

• รอยดำจากสิว
หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) ก็เป็นอีกหนึ่งรอยที่พบบ่อย มักเกิดขึ้นหลังสิวอักเสบ และปรากฏเป็นจุดสีเข้มสีน้ำตาลหรือเทา รอยดำมีโอกาสหายเองได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอยู่บนชั้นผิวหนังระดับตื้น ซึ่งอาจจางลงภายในระยะเวลา 3-12 เดือน
อย่างไรก็ตาม หากรอยดำอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ หรือไม่ได้รับการดูแลรักษารอยแผลเป็นจากสิวอย่างเหมาะสม เช่น ไม่ป้องกันแสงแดด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงกับผิว รอยดำก็อาจอยู่ยาวนานหรือกลายเป็นจุดด่างดำถาวรได้ การใช้สารลดเม็ดสี เช่น วิตามินซี อาร์บูติน หรือกรดทรานซามิก ร่วมกับการทาครีมกันแดดทุกวัน จะช่วยเร่งให้รอยดำจางไวขึ้น หรืออาจพิจารณาทำเลเซอร์ลดเม็ดสี เช่น Q-Switch เพื่อผลลัพธ์การรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

• หลุมสิว
หรือแผลเป็นลึกจากสิว ซึ่งเกิดจากการที่ผิวหนังถูกทำลายอย่างรุนแรงจนเนื้อเยื่อขาดหาย ร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนกลับมาได้ทัน หลุมสิวประเภทนี้ไม่สามารถหายเองได้ ต้องพึ่งการรักษารอยแผลเป็นจากสิวเฉพาะทางเท่านั้น เช่น การทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว การเจาะตัดพังผืดใต้หลุม (subcision) หรือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย microneedling ในบางกรณีอาจใช้การเติมฟิลเลอร์เพื่อปรับผิวให้เรียบขึ้นชั่วคราว ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

• แผลเป็นนูน
เกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินความจำเป็นจนกลายเป็นรอยนูนแข็ง สีแดงหรือน้ำตาล แผลเป็นชนิดนี้ก็ไม่สามารถหายได้เองเช่นกัน และมีแนวโน้มที่จะขยายใหญ่ขึ้น หากไม่ได้รับการดูแลรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสม อาจต้องรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการฉีดสเตียรอยด์ ใช้แผ่นซิลิโคนลดการนูน หรือใช้เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว

รวมวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวให้ผิวหน้าเนียนใส
1.เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว
การทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวเป็นวิธีที่นิยมและเห็นผลไว โดยสามารถเลือกชนิดของเลเซอร์ตามประเภทของรอยแผลเป็น เช่น

• Fractional CO2 Laser เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับหลุมสิว
Q-Switch Laser เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวช่วยลดรอยดำจากสิว
• V-Beam หรือ Pulsed Dye Laser เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวช่วยลดรอยแดงจากเส้นเลือดฝอย

ทั้งนี้การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ควรต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

2.Microneedling รักษารอยแผลเป็นจากสิว
เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กเจาะลงบนผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมผิว เหมาะกับหลุมสิวตื้นและรอยแผลเป็นที่ไม่รุนแรงมาก นิยมทำควบคู่กับการทาเซรั่มเพื่อช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิว ให้ผิวหน้าเรียบเนียนกระจ่างใสมากขึ้น

3.Subcision รักษารอยแผลเป็นจากสิว
วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวนี้ เป็นการใช้เข็มชนิดพิเศษตัดพังผืดที่ดึงผิวให้เป็นหลุม ทำให้ผิวกลับมาเรียบขึ้น เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar หรือ Boxcar Scar ต้องทำโดยแพทย์เพื่อความปลอดภัยในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว

4.Chemical Peeling รักษารอยแผลเป็นจากสิว
Chemical Peeling รักษารอยแผลเป็นจากสิว เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยให้ผิวผลัดเซลล์เร็วขึ้น ลดรอยดำ รอยแดง และกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ เหมาะสำหรับรอยตื้นหรือรอยสีผิวไม่สม่ำเสมอ

5.การทาครีมหรือเซรั่มบำรุงผิว
การทาครีมลดรอยสิวหรือเซรั่มลดรอยสิว เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่สะดวกและปลอดภัย เหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเป็นไม่ลึก เช่น

• Vitamin C ช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิว ลดรอยดำ เพิ่มความกระจ่างใส
• Niacinamide ช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิว ลดรอยแดง และควบคุมความมัน
• Alpha Arbutin / Tranexamic Acid ช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิวและยับยั้งเม็ดสีเมลานิน
• Retinoids (เช่น Retinol) ช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิวและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่

6.Filler เติมเต็มหลุมสิว
เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสำหรับหลุมสิวที่ลึก เช่น Boxcar หรือ Rolling Scar โดยแพทย์จะฉีดสารเติมเต็ม เช่น Hyaluronic Acid เข้าไปในร่องหลุมให้ผิวเรียบขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน-1 ปี และควรทำการรักษารอยแผลเป็นจากสิวตามคำแนะนำของแพทย์

