10 วิธีทำให้หน้าขาว หน้าใส ใน 7 วัน ลดความหมองคล้ำ มีวิธีอะไรบ้าง
หน้าขาว
10 วิธีทำให้หน้าขาว หน้าใส ใน 7 วัน ลดความหมองคล้ำ
การมีผิวหน้าขาวกระจ่างใสเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา เพราะผิวที่เรียบเนียนและเปล่งปลั่ง ไม่เพียงเสริมสร้างความมั่นใจ แต่ยังช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย ดังนั้นหลายคนจึงต่างหาวิธีทำหน้าขาวใสแบบเร่งด่วน แม้การดูแลผิวหน้าให้ขาวใสในเวลารวดเร็วอาจฟังดูยาก แต่หากปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ ก็สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน บทความนี้ขอแนะนำ 10 วิธีทำให้หน้าขาวใสภายใน 7 วัน ทั้งแบบธรรมชาติและการทำหัตถการความงาม รวมถึงผลเสียและสาเหตุของผิวหมองคล้ำที่ควรรู้ พร้อมทั้งแนะนำโปรแกรมดูแลผิวยอดนิยม ที่จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าขาวกระจ่างใส ดูสุขภาพดี และปลอดภัย
ผลเสียของผิวหน้าหมองคล้ำ
ผิวหน้าหมองคล้ำไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของความสวยความงาม แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวและสุขภาพจิตใจได้อย่างมาก โดยผิวหน้าหมองคล้ำส่งผลเสียดังนี้
• ผิวหน้าหมองคล้ำส่งผลให้ดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัย
ผิวที่หมองคล้ำขาดความสดใสและเปล่งปลั่ง ทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่น คล้ายกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ อีกทั้งยังทำให้ดูมีอายุเกินจริง เนื่องจากผิวหน้าที่สว่างใสช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัยได้
• ผิวหน้าหมองคล้ำส่งผลให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง
เมื่อผิวหน้าหมองคล้ำ หลายคนมักรู้สึกไม่มั่นใจเวลาพบปะผู้คน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และการเข้าสังคม ทำให้ไม่กล้าแสดงออกและไม่มั่นใจในตัวเอง
• ผิวหน้าหมองคล้ำเสี่ยงต่อการเกิดจุดด่างดำ ฝ้า และกระ
ผิวหน้าหมองคล้ำมักมาจากการเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะ ซึ่งหากไม่ดูแล อาจพัฒนาไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น จุดด่างดำ รอยหมองคล้ำ ฝ้า และกระ ที่รักษายากและใช้เวลานาน
• ผิวหน้าหมองคล้ำส่งผลให้ผิวอ่อนแอและขาดความชุ่มชื้น
เมื่อผิวหมองคล้ำ อาจหมายถึงการขาดความชุ่มชื้น ทำให้ผิวแห้ง แตก ลอกง่าย ผิวที่ขาดความชุ่มชื้นจะมีเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอ และไวต่อปัจจัยภายนอกมากขึ้น
• ผิวหน้าหมองคล้ำส่งผลให้ผิวดูอ่อนล้า ผิวดูโทรม
ผิวหน้าหมองคล้ำมักเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลง ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมอยู่บนผิวหน้า ส่งผลให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและขาดความสดใส
• ผิวหน้าหมองคล้ำทำให้ผิวไม่เรียบเนียน แต่งหน้าไม่ติด
ผิวหมองคล้ำที่ขาดความชุ่มชื้นและสุขภาพดี มักจะทำให้เครื่องสำอางเกาะผิวไม่ดี เครื่องสำอางตกร่องง่าย ส่งผลให้ลุคการแต่งหน้าดูไม่สดใสและไม่เรียบเนียน
• ผิวหน้าหมองคล้ำเป็นสัญญาณของสุขภาพที่ไม่ดี
บางครั้งผิวหน้าหมองคล้ำอาจเป็นสัญญาณของการดูแลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ เช่น การนอนดึก ขาดการออกกำลังกาย การดื่มน้ำน้อย หรือการบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อผิว แต่ยังรวมถึงสุขภาพโดยรวมอีกด้วย
• ผิวหน้าหมองคล้ำเสี่ยงต่อผิวแก่ก่อนวัย
การที่ผิวเผชิญกับแสงแดด มลภาวะ และขาดการบำรุง อาจทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร ผิวหมองคล้ำจึงเป็นสัญญาณเตือนว่าผิวกำลังเผชิญกับความเสื่อมสภาพ
สาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ
ผิวหน้าหมองคล้ำเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย โดยสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
• การสัมผัสแสงแดดและรังสี UV แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวคล้ำเสีย รังสี UVA และ UVB จะกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินผลิตออกมามากขึ้น ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ ฝ้า และกระ หากไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำ จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
• มลภาวะและฝุ่นควัน ฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศ เช่น ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ หรือสารเคมีต่าง ๆ จะเกาะบนผิว ทำให้รูขุมขนอุดตัน ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส และเกิดการอักเสบได้ง่าย
• การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนดึกหรือนอนไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวขาดการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวหน้าหมองคล้ำ มีรอยคล้ำใต้ตา ผิวดูไม่สดใส และขาดความเปล่งปลั่ง
• การขาดการดูแลผิว การไม่ล้างหน้าหรือทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง ทำให้คราบสกปรกและเครื่องสำอางตกค้างบนผิว การไม่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือครีมกันแดดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวอ่อนแอและหมองคล้ำ
• การขาดน้ำและสารอาหารที่จำเป็น การดื่มน้ำน้อยจะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน และหมองคล้ำ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น ของมัน ของทอด น้ำตาลสูง จะทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วขึ้น
• ความเครียดและภาวะทางอารมณ์ ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลให้ผิวเสื่อมโทรม หมองคล้ำ และเกิดสิวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ภาวะทางอารมณ์ยังส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวหน้าดูซีดเซียวและไม่สดใส
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง อาจทำให้ผิวระคายเคือง อักเสบ และหมองคล้ำได้
• ฮอร์โมนและการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจกระตุ้นให้ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้ผิวคล้ำขึ้นและเกิดฝ้าได้ง่าย
• การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และแอลกอฮอล์จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ทำให้ผิวดูซีด หมองคล้ำ และขาดความเปล่งปลั่ง อีกทั้งยังทำให้ผิวขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น
• อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมอยู่บนผิวหน้า ทำให้ผิวหมองคล้ำ ขาดความเรียบเนียน และดูไม่สดใส
10 วิธีทำให้หน้าขาว หน้าใส แบบเร่งด่วน
1.ล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
การล้างหน้าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสได้ และลดความเสี่ยงเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะปัญหาสิว
• ผิวมัน ควรใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid หรือ Tea Tree Oil เพื่อช่วยลดความมันและป้องกันการเกิดสิว
• ผิวแห้ง เลือกใช้คลีนเซอร์เนื้อครีมที่อ่อนโยนและมีมอยส์เจอไรเซอร์
• ผิวผสม ใช้โฟมล้างหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่ทำให้ผิวมันจนเกินไป
การล้างหน้าจะช่วยขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน และมลภาวะที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งและสูญเสียความชุ่มชื้น
2.สครับผิว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
การสครับผิวเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออก และเผยผิวใหม่ให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้น
• สูตรสครับธรรมชาติ ผสมน้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ขัดเบา ๆ บนผิวหน้าเป็นวงกลม แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
• เลือกสครับที่มีเม็ดสครับละเอียดเพื่อลดการระคายเคือง
อย่างไรก็ตามการสครับผิวหน้าขาวบ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสง ดังนั้นควรทำเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น
3.ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้อยู่ในบ้าน
รังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ ดังนั้นควรทาครีมกันแดดเป็นประจำแม้อยู่ในบ้าน เพื่อผิวหน้าขาวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ เพราะแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และแสงไฟ ก็สามารถทำร้ายผิวได้เช่นกัน
• เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และ PA+++ เพื่อป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB
• ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้ง
4.ใช้เซรั่มหรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของวิตามินซี
วิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส เรียบเนียน และผิวดูสุขภาพดี
• ใช้เซรั่มวิตามินซีหลังล้างหน้าและก่อนทาครีมกันแดดในตอนเช้า เพื่อช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำร้ายโดยแสงแดด
• ตอนกลางคืนสามารถใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของวิตามินซีร่วมกับไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เพื่อช่วยฟื้นฟูผิว
5.มาส์กหน้าทุกวันด้วยสูตรธรรมชาติ
