สิว (Acne) คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร มีกี่ประเภท มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง
สิว
สิวคืออะไร วิธีรักษาสิว มีอะไรบ้าง หยุดการเกิดสิวซ้ำซาก
"สิว" ไม่ใช่แค่ปัญหาผิวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่สำหรับหลายคน มันอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิต สิวสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ซึ่งจากหลายสาเหตุ ทั้งฮอร์โมน ความเครียด พฤติกรรมการดูแลผิว ไปจนถึงสภาพแวดล้อม บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิวในทุกแง่มุม ตั้งแต่สาเหตุการเกิดสิว ประเภทของสิว วิธีรักษา และการป้องกันอย่างถูกวิธี เพราะการรู้จักสิวที่กำลังเป็นอยู่ ช่วยให้หาวิธีรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิวคืออะไร เกิดจากอะไร
สิว (Acne) คือภาวะที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งส่งผลให้เกิดตุ่มนูนแดง หัวขาว หัวดำ หรือสิวอักเสบที่มีหนองได้ สิวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่พบบ่อยที่สุดบริเวณใบหน้า หน้าอก หลัง และไหล่
สิวเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ที่ส่งผลให้รูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนังอักเสบ จนเกิดเป็นสิวประเภทต่าง ๆ สาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดสิว ได้แก่
1.การอุดตันของรูขุมขน
• เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ปกติแล้วเซลล์ผิวที่ตายจะหลุดออก แต่บางครั้งอาจสะสมอยู่ในรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตัน
• น้ำมันส่วนเกิน ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น แต่หากผลิตมากเกินไป จะทำให้เกิดการอุดตันง่ายขึ้น
2.การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังปกติ แต่เมื่อมีการอุดตัน จะเกิดการเจริญเติบโตมากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ
3.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
• วัยรุ่น ช่วงนี้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนสูง กระตุ้นการผลิตน้ำมันมากขึ้น
• ช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมนไม่สมดุล ทำให้สิวขึ้นได้ง่าย
• ภาวะอื่น ๆ เช่น การตั้งครรภ์, การใช้ยาคุมกำเนิด, หรือปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับฮอร์โมน (เช่น PCOS)
4.พันธุกรรม
ถ้าครอบครัวมีประวัติเป็นสิว ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดสิวได้ง่ายกว่าปกติ
5.ปัจจัยภายนอก
• ความเครียด กระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติโซล (Cortisol) ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น
• อาหาร อาหารที่มีน้ำตาลสูง นม หรืออาหารแปรรูป อาจกระตุ้นการเกิดสิวได้
• ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขนหรือไม่ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี
• สิ่งแวดล้อม มลภาวะ ฝุ่นละออง ความชื้นสูง หรือเหงื่อสะสม
• การสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ การจับ แกะ หรือบีบสิว ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
6.การใช้ยาบางชนิด
ยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ยาลิเทียม หรือยาต้านซึมเศร้า สามารถกระตุ้นการเกิดสิวได้
สิวมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
สิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะและความรุนแรงของการอักเสบ ได้แก่ สิวไม่อักเสบ และ สิวอักเสบ โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.สิวไม่อักเสบ
เป็นสิวที่ไม่เกิดการอักเสบหรือบวมแดง เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยเซลล์ผิวที่ตายแล้วและน้ำมันส่วนเกิน
• สิวหัวขาว
- ลักษณะ ตุ่มนูนเล็ก ๆ สีขาวหรือสีเนื้อ หัวสิวปิด ไม่สัมผัสกับอากาศ
- สาเหตุ การอุดตันของรูขุมขนที่ปิดสนิท ทำให้น้ำมันและเซลล์ผิวสะสมอยู่ข้างใน
• สิวหัวดำ
- ลักษณะ จุดเล็ก ๆ สีดำที่ผิวหนัง หัวสิวเปิด
- สาเหตุ เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่เปิด ทำให้น้ำมันที่อุดตันทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศจนเปลี่ยนเป็นสีดำ
2.สิวอักเสบ
เป็นสิวที่เกิดการอักเสบของรูขุมขน ซึ่งอาจมีอาการบวมแดง เจ็บ หรือมีหนอง
• สิวตุ่มแดง
- ลักษณะ ตุ่มนูนแดงเล็ก ๆ ไม่มีหัวหนอง ผิวหนังรอบ ๆ บวมแดง
- สาเหตุ การอักเสบของรูขุมขนที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
• สิวหนอง
- ลักษณะ ตุ่มนูนแดงที่มีหัวหนองสีขาวตรงกลาง บางครั้งอาจรู้สึกเจ็บ
- สาเหตุ การอักเสบรุนแรงขึ้นจากสิวตุ่มแดง ทำให้เกิดหนองสะสม
• สิวหัวช้าง
- ลักษณะ ตุ่มใหญ่ แข็ง ลึกใต้ผิวหนัง เจ็บมาก และไม่มีหัวหนองชัดเจน
- สาเหตุ การอักเสบลึกในรูขุมขน เกิดการสะสมของหนองและน้ำมันใต้ผิว
• สิวซีสต์
- ลักษณะ ตุ่มขนาดใหญ่ มีหนองเยอะ ลึกใต้ผิวหนัง เจ็บปวด และมักทิ้งรอยแผลเป็น
- สาเหตุ การอักเสบอย่างรุนแรงในชั้นผิวลึก มักเกิดจากปัจจัยฮอร์โมนหรือพันธุกรรม
นอกจากสิวแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ สิวไม่อักเสบ และ สิวอักเสบ ยังสามารถแบ่งเป็นสิวประเภทพิเศษ ได้แก่
• สิวฮอร์โมน มักเกิดในวัยรุ่น หรือผู้หญิงที่มีความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น ช่วงมีประจำเดือน
• สิวสเตียรอยด์ เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ หรือยาบางชนิดที่กระตุ้นสิว
• สิวแพ้แมสก์ เกิดจากการเสียดสีหรือแรงกด เช่น การใส่หน้ากากอนามัยแน่น ๆ
• สิวผด เกิดจากอากาศร้อนและเหงื่อสะสม
• สิวจากเครื่องสำอาง เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขนหรือทำให้ผิวระคายเคือง
อาการของสิวเป็นอย่างไร
อาการของสิวจะแตกต่างกันไปตามประเภทและความรุนแรงของสิว ซึ่งสามารถสังเกตได้จากลักษณะของตุ่มสิว การอักเสบ และบริเวณที่สิวขึ้น
1.อาการทั่วไปของสิว
• ตุ่มนูน ผิวหนังมีตุ่มนูนเล็ก ๆ อาจเป็นสีขาว สีดำ หรือสีแดง
• ผิวมัน เนื่องจากต่อมไขมันทำงานมากขึ้น ทำให้ผิวดูมันเยิ้ม
• รูขุมขนกว้าง ผิวบริเวณที่มีสิวอาจมีรูขุมขนขยายใหญ่ขึ้น
• ความรู้สึกไม่สบายผิว อาจรู้สึกคัน เจ็บ หรือระคายเคืองเล็กน้อยในบางกรณี
2.อาการแยกตามประเภทของสิว
สิวไม่อักเสบ
• สิวหัวขาว ตุ่มเล็ก ๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ผิวเรียบ ไม่มีอาการบวมแดง
• สิวหัวดำ จุดสีดำเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง ไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บ
สิวอักเสบ
• สิวตุ่มแดง ตุ่มนูนสีแดง ไม่มีหัวหนอง สัมผัสแล้วเจ็บเล็กน้อย
• สิวหนอง ตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาวตรงกลาง กดแล้วเจ็บ
• สิวหัวช้าง ตุ่มใหญ่ แข็ง ลึกใต้ผิวหนัง เจ็บปวดมาก ไม่มีหัวชัดเจน
• สิวซีสต์ ตุ่มขนาดใหญ่ มีหนองเยอะ เจ็บลึก อาจแตกได้ง่าย และมักทิ้งรอยแผลเป็น
3.อาการสิวประเภทพิเศษ
• สิวฮอร์โมน มักเกิดที่คาง กราม หรือรอบปาก ตุ่มใหญ่ เจ็บลึก
• สิวจากการกดทับ สิวเกิดบริเวณที่ถูกเสียดสี เช่น ใต้หน้ากากอนามัย หรือใต้หมวก
• สิวจากการใช้เครื่องสำอาง สิวหัวเล็ก ๆ กระจายตามบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางบ่อย ๆ
• สิวจากยาสเตียรอยด์ สิวขึ้นกระจายเป็นวงกว้าง ลักษณะคล้ายผด
4.อาการสิวที่ควรพบแพทย์ทันที
• สิวอักเสบรุนแรง มีตุ่มใหญ่ลึก เจ็บปวดมาก หรือมีหนองจำนวนมาก
• สิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทั่วไป
• สิวที่ทิ้งรอยแผลเป็นลึกหรือเป็นหลุม
• สิวที่มีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ไข้ หรือความผิดปกติทางฮอร์โมน (ประจำเดือนไม่ปกติ ขนดกผิดปกติ)
แนะนำวิธีรักษาสิว ผิวหน้าเนียนใส
การรักษาสิวควรขึ้นอยู่กับ ประเภท ความรุนแรง และสาเหตุ ของสิว โดยทั่วไปจะเน้นการลดการอุดตันของรูขุมขน ควบคุมการผลิตน้ำมัน และลดการอักเสบ การรักษาสามารถแบ่งได้เป็น การดูแลตัวเอง และ การรักษาทางการแพทย์ ดังนี้
1.วิธีรักษาสิวด้วยการดูแลสิวเบื้องต้น
• ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน วันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic)
• หลีกเลี่ยงการจับหน้า ไม่บีบ แกะ หรือเกาสิว เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการทิ้งรอยแผลเป็น
• เลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสม ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเป็นสิว (Oil-free, Non-comedogenic) และล้างออกให้สะอาดก่อนนอน
• ป้องกันแสงแดด ใช้ครีมกันแดดสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิว
• ควบคุมอาหาร ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารมัน หรือผลิตภัณฑ์นมที่อาจกระตุ้นการเกิดสิว
2.วิธีรักษาสิวด้วยการใช้ยารักษาสิว
การรักษาสิวสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของสิว โดยการใช้ยารักษาสิวแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ยารักษาสิวเฉพาะที่ และ ยารักษาสิวแบบรับประทาน การเลือกใช้ยาขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวและประเภทของสิว ตัวอย่างยารักษาสิว อย่างเช่น
• ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline, Minocycline ช่วยลดการอักเสบและเชื้อแบคทีเรีย
• ยาคุมกำเนิด สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน ช่วยควบคุมฮอร์โมนแอนโดรเจน
• ยาต้านฮอร์โมน เช่น Spironolactone สำหรับผู้หญิงที่มีสิวฮอร์โมน
3.วิธีรักษาสิวด้วยการใช้ยารักษาสิวเฉพาะที่
การรักษาสิวด้วยยารักษาสิวเฉพาะที่ เป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพ สำหรับการรักษาสิวในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งยาประเภทนี้สามารถช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ประเภทของยารักษาสิวเฉพาะที่ ได้แก่
• ยาละลายหัวสิว
- Benzoyl Peroxide ยับยั้งแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ลดการอักเสบ และช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- Salicylic Acid ช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน ลดการอุดตันของไขมัน
• ยากลุ่มเรตินอยด์
- Tretinoin, Adapalene, Tazarotene ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และช่วยลดรอยดำหลังสิว
- ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองในช่วงแรก
• ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่
- Clindamycin, Erythromycin ยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
- มักใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide เพื่อลดความเสี่ยงในการดื้อยา
• ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมรวม
ยาที่มีการผสมระหว่าง Benzoyl Peroxide กับ Clindamycin หรือ Adapalene เพื่อลดการเกิดสิวอย่างมีประสิทธิภาพ
4.วิธีรักษาสิวด้วยหัตถการความงาม
4.1 AviClear เลเซอร์รักษาสิว
AviClear เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสิวโดยตรงจากต้นเหตุของการเกิดสิว โดยใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,726 นาโนเมตร ซึ่งสามารถเจาะจงไปที่ต่อมไขมัน (Sebaceous glands) เพื่อลดการผลิตน้ำมัน (Sebum) ที่มากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
หลักการทำงานของ AviClear
• การลดการผลิตน้ำมัน เลเซอร์ AviClear จะส่งพลังงานไปยังต่อมไขมัน ทำให้การผลิตน้ำมันลดลง ซึ่งช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและการเกิดสิวใหม่
• ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย AviClear มาพร้อมกับระบบทำความเย็น "AviCool" ที่ช่วยปกป้องผิวและลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างการรักษา ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
ข้อดีของการรักษาด้วย AviClear
• ประสิทธิภาพยาวนาน จากการวิจัยพบว่า หลังการรักษา 3 ครั้ง สิวอักเสบลดลงถึง 71% และผลลัพธ์นี้คงอยู่ได้นานถึง 2 ปี
• เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว AviClear สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวและทุกระดับความรุนแรงของสิว
• ไม่ต้องใช้ยา เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้ยารักษาสิวระยะยาว
4.2 โปรแกรม AC CLEAR
โปรแกรม AC CLEAR ของรมย์รวินท์คลินิกเป็นโปรแกรมรักษาสิวที่ออกแบบมา เพื่อจัดการปัญหาสิวไม่ให้เกิดซ้ำซาก โดยมีขั้นตอนการรักษาที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ขั้นตอนการรักษาสิวในโปรแกรม AC CLEAR
• การกดสิว แพทย์จะทำการกดสิวอุดตัน เช่น สิวหัวขาวและสิวหัวดำ เพื่อป้องกันการพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบในอนาคต
• การฉีดสิว สำหรับสิวอักเสบ แพทย์จะฉีดยาเฉพาะจุดเพื่อลดการอักเสบ บวมแดง และป้องกันการเกิดสิวใหม่
• การทำทรีตเมนต์ ใช้ทรีตเมนต์เฉพาะเพื่อฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบ และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
• การเลเซอร์ ใช้เลเซอร์ในการฆ่าเชื้อสิว ลดรอยดำ รอยแดงจากสิว และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
โปรแกรม AC CLEAR มีหลายระดับ เช่น AC CLEAR I, AC CLEAR II, และ AC CLEAR III ซึ่งแต่ละระดับจะมีขั้นตอนการรักษาที่แตกต่างกันไป ตามความเหมาะสมของสภาพผิวและปัญหาสิวของผู้เข้ารับบริการ
4.3 โปรแกรม BACK CLEAR
โปรแกรม BACK CLEAR ที่รมย์รวินท์คลินิก ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาสิวที่หลังอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนการรักษาที่ครอบคลุม ดังนี้
• การกดสิว กำจัดสิวอุดตันที่หลัง เช่น สิวหัวขาวและสิวหัวดำ เพื่อป้องกันการอักเสบในอนาคต
• การฉีดสิว สำหรับสิวอักเสบ การฉีดยาเฉพาะจุดช่วยลดการอักเสบและบวมแดง
• การทำทรีตเมนต์ บำรุงผิวและฆ่าเชื้อสิว เพื่อฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและลดการอักเสบ
• การมาส์กปรับสภาพผิว มาส์กสูตรเฉพาะเพื่อคงความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวที่หลัง
• การเลเซอร์เคลียร์สิว ใช้เลเซอร์แสงสีเหลืองและสีเขียวในการฆ่าเชื้อสิว ลดรอยดำ รอยแดง และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวที่หลังและต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใส
4.4 โปรแกรม Bo AC CLEAR
โปรแกรม Bo AC CLEAR ที่ รมย์รวินท์คลินิก เป็นโปรแกรมที่ผสมผสานการฉีดโบในการรักษาสิวและปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น โดยมีคุณสมบัติในการลดการทำงานของต่อมไขมัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสิว
หลักการทำงานของการฉีดโบรักษาสิว
• ลดการผลิตน้ำมัน (Sebum) โบท็อกซ์ช่วยยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้การผลิตน้ำมันลดลง ซึ่งช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
• กระชับรูขุมขน การฉีดโบท็อกซ์ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวหน้าดูเรียบเนียน และลดโอกาสการเกิดสิวใหม่
ข้อดีของโปรแกรม Bo AC CLEAR
• ลดความมันบนใบหน้า
• ลดการเกิดสิวใหม่
• กระชับรูขุมขน
• ปรับผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใส
4.5 โปรแกรม TURBO BRIGHT
โปรแกรม Turbo Bright ที่ รมย์รวินท์คลินิก เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหมองคล้ำ และฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใสอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนการดูแลผิว ดังนี้
• การผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออก เพื่อเผยผิวใหม่ที่สดใสและเรียบเนียนยิ่งขึ้น
• การทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ทำความสะอาดผิวถึงระดับรูขุมขน เพื่อลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิว
• การเติมวิตามินให้ผิว ใช้เทคนิคการเติมวิตามินเข้าสู่ผิวด้วยอณูละอองน้ำ เพื่อบำรุงผิวอย่างล้ำลึกถึงระดับเซลล์
โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส ลดการอุดตันของรูขุมขน ลดความหมองคล้ำ ป้องกันการเกิดสิว และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
4.6 โปรแกรม Color ICE
โปรแกรม Color ICE ที่ รมย์รวินท์คลินิก เป็นทรีตเมนต์ที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูและบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึก โดยใช้พลังงานความเย็น เพื่อลดการอักเสบของสิว บวมแดง ระคายเคืองผิว และการบำบัดด้วยแสง LED 3 สี ซึ่งแต่ละสีมีคุณสมบัติเฉพาะในการดูแลผิว ดังนี้
• แสงสีแดง (Red Light) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
• แสงสีฟ้า (Blue Light) ควบคุมแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิวใหม่
• แสงสีเหลือง (Yellow Light) ฟื้นฟูสภาพผิว ลดรอยหมองคล้ำ และปรับผิวให้กระจ่างใส
โปรแกรม Color ICE เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ลดการอักเสบ ลดสิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส หลังการทำทรีตเมนต์นี้ ผิวจะได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึกและฟื้นฟูให้กลับมาสุขภาพดี
4.7 Pico Laser รักษาสิว
Pico Laser (Picosecond Laser) เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัย ใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูงในช่วงเวลาที่สั้นมาก (ระดับพิโควินาที หรือ 1 ต่อล้านล้านวินาที) เพื่อส่งพลังงานไปยังผิวหนังอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ซึ่งช่วยในการรักษาปัญหาผิวต่าง ๆ รวมถึง สิวและรอยแผลเป็นจากสิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของ Pico Laser ในการรักษาสิว
• ลดรอยดำ-รอยแดงจากสิว
- Pico Laser ช่วยทำลายเม็ดสีเมลานินที่ก่อให้เกิดรอยดำหลังสิว (Post-inflammatory Hyperpigmentation) และลดรอยแดง (Post-inflammatory Erythema) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผลลัพธ์คือผิวที่กระจ่างใสและสม่ำเสมอขึ้น
• รักษารอยแผลเป็นจากสิว
- Pico Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวที่มีรอยหลุมสิวให้เรียบเนียนขึ้น
- เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นแบบหลุม (Atrophic Scars) เช่น Ice Pick, Boxcar, และ Rolling Scars
• ลดการอักเสบของสิว
- พลังงานของเลเซอร์ช่วยลดการอักเสบและควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้สิวอักเสบยุบเร็วขึ้น
- ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ที่เป็นสาเหตุของสิว
• กระชับรูขุมขน
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวแน่นขึ้นและช่วยกระชับรูขุมขน ซึ่งลดโอกาสเกิดสิวใหม่ได้
• ปรับสภาพผิวโดยรวม
นอกจากรักษาสิวแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม เรียบเนียน และกระจ่างใสมากขึ้น
4.8 Rejuran รักษาสิว
Rejuran เป็นการบำรุงผิวด้วยเทคนิค Skin Booster โดยใช้สารสกัดจาก Polynucleotide (โพลีนิวคลีโอไทด์ ) หรือ PN ซึ่งได้จาก DNA ของปลาแซลมอนที่มีโครงสร้างคล้ายกับ DNA ของมนุษย์ มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอักเสบของผิว ทำให้ Rejuran ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในการรักษาสิวและรอยแผลเป็นจากสิว
ข้อดีของ Rejuran ในการรักษาสิว
• ลดการอักเสบของสิว
- มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของผิวได้ดี ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของสิวอักเสบและสิวหัวช้างได้
- ช่วยสมานแผลได้เร็วขึ้น ทำให้สิวยุบตัวได้อย่างรวดเร็วและลดโอกาสเกิดแผลเป็น
• กระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ผิว
- ช่วยเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวฟื้นตัวจากการอักเสบของสิวได้เร็วขึ้น
- เหมาะสำหรับการรักษารอยแผลเป็น รอยดำ และรอยแดงหลังสิว
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ช่วยปรับโครงสร้างผิวที่ไม่เรียบเนียน ลดเลือนหลุมสิว ให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
- เสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและต้านทานการเกิดสิวใหม่
• ปรับสมดุลน้ำมันและความชุ่มชื้น
- ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกิน (Sebum) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
- รักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดปัญหาผิวแห้งและระคายเคืองที่อาจกระตุ้นสิวได้
• ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ลดรอยดำ รอยแดงจากสิว และช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวทำอย่างไร
การป้องกันสิวไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลผิวหน้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการปรับสมดุลในร่างกายด้วย ขอแนะนำวิธีป้องกันสิวไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดังนี้
1.การดูแลผิวอย่างถูกวิธี
• ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และไม่อุดตันรูขุมขน
• หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไป การล้างหน้าบ่อยเกินไปทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• ใช้โทนเนอร์ที่เหมาะสม ช่วยปรับสมดุลผิวและลดความมันส่วนเกิน
• มอยเจอร์ไรเซอร์ เลือกใช้สูตรที่ไม่ทำให้เกิดสิว (Oil-free หรือ Non-comedogenic) เพื่อคงความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวมัน
• ครีมกันแดด เลือกสูตรสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิว (Gel-based หรือ Water-based) ป้องกันรอยสิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย
2.พฤติกรรมที่ช่วยลดการเกิดสิว
• หลีกเลี่ยงการจับหรือบีบสิว การบีบสิวอาจทำให้เกิดการอักเสบ รอยแดง หรือแผลเป็นได้
• เปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าห่มบ่อย ๆ สิ่งสกปรกและน้ำมันจากเส้นผมและผิวสามารถสะสมได้
• รักษาความสะอาดของอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แว่นตา หรือแปรงแต่งหน้า ควรทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ เพราะมืออาจมีสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้
3.การควบคุมอาหาร
• ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม เพราะน้ำตาลสูงทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิว
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์นม มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่าผลิตภัณฑ์นมอาจกระตุ้นการเกิดสิวในบางคน
• กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการอักเสบ
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
4.การจัดการความเครียด
• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูสมดุล
• ฝึกการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
• หลีกเลี่ยงความเครียดเรื้อรัง เพราะความเครียดกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติโซล (Cortisol) ซึ่งทำให้สิวแย่ลง
5.การเลือกใช้เครื่องสำอาง
• เลือกเครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน มองหาฉลาก "Non-comedogenic" หรือ "Oil-free"
• ล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาด ก่อนนอนทุกครั้งเพื่อลดการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรก
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่หนักเกินไป โดยเฉพาะครีมหรือรองพื้นที่หนาเกินไป เพราะอาจอุดตันรูขุมขนได้ง่าย
6.การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
• หากคุณมีแนวโน้มเป็นสิวเรื้อรังหรือมีปัญหาสิวที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
• แพทย์อาจแนะนำการใช้ยารักษาสิว เช่น Retinoids, ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ หรือการรักษาด้วยเลเซอร์
• การตรวจสอบฮอร์โมน อาจจำเป็นสำหรับผู้ที่มีสิวฮอร์โมน
การมีสิวส่งผลกระทบอะไรบ้าง
สิวไม่เพียงแต่สร้างความไม่สบายใจในแง่ของรูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในหลายด้าน รวมถึงผลกระทบทางสังคมและอารมณ์ด้วย โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1.ผลกระทบทางร่างกาย
• การอักเสบและเจ็บปวด สิวอักเสบ สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์มักทำให้รู้สึกเจ็บ ปวด บวมแดง โดยเฉพาะสิวที่มีการติดเชื้อรุนแรง
• รอยแผลเป็น หากมีการบีบ แกะ หรือกดสิวไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวร เช่น รอยหลุมสิว หรือแผลนูน (Keloid) ได้
• รอยดำและรอยแดง หลังสิวหายแล้ว ผิวอาจทิ้งรอยดำ หรือรอยแดง ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานในการจางลง
• ผิวไม่เรียบเนียน การเกิดสิวซ้ำ ๆ อาจทำให้ผิวหน้าไม่เรียบ เนื่องจากการสร้างคอลลาเจนที่ผิดปกติหลังจากการอักเสบ
2.ผลกระทบทางจิตใจและอารมณ์
• ความเครียดและวิตกกังวล สิวเรื้อรังสามารถทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม ซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลงอีกด้วย
• ขาดความมั่นใจในตนเอง ผู้ที่มีสิวอาจรู้สึกไม่มั่นใจในการเข้าสังคม ไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้อื่น หรือไม่กล้าถ่ายรูป
• ภาวะซึมเศร้า ในกรณีที่รุนแรง การมีสิวเรื้อรังอาจส่งผลกระทบทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
• การหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม ผู้ที่มีปัญหาสิวมาก ๆ อาจหลีกเลี่ยงการออกงานสังคม หรือกิจกรรมที่ต้องพบปะผู้คนเพราะรู้สึกอาย
3.ผลกระทบระยะยาว
• แผลเป็นถาวร แผลเป็นจากสิว เช่น รอยหลุมหรือแผลนูน อาจคงอยู่ถาวรหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
• ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง หากปัญหาสิวไม่ถูกจัดการอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาวได้
• ความเสียหายต่อโครงสร้างผิว การอักเสบเรื้อรังสามารถทำลายโครงสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนแม้สิวจะหายแล้ว
สรุปเกี่ยวกับสิวคืออะไร วิธีรักษาสิว
สรุปว่าสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การอุดตันของรูขุมขน น้ำมันส่วนเกิน ฮอร์โมน และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบให้เกิดความวิตกกังวลและไม่มีความมั่นใจ แต่สิวสามารถรักษาได้ หากเลือกวิธีที่เหมาะสม เช่น การใช้ยารักษาสิว นวัตกรรมทางการแพทย์ และการปรับพฤติกรรมการดูแลผิว รวมถึงการป้องกันสิวไม่ให้เกิดขึ้นอีก เน้นที่การดูแลผิวอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตามบางคนที่มีปัญหาสิวหนักมาก รักษาด้วยตัวเองไม่หาย หรือเริ่มรักษาสิวก่อนเป็นสิวเรื้อรัง แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาสิวและรักษาได้อย่างเหมาะสมต่อไป
รมย์รวินท์คลินิกมีนวัตกรรมรักษาสิวหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์การรักษาสิวของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายปรึกษาแพทย์ ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ของ Romrawin Clinic
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด