รอยแผลเป็นจากสิว คืออะไร เกิดจากอะไร รักษายังไงให้หายขาดผิวเรียบเนียน
รอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิว คืออะไร เกิดจากอะไร รักษายังไงให้หาย
รอยแผลเป็นจากสิว เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน แม้ว่าสิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่ทิ้งไว้กลับยังคงส่งผลกระทบต่อความเรียบเนียนและความมั่นใจในผิวหน้า รอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของผิวหนังหลังการอักเสบที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดรอยหลุม รอยนูน หรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เช่น รอยดำหรือรอยแดง แม้บางครั้งรอยแผลเป็นจากสิวบางประเภทจะสามารถจางลงได้เอง แต่ในหลายกรณีกลับต้องอาศัยการดูแลรักษารอยแผลเป็นจากสิวอย่างถูกวิธี เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสอีกครั้ง
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร และวิธีลดรอยแผลเป็นสิว สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว รวมถึงวิธีการป้องกันและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางให้ผิวของคุณกลับมาสวยสุขภาพดีได้อย่างมั่นใจ
รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร
รอยแผลเป็นจากสิว คือ ความเสียหายของผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากกระบวนการหายของสิว โดยเฉพาะสิวที่มีการอักเสบรุนแรง ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมผิวบริเวณที่เกิดการอักเสบ แต่การซ่อมแซมนั้นอาจทำได้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ผิวหนังมีความผิดปกติ เช่น หลุมสิว รอยนูนสิว หรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิวอย่างรอยดำรอยแดง ซึ่งอาจคงอยู่เป็นระยะเวลานานหรือถาวร
กระบวนการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
1.สิวอักเสบทำลายผิวหนังทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
สิวที่มีการอักเสบรุนแรงจะทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังและโครงสร้างใต้ผิวเสียหาย เช่น คอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
2.การสมานแผลของร่างกายทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
เมื่อเนื้อเยื่อถูกทำลาย ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทน โดยเน้นไปที่การสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมผิว ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
3.การซ่อมแซมที่ผิดปกติทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• หากร่างกายสร้างคอลลาเจน "ไม่เพียงพอ" จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวแบบรอยหลุมสิว (Atrophic scars)
• หากร่างกายสร้างคอลลาเจน "มากเกินไป" จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวแบบแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic scars หรือ Keloids)
4.การเปลี่ยนแปลงของสีผิวทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
การอักเสบจากสิวยังสามารถกระตุ้นให้เกิดเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ นำไปสู่รอยแผลเป็นจากสิวแบบรอยดำหรือรอยแดง แม้จะไม่ใช่แผลเป็นแท้ ๆ แต่ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่มองเห็นได้จากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากอะไร
1.รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการอักเสบของสิวที่รุนแรง
หนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวคือการอักเสบที่รุนแรง เมื่อสิวมีการอักเสบมาก เช่น สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง หรือสิวที่ติดเชื้อ การอักเสบจะทำลายโครงสร้างของผิวหนัง โดยเฉพาะในชั้นหนังแท้ (dermis) ส่งผลให้ผิวหนังสูญเสียความเรียบเนียนถาวรหลังจากสิวหาย
2.รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการบีบ แกะ หรือกดสิว
การแกะสิว กดสิว หรือบีบสิวเอง โดยไม่ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง เป็นการเพิ่มความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อผิวหนัง เพราะแรงกดดันจากการบีบอาจทำให้ผนังรูขุมขนแตกและการอักเสบกระจายลึกลงไปมากขึ้น ร่างกายจึงต้องซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย ซึ่งมักส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นในรูปแบบหลุมหรือรอยนูนผิดปกติ
3.รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการสร้างคอลลาเจนผิดปกติ
หลังจากผิวหนังเกิดการบาดเจ็บจากสิว ร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมผิว แต่ถ้าสร้างน้อยเกินไปก็จะเกิดเป็น รอยหลุมสิว (Atrophic scars) ในทางตรงกันข้าม ถ้าสร้างคอลลาเจนมากเกินไปจะทำให้เกิด รอยแผลเป็นจากสิวชนิดนูน (Hypertrophic scars หรือ Keloids)
4.รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากพันธุกรรมและลักษณะผิวเฉพาะตัว
พันธุกรรมก็มีบทบาทสำคัญ คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นแผลเป็นง่าย มีแนวโน้มจะมีรอยแผลเป็นจากสิวมากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ลักษณะผิว เช่น ผิวมันมาก ผิวแพ้ง่าย หรือผิวมีแนวโน้มเป็นสิวอักเสบหนัก ก็มีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นได้สูงขึ้น
5.รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการดูแลผิวหลังสิวหายไม่ถูกต้อง
การละเลยการดูแลผิวหลังจากสิวหาย เช่น ไม่ทาครีมกันแดด, ไม่บำรุงผิวที่มีการอักเสบ หรือไม่รักษารอยแดง/รอยดำหลังสิวอย่างเหมาะสม สามารถทำให้ เม็ดสีสะสมผิดปกติ และกลายเป็น รอยดำ (Post-inflammatory hyperpigmentation) ที่คงอยู่ยาวนาน หรือเกิดการฟื้นฟูผิดปกติจนกลายเป็นรอยแผลเป็นจากสิวถาวรได้
สรุปสาเหตุของรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการที่ผิวหนังได้รับความเสียหายอย่างลึกจากการอักเสบหรือการกระทำที่รุนแรง เช่น การบีบสิว และการซ่อมแซมตัวเองของผิวที่ผิดปกติ ซึ่งมีทั้งปัจจัยภายใน (พันธุกรรม, ลักษณะผิว) และปัจจัยภายนอก (การดูแลผิดวิธี) ร่วมด้วย ดังนั้นการรักษาสิวอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ และการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนคือกุญแจสำคัญในการป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว
ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มรอยแผลเป็นจากสิวหลัก ๆ ดังนี้
1.รอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุม (Atrophic Scars)
รอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุม (Atrophic Scars) เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายลึกลงไป และร่างกายสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอในกระบวนการซ่อมแซม ส่งผลให้เกิด รอยบุ๋ม หรือ รอยหลุม บนผิวหน้า
ประเภทย่อยของหลุมสิว
• Ice Pick Scars
- ลักษณะ หลุมขนาดเล็ก ปากแคบ แต่ลึกเหมือนถูกเข็มเจาะลงไป
- มักพบที่บริเวณแก้มและจมูก
- รักษายากที่สุดในบรรดาหลุมสิวทุกประเภท
• Boxcar Scars
- ลักษณะ หลุมขอบชัด ขนาดกลางถึงใหญ่ มีลักษณะคล้ายกล่อง ขอบตั้งฉากกับพื้นผิว
- พบบ่อยบริเวณแก้ม และขากรรไกร
• Rolling Scars
- ลักษณะ หลุมตื้น ขนาดใหญ่ ผิวไม่เรียบเนียน ดูเป็นคลื่น ๆ
- เกิดจากพังผืดใต้ผิวหนังดึงรั้งผิวไว้
2.รอยแผลเป็นจากสิวชนิดนูน (Hypertrophic Scars และ Keloids)
รอยแผลเป็นจากสิวชนิดนูน (Hypertrophic Scars และ Keloids) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนเกินกว่าความจำเป็น ทำให้เกิดแผลเป็นชนิดนูนขึ้นมาจากผิวปกติ
• Hypertrophic Scars
- ลักษณะ รอยนูนแข็ง ขนาดพอ ๆ กับแผลเดิม ไม่ขยายใหญ่
- มักเกิดในบริเวณที่สิวมีการอักเสบหนัก เช่น หน้าอก หลัง ไหล่
• Keloids
- ลักษณะ รอยนูนขยายกว้างออกไปนอกขอบเขตของแผลเดิม มีสีแดงหรือเข้ม
- รักษายาก และมักมีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
3.รอยแดงและรอยดำหลังสิว (Post-Inflammatory Erythema/Hyperpigmentation)
รอยแดงและรอยดำหลังสิว (Post-Inflammatory Erythema/Hyperpigmentation) แม้จะไม่ใช่รอยแผลเป็นจากสิวแท้ ๆ แต่มักเป็นร่องรอยที่พบบ่อยหลังจากสิวหาย
• รอยแดงหลังสิว (Post-Inflammatory Erythema)
- เกิดจากเส้นเลือดฝอยขยายตัวหลังการอักเสบของสิว
- พบบ่อยในคนผิวขาวหรือผิวบาง
- สีแดงอมชมพู
• รอยดำหลังสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
- เกิดจากการกระตุ้นให้เมลานินผลิตมากขึ้นหลังการอักเสบ
- พบบ่อยในคนผิวสองสีถึงผิวคล้ำ
- สีเทา น้ำตาล หรือดำ
รอยแดงและรอยดำสามารถจางหายเองได้ในระยะเวลา 3-12 เดือน แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแล อาจกลายเป็นรอยถาวรได้เช่นกัน
รอยแผลเป็นจากสิวมักพบบริเวณไหน
1.รอยแผลเป็นจากสิวที่แก้ม
• บริเวณที่พบบ่อยที่สุด สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวทุกประเภท
• โดยเฉพาะหลุมสิว (Atrophic Scars) เช่น Ice Pick Scars, Boxcar Scars, และ Rolling Scars
• เพราะแก้มมีพื้นที่กว้าง และสิวมักอักเสบรุนแรงได้ง่ายเนื่องจากต่อมไขมันใต้ผิวค่อนข้างหนาแน่น
2.รอยแผลเป็นจากสิวที่หน้าผาก
• มักพบรอยแผลเป็นจากสิวชนิดตื้น ๆ และ รอยคลื่น (Rolling Scars) บนหน้าผาก
• บางครั้งสิวหัวช้างที่อักเสบแรงบนหน้าผากจะทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวชนิดนูนได้เช่นกัน
3.รอยแผลเป็นจากสิวที่คาง
• สิวที่เกิดบริเวณคางมักเป็นสิวฮอร์โมน มีโอกาสอักเสบได้ง่าย
• รอยแผลเป็นจากสิวในบริเวณนี้จึงอาจเป็นได้ทั้งหลุมสิวลึก และ รอยดำหลังสิว
4.รอยแผลเป็นจากสิวที่กราม
• เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่สิวฮอร์โมนขึ้นบ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิง
• สิวที่กรามมีแนวโน้มอักเสบลึกและเป็นก้อนใหญ่ ทำให้ทิ้ง หลุมสิวขนาดใหญ่ หรือ รอยนูน (Hypertrophic Scars) ได้
5.รอยแผลเป็นจากสิวที่หลัง
• พื้นที่หลังมีต่อมไขมันขนาดใหญ่มาก และเหงื่อออกมาก
• สิวที่หลังมักเป็นสิวอักเสบรุนแรง จึงทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวชนิดนูน (Hypertrophic หรือ Keloids) บ่อย
6.รอยแผลเป็นจากสิวที่หน้าอก
• รอยแผลเป็นจากสิวที่หน้าอกคล้ายกับบริเวณหลัง สิวที่หน้าอกอาจทิ้งรอยแผลเป็นนูนได้
• โดยเฉพาะในกรณีที่มีสิวอักเสบเรื้อรังหรือเกิดการติดเชื้อรองซ้ำ
7.รอยแผลเป็นจากสิวที่ไหล่
• ไหล่เป็นอีกบริเวณที่สิวอักเสบและแผลเป็นนูน (Keloids) มักพบบ่อย
• เพราะเป็นจุดที่เสียดสีเสื้อผ้า บวกกับการที่เนื้อเยื่อบริเวณไหล่มีแนวโน้มสร้างคอลลาเจนเกินง่ายกว่าผิวหน้า
ใครเสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
1.คนที่เป็นสิวอักเสบรุนแรงเสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• ผู้ที่เป็นสิวอักเสบหัวหนอง, สิวหัวช้าง, หรือ สิวซีสต์ (Cystic Acne) มีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าสิวชนิดไม่อักเสบ (สิวอุดตันทั่วไป)
• การอักเสบรุนแรงทำให้ผนังรูขุมขนและเนื้อเยื่อผิวหนังชั้นลึกถูกทำลายมากขึ้น ส่งผลต่อการสมานแผลผิดปกติ
2.คนที่ชอบกด บีบ หรือแกะสิว เสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• พฤติกรรมบีบสิว แกะสิว หรือกดสิวด้วยมือที่ไม่สะอาด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิวอักเสบหนักขึ้น และเพิ่มความเสียหายต่อชั้นผิวหนัง ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว ทั้งหลุมสิว รอยดำ หรือแผลเป็นนูนได้
3.คนที่มีพันธุกรรมเสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• หากคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง มีประวัติเป็นรอยแผลเป็นจากสิว ก็มีโอกาสที่ตนเองจะมีรอยแผลเป็นได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
• เพราะการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังและการสร้างคอลลาเจนมีพื้นฐานทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
4.คนที่มีผิวอักเสบง่ายหรือผิวบอบบาง เสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• ผิวที่มีความบอบบาง หรือไวต่อการอักเสบ เช่น ผิวแพ้ง่าย (sensitive skin) หรือผิวที่เป็นโรคผิวหนังบางประเภท
• เมื่อเกิดการอักเสบ จะกระตุ้นกระบวนการสร้างรอยแผลเป็นจากสิวได้ง่ายขึ้น
5.คนที่ไม่ดูแลรักษาสิวตั้งแต่ระยะแรก เสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• การปล่อยให้สิวลุกลาม หรือไม่รักษาให้หายตั้งแต่เริ่มมีอาการอักเสบ
• ทำให้การอักเสบเรื้อรัง และเพิ่มโอกาสที่รอยแผลเป็นจากสิวจะเกิดขึ้นในภายหลัง