การมาส์กหน้าทุกวันเป็นการบำรุงผิวแบบเข้มข้นที่ช่วยฟื้นฟูผิว ให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสอย่างรวดเร็ว สูตรมาส์กหน้าธรรมชาติที่แนะนำ ได้แก่
• มาส์กโยเกิร์ต + น้ำผึ้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และทำให้ผิวเนียนนุ่ม
• มาส์กมะเขือเทศ + น้ำมะนาว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวขาวใส ลดความมัน และกระชับรูขุมขน
• มาส์กแตงกวา + นมสด เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ลดความหมองคล้ำ และทำให้ผิวดูสดชื่น
• มาส์กขมิ้น + น้ำผึ้ง ลดการอักเสบของผิว ลดรอยดำ และช่วยให้ผิวกระจ่างใส
ทั้งนี้การมาส์กหน้าขาวใสแนะนำว่าควรมาส์กหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
6.ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ดูสุขภาพดีจากภายใน และผิวดูสดใสเปล่งปลั่งอย่างเห็นได้ชัด
• ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวในตอนเช้าเพื่อดีท็อกซ์ผิว
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้ผิวแห้งและหมองคล้ำ
7.พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
การนอนหลับพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่ผิวได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง หากพักผ่อนเพียงพอ จะตื่นขึ้นมาพร้อมผิวที่ดูสดชื่น อิ่มน้ำ และทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้นทุกวัน
• พยายามนอนหลับก่อน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ช่วยฟื้นฟูผิว
• หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าจะทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
8.ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะวิตามิน C และ E
อาหารที่รับประทานมีผลต่อสุขภาพผิวอย่างมาก หากต้องการให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ควรเน้นทานอาหารที่มีวิตามิน C วิตามิน E และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น
• วิตามินซี พบในส้ม ฝรั่ง เบอร์รี่ กีวี่ และมะเขือเทศ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวหน้าขาวใส
• วิตามินอี พบในอะโวคาโด อัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย
• สังกะสีและโอเมก้า 3 จากปลาแซลมอนและถั่ว ช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิวจากภายใน
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอด และน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้ผิวมันและเกิดสิวได้ง่าย ซึ่งสิวเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าอื่น ๆ ตาม เช่น จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดง ที่ส่งผลให้ไม่ได้ผลลัพธ์ผิวหน้าขาวใสตามต้องการ
9.ใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้าเพื่อปรับสมดุลผิว
หลังจากล้างหน้าแล้ว ผิวมักสูญเสียความชุ่มชื้นและอาจมีความมันหลงเหลืออยู่ การใช้โทนเนอร์จะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว กระชับรูขุมขน และทำให้ผิวพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป
• เลือกโทนเนอร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพื่อลดการระคายเคือง
• โทนเนอร์ที่มีสารสกัดจากดอกกุหลาบหรือว่านหางจระเข้ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้น
10.ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง แต่ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผิวหน้าขาวกระจ่างใส เพราะการออกกำลังกายทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ
• ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง เดินเร็ว หรือเต้นแอโรบิก วันละ 30 นาที
• หลังออกกำลังกายควรล้างหน้าและบำรุงผิวทันทีเพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
หัตถการทำหน้าขาวใสมีอะไรบ้าง
การมีผิวหน้าขาวใส เรียบเนียน เป็นความฝันของใครหลายคน นอกจากการดูแลผิวด้วยสกินแคร์และการใช้ชีวิตประจำวันที่ถูกต้องแล้ว การทำหัตถการทางการแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือก ที่ช่วยให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน มาดูกันว่าหัตถการทำหน้าใสยอดนิยมมีอะไรบ้าง พร้อมทั้งข้อมูลที่ควรรู้อย่างข้อดีและข้อจำกัด เพื่อให้ตัดสินใจก่อนทำได้อย่างมั่นใจ
1.เลเซอร์หน้าขาวใส
เลเซอร์ผิวหน้าขาวใสเป็นหัตถการที่นิยมมากที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหมองคล้ำ รอยสิว ฝ้า กระ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยมีเลเซอร์หลายประเภทที่ใช้เพื่อความงาม ได้แก่
• Q-Switch Nd:YAG Laser ยิงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจงไปยังเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ กระ และรอยหมองคล้ำ
