ดูดไขมัน คืออะไร มีกี่ประเภท อันตรายหรือไม่ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ดูดไขมัน
ดูดไขมันคืออะไร มีกี่ประเภท เปรียบเทียบเทคนิคยอดนิยม
ใครที่กำลังสนใจวิธีลดความอ้วนหรือสนใจในการลดความอ้วน ด้วยการดูดไขมัน ห้ามพลาดกับบทความนี้ ที่จะอธิบายครบจบในทุกมิติของการดูดไขมัน ช่วยประกอบการตัดสินใจในการดูดไขมันได้ง่ายขึ้น
รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับการดูดไขมัน
• ดูดไขมันคืออะไร เข้าใจหลักการของการดูดไขมัน
• ดูดไขมันถือว่าเป็นการผ่าตัดหรือไม่
• ดูดไขมันปลอดภัยหรือไม่
• ดูดไขมันมีกี่ประเภท
• เปรียบเทียบเทคนิคดูดไขมันยอดนิยม
• ตำแหน่งยอดนิยมของการดูดไขมัน
• ใครเหมาะกับการดูดไขมันบ้าง
• ใครควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมัน
• ประโยชน์ของการดูดไขมัน
• ความเสี่ยงของการดูดไขมัน
• การเตรียมตัวก่อนดูดไขมัน
• การฟื้นฟูตัวเองหลังดูดไขมัน
• เลือกคลินิกดูดไขมันยังไงดี
• ดูดไขมันแล้วผิวจะย้วยหรือไม่
• ดูดไขมันแล้วต้องออกกำลังกายไหม
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการดูดไขมัน
ดูดไขมันคืออะไร เข้าใจหลักการของการดูดไขมัน
การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ช่วยกำจัดไขมันสะสมเฉพาะจุดที่กำจัดได้ยากด้วยการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร โดยใช้เครื่องมือพิเศษในการดูดไขมันออกจากร่างกาย เพื่อปรับรูปร่างให้ดูสมส่วนมากขึ้น
แต่หลายคนชอบเข้าใจผิดว่าการดูดไขมันคือการลดน้ำหนัก จริงๆแล้วการดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนักหรือวิธีลดน้ำหนัก และการดูดไขมันไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อลดตัวเลขบนตราชั่ง แต่เป็นการปั้นรูปร่าง (Body Contouring) ให้ได้สัดส่วนที่สมดุลขึ้น เช่นดูดไขมันเพื่อกำจัดพุงส่วนล่าง เอวหาย ต้นขาเรียว หรือดูดไขมันเหนียงที่ทำให้หน้าดูเรียวขึ้น
หลักการทำงานของการดูดไขมัน
การดูดไขมันทำงานบนพื้นฐานของการใช้ "พลังงาน + สูญญากาศ" เพื่อแยกและดูดเซลล์ไขมันออกจากร่างกาย ซึ่งมีเทคนิคหลักๆ ที่ใช้ ได้แก่
1.ฉีดสารละลายสลายไขมัน (Tumescent Fluid)
ก่อนดูดไขมัน ศัลยแพทย์จะฉีดของเหลวพิเศษที่มีสารทำให้เส้นเลือดหดตัว (Epinephrine) และยาชาเข้าไปในบริเวณที่ต้องการดูดไขมัน ของเหลวนี้ช่วยทำให้ไขมันแตกตัวและลดการเสียเลือด
2.การใช้เทคนิคแยกไขมันออกจากเนื้อเยื่อรอบข้าง
• บางเทคนิคใช้แรงมือ (Manual Liposuction)
• บางเทคนิคใช้พลังงาน เช่น คลื่นเสียง (VASER), เลเซอร์ (Laser Liposuction), หรือคลื่นวิทยุ (RF Liposuction) เพื่อช่วยให้ไขมันแตกตัวง่ายขึ้น
3.ดูดไขมันออกจากร่างกาย
ศัลยแพทย์จะใช้ Cannula (ท่อเล็กๆ) ที่เชื่อมกับเครื่องดูดสุญญากาศ ค่อยๆ ดูดไขมันออกมา โดยเลือกทิศทางการดูดให้รูปร่างออกมาสวยงาม ไม่เป็นคลื่นหรือเป็นหลุม
4.กระชับผิวและป้องกันความหย่อนคล้อย
เทคนิคสมัยใหม่ เช่น VASER, BodyTite และ J-Plasma สามารถช่วยกระชับผิวไปพร้อมกับการดูดไขมัน ทำให้โอกาสที่ผิวจะหย่อนคล้อยหลังทำลดลง
ดูดไขมันถือว่าเป็นการผ่าตัดหรือไม่
การดูดไขมัน (Liposuction) ถูกจัดเป็น "หัตถการศัลยกรรม" มากกว่าการผ่าตัดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหัตถการที่ไม่มีความเสี่ยง หรือสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการดูดไขมัน
ดูดไขมันไม่เท่ากับผ่าตัดใหญ่ (Major Surgery)
การผ่าตัดใหญ่ เช่น การตัดอวัยวะ หรืองานศัลยกรรมที่ต้องมีการ กรีดขนาดใหญ่ และเย็บปิดแผลอย่างซับซ้อน ซึ่งต่างจากการดูดไขมันที่
• ใช้เพียง "แผลเล็กๆ" (ประมาณ 3-5 มิลลิเมตร) สำหรับสอดท่อดูดไขมัน (Cannula)
• ดูดไขมันไม่มีการตัดเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะออกจากร่างกาย
• ดูดไขมันไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ (ยกเว้นในกรณีที่ดูดไขมันปริมาณมาก)
ดังนั้น ในเชิงการแพทย์ การดูดไขมันถือเป็น "ศัลยกรรมเล็ก" (Minor Surgery) หรือ "การผ่าตัดแบบมีบาดแผลเล็ก" (Minimally Invasive Surgery) ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่
ทำไมดูดไขมันถึงถูกเรียกว่าเป็นการศัลยกรรม
ถึงแม้การดูดไขมันจะไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ แต่การดูดไขมันยังคงถูกจัดเป็น "ศัลยกรรมความงาม" เพราะ
• ต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
• มีการใช้เทคนิคการดูดไขมันที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
• ต้องมีการวางแผนก่อนทำและการดูแลหลังดูดไขมันอย่างละเอียด
ดูดไขมันปลอดภัยหรือไม่
"การดูดไขมันปลอดภัยหรือไม่" เป็นคำถามที่หลายคนกังวล และเป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจทำ การดูดไขมันเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่มีหัตถการใดในโลกที่ปลอดภัย 100% แต่ ความเสี่ยงของการดูดไขมันสามารถลดลงได้อย่างมาก หากมีการเตรียมตัวที่ดีและเข้ารับบริการการดูดไขมันกับแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญและเลือกคลินิกที่ปลอดภัย
ดูดไขมันมีกี่ประเภท
การดูดไขมัน (Liposuction) ในปัจจุบันมีหลายเทคนิคที่ถูกพัฒนาให้มีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งการดูดไขมันออกเป็น 5 ประเภทหลัก ตามเทคนิคที่ใช้ในการสลายไขมันหรือวิธีการสลายไขมันก่อนดูดไขมันออก
1.ดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Tumescent Liposuction)
เป็นเทคนิคที่ใช้กันมานานและยังคงเป็นมาตรฐานในการดูดไขมัน
• ก่อนดูดไขมัน แพทย์จะฉีดน้ำเกลือที่ผสมยาชาและยา Epinephrine (ช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ลดการเสียเลือด) ลงไปในบริเวณที่ต้องการดูดไขมัน
• ของเหลวนี้ช่วยให้ไขมันแตกตัวและลดอาการช้ำ
• จากนั้นใช้ท่อดูดไขมัน (Cannula) ดูดไขมันออกมา
• ไม่มีการใช้พลังงานพิเศษในการช่วยสลายไขมัน
2.ดูดไขมันด้วยคลื่นเสียง (VASER Liposuction)
ดูดไขมันแบบ VASER (Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance) เป็นเทคนิคที่ใช้ คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ ในการสลายไขมันก่อนดูดไขมันออก
• คลื่นเสียงจะทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอณูเล็กๆ คล้ายกับการละลายไขมัน
• ลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้มีอาการบวมน้อยกว่าวิธีดั้งเดิม
• ช่วยกระชับผิวได้ดีขึ้น
3.ดูดไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Liposuction)
เทคนิคดูดไขมันนี้ใช้ พลังงานแสงเลเซอร์ ในการเผาผลาญไขมันให้กลายเป็นของเหลวก่อนดูดออก
• สามารถช่วยให้ผิวหดตัวและกระชับขึ้นได้เล็กน้อย
• มีโอกาสเกิดรอยไหม้ใต้ผิวหนัง หากใช้พลังงานมากเกินไป
4.ดูดไขมันด้วยพลังน้ำ (Water Jet Liposuction)
เทคนิคดูดไขมันนี้ใช้แรงดันน้ำช่วยแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้การดูดไขมันออกง่ายขึ้น
• ไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น เช่น เส้นเลือด หรือเส้นประสาทมากเกินไป
• ฟื้นตัวเร็ว เพราะการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อมีน้อย
• เหมาะกับการนำไขมันไปเติมเต็มส่วนอื่นของร่างกาย เช่น เติมไขมันหน้า อก หรือก้น
5.ดูดไขมันด้วยคลื่นวิทยุ (RF-Assisted Liposuction)
เทคนิคดูดไขมันนี้ใช้พลังงาน คลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) ทำให้ไขมันแตกตัวและช่วยกระชับผิวไปพร้อมกัน
• เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
• เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยม ได้แก่ BodyTite และ J-Plasma
เปรียบเทียบเทคนิคการดูดไขมันยอดนิยม
ประเภท |
วิธีการทำงาน |
ข้อดี |
ข้อจำกัด |
Tumescent Liposuction |
ฉีดสารละลายก่อนดูดไขมันออก |
ปลอดภัย มาตรฐาน |
อาจบวมและช้ำมากกว่าวิธีอื่น |
VASER Liposuction |
ใช้คลื่นเสียงสลายไขมัน |
ลดอาการบวม ฟื้นตัวเร็ว |
ราคาสูง ต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์ |
Laser Liposuction |
ใช้เลเซอร์สลายไขมัน |
กระชับผิวได้ดีขึ้น |
เสี่ยงผิวไหม้หากใช้ผิดวิธี |
Water Jet Liposuction |
ใช้น้ำแรงดันสูงแยกไขมัน |
อ่อนโยน ฟื้นตัวเร็ว |
ไม่เหมาะกับการดูดไขมันปริมาณมาก |
RF-Assisted Liposuction |
ใช้คลื่นวิทยุกระชับผิว |
เหมาะกับคนที่มีผิวหย่อน |
ราคาสูง ต้องการเวลาฟื้นตัว |
ตำแหน่งยอดนิยมของการดูดไขมัน
การดูดไขมันสามารถทำได้หลายตำแหน่งในร่างกาย โดยส่วนใหญ่เป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมแล้วลงได้ยากมาก ตำแหน่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการดูดไขมัน ได้แก่
1.ดูดไขมันหน้าท้องและเอว
เป็นบริเวณยอดนิยมอันดับหนึ่ง เพราะเป็นจุดที่มีไขมันสะสมได้ง่าย และเป็นส่วนที่หลายคนต้องการให้ดูแบนราบและมีเอวคอด
• ช่วยปรับรูปร่างให้ดูสมส่วน
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันหน้าท้องสะสม แต่ไม่ต้องการผ่าตัดกระชับหน้าท้อง
• สามารถทำร่วมกับเทคนิคกระชับผิว เช่น VASER หรือ BodyTite เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
2.ดูดไขมันต้นขา
ต้นขาเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไขมันสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะ ต้นขาด้านในและต้นขาด้านนอก
• การดูดไขมันต้นขาช่วยให้ขาดูเรียวขึ้น
• ลดปัญหาขาเบียดที่ทำให้เดินแล้วเกิดการเสียดสี
• ช่วยให้ขาเล็กลง ทำให้ใส่เสื้อผ้าแล้วดูดีขึ้น
3.ดูดไขมันต้นแขน
เป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงที่ต้องการแขนเรียวเล็ก และลดอาการแขนใหญ่หรือแขนล่ำ
• ช่วยให้ต้นแขนกระชับขึ้น
• ลดไขมันส่วนเกินที่ทำให้แขนดูไม่กระชับ
• เหมาะกับคนที่ไม่อยากใช้วิธีผ่าตัดกระชับต้นแขน
4.ดูดไขมันเหนียงและคางสองชั้น
บริเวณใต้คางหรือเหนียง เป็นอีกจุดที่ได้รับความนิยมในการดูดไขมันมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการใบหน้าดูเรียวขึ้น
• ช่วยลดไขมันใต้คาง ทำให้คอและแนวกรามชัดขึ้น
• เหมาะกับผู้ที่มีคางสองชั้นจากไขมันสะสม
• สามารถทำร่วมกับเทคนิคกระชับผิว เช่น J-Plasma เพื่อป้องกันผิวหย่อนคล้อย
5.ดูดไขมันปีกหลังและแผ่นหลัง
ดูดไขมันปีกหลัง (Bra Roll) และแผ่นหลังเป็นบริเวณที่หลายคนไม่ค่อยนึกถึง แต่เป็นจุดที่มีไขมันสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ใส่เสื้อชั้นในแล้วเกิดรอยปลิ้น
• ช่วยลดไขมันที่ทำให้เกิดรอยปลิ้นบริเวณสายเสื้อชั้นใน
• ทำให้หลังดูเรียบเนียนขึ้น
• เพิ่มความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้าแบบรัดรูป
6.ดูดไขมันสะโพกและก้น
เป็นบริเวณที่นิยมดูดไขมันเพื่อให้ได้รูปร่างที่สมส่วน โดยบางคนอาจดูดไขมันสะโพกเพื่อให้ดูเรียวลง หรือบางคนอาจดูดไขมันออกเพื่อนำไปเติมก้นให้ดูเด้งขึ้น (Fat Transfer)
• ช่วยให้สะโพกดูเข้ารูป ไม่เป็นก้อน
• ปรับสัดส่วนให้ดูสมดุลกับร่างกาย
• สามารถทำร่วมกับการเติมไขมันเพื่อให้ได้ทรงที่สวยงาม
7.ดูดไขมันหน้าอก (สำหรับผู้ชาย)
ในผู้ชายบางคนมีภาวะ Gynecomastia หรือภาวะเต้านมโตผิดปกติ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการดูดไขมัน
• ช่วยลดขนาดหน้าอกให้ดูแบนราบขึ้น
• เพิ่มความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้า
• สามารถทำร่วมกับการกระชับผิวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
8.ดูดไขมันน่อง
แม้จะไม่ใช่บริเวณที่นิยมมากที่สุด แต่ก็มีบางคนที่มีปัญหาน่องใหญ่จากไขมันสะสมค่อนข้างเยอะ และลดยากมาก
• ช่วยให้ขาดูเรียวยาวขึ้น
• ปรับสมดุลของขากับร่างกาย
ใครเหมาะกับการดูดไขมันบ้าง
การดูดไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดและต้องการแก้ไขรูปร่างให้ดูดีขึ้น
คนที่เหมาะกับการดูดไขมัน
• คนที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก แม้ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร เช่น
- หน้าท้องและเอว
- ต้นขา
- ต้นแขน
- เหนียงใต้คาง
- ปีกหลัง
- สะโพกและก้น
• คนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือเกินมาตรฐานเล็กน้อย
- ไม่ใช่คนที่ต้องการลดน้ำหนัก 10-20 กิโล
- มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่เกิน 30
• คนที่มีผิวหนังยืดหยุ่นดี
- ผิวสามารถกระชับตัวเองได้หลังดูดไขมัน
- หากผิวหย่อนคล้อยมาก อาจต้องทำร่วมกับการกระชับผิว เช่น BodyTite หรือ J-Plasma
• คนที่ต้องการปรับรูปร่างให้ดูดีขึ้น แต่ไม่มีเวลาลดไขมันด้วยวิธีธรรมชาติ
- ต้องการเห็นผลเร็ว
- ไม่มีเวลาควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายเข้มข้น
• ผู้หญิงหลังคลอดที่ต้องการลดไขมันสะสม
- มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องและเอว
- ควรรอให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างน้อย 6 เดือนหลังคลอด
• ผู้ชายที่ต้องการกำจัดไขมันเฉพาะจุด
- มีไขมันสะสมที่หน้าท้องและเอว
- มีไขมันสะสมที่หน้าอก (Gynecomastia)
- ต้องการให้รูปร่างดูเฟิร์มขึ้น
• คนที่ต้องการนำไขมันไปเติมเต็มส่วนอื่นของร่างกาย (Fat Transfer)
- เติมไขมันใบหน้า เพื่อให้ดูอ่อนเยาว์
- เติมไขมันหน้าอก หรือก้น เพื่อเพิ่มวอลลุ่ม
• คนที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรง
- ไม่มีโรคหัวใจ เบาหวาน หรือปัญหาการแข็งตัวของเลือด
- ไม่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ใครควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมัน
• คนที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมันคือคนที่ต้องการลดน้ำหนักจำนวนมาก (มากกว่า 10-20 กิโลกรัม)
• คนที่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการผ่าตัด เช่น โรคหัวใจรุนแรง, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
• คนที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป จนอาจต้องผ่าตัดกระชับผิวแทน
ประโยชน์ของการดูดไขมัน
• ประโยชน์ของการดูดไขมันช่วยปรับรูปร่างให้สมส่วน
กำจัดไขมันเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เหนียง
• ประโยชน์ของการดูดไขมันช่วยเพิ่มความมั่นใจ
ทำให้บุคลิกภาพดีขึ้น ใส่เสื้อผ้าได้สวยขึ้น
• ช่วยลดไขมันที่ออกกำลังกายแล้วไม่ลด
กำจัดไขมันดื้อที่ลดได้ยาก
• ใช้ไขมันเติมเต็มส่วนอื่น
เช่น ใบหน้า หน้าอก หรือสะโพก
• ประโยชน์ของการดูดไขมันเห็นผลเร็ว
รูปร่างเปลี่ยนแปลงชัดเจนภายใน 1-3 เดือน
ความเสี่ยงของการดูดไขมัน
• บวม ช้ำ และปวด อาการปกติหลังดูดไขมัน มักหายภายใน 2-3 สัปดาห์
• ติดเชื้อ หากสถานที่รับบริการดูดไขมันไม่สะอาด หรือดูแลแผลไม่ดี
• เสียเลือดมาก หากดูดไขมันในปริมาณมากเกินไป
• ผิวไม่เรียบ ผิวเป็นคลื่น เกิดจากการดูดไขมันไม่สม่ำเสมอ หรือผิวไม่กระชับ
• ไขมันอุดตันในกระแสเลือด (Fat Embolism) กรณีไขมันเข้าสู่กระแสเลือด (พบได้น้อย)
• ภาวะแทรกซ้อนจากยาชา อาจเกิดอาการแพ้ หรือได้รับยามากเกินไป
• ผิวหย่อนคล้อย หากดูดไขมันมากแต่ผิวไม่ยืดหยุ่นดี
• เกิดพังผืดหรือแผลเป็นใต้ผิวหนัง หากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อการรักษาแผล
• ไขมันกลับมาใหม่ หากไม่ควบคุมอาหารและออกกำลังกายหลังดูดไขมัน
การเตรียมตัวก่อนดูดไขมัน
• ปรึกษาแพทย์
ตรวจสุขภาพ ประเมินความเหมาะสม และเลือกเทคนิคดูดไขมันที่เหมาะกับร่างกาย
• งดยาบางชนิด
หยุดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี
• งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงในการสมานแผล
• ควบคุมอาหาร
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ
เตรียมร่างกายให้พร้อม ลดความเสี่ยงจากภาวะขาดน้ำ
• เตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์หลังดูดไขมัน
เช่น ชุดกระชับสัดส่วน หมอนรองตัว และยาตามแพทย์สั่ง
• จัดตารางพักฟื้น
วางแผนหยุดงานหรือกิจกรรมหนักๆ อย่างน้อย 3-7 วัน
• เตรียมคนดูแล
กรณีดูดไขมันหลายจุด อาจต้องมีผู้ช่วยในวันแรกหลังดูดไขมัน
การฟื้นฟูตัวเองหลังดูดไขมัน
• ใส่ชุดกระชับสัดส่วน
หลังดูดไขมันอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อลดบวมและช่วยให้ผิวกระชับ
• พักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังดูดไขมัน
• ดื่มน้ำมากๆ
ช่วยลดบวมและขับของเสียออกจากร่างกาย
• หลีกเลี่ยงอาหารเค็มและแอลกอฮอล์
เพื่อลดการบวมน้ำ
• งดออกกำลังกายหนัก
อย่างน้อย 4 สัปดาห์ แต่สามารถเดินเบาๆ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด
• ทำแผลให้สะอาด
ป้องกันการติดเชื้อ และเปลี่ยนผ้าพันแผลตามคำแนะนำแพทย์
• งดยาและอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
เช่น แอสไพริน วิตามินอี ในช่วงแรก
• หลีกเลี่ยงความร้อนจัด
เช่น ซาวน่า อาบน้ำร้อน หรือตากแดดจัดในช่วงแรก
• นวดกระตุ้นระบบน้ำเหลือง
ตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อลดอาการบวมและให้ผิวเรียบเนียน