7.การใช้แผ่นซิลิโคนเจลหรือยาทาแผลเป็นนูน
เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ โดยใช้แผ่นซิลิโคนหรือยาทาเฉพาะ เช่น Silicone Gel, Onion Extract Gel เพื่อช่วยให้รอยนูนนุ่มลง จางลง และลดอาการคันหรือระคายเคือง

8.การฉีดสเตียรอยด์เข้ารอยแผลเป็นนูน
ใช้สำหรับรักษารอยแผลเป็นจากสิวชนิด Hypertrophic Scar หรือ Keloid โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปเพื่อลดการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่นูน ทำให้แผลนิ่มและยุบลง วิธีนี้ควรทำเป็นระยะภายใต้การควบคุมของแพทย์

9.การทำทรีตเมนต์หน้ารักษารอยแผลเป็นจากสิว
ทรีตเมนต์รักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ช่วยลดรอยสิวและรอยแผลเป็น ด้วยกรดผลไม้หรือสูตรเฉพาะของคลินิก ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เหมาะกับผู้ที่มีรอยตื้นและผิวแพ้ง่าย

10.การดูแลผิวรักษารอยแผลเป็นจากสิวอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าจะเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวพื้นฐาน แต่การดูแลผิวรักษารอยแผลเป็นจากสิวอย่างถูกต้อง เช่น การล้างหน้าอย่างอ่อนโยน ทาครีมกันแดดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงแสงแดด และไม่บีบสิวเอง จะช่วยลดการเกิดรอยใหม่ และช่วยให้ผิวฟื้นตัวจากรอยแผลเป็นได้เร็วขึ้น

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง vs เลเซอร์
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง กับ วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ ควรเลือกวิธีไหนดี ขอเปรียบเทียบทั้งสองวิธีถึงลักษณะของการรักษา ข้อดี ข้อจำกัด มีความแตกต่างกันดังนี้

1.การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง
ลักษณะของการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมทางเวชสำอาง ที่ช่วยลดรอยแผลเป็น ฟื้นฟูผิว และป้องกันการเกิดรอยใหม่ เช่น

• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยครีมหรือเซรั่มลดรอยดำรอยแดง
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยสารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยวิตามินซีหรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยกรดทรานซามิก (Tranexamic Acid)
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยใบบัวบก (Centella Asiatica)

ยังรวมถึงการทาครีมกันแดดทุกวัน การหลีกเลี่ยงการแกะสิว และการเลือกใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยนกับผิว เพื่อให้รักษารอยแผลเป็นจากสิวเห็นผลดีขึ้น

ข้อดีของการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองประหยัดค่าใช้จ่าย
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองสะดวก สามารถทำได้เองที่บ้าน
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองเหมาะกับรอยแผลเป็นตื้น ๆ เช่น รอยแดงหรือรอยดำไม่ลึกมาก
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่รุนแรง

ข้อจำกัดของการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองเห็นผลช้า อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน หรือมากกว่านั้น
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองมีข้อจำกัดกับรอยแผลเป็นลึก เช่น หลุมสิวหรือแผลเป็นนูน
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่าการรักษาทางการแพทย์
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองต้องมีความสม่ำเสมอในการใช้ผลิตภัณฑ์

2.การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์
ลักษณะของการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์
การใช้เทคโนโลยีเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวเข้าไปกระตุ้นการฟื้นฟูผิวจากชั้นใน เช่น

• Fractional CO2 Laser เป็นเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ช่วยสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับหลุมสิว
• Q-Switched Laser เป็นเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ช่วยลบรอยดำเม็ดสี
• V-Beam Laser เป็นเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ช่วยลดรอยแดงจากเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัว

ซึ่งเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวจะทำลายเฉพาะจุดที่มีปัญหา และกระตุ้นให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

ข้อดีของการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์เห็นผลเร็วกว่าการรักษาด้วยตัวเอง
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นลึก เช่น หลุมสิว Boxcar, Rolling, Ice Pick
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ช่วยแก้ไขปัญหาผิวแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ลดรอยแดง รอยดำ และรอยหลุมในเวลาเดียวกัน
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม เช่น ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น

ข้อจำกัดของการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์อาจมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวแดง บวม ลอก ต้องใช้เวลาพักฟื้น
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อเห็นผลลัพธ์เต็มที่
• รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ต้องดูแลหลังทำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงแดด

สรุป รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง vs รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์
การเลือกวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความรุนแรงของรอยแผล และงบประมาณที่มี หากมีเพียงรอยดำหรือรอยแดงจาง ๆ การรักษาด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมออาจเพียงพอ แต่หากเป็นหลุมสิวลึก รอยแผลเป็นนูน หรืออยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์โดยแพทย์จะให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดและปลอดภัยกว่า

วิธีดูแลผิวระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
การดูแลผิวระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิวเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ช่วยเสริมให้ผลลัพธ์ของการรักษาได้ผลดีขึ้น ช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็ว ลดการระคายเคือง ป้องกันการเกิดสิวซ้ำ และป้องกันการเกิดรอยแผลใหม่ โดยมีแนวทางการดูแลผิวระหว่างรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่แนะนำดังนี้

1.หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
การรักษารอยแผลเป็นจากสิวโดยเฉพาะรอยดำและรอยแดง ผิวจะไวต่อแสงมากเป็นพิเศษ การโดนแดดโดยไม่ป้องกันอาจทำให้รอยเข้มขึ้นและคงอยู่นานขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA+++ หรือสูงกว่า ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากต้องออกแดดนาน

2.ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน
ระหว่างรักษารอยแผลเป็นจากสิว ผิวมักจะอ่อนแอและไวต่อการระคายเคือง ควรเลือกใช้คลีนเซอร์ที่ ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารทำความสะอาดแรงๆ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการสูญเสียความชุ่มชื้น

3.ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเสริมเกราะป้องกันผิว
ผิวที่กำลังฟื้นฟูจากรอยแผลเป็น ในระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ต้องการความชุ่มชื้นเพียงพอ เพราะผิวที่แห้งหรือขาดน้ำจะฟื้นตัวช้าลง มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะควรมีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว เช่น

• ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Ceramide เพื่อช่วยเสริมการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
• ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid เพื่อช่วยเสริมการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
• ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Centella Asiatica (สารสกัดใบบัวบก) เพื่อช่วยเสริมการรักษารอยแผลเป็นจากสิว

4.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวรุนแรงเกินไป
แม้การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น แต่การใช้ AHA, BHA หรือ Retinoid เข้มข้นเกินไป โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ อาจทำให้ผิวบางลงและเกิดการอักเสบซ้ำ ควรเลือกสูตรที่อ่อนโยนและใช้ในปริมาณพอเหมาะ ในระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิว

5.ไม่แกะหรือบีบสิวซ้ำ
ในระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิว หากมีสิวใหม่เกิดขึ้น ควรปล่อยให้หายเองหรือใช้ยารักษาสิวเฉพาะที่ หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะ เพราะอาจทำให้เกิดแผลใหม่หรือทำให้รอยเก่าแย่ลง

6.ใช้ยาและครีมตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากคุณอยู่ระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิวกับแพทย์ผิวหนัง เช่น การใช้ยาแต้มรอยดำ หรือยาทาผลัดเซลล์ผิว ควรใช้ตามปริมาณและเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันผลข้างเคียงและให้เห็นผลชัดเจน

7.หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักระหว่างการรักษา
หากผิวมีการทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว หรือ ทรีตเมนต์รักษารอยแผลเป็นจากสิว ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนัก เพราะอาจอุดตันรูขุมขนหรือระคายเคืองผิว ควรเลือกเครื่องสำอางที่ non-comedogenic หรือสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย

8.รับประทานอาหารที่ช่วยในการฟื้นฟูผิว
ผิวที่แข็งแรงเริ่มต้นจากภายใน ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, C, E และ Zinc เพื่อเสริมสร้างการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ และช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงเร็วขึ้น ในระหว่างรักษารอยแผลเป็นจากสิว

9.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืนจะช่วยให้ร่างกายและผิวฟื้นฟูได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ผิวกำลังสร้างเซลล์ใหม่ ส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพการรักษารอยแผลเป็นจากสิวดียิ่งขึ้น

10.หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ
ในระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิว หากมีอาการแสบ แดง ระคายเคืองมากผิดปกติ หรือมีสิวขึ้นซ้ำหลังการใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่าง เพื่อรักษารอยแผลเป็นจากสิว ควรหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์

บทสรุปวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
สรุปว่า การรักษารอยแผลเป็นจากสิวไม่ใช่เรื่องที่เห็นผลได้ในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิวอย่างถูกต้อง และการเลือกวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว จะช่วยให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการได้มากที่สุด

สำหรับรอยแผลเป็นตื้น ๆ เช่น รอยดำหรือรอยแดง การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมออาจเพียงพอ แต่สำหรับหลุมสิวลึกหรือแผลเป็นนูน การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์หรือหัตถการทางการแพทย์จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืนมากกว่า

นอกจากนี้ การดูแลตัวเองระหว่างการรักษารอยแผลเป็นจากสิว เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดด ทาครีมกันแดดเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้การรักษารอยแผลเป็นจากสิวเห็นผลเร็วขึ้น กลับมามีผิวที่แข็งแรง ผิวหน้าเรียบเนียนได้อีกครั้ง

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