• Pico Laser พัฒนามาจาก Q-Switch โดยยิงเลเซอร์ด้วยความเร็วสูงมาก ทำให้เม็ดสีแตกละเอียดขึ้นและลดรอยดำได้ดียิ่งกว่า รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• Fractional CO2 Laser ยิงเลเซอร์แบบแบ่งเป็นจุดเล็ก ๆ ลงไปในผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
ข้อดีของเลเซอร์หน้าขาวใส
• เห็นผลไว ผิวขาวใสขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
• ลดเลือนรอยดำ ฝ้า กระ อย่างมีประสิทธิภาพ
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเนียนและกระชับ
ข้อจำกัดของเลเซอร์หน้าขาวใส
• อาจมีอาการแดง บวม หรือระคายเคืองหลังทำ
• ต้องเลี่ยงแดดและทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด
• ราคาค่อนข้างสูงขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์และจำนวนครั้งที่ทำ
2.ทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว
เป็นการใช้สารเคมีอ่อน ๆ เช่น AHA (Alpha Hydroxy Acid), BHA (Beta Hydroxy Acid) หรือ TCA (Trichloroacetic Acid) ในการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่เสื่อมสภาพออก ทำให้ได้ผิวหน้าขาวใสและเรียบเนียนขึ้นมาแทนที่
• AHA Peel นิยมใช้กับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวหมองคล้ำ เพราะช่วยผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น
• BHA Peel เหมาะกับผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิว เพราะช่วยทำความสะอาดรูขุมขนและลดการอุดตัน
• TCA Peel ผลัดเซลล์ผิวอย่างล้ำลึก ลดรอยดำและรอยแผลเป็นจากสิวได้ดี แต่ผิวจะลอกมากกว่าการใช้ AHA หรือ BHA
ข้อดีของทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว
• ช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างรวดเร็ว
• ลดเลือนรอยสิว จุดด่างดำ และรอยหมองคล้ำ
• กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
ข้อจำกัดของทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว
• หลังทำผิวอาจลอกเป็นขุยและแดง
• ต้องหลีกเลี่ยงแดดและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน
• อาจรู้สึกแสบหรือระคายเคืองระหว่างทำ
3.ฉีดเมโสหน้าขาวใส (Mesotherapy)
เป็นการฉีดสารบำรุงผิว เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เข้าไปใต้ผิวโดยตรง ทำให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก และได้ผลลัพธ์ผิวหน้าขาวกระจ่างใส
• สารที่นิยมฉีด เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน คอลลาเจน หรือไฮยาลูรอนิค แอซิด
• การฉีดสามารถทำได้ทั่วหน้า หรือเน้นเฉพาะจุดที่มีปัญหา เช่น ใต้ตาหมองคล้ำ หรือรอยดำจากสิว
ข้อดีของการฉีดเมโสหน้าขาวใส
• เห็นผลไวมาก ผิวหน้าขาวใสขึ้นภายใน 3-7 วัน
• ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น และเรียบเนียน
• ช่วยลดรอยดำ รอยสิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ข้อจำกัดของการฉีดเมโสหน้าขาวใส
• อาจมีรอยเข็มเล็ก ๆ หลังทำ
• ต้องฉีดซ้ำทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อคงผลลัพธ์
• บางคนอาจแพ้สารที่ฉีดได้ ต้องทดสอบก่อน
4.ไอออนโต (Iontophoresis)
ไอออนโตฟอเรสิส (Iontophoresis) หรือเรียกว่า ไอออนโต เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ผลักวิตามินเข้าสู่ผิว เช่น วิตามินซีหรือวิตามินอี ช่วยให้สารบำรุงซึมลึกถึงชั้นผิวได้ดีกว่าการทาครีม ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสรวดเร็ว
• ใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีต่อครั้ง
• นิยมทำควบคู่กับการทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น การมาส์กหน้า เพื่อผลลัพธ์ผิวหน้าขาวใสที่ชัดเจนขึ้น
ข้อดีของไอออนโต
• ไม่เจ็บตัว ไม่มีบาดแผล
• ผิวหน้าขาวใสและเนียนนุ่มขึ้นทันทีหลังทำ
• ราคาย่อมเยากว่าหัตถการประเภทอื่น
ข้อจำกัดของไอออนโต
• ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องทำต่อเนื่องเป็นประจำ
• ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวลึก เช่น ฝ้าลึกหรือรอยแผลเป็น
5.เลเซอร์หน้าขาวใสด้วย HIFU
การทำหน้าขาวใสด้วยเลเซอร์ HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์พลังงานสูงที่ช่วยยกกระชับผิวและปรับรูปหน้า ทำให้หน้าดูเรียวและผิวดูเนียนใส
• พลังงานจะลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่แพทย์ศัลยกรรมดึงหน้ากันเลยทีเดียว
• นิยมในกลุ่มผู้ที่อยากหน้าขาวใสและเรียบเนียนแต่ไม่อยากผ่าตัด
ข้อดีเลเซอร์หน้าขาวใสด้วย HIFU
• ยกกระชับผิวและทำให้ผิวดูเนียนใสในครั้งเดียว
• ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
• เห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน
ข้อจำกัดของเลเซอร์หน้าขาวใสด้วย HIFU
• อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะทำ
• ราคาค่อนข้างสูง
6.ฉีดวิตามินผิว (IV Drip)
การให้วิตามินผ่านสายน้ำเกลือเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ทำให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างรวดเร็ว ส่วนผสมที่นิยม เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้น
ข้อดีของการฉีดวิตามินผิว
• ฟื้นฟูผิวหมองคล้ำจากภายในอย่างรวดเร็ว
• ผิวหน้าขาวใส อมชมพู และดูสุขภาพดี
• เพิ่มความสดชื่นและลดความเหนื่อยล้า
ข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว
• ต้องทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
• ราคาค่อนข้างสูงและต้องทำโดยแพทย์
7.ฉีดโบหน้าใส
ฉีดโบหน้าใส หรือ ฉีดโบหน้าขาวใส เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม โดยการฉีดโบทูลินั่มท็อกซินในปริมาณต่ำ ๆ ที่ผิวชั้นตื้น เพื่อช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับ รูขุมขนเล็กลง และผิวดูเงาใสเหมือนกระจก
ข้อดีของการฉีดโบหน้าขาวใส
• เห็นผลภายใน 7-14 วัน
• ผิวหน้าเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ และลดความมัน
• ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้น ผิวดูฉ่ำ Glass Skin
• อยู่ได้นาน 3-6 เดือน
ข้อจำกัดของการฉีดโบหน้าขาวใส
• อาจมีรอยเข็มเล็กน้อยหลังฉีด
• ราคาสูงและต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์
ทำหน้าขาวใสปลอดภัยไหม ต้องพักฟื้นหรือไม่
การทำหน้าขาวใสถือว่าปลอดภัย เนื่องจากหัตถการทำหน้าขาวใสส่วนใหญ่ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้รับการรับรองจากองค์กรทางการแพทย์ เช่น FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ) หรือ อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย) นอกจากนี้ควรเลือกทำที่คลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และดำเนินการโดยแพทย์ อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของการทำหน้าขาวใสขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
• ประเภทของหัตถการ - เช่น เลเซอร์หน้าขาวใส เมโสหน้าขาวใส หรือการฉีดวิตามินผิวหน้าขาวใส แต่ละวิธีมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงต่างกัน
• ความชำนาญของแพทย์ - การใช้เครื่องมือที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลังทำหัตถการหน้าขาวใส เช่น ผิวไหม้จากเลเซอร์ หรือการฉีดผิดตำแหน่ง
• การดูแลหลังทำหน้าขาวใส - หากไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การทาครีมกันแดด หรือหลีกเลี่ยงแสงแดด อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือหมองคล้ำได้
การพักฟื้นขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ ซึ่งบางอย่างไม่ต้องพักฟื้นเลย แต่บางอย่างอาจต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อให้ผิวฟื้นตัวเต็มที่
การเตรียมตัวและดูแลตัวเองในการทำหน้าขาวใส
การทำหน้าขาวใส ไม่ว่าจะด้วยเลเซอร์หน้าขาวใส เมโสหน้าขาวใส หรือทรีตเมนต์หน้าขาวใสต่าง ๆ นอกจากจะต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีความรู้แล้ว การเตรียมตัวก่อนทำหัตถการหน้าขาวใส และการดูแลหลังทำหัตถการหน้าขาวใส ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะจะช่วยให้ผลลัพธ์ผิวหน้าขาวกระจ่างใสออกมาดี และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้
การเตรียมตัวก่อนทำหน้าขาวใส
1.ศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนทำหน้าขาวใส
• ก่อนทำหน้าขาวใสศึกษารายละเอียดของหัตถการแต่ละแบบว่ามีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
• ก่อนทำหน้าขาวใสนัดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
2.ก่อนทำหน้าขาวใสหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
• ก่อนทำหน้าขาวใสควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ
• ผิวที่คล้ำเสียจากแดดจะไวต่อการระคายเคือง หากทำเลเซอร์หรือผลัดเซลล์ผิวขณะผิวอ่อนแอ อาจเกิดรอยแดง ผิวไหม้ หรือรอยดำได้
3.ก่อนทำหน้าขาวใสหยุดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรดผลัดเซลล์ผิว
เช่น AHA, BHA, Retinol, Vitamin C ความเข้มข้นสูง ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนทำหน้าขาวใส เพื่อลดความเสี่ยงของผิวระคายเคือง
4.ก่อนทำหน้าขาวใสงดการขัดหน้าและสครับผิว
การขัดหน้าก่อนทำหน้าขาวใสอาจทำให้ผิวบางและอ่อนแอ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบหลังทำหัตถการ
5.ก่อนทำหน้าขาวใสงดการทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวยาก
เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำหลังการทำหน้าขาวใส
6.ก่อนทำหน้าขาวใสพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำให้มาก
การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ผิวอ่อนแอ และการดื่มน้ำช่วยให้ผิวชุ่มชื้นพร้อมสำหรับการทำหัตถการหน้าขาวใส
7.ก่อนทำหน้าขาวใสงดแต่งหน้าในวันที่ทำหัตถการ
ก่อนทำหน้าขาวใสควรงดแต่งหน้า เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขนและการติดเชื้อในระหว่างการทำ
การดูแลตัวเองหลังทำหน้าขาวใส
1.หลังทำหน้าขาวใสหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเด็ดขาด
หลังทำหน้าขาวใส ผิวจะอ่อนแอและไวต่อแสงมาก ควรเลี่ยงการออกแดด 1-2 สัปดาห์แรก และทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน (ควรเป็น SPF 50 PA+++)
2.หลังทำหน้าขาวใสงดการแต่งหน้าอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
หลังทำหน้าขาวใสควรงดการแต่งหน้าอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการอุดตันของรูขุมขน
3.หลังทำหน้าขาวใสใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้นสูง
• หลังทำหน้าขาวใสเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารระคายเคือง
• สกินแคร์ที่แนะนำหลังทำหน้าขาวใส เช่น เจลว่านหางจระเข้ หรือครีมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิค
4.หลังทำหน้าขาวใสงดการขัดหน้า สครับผิว หรือใช้กรดผลัดเซลล์ผิวหลังทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
ผิวหลังทำหัตถการหน้าขาวใสจะบอบบาง หากขัดหรือใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอาจทำให้เกิดรอยแดงหรือรอยดำได้
5.หลังทำหน้าขาวใสควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ
มืออาจมีสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย ซึ่งอาจทำให้ผิวติดเชื้อได้ ดังนั้นหลังทำหน้าขาวใสควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ
6.หลังทำหน้าขาวใสห้ามแกะ เกา หรือบีบสิว
หลังการทำเลเซอร์หน้าขาวใสหรือผลัดเซลล์ผิวหน้าขาวใส อาจมีสะเก็ดหรือผิวลอกออก อย่าแกะเพราะจะทำให้เกิดรอยดำ
7.หลังทำหน้าขาวใสควรดื่มน้ำให้มากขึ้น
การดื่มน้ำช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วและคงความชุ่มชื้นหลังทำหัตถการหน้าขาวใส
8.หลังทำหน้าขาวใสควรพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ผิวฟื้นฟูตัวเอง ควรนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นหลังทำหน้าขาวใสควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
9.หลังทำหน้าขาวใสงดการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
เพราะเหงื่อและความร้อนอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบ ดังนั้นหลังทำหน้าขาวใสควรงดการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
10.หลังทำหน้าขาวใสควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากแพทย์ให้ยาหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ควรใช้ตามคำแนะนำ และหากมีอาการผิดปกติหลังทำหน้าขาวใส เช่น ผิวแดงมาก มีผื่น หรืออักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
วิธีเลือกคลินิกทำหน้าขาวใสให้ปลอดภัย
การทำหน้าขาวใสเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน แต่ก็มีข่าวเกี่ยวกับคลินิกทำหน้าขาวใสที่ไม่ได้มาตรฐานอยู่บ่อยครั้ง การเลือกคลินิกทำหน้าขาวใสที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ขอแนนำวิธีเลือกคลินิกทำหน้าขาวใสให้มั่นใจและปลอดภัย ดังนี้
1.คลินิกทำหน้าขาวใสต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง
• ตรวจสอบว่าคลินิกมีใบอนุญาตจาก กระทรวงสาธารณสุข หรือไม่
• สามารถสังเกตได้จากใบอนุญาตที่ติดไว้ในสถานที่ หรือสอบถามข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของคลินิก
• คลินิกที่ได้มาตรฐานจะมีเลขที่ใบอนุญาตชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้
2.แพทย์ประจำคลินิกทำหน้าขาวใสต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
• แพทย์ผู้ให้บริการต้องเป็นแพทย์จริง และมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากแพทยสภา
• สามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์ของแพทยสภาเพื่อความมั่นใจ
• แพทย์ที่มีประสบการณ์จะให้คำปรึกษาได้ละเอียด และเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ
3.คลินิกทำหน้าขาวใสต้องใช้อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
• เครื่องมือที่ใช้สำหรับหัตถการหน้าขาวใส เช่น เครื่องเลเซอร์ ต้องเป็นของแท้ มีการรับรองจาก อย.(FDA ไทย) หรือ FDA สากล
• ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับหัตถการทำหน้าขาวใส เช่น เซรั่ม วิตามิน หรือยาฉีด ต้องผ่านการรับรองจาก อย.
• คลินิกทำหน้าขาวใสที่น่าเชื่อถือมักโชว์กล่องผลิตภัณฑ์และข้อมูลชัดเจน
4.รีวิวทำหัตถการหน้าขาวใสจากผู้ใช้บริการจริง
• ดูรีวิวทำหัตถการหน้าขาวใสจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Pantip, Facebook, Instagram หรือ Google Reviews
• สังเกตภาพก่อน-หลังการทำหัตถการหน้าขาวใสว่ามีความเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่
• ควรอ่านรีวิวการทำหัตถการหน้าขาวใสทั้งเชิงบวกและลบ เพื่อให้เห็นมุมมองที่หลากหลาย
5.มีการปรึกษาและวิเคราะห์สภาพผิวอย่างละเอียดก่อนทำ
• คลินิกที่ได้มาตรฐานจะให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนทำหน้าขาวใส เช่น ตรวจสภาพผิวหน้า อธิบายปัญหาผิวและทางแก้ไข
• แจ้งข้อมูลการทำหัตถการหน้าขาวใสอย่างตรงไปตรงมาต่อคนไข้ ทั้งเรื่องราคา ความเสี่ยง และวิธีดูแลหลังทำหน้าขาวใส
• หากคลินิกไหนรีบให้ทำหัตถการหน้าขาวใสทันที โดยไม่มีการปรึกษากับแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงทำหน้าขาวใสกับคลินิกนั้น ๆ
6.คลินิกทำหน้าขาวใสตามปกติไม่ควรราคาถูกเกินจริง
• ราคาหัตถการทำหน้าขาวใส เช่น เลเซอร์หน้าขาว เมโสหน้าขาวใส หรือฉีดวิตามินผิวหน้าขาวใส ที่ถูกเกินจริง มักแฝงไปด้วยความเสี่ยง เช่น การใช้เครื่องมือปลอม ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือแพทย์ที่ไม่มีความรู้
• เปรียบเทียบราคาทำหน้าใสกับคลินิกอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้คุณทราบว่าราคาที่เสนอสมเหตุสมผลหรือไม่
• โปรโมชันลดราคาทำหน้าขาวใสเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลดแบบฮวบฮาบมากเกินไป ควรต้องระวังและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจทำ
7.คลินิกทำหน้าขาวใสต้องเป็นสถานที่สะอาดและมีมาตรฐาน
• คลินิกต้องสะอาด บรรยากาศดี มีการดูแลอุปกรณ์อย่างถูกสุขอนามัย
• เครื่องมือทุกชิ้นต้องผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด
• การฉีดสารบำรุงผิวหรือทำเลเซอร์ ต้องใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และมีการใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย
8.คลินิกทำหน้าขาวใสที่ดีต้องมีการติดตามผลหลังทำหัตถการ
• คลินิกที่ดีจะมีการนัดติดตามผลหลังการทำ เช่น การสอบถามอาการหลังทำเลเซอร์ หรือการนัดเข้ามาตรวจสภาพผิวหลังทำเมโสหน้าใส
• หากมีปัญหา เช่น ผิวแดง แพ้ หรือเกิดผลข้างเคียง คลินิกต้องมีความรับผิดชอบและให้คำปรึกษาทันที
9.คลินิกทำหน้าขาวใสมีรีวิวจากผู้มีชื่อเสียงหรืออินฟลูเอนเซอร์
• คลินิกที่มีรีวิวจากดารา อินฟลูเอนเซอร์ หรือนักรีวิวความงาม มักเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพราะบุคคลเหล่านี้มีชื่อเสียงและเลือกใช้บริการที่ปลอดภัย
• แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นรีวิวจริง ไม่ใช่โฆษณาจากหน้าม้า
10.คลินิกทำหน้าขาวใสมีช่องทางติดต่อที่ชัดเจนและสะดวก
• คลินิกที่ได้มาตรฐานจะมีช่องทางการติดต่อหลายช่องทาง เช่น เบอร์โทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือเว็บไซต์
• การตอบคำถามรวดเร็ว และให้ข้อมูลที่ชัดเจน แสดงถึงความใส่ใจในการบริการ
• มีที่ตั้งชัดเจนและหาได้ง่าย หากเป็นคลินิกที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือย่านที่มีชื่อเสียง มักมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
แนะนำโปรแกรมหน้าขาวใส ที่ Romrawin Clinic
รมย์รวินท์คลินิกมีโปรแกรมทำหน้าใสและหัตถการหน้าขาวกระจ่างใสหลากหลาย ที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสและชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะโปรแกรมที่น่าสนใจ ได้แก่ Rejuran, REVIVE, SkinVive และ Glass Glow Skin แต่ละโปรแกรมมีคุณสมบัติและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจและเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ เราขอแนะนำรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมดังนี้
1.Rejuran
Rejuran เป็นหัตถการที่ใช้สาร Polynucleotide (PN) สกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ถึง 98% สารนี้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูสภาพผิว กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้น
ประโยชน์ของ Rejuran
• ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ
• เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว
• ลดเลือนริ้วรอยและรอยแผลเป็น
• ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ระยะเวลาของผลลัพธ์ ผลลัพธ์ของ Rejuran สามารถคงอยู่ได้นาน 6-8 เดือน
2.REVIVE
REVIVE เป็นฟิลเลอร์เนื้อบางเบาที่ประกอบด้วย Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว โดย HA ช่วยเติมเต็มและฟื้นฟูผิว ขณะที่ Glycerol ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และเรียบเนียน
ประโยชน์ของ REVIVE
• เติมเต็มร่องลึกและริ้วรอย
• เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว
• ปรับผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใส
• ฟื้นฟูผิวที่แห้งเสีย
ระยะเวลาของผลลัพธ์ ผลลัพธ์ของ REVIVE สามารถคงอยู่ได้นาน 6-9 เดือน
3.SkinVive
SkinVive เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่จากบริษัท Juvéderm ที่อยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม โดยเน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นและความฉ่ำวาวให้ผิว SkinVive ใช้ Hyaluronic Acid (HA) ที่มีโมเลกุลเล็ก ช่วยเติมน้ำให้ผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดี
ประโยชน์ของ SkinVive
• เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
• ปรับผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใส
• ลดเลือนริ้วรอยและรอยแผลเป็น
• ฟื้นฟูผิวที่แห้งเสีย
ระยะเวลาของผลลัพธ์ ผลลัพธ์ของ SkinVive สามารถคงอยู่ได้นาน 6-9 เดือน
4.Glass Glow Skin
Glass Glow Skin เป็นโปรแกรมหน้าใสที่ช่วยเติม Hyaluronic Acid ที่หายไปในชั้นผิว คืนความชุ่มชื้นให้ผิวดูโกลว์ฉ่ำน้ำ ปรับผิวให้กระจ่างใสและเอิบอิ่ม พร้อมลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูเปล่งประกายและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
ประโยชน์ของโปรแกรม Glass Glow Skin
• เติมเต็มน้ำในผิว
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
• ลดเลือนริ้วรอย
• ปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ
• คืนความสดใสและอ่อนเยาว์ให้ผิว
ระยะเวลาของผลลัพธ์ ผลลัพธ์ของ Glass Glow Skin สามารถคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
สรุปเกี่ยวกับวิธีการทำหน้าขาวใส
การมีผิวหน้าขาวใสไม่ใช่เรื่องยากหากเรามีวินัยในการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการล้างหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุง การป้องกันแสงแดด และการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ การเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับสภาพผิวและทำที่คลินิกที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณขาวใสได้อย่างปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน อย่าลืมว่าการดูแลผิวที่ดีไม่ได้จบแค่ใน 7 วัน แต่เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเพื่อให้ผิวสวยใสอยู่กับเราไปนาน ๆ
สำหรับผู้ที่สนใจทำหน้าขาวใสที่ Romrawin Clinic สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ และเลือกโปรแกรมหน้าขาวใสที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด