อาการนอนกรนคืออะไร เกิดจากอะไร รักษาวิธีไหนบ้าง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
อาการนอนกรน
อาการนอนกรนคืออะไร เกิดจากอะไร รักษาวิธีไหนบ้าง
อาการนอนกรนเป็นปัญหาที่พบได้ในคนทุกวัย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น โครงสร้างของร่างกาย น้ำหนักตัวเกิน การดื่มแอลกอฮอล์ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาการนอนกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบนขณะหายใจเข้า แม้ว่าการนอนกรนอาจดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่รุนแรง และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ที่มีอาการและคนรอบข้าง การทำความเข้าใจถึงสาเหตุของอาการนอนกรน รวมถึงผลกระทบและแนวทางการรักษา จะช่วยให้สามารถป้องกันและแก้อาการนอนกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาการนอนกรนคืออะไร
อาการนอนกรน คือ เสียงที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ ซึ่งเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบน โดยเฉพาะบริเวณลิ้นไก่ เพดานอ่อน หรือโคนลิ้น เนื่องจากทางเดินหายใจแคบลงทำให้อากาศไหลผ่านได้ไม่สะดวก
อาการนอนกรนเกิดจากอะไร
อาการนอนกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบนขณะที่หายใจเข้า โดยมีปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการนอนกรน ดังนี้
1.อาการนอนกรนเกิดจากโครงสร้างของร่างกายและทางเดินหายใจ
• อาการนอนกรนเกิดจากลิ้นไก่และเพดานอ่อนยาวผิดปกติ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนมากขึ้น
• อาการนอนกรนเกิดจากต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต ทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง
• อาการนอนกรนเกิดจากขากรรไกรเล็กหรือคางสั้น ทำให้ลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ
• อาการนอนกรนเกิดจากจมูกคดหรือมีเนื้องอกในจมูก ทำให้อากาศไหลผ่านยากขึ้น
2.อาการนอนกรนเกิดจากน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน
• อาการนอนกรนเกิดจากไขมันสะสมรอบลำคอทำให้เกิดแรงกดทับทางเดินหายใจ
• เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
3.อาการนอนกรนเกิดจากท่านอน
• อาการนอนกรนเกิดจากนอนหงาย ทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่ออ่อนตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ
• อาการนอนกรนเกิดจากหมอนสูงหรือต่ำเกินไป อาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
4.อาการนอนกรนเกิดจากการใช้สารกดประสาทและสารเคมี
• อาการนอนกรนเกิดจากแอลกอฮอล์และยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนตัวมากขึ้น
• อาการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อในลำคอ
5.อาการนอนกรนเกิดจากปัญหาสุขภาพและภาวะทางเดินหายใจ
• อาการนอนกรนเกิดจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือหวัด ทำให้จมูกอุดตันและต้องหายใจทางปากมากขึ้น
• อาการนอนกรนเกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจขณะหลับ
6.อาการนอนกรนเกิดจากอายุ
อาการนอนกรนเกิดจากอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อทางเดินหายใจจะหย่อนตัวลง ทำให้เกิดอาการนอนกรนง่ายขึ้น
7.อาการนอนกรนเกิดจากพันธุกรรม
อาการนอนกรนเกิดจากพันธุกรรม หากมีประวัติครอบครัวที่มีอาการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น
สรุปอาการนอนกรนเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งโครงสร้างร่างกาย น้ำหนักตัว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัญหาสุขภาพ หากมีอาการรุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและหาทางแก้ไขที่เหมาะสม
อาการนอนกรนส่งผลเสียอะไรบ้าง
อาการนอนกรนส่งผลเสียต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ดังนี้
1.อาการนอนกรนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย
• อาการนอนกรนเสี่ยงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
หากอาการนอนกรนรุนแรง อาจเกิด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) ซึ่งทำให้การหายใจติดขัดหรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนและต้องตื่นขึ้นมาหายใจใหม่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่
• อาการนอนกรนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
การขาดออกซิเจนขณะหลับอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง
• อาการนอนกรนเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน
การนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบเผาผลาญ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2
• อาการนอนกรนเสี่ยงปวดหัวหลังตื่นนอน
เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนเป็นระยะๆ ในขณะหลับ ทำให้เกิดอาการปวดหัวหลังตื่นนอน
• อาการนอนกรนเสี่ยงระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพทำให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ไม่ดี ส่งผลให้มีโอกาสป่วยหรือติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
2.อาการนอนกรนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
• อาการนอนกรนทำให้อ่อนเพลียและง่วงนอนตอนกลางวัน
การนอนไม่เต็มที่ทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วยังรู้สึกง่วง ไม่สดชื่น และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
• อาการนอนกรนทำให้เกิดความเครียดและภาวะซึมเศร้า
การนอนหลับไม่เพียงพออาจทำให้เกิดความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย และสมาธิลดลง
• อาการนอนกรนทำให้เสี่ยงมีปัญหาความจำและสมาธิ
สมองต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอเพื่อทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากนอนกรนเรื้อรัง อาจทำให้สมาธิและความสามารถในการจดจำลดลง
3.อาการนอนกรนส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง
• อาการนอนกรนรบกวนการนอนของคนรอบข้าง
เสียงกรนดังอาจทำให้คนที่นอนใกล้ ๆ เช่น คู่รักหรือคนในครอบครัว เกิดปัญหาหลับยากหรือหลับไม่สนิท ส่งผลต่อคุณภาพการนอนของคนรอบข้าง และอาจทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์
• อาการนอนกรนอาจเป็นอันตรายต่อการขับขี่และการทำงาน
ความง่วงจากการนอนหลับไม่เพียงพออาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
สรุปอาการนอนกรนส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และปัญหาสุขภาพจิต นอกจากนี้ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง หากมีอาการนอนกรนรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรักษาได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
วิธีรักษาอาการนอนกรน มีอะไรบ้าง
1.รักษาอาการนอนกรนด้วยการปรับเปลี่ยนท่านอน
• หลีกเลี่ยงการนอนหงาย เพราะจะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนหย่อนลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจ
• ควรนอนตะแคง โดยอาจใช้หมอนข้างหรือกอดหมอนเพื่อช่วยให้ร่างกายคงอยู่ในท่านี้
• ใช้หมอนรองศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจ
2.รักษาอาการนอนกรนด้วยการลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักตัว
• หากมีน้ำหนักเกิน ไขมันบริเวณลำคออาจกดทับทางเดินหายใจทำให้เกิดการอุดกั้น
• ควรออกกำลังกายเป็นประจำและควบคุมอาหาร โดยลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง
3.รักษาอาการนอนกรนด้วยการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยานอนหลับ
• เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยานอนหลับทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและลิ้นหย่อนตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน
• ควรงดหรือหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะช่วง 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
4.รักษาอาการนอนกรนด้วยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อช่องปากและลำคอ
• การบริหารกล้ามเนื้อลำคอและลิ้นช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ลดอาการนอนกรนได้
• ตัวอย่างการฝึกการบริการกล้ามเนื้อลำคอและลิ้นเพื่อแก้อาการนอนกรน
- ออกเสียง "อา-เอ-อี-โอ-อู" อย่างชัดเจนซ้ำๆ ประมาณ 30 ครั้งก่อนนอน
- ฝึกเป่าลูกโป่ง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
- ฝึกดันลิ้น โดยกดลิ้นกับเพดานปากค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำ 10 ครั้ง
5.รักษาอาการนอนกรนด้วยการรักษาอาการคัดจมูกและภูมิแพ้
• หากจมูกอุดตัน จะทำให้ต้องหายใจทางปากและเกิดอาการนอนกรน
• ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก่อนนอน หรือใช้ยาลดอาการแพ้
• หลีกเลี่ยงฝุ่นละออง ควันบุหรี่ หรือสารก่อภูมิแพ้ที่อาจทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจ
6.รักษาอาการนอนกรนด้วยการใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจแบบธรรมชาติ
• แถบติดจมูก (Nasal Strips) ช่วยเปิดโพรงจมูกให้กว้างขึ้น ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
• อุปกรณ์ถ่างขยายช่องปาก ใช้สำหรับช่วยให้ขากรรไกรล่างยื่นไปข้างหน้า ทำให้ลิ้นไม่อุดกั้นทางเดินหายใจ
7.รักษาอาการนอนกรนด้วยการปรับสภาพแวดล้อมในห้องนอน
• ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ โดยเฉพาะในห้องที่มีอากาศแห้ง เพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองในลำคอ
• เปลี่ยนปลอกหมอนและทำความสะอาดห้องบ่อย ๆ เพื่อลดสารก่อภูมิแพ้
8.รักษาอาการนอนกรนด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ
• หากร่างกายขาดน้ำ น้ำมูกและสารคัดหลั่งในลำคออาจเหนียวขึ้น ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
• ควรดื่มน้ำให้เพียงพอประมาณ 8 แก้วต่อวัน
9.เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน โปรแกรม Snore Laser
การทำเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้เลเซอร์พลังงานต่ำ เพื่อช่วยลดอาการนอนกรนโดยไม่ต้องผ่าตัด เลเซอร์จะช่วยกระชับเนื้อเยื่อเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ทำให้ทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น ลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดเสียงกรน
หลักการทำงานของ Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser กระชับเนื้อเยื่อเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ทำให้หย่อนตัวน้อยลง
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser ลดแรงสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งเป็นสาเหตุของเสียงกรน
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser ช่วยขยายทางเดินหายใจ ทำให้อากาศไหลผ่านได้สะดวกขึ้น
ขั้นตอนการรักษาด้วย Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน
การตรวจวินิจฉัยเพื่อรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser
• แพทย์จะตรวจประเมินระดับความรุนแรงของอาการนอนกรน
• อาจต้องทำ Sleep Test หรือการตรวจการนอนหลับเพื่อดูว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่
การรักษาด้วยเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser
• ใช้เลเซอร์ยิงไปที่บริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่
• ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง
• โดยทั่วไปต้องทำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 3-4 สัปดาห์
การดูแลหลังทำเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser
• หลังทำเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser อาจมีอาการระคายเคืองหรือรู้สึกเจ็บเล็กน้อยประมาณ 1-2 วัน
• หลังทำเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัดหรือเผ็ดจัด
• หลังทำเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ข้อดีของ Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser ไม่มีแผลผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser ใช้เวลาทำสั้นและสามารถกลับบ้านได้เลย
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนระดับปานกลาง
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ใครเหมาะกับเลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีอาการนอนกรนระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง
• เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อเยื่อเพดานอ่อนหย่อนตัว ทำให้เกิดเสียงกรน
ใครที่เสี่ยงมีอาการนอนกรน
อาการนอนกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มีปัจจัยบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการนอนกรนได้ง่ายขึ้น กลุ่มเสี่ยงหลัก ได้แก่
1.ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• ไขมันสะสมบริเวณลำคอทำให้เกิดแรงกดทับทางเดินหายใจ
• ทางเดินหายใจแคบลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอขณะหายใจ
2.ผู้ชายเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• มีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากโครงสร้างทางกายภาพของทางเดินหายใจในผู้ชายมักจะแคบกว่า
• ฮอร์โมนเพศหญิงช่วยให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจแข็งแรงขึ้น จึงลดความเสี่ยงการนอนกรนในผู้หญิง
3.ผู้สูงอายุ (อายุ 40 ปีขึ้นไป) เสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนจะหย่อนตัว ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนมากขึ้น
• เนื้อเยื่อบริเวณลำคออาจหนาขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
4.ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• มีเพดานอ่อนหรือลิ้นไก่ยาวผิดปกติ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนมากขึ้น
• มีขากรรไกรเล็กหรือคางสั้น ทำให้ลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