• ติดตามผลกับแพทย์
เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเช็กและดูแลแผล
เลือกคลินิกดูดไขมันยังไงดี
• แพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ควรเป็นศัลยแพทย์เฉพาะทาง มีประสบการณ์ด้านการดูดไขมันโดยตรง
• คลินิกต้องได้รับอนุญาตถูกต้อง
ตรวจสอบว่าได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
• ดูรีวิวจากผู้ใช้จริง
อ่านรีวิวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และดูผลลัพธ์ของผู้ที่เคยทำมาก่อน
• ใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยและทันสมัย
เช่น VASER, BodyTite, J-Plasma ซึ่งช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
• มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน
คลินิกต้องมีห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ และมีเครื่องมือช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน
• ให้คำปรึกษาอย่างละเอียด
แพทย์ควรตรวจร่างกาย และอธิบายความเสี่ยงและขั้นตอนอย่างชัดเจน
• มีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลหลังทำ
มีบริการติดตามอาการ และให้คำแนะนำหลังดูดไขมัน
• ไม่เลือกเพราะราคาถูกเกินไป
ควรพิจารณาคุณภาพมากกว่าราคา เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด
ดูดไขมันแล้วผิวจะย้วยหรือไม่
ขึ้นอยู่กับ สภาพผิวเดิม ปริมาณไขมันที่ดูดออก และเทคนิคที่ใช้ หากผิวมีความยืดหยุ่นดี โอกาสย้วยต่ำ แต่ถ้าดูดไขมันมากเกินไป หรือผิวเดิมหย่อนคล้อยอยู่แล้ว อาจเกิดปัญหาผิวเหี่ยวได้
วิธีป้องกันผิวหย่อนหลังดูดไขมัน
• เลือกเทคนิคที่ช่วยกระชับผิว เช่น VASER, BodyTite, J-Plasma
• ใส่ชุดกระชับสัดส่วน ตามแพทย์แนะนำ
• ออกกำลังกายและดูแลผิว หลังฟื้นตัวเพื่อให้ผิวกระชับเร็วขึ้น
ดูดไขมันแล้วต้องออกกำลังกายไหม
หลังดูดไขมันต้องออกกำลังกาย หากต้องการให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน เพราะการดูดไขมัน กำจัดไขมันเดิม แต่ไม่ป้องกันไขมันใหม่ ถ้ารับประทานอาหารไม่ระวัง ไขมันสามารถกลับมาสะสมได้
แนวทางการออกกำลังกายหลังดูดไขมัน
• 2 สัปดาห์แรก – เดินเบาๆ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด
• หลัง 4 สัปดาห์ – เริ่มออกกำลังกายปานกลาง เช่น เวทเทรนนิ่งหรือโยคะ
• หลัง 6 สัปดาห์ขึ้นไป – ออกกำลังกายเต็มที่ คาร์ดิโอหรือเวทหนักได้ตามปกติ
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการดูดไขมัน
การดูดไขมันคือการปรับรูปร่าง ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่การดูดไขมัน ช่วยกำจัดไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และเหนียง เทคนิคที่ใช้มีหลายแบบ เช่น VASER, Laser, และ BodyTite ซึ่งบางเทคนิคช่วยกระชับผิวไปพร้อมกัน ผู้ที่เหมาะสมต้องมีน้ำหนักคงที่และผิวยืดหยุ่นดี หลังดูดไขมันเสร็จแล้วควรใส่ชุดกระชับ ดูแลอาหาร และออกกำลังกายเพื่อรักษาผลลัพธ์ ความเสี่ยงสามารถลดได้ด้วยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
การดูดไขมันเป็นแค่ส่วนเล็กๆที่ทำให้เรามั่นใจในรูปร่างมากขึ้นแต่การดูแลรูปร่างแบบยั่งยืนที่สุดขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป การดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การดื่มน้ำและการพักผ่อนที่เพียงพอ เป็นการทำให้มีสุขภาพดีในระยะยาว