6.คนที่ไม่ปกป้องผิวจากแสงแดด เสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• แสงแดดทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวช้าลง และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิดปกติ
• ส่งผลให้รอยดำหลังสิว เด่นชัดและคงอยู่นานขึ้น หรือทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดูแย่ลงกว่าเดิม
7.คนที่มีสุขภาพผิวไม่แข็งแรง เสี่ยงมีรอยแผลเป็นจากสิว
• คนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน, โรคเรื้อรังที่ทำให้แผลหายช้า
• หรือการขาดวิตามินสำคัญ เช่น วิตามินซี, สังกะสี ที่มีบทบาทในการสมานแผล
• จะทำให้โอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิวสูงขึ้น
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
1.รักษาสิวตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
• อย่าปล่อยให้สิวลุกลามหรืออักเสบรุนแรง เพราะยิ่งสิวอักเสบหนัก โอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิวก็สูง
• ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ยาทาเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดวิตามินเอ (Retinoids)
• หากสิวไม่ดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
2.หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ หรือกดสิว
• การบีบสิวทำให้ผิวหนังชั้นลึกเกิดความเสียหาย เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวมากขึ้น
• แม้สิวหัวขาวจะดูเหมือนสุกพร้อมบีบ ก็ยังควรรอให้หายเอง หรือกดสิวในคลินิกที่มีมาตรฐาน
3.ใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบ
• เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมลดการอักเสบของสิว เช่น
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
- ชาเขียว (Green Tea Extract)
- ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)
• ช่วยลดการบวมแดง ทำให้สิวหายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
4.ปกป้องผิวจากแสงแดด
• รังสี UV ทำให้รอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นจากสิวเด่นชัดขึ้น
• ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่ม หรือในบ้าน
• เลือกกันแดดที่เหมาะสำหรับผิวเป็นสิวง่าย (non-comedogenic)
5.ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน
• ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งเกินไป
• หลีกเลี่ยงการขัดถูหรือสครับผิวอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบมากขึ้น
• เลือกใช้สกินแคร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์แรง ๆ หรือสารระคายเคือง ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
6.รักษาสิวอย่างต่อเนื่อง
• รอยแผลเป็นจากสิวมักเกิดจากการปล่อยให้สิวอักเสบเรื้อรัง ดังนั้นการรักษาสิวอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ
• ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด แม้ว่าสิวจะดูเหมือนดีขึ้นแล้ว
7.ใช้ยาทาเพื่อป้องกันรอยแดงและรอยดำหลังสิว
- ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นจากสิวที่มีส่วนผสม เช่น
- ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)
- วิตามินซี (Vitamin C)
- อะเซลาอิก แอซิด (Azelaic Acid)
• จะช่วยเร่งการฟื้นฟูผิว ลดรอยแดงและรอยดำได้เร็วขึ้น ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิวถาวร
8.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• อย่าใช้นิ้วสกปรกสัมผัสใบหน้า ป้องกันเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางอุดตันผิว ป้องกันเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• อย่าเครียดเกินไป เพราะความเครียดกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดสิว ป้องกันเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
การป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวต้องเริ่มตั้งแต่การป้องกันไม่ให้สิวอักเสบรุนแรง หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว ดูแลผิวอย่างถูกวิธี และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบและเร่งการฟื้นฟูผิว การปกป้องผิวจากแสงแดดและปรึกษาแพทย์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวระยะยาวได้อย่างมาก
แนะนำวิธีลดรอยแผลเป็นจากสิวให้หน้าเนียนใส
1.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดรอยแผลเป็น
• วิตามินซี (Vitamin C)
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
• เรตินอยด์ (Retinoids)
เช่น Retinol หรือ Tretinoin ช่วยผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นตื้นขึ้น
• ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)
ลดการอักเสบ ลดรอยแดง และช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว
• กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) และ กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA)
ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ลดการอุดตันของรูขุมขน และกระตุ้นการฟื้นฟูผิว
2.ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
• รังสี UV ทำให้รอยแผลเป็นสีเข้มขึ้นและรักษายากกว่าเดิม
• เลือกกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 ขึ้นไป และเป็นสูตรไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic)
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
3.รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์และทรีตเมนต์
• Fractional Laser / CO₂ Laser กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้หลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิวดูตื้นขึ้น
• Pico Laser / Q-Switched Laser ช่วยลดรอยดำ รอยแดง และเม็ดสีผิดปกติที่เกิดจากรอยแผลเป็นจากสิว
• Microneedling (Dermaroller / Dermapen) ใช้เข็มเล็ก ๆ กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อลดรอยหลุมและปรับผิวให้เรียบเนียน
• Subcision เป็นการใช้เข็มพิเศษตัดพังผืดใต้หลุมสิว ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวแบบหลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
• Chemical Peeling ใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออก ลดรอยแผลเป็นจากสิวและกระตุ้นการสร้างผิวใหม่
4.ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มหลุมสิว
• สำหรับหลุมสิวลึก ๆ การฉีดฟิลเลอร์ เช่น Hyaluronic Acid สามารถเติมเต็มผิวบริเวณที่ยุบตัวได้
• เห็นผลทันที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน แล้วต้องฉีดซ้ำ
5.ดูแลสุขภาพผิวจากภายใน
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ลดการเกิดสิวซึ่งเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นจากสิว
• ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ วิตามินซีสูง โปรตีน และอาหารที่มีโอเมก้า 3 ลดการเกิดสิวซึ่งเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นจากสิว
• หลีกเลี่ยงของทอด น้ำตาลสูง เพราะอาหารเหล่านี้กระตุ้นการอักเสบและทำให้สิวขึ้นใหม่ ลดการเกิดสิวซึ่งเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นจากสิว
การลดรอยแผลเป็นจากสิวให้หน้าเนียนใส ต้องอาศัยการดูแลที่ผสมผสานระหว่างการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม การปกป้องผิวจากแสงแดด การเลือกใช้เลเซอร์หรือทรีตเมนต์ทางการแพทย์ที่ตรงจุด และการดูแลสุขภาพผิวจากภายในอย่างต่อเนื่อง หากเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง พร้อมมีความสม่ำเสมอในการดูแล ผิวหน้าจะค่อย ๆ เรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นได้แน่นอน
เคล็ดลับดูแลผิวหลังรักษารอยแผลเป็นจากสิว
หลังจากทำทรีตเมนต์ลดรอยแผลเป็นจากสิว เช่น เลเซอร์, ไมโครนีดลิง, หรือกรอผิว การดูแลผิวอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ผลลัพธ์การรักษาออกมาดีที่สุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
1.ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด
• ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกไปข้างนอก เพราะรังสี UV สามารถทะลุกระจกได้
• ใช้กันแดดที่มีค่า SPF 30-50 และ PA+++ ขึ้นไป
• ควรเลือกสูตร non-comedogenic (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) เพื่อไม่ให้สิวกลับมา
• ใส่หมวก, พกร่ม หรือเลี่ยงการออกแดดจัดในช่วง 10:00-16:00 น.
2.เน้นการบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
• ใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวอุดตัน เช่น มีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือ เซราไมด์ (Ceramide)
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี กรดผลไม้ (AHA, BHA), วิตามินซีเข้มข้น, เรตินอยด์ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการรักษา เพื่อป้องกันการระคายเคือง
3.ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน
• ใช้โฟมล้างหน้าที่ไม่มีสารซักฟอกแรง ๆ (SLS-Free, Fragrance-Free)
• หลีกเลี่ยงการใช้แปรงขัดผิว, สครับ หรือเครื่องล้างหน้าไฟฟ้าในช่วงที่ผิวกำลังฟื้นตัว
• ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อย่างเบามือ
4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือระคายเคืองผิว
• อย่าเกาบริเวณที่ทำทรีตเมนต์ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกคันหรือแห้ง
• หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดหน้าแรง ๆ หรือเช็ดหน้าด้วยกระดาษทิชชู่หยาบ ๆ
• งดใช้เครื่องสำอางหนาหนัก เช่น รองพื้นหนา คอนซีลเลอร์ที่อุดตันรูขุมขนในช่วงแรก
5.ฟื้นฟูผิวจากภายใน
• ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อรักษาความชุ่มชื้นผิว
• ทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูผิว เช่น อาหารที่มีวิตามินซี (ส้ม, ฝรั่ง, บร็อกโคลี่), วิตามินอี (อัลมอนด์, อะโวคาโด) และโปรตีน
• นอนหลับให้เพียงพอ (อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน) เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ผิวตามธรรมชาติ
6.หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ
• หากมีอาการผิดปกติหลังทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว เช่น ผิวแดงรุนแรง, บวม, คันมาก, มีหนอง หรือผิวไหม้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
• การติดเชื้อ หรือรอยดำถาวรอาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ดูแลอย่างเหมาะสมหลังทำทรีตเมนต์รักษารอยแผลเป็นจากสิว
การดูแลผิวหลังรักษารอยแผลเป็นจากสิว ต้องเน้นความอ่อนโยนและการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างจริงจัง พร้อมทั้งเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และฟื้นฟูร่างกายจากภายใน เพื่อให้ผิวสามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หากดูแลถูกต้อง ผิวจะค่อย ๆ เรียบเนียน กระจ่างใส และลดโอกาสเกิดรอยใหม่ได้ในระยะยาว
Q&A คำถามอื่น ๆ เกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิว
1.รอยแผลเป็นจากสิวหายได้เองไหม
คำตอบคือ รอยแผลเป็นจากสิวบางประเภทหายเองได้ เช่น รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema) หรือรอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) ซึ่งจะค่อย ๆ จางลงเองในระยะเวลา 3-12 เดือน โดยเฉพาะถ้ามีการดูแลผิวอย่างถูกต้องและทาครีมกันแดดเป็นประจำ แต่ถ้าเป็น หลุมสิว หรือ แผลเป็นนูน จะไม่หายเอง จำเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์, ไมโครนีดลิง, หรือการฉีดฟิลเลอร์
2.รอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นได้กับทุกคนหรือเปล่า
คำตอบคือ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นสิวจะมีรอยแผลเป็นจากสิว บางคนผิวสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดี แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สิวอักเสบรุนแรง, บีบสิวบ่อย, พันธุกรรม หรือผิวอักเสบง่าย ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดรอยแผลเป็นจากสิวตามมา
3.รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้เมื่อไหร่ หลังจากสิวหาย
คำตอบคือ โดยทั่วไป ควรเริ่มรักษารอยแผลเป็นจากสิว หลังจากสิวหายสนิทแล้ว (ไม่มีสิวอักเสบหรือสิวใหม่ขึ้น) เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิวเพิ่มเติม และให้การรักษาเห็นผลชัดเจนขึ้น
4.เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ทุกประเภทไหม
คำตอบคือ เลเซอร์มีหลายชนิด และเลือกใช้ตามประเภทของรอยแผลเป็น เช่น
• เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน (เช่น Fractional CO₂ Laser) เหมาะกับ หลุมสิว
• เลเซอร์เม็ดสี (เช่น Pico Laser, Q-Switched) เหมาะกับ รอยดำ/รอยแดง
แนะนำให้ประเมินกับแพทย์ผิวหนังก่อน เพื่อเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพผิวของแต่ละคน
5.ใช้ครีมรักษารอยแผลเป็นอย่างเดียวได้ผลไหม
คำตอบคือ หากรอยแผลเป็นจากสิวเพียงรอยดำหรือรอยแดงตื้น ๆ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมเช่น วิตามินซี, เรตินอยด์, กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี สามารถช่วยได้ดี แต่ถ้าเป็น หลุมสิวลึก ๆ หรือแผลเป็นนูน การใช้ครีมอย่างเดียวมักไม่เพียงพอ ต้องเสริมด้วยหัตถการทางการแพทย์เพิ่มเติม
6.การทานอาหารช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้ไหม
คำตอบคือ การทานอาหารบางประเภทช่วยส่งเสริมให้การรักษารอยแผลเป็นจากสิวหายเร็วขึ้น โดยเฉพาะการทานอาหารที่มีวิตามินซี, วิตามินอี, ซิงก์ (สังกะสี) และโอเมก้า 3 ช่วยเสริมการฟื้นฟูผิว ลดการอักเสบ และช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางเร็วขึ้น แต่ต้องควบคู่กับการดูแลผิวภายนอกด้วย
7.รอยแผลเป็นจากสิวสามารถหายขาด 100% ได้ไหม
คำตอบคือ สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวตื้น ๆ หรือรอยสีผิดปกติ สามารถหายได้เกือบ 100% ด้วยการดูแลและรักษาที่ถูกต้อง แต่สำหรับหลุมสิวลึก ๆ หรือแผลเป็นชนิดนูน การรักษาอาจช่วยให้ดีขึ้น 70-90% แล้วแต่ความลึกและเทคนิคที่ใช้ แต่อาจไม่สามารถเรียบเนียน 100% ได้เหมือนผิวเดิม
บทสรุปเกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิว
สรุปว่า รอยแผลเป็นจากสิวเป็นผลมาจากการอักเสบและการซ่อมแซมตัวเองของผิวที่ผิดปกติ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท เช่น รอยหลุม รอยนูน รอยแดง และรอยดำ การเกิดรอยแผลเป็นจากสิวมีทั้งปัจจัยภายในอย่างพันธุกรรมและลักษณะผิว และปัจจัยภายนอก เช่น การบีบสิวหรือการไม่ดูแลผิวอย่างเหมาะสม
การป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวที่ดีที่สุดคือการดูแลและรักษาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างจริงจัง หากเกิดรอยแผลเป็นจากสิวแล้ว การเลือกแนวทางการรักษาที่ตรงกับประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ทางการแพทย์ รวมถึงการดูแลสุขภาพผิวจากภายในอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวหน้าค่อย ๆ กลับมาเรียบเนียน กระจ่างใส และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิวใหม่ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