• ต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต ทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง
5.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับจมูกและทางเดินหายใจเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• มีอาการภูมิแพ้หรือเป็นหวัดเรื้อรัง ทำให้จมูกอุดตันและต้องหายใจทางปาก
• มีอาการคัดจมูกจากเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ หรือเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
• กระดูกจมูกคด หรือมีเนื้องอกในจมูก ทำให้การไหลเวียนของอากาศติดขัด
6.ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยากดประสาทเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• แอลกอฮอล์และยานอนหลับทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน
• การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
7.ผู้ที่สูบบุหรี่เสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• สารเคมีจากบุหรี่ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกและลำคออักเสบ ส่งผลให้เนื้อเยื่อบวมและทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
• เพิ่มการสร้างเมือกในลำคอ ทำให้หายใจลำบากและเกิดเสียงกรน
8.ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• เป็นภาวะที่ทางเดินหายใจอุดกั้นชั่วขณะ ทำให้ต้องตื่นขึ้นมาหายใจใหม่อยู่บ่อยครั้ง
• มีอาการกรนเสียงดัง หายใจสะดุด หรือหยุดหายใจเป็นช่วงๆ
• มักทำให้รู้สึกง่วงนอนผิดปกติในตอนกลางวัน
9.ผู้ที่นอนหงายเป็นประจำเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• ท่านอนหงายทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่ออ่อนตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ
• มีโอกาสเกิดอาการนอนกรนมากกว่าคนที่นอนตะแคง
10.ผู้ที่อดนอนหรือนอนไม่พอเสี่ยงเกิดอาการนอนกรน
• ทำให้กล้ามเนื้อในลำคอและลิ้นอ่อนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
รู้ได้อย่างว่ามีอาการนอนกรน
อาการนอนกรนเกิดขึ้นขณะหลับ จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะรู้ด้วยตัวเอง แต่สามารถสังเกตได้จากอาการต่าง ๆ รวมถึงใช้วิธีตรวจสอบเพิ่มเติมดังนี้
1.สังเกตอาการนอนกรนของตัวเอง
ถึงแม้จะไม่สามารถได้ยินเสียงกรนของตัวเอง แต่สามารถสังเกตอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนอนกรนได้ เช่น
• รู้สึกง่วงนอนมากผิดปกติในตอนกลางวัน แม้จะนอนครบชั่วโมงที่ควร
• ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกอ่อนเพลียหรือปวดหัว
• มีอาการคอแห้งหรือเจ็บคอเมื่อตื่นนอน เนื่องจากหายใจทางปากตลอดคืน
• ตื่นขึ้นมาหายใจแรง คล้ายสะดุ้ง หรือรู้สึก หายใจติดขัดขณะหลับ
• มีอาการ หลับ ๆ ตื่น ๆ นอนหลับไม่สนิท
• มีปัญหาความจำ สมาธิสั้น หรืออารมณ์แปรปรวนจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
2.ให้คนใกล้ตัวช่วยสังเกตอาการนอนกรน
หากนอนร่วมกับคู่รักหรือคนในครอบครัว ให้พวกเขาสังเกตว่า
• มีเสียงกรนที่ดังหรือไม่
• เสียงกรนดังเป็นจังหวะปกติ หรือมีการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ
• มีอาการสะดุ้งตื่นหรือหายใจเฮือกกลางดึกหรือไม่
หากมีอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ อาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งควรพบแพทย์
3.ใช้แอปพลิเคชันบันทึกเสียงขณะหลับ
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ช่วยบันทึกเสียงและวิเคราะห์อาการนอนกรน เช่น
• SnoreLab
• Sleep Cycle
• SnoreClock
แอปเหล่านี้สามารถตรวจจับเสียงกรน บันทึกความดังของเสียง และบอกแนวโน้มของอาการนอนกรนได้
4.ทำแบบทดสอบความง่วง (Epworth Sleepiness Scale - ESS)
แบบทดสอบนี้ช่วยประเมินระดับความง่วงในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากอาการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
คำถาม ในสถานการณ์ต่อไปนี้ คุณมีแนวโน้มจะง่วงหรือหลับหรือไม่ (ให้คะแนน 0-3)
• 0 = ไม่มีโอกาสง่วง
• 1 = ง่วงเล็กน้อย
• 2 = ง่วงปานกลาง
• 3 = ง่วงมาก
สถานการณ์ที่ต้องให้คะแนน
• นั่งพักเฉยๆ
• นั่งอ่านหนังสือ
• ดูทีวี
• นั่งประชุมหรือฟังเลคเชอร์
• นั่งรถยนต์เป็นเวลา 1 ชั่วโมงโดยไม่พัก
• นั่งพูดคุยกับคนอื่น
• นั่งพักกลางวันหลังรับประทานอาหาร
• นอนเล่นอยู่บนเตียงในช่วงกลางวัน
ผลลัพธ์
• คะแนน 0-9 ความง่วงปกติ
• คะแนน 10-15 มีแนวโน้มง่วงผิดปกติ อาจเกิดจากคุณภาพการนอนที่ไม่ดี
• คะแนนมากกว่า 16 ควรพบแพทย์เพื่อตรวจภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
5.ตรวจ Sleep Test หรือ Polysomnography (PSG)
หากมีอาการนอนกรนรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ Polysomnography (PSG) หรือที่เรียกว่า Sleep Test ซึ่งเป็นการตรวจวัดสัญญาณชีพจร อัตราการหายใจ การเคลื่อนไหวของร่างกาย และระดับออกซิเจนในเลือดขณะหลับ
การตรวจนี้ช่วยวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากไม่ได้รับการรักษา
หากสงสัยว่าตัวเองมีอาการนอนกรน สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้จาก ความง่วงในตอนกลางวัน ความรู้สึกอ่อนเพลีย หรืออาการสะดุ้งตื่น หากมีคนใกล้ตัวช่วยสังเกตเสียงกรนหรือใช้แอปพลิเคชันบันทึกเสียงขณะหลับ จะช่วยให้ทราบได้ชัดเจนขึ้น ในกรณีที่สงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test กับแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ
อาการนอนกรนแบบไหนอันตราย
อาการนอนกรนส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย แต่หากมีความรุนแรงหรือเกิดร่วมกับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
1.นอนกรนเสียงดังมากและต่อเนื่อง
• กรนเสียงดังผิดปกติทุกคืนจนรบกวนคนรอบข้าง
• กรนแบบมีจังหวะไม่สม่ำเสมอ และดังขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุที่อันตราย อาจเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่รุนแรง ทำให้ร่างกายต้องใช้แรงมากขึ้นในการหายใจ
2.มีอาการหยุดหายใจขณะหลับ
• คนรอบข้างสังเกตว่ามีช่วงที่หยุดหายใจไปชั่วขณะ (5-10 วินาทีหรือมากกว่า) แล้วกลับมาหายใจเฮือกใหญ่
• มีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกเหมือนสำลักหรือต้องเร่งหายใจ
สาเหตุที่อันตราย อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและสมอง
3.ตื่นมาแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย หรือปวดหัวบ่อยๆ
• รู้สึกเหนื่อยทั้งที่นอนนานเพียงพอ
• ตื่นนอนแล้วปวดหัวหรือมีอาการเวียนศีรษะ
สาเหตุที่อันตราย อาจเกิดจากออกซิเจนในเลือดลดลงระหว่างหลับ ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง
4.ง่วงนอนผิดปกติในตอนกลางวัน
• มีอาการง่วงมากจนหลับในขณะทำงาน ประชุม หรือขับรถ
• รู้สึกสมาธิไม่ดี หลงลืมง่าย และมีอารมณ์แปรปรวน
สาเหตุที่อันตราย อาจเกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุระหว่างวัน
5.มีอาการคอแห้งหรือเจ็บคอเมื่อตื่นนอน
• ตื่นมาแล้วรู้สึกแสบคอ เจ็บคอ หรือคอแห้งบ่อยๆ
• อาจมีเสียงแหบหรือกลืนน้ำลายลำบาก
สาเหตุที่อันตราย บ่งบอกว่าอาจมีปัญหาหายใจทางปากตลอดคืน เนื่องจากทางเดินหายใจอุดกั้น
6.ความดันโลหิตสูง ควบคุมไม่ได้ หรือหัวใจเต้นผิดปกติ
• มีประวัติโรคความดันโลหิตสูงที่รักษาแล้วยังควบคุมไม่ดี
• หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือตื่นมาแล้วรู้สึกใจสั่น
สาเหตุที่อันตราย อาจเป็นสัญญาณว่าอาการนอนกรนส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจล้มเหลว
7.มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือเป็นโรคอ้วน
• มีไขมันสะสมรอบลำคอมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดกั้นทางเดินหายใจ
• นอนหลับไม่สนิท ทำให้ร่างกายเสียสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร
สาเหตุที่อันตราย โรคอ้วนสัมพันธ์กับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบเผาผลาญผิดปกติและนำไปสู่โรคเบาหวาน
อาการนอนกรนที่อันตราย คือ กรนเสียงดัง มีการหยุดหายใจขณะหลับ ง่วงผิดปกติในตอนกลางวัน ตื่นมาแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย มีปัญหาความดันโลหิตสูง หรือมีอาการคอแห้งและปวดหัวบ่อยๆ หากมีอาการนอนกรนเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาวิธีรักษาโดยเร็ว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
สรุปเกี่ยวกับอาการนอนกรน
สรุปได้ว่า อาการนอนกรนอาจเป็นเพียงเรื่องปกติของการนอนหลับ แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคเรื้อรังอื่น ๆ การตรวจสอบอาการของตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การเปลี่ยนท่านอน ลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายกล้ามเนื้อลำคอ สามารถช่วยลดอาการได้
ส่วนผู้ที่มีอาการนอนกรนรุนแรง อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ เช่น การทำเลเซอร์หรือการผ่าตัด การปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากอาการนอนกรน
สำหรับผู้ที่สนใจทำโปรแกรมเลเซอร์แก้นอนกรน Snore Laser ที่ รมย์รวินท์ คลินิก สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายปรึกษาแพทย์ ได้ผ่านช่องทางออนไลน์
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด