romrawin

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

สิวไขมัน , สิวไขมัน vs สิวอุดตัน

สิวไขมัน Vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เช็คให้ชัวร์ก่อนรักษา
หนึ่งในประเภทของสิวที่คนเข้าใจผิดมากที่สุดคือ สิวไขมัน และ สิวอุดตัน เพราะทั้งสองประเภทเป็นตุ่มเม็ดเล็กๆ บนผิวหน้า และเกิดจากการอุดตันในรูขุมขน
แต่จริงๆ แล้ว สาเหตุ การเกิด และวิธีรักษาต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้ารักษาผิดวิธี อาจทำให้สิวไม่หาย หรือหนักกว่าเดิม

รวมทุกหัวข้อของ สิวไขมัน Vs สิวอุดตัน
สิวไขมัน Vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร
ทำไมคนจำสิวไขมัน สลับกับสิวอุดตัน
สิวไขมันอันตรายหรือไม่ สามารถหายเองได้ไหม
สิวไขมันขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวไขมัน
วิธีรักษาสิวไขมันให้ได้ผลจริง
การดูแลผิวเพื่อป้องกันสิวไขมัน
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวไขมัน
คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับสิวไขมัน

สิวไขมัน Vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจสับสนระหว่าง สิวไขมัน กับ สิวอุดตัน เพราะทั้งสองอย่างมีลักษณะเป็นตุ่มใต้ผิวหนังที่แทบจะเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในเรื่องของ สาเหตุ, ลักษณะทางกายภาพ, และการเกิดสิวไขมันและสิวอุดตัน

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

สิวไขมัน (Sebaceous Cyst) คืออะไร ?
• สิวไขมันเกิดจาก ต่อมไขมันสร้างน้ำมันมากเกินไป จนเกิดเป็นถุงไขมันใต้ผิวหนัง
• ลักษณะของสิวไขมัน ตุ่มนูน กลม เรียบ ขนาดใหญ่กว่า 5 มม.ไม่สามารถบีบออกได้ง่าย และไม่มีหัวสิว
• ลักษณะเฉพาะของสิวไขมัน เนื้อข้างในเป็นไขมันสะสม มีผนังหุ้ม ถ้าบีบออกมาจะเป็นของเหลวสีขาวคล้ายนมเปรี้ยวหรือไขมันสะสม
• ตำแหน่งที่พบบ่อยของสิวไขมัน หลัง, หน้าอก, คอ, หนังศีรษะ, หลังหู

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

สิวอุดตัน (Comedones) คืออะไร ?
• เกิดจาก การอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน, เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก
• ลักษณะ ตุ่มเล็กๆ มีหัวสิวชัดเจน แบ่งเป็น
- สิวหัวขาว (Whiteheads) อุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง
- สิวหัวดำ (Blackheads) รูขุมขนเปิดออกสัมผัสอากาศจนเกิดออกซิเดชัน กลายเป็นสีดำ
• ตำแหน่งที่พบบ่อย ใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผาก, จมูก, คาง

สรุปความแตกต่างของสิวไขมัน และสิวอุดตันแบบเข้าใจง่าย

ลักษณะ

สิวไขมัน (Sebaceous Cyst)

สิวอุดตัน (Comedones)

สาเหตุ

การสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง

น้ำมันและเซลล์ผิวอุดตันรูขุมขน

ขนาด

ใหญ่กว่า 5 มม.

เล็กกว่า 5 มม.

หัวสิว

ไม่มีหัว

มีหัวขาวหรือหัวดำ

บีบออกได้ไหม

ไม่ควรบีบ

ถ้ากดสิวโดยแพทย์

สังเกตตัวเองให้ดี แล้วเลือกการดูแลให้เหมาะสม
• หากมีตุ่มใต้ผิวหนังที่ แข็ง ใหญ่ และไม่มีหัวสิว อาจเป็นสิวไขมัน ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
• หากเป็น ตุ่มเล็กๆ มีหัวขาวหรือดำ นั่นคือสิวอุดตัน ควรดูแลผิวหน้าให้สะอาดและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอุดตัน

ทำไมคนจำสิวไขมัน สลับกับสิวอุดตัน
การที่คนจำผิดระหว่าง สิวไขมัน (Sebaceous Cyst) และ สิวอุดตัน (Comedones) มักเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ไปดูกันว่ามีปัจจัยไหนบ้างที่ทำให้เราจำสิวไขมันสลับกับสิวอุดตัน

1.ลักษณะภายนอกของสิวไขมัน และสิวอุดตันคล้ายกัน ทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย
• ทั้ง สิวไขมัน และ สิวอุดตัน เป็น ตุ่มนูนใต้ผิวหนัง ที่อาจไม่มีการอักเสบชัดเจน
• หากสิวอุดตันไม่มีหัวโผล่ออกมา หรือสิวไขมันมีอาการบวมแดง คนทั่วไปอาจคิดว่าเป็นสิวแบบเดียวกัน
• ขนาดของตุ่มอาจแตกต่างกัน แต่ในระยะเริ่มต้น อาจดูคล้ายกันได้

2.การเรียกชื่อที่ไม่ชัดเจนในวงกว้าง
• คำว่า "สิวไขมัน" ถูกใช้ผิดความหมายบ่อย เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็น สิวที่เกิดจากไขมันอุดตัน แต่จริงๆ แล้ว สิวไขมันเป็นถุงไขมันใต้ผิวหนัง ไม่ใช่สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
• ในทางการแพทย์ สิวอุดตันแบ่งเป็น สิวหัวขาว และ สิวหัวดำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับน้ำมันสะสม แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นถุงไขมันเหมือนสิวไขมัน
• คนทั่วไปมักใช้คำว่า "สิวหัวปิด" และ "สิวไขมัน" แทนกัน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

3.พฤติกรรมบีบสิว ทำให้เข้าใจผิดว่าสิวไขมันคือสิวอุดตัน
• หลายคนพยายามบีบตุ่มใต้ผิวหนังที่เข้าใจผิดว่าเป็นสิวอุดตัน
• หากเป็นสิวอุดตัน อาจสามารถบีบเอาหัวสิวออกได้
• แต่ถ้าเป็น สิวไขมัน จะไม่มีหัวสิวให้บีบ และอาจมีเพียงไขมันเหลวๆ ออกมา ทำให้บางคนคิดว่าเป็นสิวอุดตันที่กดออกได้ยาก
• การบีบสิวไขมันเองอาจทำให้เกิดการอักเสบ บวม หรือกลายเป็นหนอง ทำให้ยิ่งดูคล้ายสิวอุดตันอักเสบเข้าไปอีก

4.สิวไขมันและสิวอุดตัน เกิดขึ้นจากไขมันในผิว แต่มีสาเหตุแตกต่างกัน
• สิวอุดตันเกิดจาก ไขมันที่อุดตันในรูขุมขน
• สิวไขมันเกิดจาก ไขมันที่สะสมเป็นก้อนใต้ผิวหนัง
• คนทั่วไปอาจคิดว่าตุ่มที่มีไขมันออกมาต้องเป็นสิวอุดตันทั้งหมด โดยไม่รู้ว่ามีสิวไขมันอีกประเภทหนึ่ง

5.การรักษาสิวไขมัน และสิวอุดตันที่บางครั้งคล้ายกัน ทำให้คนสับสน
• คนที่มีสิวอุดตันมักใช้ยาแต้มสิว ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หรือกดสิว
• แต่หากใช้กับสิวไขมัน จะไม่หายง่าย และต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ เช่น ผ่าตัดเอาถุงไขมันออก
• บางคนใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวอุดตันกับสิวไขมัน แต่ไม่ได้ผล ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสิวอุดตันที่ "ดื้อยา"

สิวไขมันอันตรายหรือไม่ สามารถหายเองได้ไหม
สิวไขมัน (Sebaceous Cyst) เป็นก้อนถุงไขมันที่เกิดจากการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งมีผนังหุ้มชัดเจน พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า คอ หลัง และหนังศีรษะ โดยทั่วไป สิวไขมันไม่เป็นอันตรายและไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี อาจเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้หากมีการบีบ กด หรือระคายเคืองบ่อยครั้ง

ความอันตรายของสิวไขมันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
1.หากสิวไขมัน ก้อนขนาดเล็ก ไม่มีอาการอักเสบ และไม่ขยายใหญ่ขึ้น มักไม่เป็นอันตราย
2.หากสิวไขมันเกิดการอักเสบ จะสังเกตเห็นว่าก้อนบวมแดง กดเจ็บ หรือมีหนอง ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อ
3.หากสิวไขมัน มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วหรือเกิดซ้ำ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสอบว่าเป็นซีสต์ไขมันทั่วไปหรือเป็นภาวะอื่นที่อาจต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม

สิวไขมันสามารถหายเองได้หรือไม่ ?
โดยปกติ สิวไขมันไม่สามารถหายเองได้ เพราะเป็นก้อนถุงไขมันที่มีผนังหุ้ม ร่างกายไม่สามารถดูดซึมหรือกำจัดออกไปได้เอง ในบางกรณีอาจฝ่อลงเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ใต้ผิวหนังอยู่ หากต้องการให้สิวไขมันหายขาด จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ ซึ่งอาจใช้วิธีการผ่าตัดเล็กเพื่อนำถุงไขมันออกทั้งหมดจะทำให้สิวไขมันหายขาดได้

คำแนะนำ หากสิวไขมันไม่มีอาการผิดปกติ สามารถสังเกตอาการได้ แต่หากเริ่มมีอาการอักเสบ โตขึ้น หรือมีการติดเชื้อ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ไม่ควรบีบหรือพยายามเอาออกเอง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือการอักเสบที่รุนแรงขึ้นได้

สิวไขมันขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง
สิวไขมัน (Sebaceous Cyst) สามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของร่างกายที่มีต่อมไขมัน เนื่องจากเกิดจากการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังจนเกิดเป็นถุงไขมันที่มีผนังหุ้ม โดยสิวไขมันมักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่และมีการผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

บริเวณที่พบสิวไขมันได้บ่อย
1.ใบหน้า
• สิวไขมันมักพบบริเวณ แก้ม, หน้าผาก, คาง และรอบจมูก ซึ่งเป็นจุดที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก
• สิวไขมันอาจเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน หรือการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง

2.หนังศีรษะ
• สิวไขมันมักเกิดเป็นก้อนใต้ผิวหนังและมีขนาดใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ
• สิวไขมันเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณหนังศีรษะ ซึ่งมักถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนหรือการผลิตน้ำมันที่มากผิดปกติ

3.หลังและหน้าอก
• เป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่และเกิดความมันสะสมได้ง่ายทำให้เกิดสิวไขมัน
• การเสียดสีจากเสื้อผ้า เหงื่อ และความอับชื้นอาจกระตุ้นให้เกิดสิวไขมันมากขึ้น

4.ลำคอ
สิวไขมันพบบริเวณด้านหลังคอหรือข้างลำคอ มักเกิดจากการเสียดสีของเสื้อคอสูงหรือปกเสื้อ

5.หลังหูและใบหู
• บริเวณหลังใบหูและติ่งหูเป็นอีกจุดที่พบสิวไขมันได้บ่อย
• สิวไขมันมักเกิดจากการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรกจากการสัมผัสหรือใส่หูฟังเป็นเวลานาน

6.รักแร้และขาหนีบ
• สิวไขมันพบบริเวณที่มีการเสียดสีสูงและมีต่อมไขมันขนาดใหญ่
• อาจเกิดจากการระคายเคืองจากการโกนขนหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ

7.ก้นและต้นขา
• สิวไขมันเกิดจากการนั่งเป็นเวลานาน การเสียดสีของเสื้อผ้า หรือเหงื่อสะสม
• สิวไขมันอาจมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อใต้ผิวหนังที่ไม่เจ็บ หรืออาจอักเสบได้หากมีการติดเชื้อ

ทำไมสิวไขมันขึ้นในบริเวณเหล่านี้ ?
• บริเวณที่มีต่อมไขมันมากมักมีแนวโน้มเกิดการอุดตันของไขมันได้ง่าย ทำให้สิวไขมันมักจะขึ้นในบริเวณเหล่านี้
• ความร้อน เหงื่อ และความอับชื้นสามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น
• การเสียดสีจากเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ที่สัมผัสผิว เช่น หูฟังหรือหมวก

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวไขมัน
มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการเกิดสิวไขมัน ซึ่งรวมถึงฮอร์โมน อาหาร พฤติกรรมการดูแลผิว รวมถึงสิ่งแวดล้อม มาดูรายละเอียดของแต่ละปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวไขมันกัน

1.ฮอร์โมนมีผลต่อสิวไขมันอย่างไร ?
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน หากระดับฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง จะส่งผลให้การผลิตไขมันมากขึ้น หรือรูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น

• ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) เช่น เทสโทสเตอโรน เป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวไขมัน
• ช่วงวัยรุ่น ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสูง ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น
• ช่วงตั้งครรภ์และวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลให้ต่อมไขมันอุดตันง่ายขึ้น
• ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงขึ้น ทำให้เกิดสิวและซีสต์ไขมันมากขึ้น
• การใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด อาจช่วยลดหรือลดระดับฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตไขมัน

2.อาหารที่กระตุ้นสิวไขมัน มีอะไรบ้าง ?
อาหารบางประเภทอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น หรือกระตุ้นการอักเสบของผิวหนังทำให้เกิดสิวไขมันได้

• อาหารที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ขนมหวาน เบเกอรี่ น้ำอัดลม กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น
• อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด อาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• ผลิตภัณฑ์นมวัวและอาหารแปรรูป มีฮอร์โมนธรรมชาติที่อาจกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน
• คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดสิวไขมัน

3.พฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิวไขมันโดยไม่รู้ตัว
หลายคนอาจไม่รู้ว่าพฤติกรรมบางอย่างส่งผลให้สิวไขมันขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

• การบีบหรือกดสิวแรงๆ อาจทำให้รูขุมขนเสียหายและเกิดเป็นซีสต์ไขมัน
• ล้างหน้ามากเกินไป ทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันอุดตันผิว เช่น ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของน้ำมันหนักๆ
• การสัมผัสหน้าเป็นประจำ นำสิ่งสกปรกและแบคทีเรียมาสู่ผิว
• การใส่หมวกหรือหูฟังเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการอับชื้นและกระตุ้นให้เกิดสิวไขมัน
• การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว ทำให้เกิดการอุดตันและกระตุ้นการผลิตไขมัน

4.ผิวมันทำให้เกิดสิวไขมันจริงหรือไม่ ?
ผิวมันมีแนวโน้มเกิดสิวไขมันมากขึ้น เนื่องจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง

• หากผิวมันและรูขุมขนเปิด การผลิตน้ำมันส่วนเกินอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน แต่หากรูขุมขนปิดและไขมันสะสมใต้ผิวหนัง จะพัฒนาเป็นสิวไขมันได้
• คนที่มีผิวมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมัน และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว

5.การใช้เครื่องสำอางที่ผิดอาจทำให้เกิดสิวไขมันได้หรือไม่ ?
เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันหนักๆ หรือมีสารที่อุดตันรูขุมขน อาจทำให้เกิดสิวไขมันได้

• เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ ซิลิโคน, น้ำมันแร่ (Mineral Oil), และปิโตรเลียมเจลลี่ อาจทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
• ครีมกันแดดที่มีเนื้อหนัก หากไม่ล้างออกให้สะอาด อาจทำให้ไขมันสะสมและเกิดซีสต์ไขมันส่งผลให้เกิดสิวไขมันได้
• การไม่ล้างเครื่องสำอางให้สะอาด ทำให้สารตกค้างบนผิวหนังและอุดตันรูขุมขน

การเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน(Non-Comedogenic)  และการทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวไขมันได้

6.แสงแดดทำให้เกิดสิวไขมันได้อย่างไร ?
แสงแดดอาจส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น และทำให้ผิวหนังหนาขึ้น จนเกิดการอุดตันของไขมันใต้ผิวหนังทำให้เกิดสิวไขมันได้

• รังสียูวีทำให้ผิวแห้ง ร่างกายจึงผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อลดความแห้ง ส่งผลให้เกิดการอุดตัน
• แสงแดดกระตุ้นการอักเสบ อาจทำให้สิวไขมันที่มีอยู่เดิมอักเสบและขยายใหญ่ขึ้น
• ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หากเลือกใช้ผิดประเภท อาจทำให้เกิดการอุดตัน

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ครีมกันแดดสูตรบางเบาและไม่อุดตันรูขุมขน รวมถึงหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน

วิธีรักษาสิวไขมันให้ได้ผลจริง
การรักษาสิวไขมันให้ได้ผลจริงต้องอาศัยวิธีที่ตรงจุด ทั้งการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ และการดูแลผิวที่ช่วยลดการเกิดซ้ำ

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

1.การรักษาสิวไขมันด้วยวิธีทางการแพทย์
1.1 Aviclear - เทคโนโลยีเลเซอร์ลดสิวไขมันที่ได้ผลจริง
AviClear เป็นเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองจาก FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) ว่าเป็นเลเซอร์ที่สามารถลดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยตรงกับต้นเหตุของปัญหาสิวไขมัน

• ใช้เทคโนโลยี 1726 nm laser ที่เจาะจงทำลายต่อมไขมัน โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน
• ช่วยลดการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิวไขมัน
• ลดสิวไขมันและป้องกันการเกิดซ้ำ โดยไม่ต้องใช้ยารับประทานหรือสารเคมี
• มีความปลอดภัยสูง และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวไขมันเรื้อรัง และต้องการการรักษาที่เห็นผลในระยะยาว

1.2 การผ่าตัดเอาถุงไขมันออก (Excision Surgery)
หากสิวไขมันมีขนาดใหญ่หรือเกิดซ้ำบ่อย วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการผ่าตัดเอาถุงไขมันออกโดยแพทย์

• ใช้มีดผ่าตัดเปิดแผลขนาดเล็ก แล้วนำถุงไขมันออกทั้งหมด
• ป้องกันการเกิดซ้ำ เพราะเป็นการกำจัดรากของถุงไขมัน
• ใช้เวลาไม่นาน แผลหายเร็ว และมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นน้อย

1.3 การฉีดยาสลายซีสต์ (Corticosteroid Injection)
ในกรณีที่สิวไขมันมีการอักเสบ แพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดการอักเสบและทำให้ก้อนซีสต์ยุบลง แต่ไม่ได้เป็นการกำจัดถุงไขมันทั้งหมด

• ใช้เวลาหลายวันถึงสัปดาห์ในการยุบตัว
• เหมาะกับสิวไขมันที่ยังมีขนาดเล็กและไม่ต้องการผ่าตัด

2.การรักษาสิวไขมันด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
แม้การรักษาสิวไขมันต้องอาศัยแพทย์เป็นหลัก แต่การดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยลดการเกิดซ้ำได้

2.1 ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความมันและการอุดตัน
• เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Tretinoin, Adapalene ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของต่อมไขมัน
• BHA (Beta Hydroxy Acid) ช่วยละลายไขมันและลดโอกาสการเกิดสิวไขมันใหม่
• Niacinamide ช่วยควบคุมความมันและลดการอักเสบของผิว

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

แนะนำผลิตภัณฑ์ของรมย์รวินท์ในการดูแลสิวไขมัน
PURE BRIGHT ครีมบำรุงเร่งการผลัดเซลล์ผิว สำหรับผิวที่แห้ง ลดการอุดตันของรูขุมขน ให้ผิวของเราดูกระจ่างใส
BHA สารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน ให้ผิวดูกระจ่างใส

2.2 ล้างหน้าให้สะอาด แต่ไม่บ่อยเกินไป
• ใช้ เจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีสารระคายเคือง
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี ซิลิโคน น้ำมันหนักๆ หรือแอลกอฮอล์ ที่อาจกระตุ้นการอุดตันของต่อมไขมัน

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

แนะนำผลิตภัณฑ์ของรมย์รวินท์ในการดูแลสิวไขมัน
GENTLE FOAMING CLEANSER ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ช่วยขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งคืนความชุ่มชื้นให้ผิว ลดความมัน

2.3 หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวไขมันเอง
• การบีบสิวไขมันอาจทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือทำให้ถุงไขมันแตกในผิวหนัง
• หากต้องการกดออก ควรให้แพทย์ทำ โดยใช้เทคนิคที่ปลอดภัย

การดูแลผิวเพื่อป้องกันสิวไขมัน
ควรให้ความสำคัญกับการดูแลผิวที่ช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมัน ควบคุมความมัน และลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้สิวไขมันเกิดขึ้น

1.เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอย่างเหมาะสมเพื่อลดภาวะเสี่ยงการเกิดสิวไขมัน
• ใช้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีสารระคายเคือง เช่น SLS (Sodium Lauryl Sulfate), น้ำหอม และแอลกอฮอล์
• เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี Salicylic Acid (BHA) เพื่อช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกินและลดการอุดตันของรูขุมขน
• ล้างหน้า วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

2.ควบคุมความมัน ลดโอกาสการอุดตันของไขมันใต้ผิว
• ใช้ โทนเนอร์หรือเซรั่มที่มี Niacinamide หรือ Witch Hazel เพื่อลดความมันส่วนเกินและกระชับรูขุมขน
• หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี น้ำมันหนักๆ หรือซิลิโคน ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันและเกิดสิวไขมันได้
• ซับหน้าด้วยกระดาษซับมันระหว่างวันหากรู้สึกว่าผิวมันมากเกินไป

3.ผลัดเซลล์ผิวเพื่อป้องกันการอุดตัน
• ใช้ BHA (Beta Hydroxy Acid) หรือ AHA (Alpha Hydroxy Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและป้องกันไขมันสะสม
• ใช้ Retinoids (เช่น Retinol, Adapalene, หรือ Tretinoin) เพื่อช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมัน
• ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองอาจส่งผลให้เกิดสิวไขมันได้

4.หลีกเลี่ยงการบีบ กด หรือสัมผัสหน้าบ่อยๆ
• การบีบสิวไขมันเองอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ และอาจทำให้ซีสต์ขยายใหญ่ขึ้น
• หากมีสิวไขมัน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังผิวพรรณแทนที่จะพยายามกดออกเอง

5.เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมกันแดดที่ไม่อุดตันผิว
• เลือกเครื่องสำอางและครีมกันแดดที่ระบุว่า "Non-Comedogenic" หรือ "Oil-Free"
• หลีกเลี่ยงรองพื้นหรือแป้งที่มีเนื้อหนัก ซึ่งอาจทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น
• ล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกวัน โดยใช้คลีนซิ่งที่เหมาะกับสภาพผิว

6.ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงของสิวไขมัน
• หลีกเลี่ยง อาหารที่มีน้ำตาลสูง, อาหารทอด และผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจกระตุ้นการผลิตไขมัน
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ระบบขับของเสียทำงานได้ดี
• ลดความเครียด เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นจากความเครียดสามารถกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น
• นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวมีโอกาสฟื้นฟูและปรับสมดุล

7.ป้องกันแสงแดดเพื่อลดการระคายเคืองและการอักเสบของผิว
• ใช้ครีมกันแดดที่มี ค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีสูตรที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
• หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน เพราะแสงแดดสามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• หากต้องออกแดดเป็นเวลานาน ควรสวมหมวกหรือใช้ร่มเพื่อปกป้องผิว

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวไขมัน
สิวไขมันเป็นปัญหากวนใจที่หลายคนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิวอุดตัน ถ้าเราสามารถแยกสิวไขมันออกจากสิวอุดตันได้ จะทำให้เราสามารถหาวิธีรักษาได้อย่างตรงจุด

การดูแลผิวเพื่อป้องกันสิวไขมันต้องเน้นการ ควบคุมความมัน ลดการอุดตันของต่อมไขมัน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว การลดความเครียด และการป้องกันแสงแดด ก็ช่วยลดโอกาสเกิดสิวไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากสิวไขมันเกิดขึ้นบ่อยและไม่สามารถจัดการได้ด้วยวิธีทั่วไป ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้เลเซอร์ Aviclear หรือการผ่าตัดเอาถุงไขมันออกเพื่อกำจัดต้นเหตุของปัญหาได้อย่างถาวร
ใครที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองกำลังเป็นสิวไขมันหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นแล้วจะรักษาอย่างไร สามารถทักมาจองคิวเพื่อพบแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อรักษาปัญหาสิวได้อย่างตรงจุด

สิวไขมัน

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร

สิวไขมัน vs สิวอุดตัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับสิวไขมัน
1.สิวไขมันเกิดจากอะไร?
เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันและการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากฮอร์โมน พันธุกรรม หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว

2.สิวไขมันสามารถบีบออกได้ไหม?
ไม่ควรบีบ เพราะไม่มีหัวสิวให้กดออก และอาจทำให้ติดเชื้อหรืออักเสบมากขึ้น

3.สิวไขมันรักษาด้วยตัวเองได้ไหม?
หากเป็นก้อนเล็กและไม่มีการอักเสบ สามารถดูแลผิวเพื่อลดการเกิดใหม่ได้ แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่หรือเกิดซ้ำ ควรพบแพทย์

4.สิวไขมันอักเสบได้หรือไม่?
ได้ หากมีการติดเชื้อจากการบีบ แกะ หรือสัมผัสบ่อยๆ อาจทำให้บวมแดงและเจ็บ

5.เลเซอร์ Aviclear ช่วยรักษาสิวไขมันได้จริงไหม?
ได้ผลดี เพราะช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ลดการผลิตน้ำมัน และป้องกันการเกิดซ้ำ

6.สิวไขมันสามารถกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้หรือไม่?
โดยทั่วไปไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง แต่หากก้อนโตเร็ว เปลี่ยนสี หรือมีเลือดออก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสอบ

7.ทำไมบางคนเป็นสิวไขมันซ้ำๆ?
อาจเกิดจากพันธุกรรม ฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป หรือการอุดตันของรูขุมขนเรื้อรัง

8.สิวไขมันขึ้นตรงไหนได้บ้าง?
พบได้บ่อยที่ใบหน้า หนังศีรษะ คอ หลัง หู และหน้าอก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ

9.สิวไขมันหายเองได้ไหม?
ส่วนใหญ่ไม่หายเอง เพราะเป็นถุงไขมันที่มีผนังหุ้ม ต้องใช้วิธีทางการแพทย์ในการกำจัด

10.วิธีป้องกันสิวไขมันมีอะไรบ้าง?
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันผิว ควบคุมความมัน หลีกเลี่ยงการบีบสิว และดูแลสุขภาพด้วยการควบคุมอาหารและลดความเครียด

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