7 วิธีบอกลาจุดด่างดำ เคล็ดลับปราบรอยดำให้ผิวกระจ่างใสได้จริงไหม
จุดด่างดำ , จุด ด่าง ดำ
บอกลาจุดด่างดำ 7 เคล็ดลับปราบรอยดำให้ผิวกระจ่างใส
จุดด่างดำเป็นปัญหาผิวที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน และจุดด่างดำเป็นปัญหาที่หลายคนเป็นกันมากขึ้นในปัจจุบันเรามาดูสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดจุดด่างดำ พร้อมเคล็ดลับวิธีรักษาจุดด่างดำอย่างตรงจุด
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับจุดด่างดำ
- จุดด่างดำคืออะไร
- ประเภทของจุดด่างดำมีอะไรบ้าง
- สาเหตุหลักของการเกิดจุดด่างดำ
- ฝ้า กระ จุดด่างดำ ต่างกันอย่างไร
- จุดด่างดำจากสิวและรอยแดงจากสิวต่างกันอย่างไร
- Skincare Routine ของคนที่มีปัญหาจุดด่างดำ
- 7 เคล็ดลับรักษาจุดด่างดำ
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับจุดด่างดำ
- คำถามยอดฮิตของปัญหาจุดด่างดำ
จุดด่างดำคืออะไร
จุดด่างดำ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะผิวหนังมีเม็ดสีมากเกินไป (Hyperpigmentation) คือบริเวณหนึ่งของผิวที่มีสีเข้มกว่าสีผิวโดยรอบอย่างเห็นได้ชัด เกิดจากการที่ เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) มากเกินไปในบางจุด ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้น เช่น สีน้ำตาล สีเทา หรือแม้กระทั่งสีดำ ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของเม็ดสีในผิว
เมลานินเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด โดยทำหน้าที่ดูดซับรังสี UV ไม่ให้ทะลุเข้าไปทำลายเซลล์ผิว แต่เมื่อร่างกายผลิตเมลานินมากเกินไป มันจะสะสมในบางจุดและกลายเป็น "จุดด่างดำ" ได้
ประเภทของจุดด่างดำมีอะไรบ้าง
จุดด่างดำไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเม็ดสีผิว (เมลานิน) ซึ่งแต่ละประเภทก็มีลักษณะและแนวทางการดูแลที่แตกต่างกัน
1.จุดด่างดำจากสิวหรือการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH)
จุดด่างดำคืออะไร จุดคล้ำที่เกิดหลังจากผิวหนังมีการอักเสบ เช่น หลังจากสิวหาย แผลถลอก ผื่น หรือการระคายเคือง
ลักษณะ มักเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม หรืออมเทา แล้วแต่สีผิวของแต่ละคน
พบบ่อยใน คนที่เป็นสิว ผิวแพ้ง่าย หรือมีผิวเข้ม เพราะมีแนวโน้มสร้างเมลานินมากกว่าปกติเมื่อผิวเกิดการอักเสบ
2.จุดด่างดำจากแสงแดด (Solar Lentigines)
จุดด่างดำจากแสงแดดคืออะไร จุดคล้ำที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินเพราะการโดนแดดเป็นเวลานาน
ลักษณะ สีน้ำตาลเข้มหรือดำ ขึ้นเฉพาะจุด มักพบตามใบหน้า มือ หรือแขน ซึ่งเป็นบริเวณที่โดนแดดบ่อย
พบบ่อยใน ผู้ที่อายุมากขึ้น หรือมีประวัติโดนแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดเป็นเวลานาน
3.จุดด่างดำจากอายุ (Age Spots หรือ Liver Spots)
จุดด่างดำจากอายุคืออะไร จุดด่างดำที่เกิดขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในวัยกลางคนขึ้นไป
ลักษณะ จุดสีน้ำตาลถึงเทาเข้ม มักกลมหรือรี ขนาดอาจใหญ่กว่าจุดจากแดด และมักเกิดหลายจุด
พบบ่อยใน คนอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ดูแลปกป้องผิวจากแสงแดดในระยะยาว
สาเหตุหลักของการเกิดจุดด่างดำ
จุดด่างดำ (Hyperpigmentation) เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว หรือที่เรียกว่า “เมลานิน” ซึ่งเป็นสารที่ให้สีแก่ผิวหนัง เส้นผม และดวงตา โดยมี เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) เป็นผู้ควบคุมการผลิตเมลานิน
เมื่อผิวหนังได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยบางอย่าง เซลล์เหล่านี้จะผลิตเมลานินมากผิดปกติ และสะสมอยู่ในผิวเฉพาะจุด ทำให้ผิวบริเวณนั้นดูเข้มกว่าผิวรอบข้าง จนกลายเป็น “จุดด่างดำ”
สาเหตุหลักของการเกิดจุดด่างดำมีดังนี้
1.แสงแดด (รังสี UV) ที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ
• เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของจุดด่างดำในทุกประเภท
• รังสี UVA และ UVB กระตุ้นให้ผิวผลิตเมลานินเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากการทำลายของแสงแดด
• เมื่อได้รับแสงแดดต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน เมลานินจะสะสมในบางจุด และกลายเป็นจุดด่างดำถาวร
2.การอักเสบของผิวหนัง (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH) ที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ
• เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ เช่น จากสิว แผล ผื่น แพ้เครื่องสำอาง หรือการทำหัตถการต่าง ๆ (เช่น เลเซอร์หรือผลัดเซลล์)
• ร่างกายจะตอบสนองด้วยการสร้างเมลานินเพื่อซ่อมแซมผิว ส่งผลให้เกิดจุดด่างดำหลังจากแผลหาย
• พบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวเข้ม หรือผิวไวต่อการระคายเคือง
3.ฮอร์โมน (Hormonal Changes) ที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ
• ความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน สามารถกระตุ้นการผลิตเมลานินผิดปกติ จนทำให้เกิดจุดด่างดำ
• พบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือในช่วงวัยหมดประจำเดือน
4.อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging Process) ทำให้เกิดจุดด่างดำ
• เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง การควบคุมเม็ดสีก็เสื่อมประสิทธิภาพ
• ทำให้เมลานินสะสมในบางจุด กลายเป็นจุดด่างดำที่เรียกว่า “Age Spots” หรือ “Liver Spots”
• จุดด่างดำประเภทนี้มักเกิดในผู้ที่มีประวัติสัมผัสแดดสะสมมานาน
5.การใช้สารเคมีที่ระคายเคืองทำให้เกิดจุดด่างดำ
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกัดผิว เช่น ไฮโดรควิโนน, กรดผลไม้แรง ๆ, สารปรอท หรือสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง
• ทำให้ผิวเกิดการอักเสบหรือบางลง ส่งผลให้เมลานินผลิตมากขึ้นจนกลายเป็นรอยดำ
• หากใช้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการดูแล อาจทำให้จุดด่างดำลึกขึ้นหรือถาวร
6.พันธุกรรมอาจเป็นสาเหตุให้เกิดจุดด่างดำ
• บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเกิดจุดด่างดำง่ายกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะในคนที่มีผิวสีเข้มหรือผิวไวต่อแสง
ฝ้า กระ จุดด่างดำ ต่างกันอย่างไร
แม้ทั้ง 3 ปัญหาผิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ จะมีลักษณะคล้ายกัน คือ “ทำให้ผิวมีรอยคล้ำไม่สม่ำเสมอ” แต่สาเหตุ ลักษณะ ตำแหน่งที่พบบ่อย และการรักษา ล้วนแตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เลือกวิธีดูแลรักษาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
1.ฝ้า (Melasma)
ลักษณะของฝ้า
• เป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเทาเข้ม ขนาดใหญ่
• ขึ้นแบบสมมาตรทั้งสองฝั่งของใบหน้า เช่น แก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก
• ผิวบริเวณฝ้ามักเรียบ ไม่ได้นูนขึ้นมา
สาเหตุหลักของฝ้า
• ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมกำเนิด หรือในช่วงวัยหมดประจำเดือน
• แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น
พบบ่อยใน
• ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
• โดยเฉพาะในช่วงอายุ 25-45 ปี
• คนที่มีผิวคล้ำ หรือสัมผัสแดดเป็นประจำ
การรักษาฝ้า
• ต้องใช้เวลาในการรักษา และดูแลอย่างต่อเนื่อง
• ใช้สารลดเม็ดสี เช่น วิตามินซี กรดโคจิก อาร์บูติน หรือไฮโดรควิโนน (ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์)
• หลีกเลี่ยงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
• อาจใช้เลเซอร์ในบางกรณี แต่อาจไม่หายขาด
2.กระ (Freckles / Lentigines)
ลักษณะของกระ
• เป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม กระจายตามใบหน้า
• ขนาดเล็ก ขอบชัดเจน ไม่ต่อเนื่องกันเป็นปื้นเหมือนฝ้า
• แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก
- Freckles (กระแท้) - เกิดจากพันธุกรรม
- Lentigines (กระแดด) - เกิดจากแสงแดดสะสม
สาเหตุหลักของกระ
• พันธุกรรม (สำหรับกระแท้)
• แสงแดด (สำหรับกระแดด)
พบบ่อยใน
• คนผิวขาว ผิวบาง หรือมีพันธุกรรมไวต่อแสง
• เริ่มเห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น
การรักษา
• กระแท้อาจจางลงเองเมื่ออายุมากขึ้น
• กระแดดสามารถรักษาได้ด้วยเลเซอร์ ครีมลดเม็ดสี หรือการผลัดเซลล์ผิว
• ควรทากันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้กระเข้มขึ้น
3.จุดด่างดำ (Hyperpigmentation)
ลักษณะของจุดด่างดำ
• เป็นจุดหรือปื้นสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ขนาดไม่แน่นอน
• ขึ้นกระจายแบบไม่เป็นระเบียบ อาจเกิดเพียงจุดเดียวหรือหลายจุด
• มักเป็นรอยที่เกิดภายหลังจากปัญหาผิว เช่น สิว หรือแผล
สาเหตุหลักของจุดด่างดำ
• แสงแดด
• การอักเสบของผิวหนัง เช่น รอยดำจากสิว รอยแผลเป็น
• อายุที่เพิ่มขึ้น (เช่น จุดอายุ)
• การใช้สารเคมีที่ระคายเคืองผิว หรือการแพ้เครื่องสำอาง
พบบ่อยใน
• คนที่มีประวัติโดนแดด หรือเป็นสิวเรื้อรัง
• ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
• คนผิวเข้มมักเกิดได้ง่ายและจางช้ากว่าคนผิวขาว
การรักษาจุดด่างดำ
• ใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีสารลดการสร้างเม็ดสี เช่น วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก
• ทำทรีตเมนต์หรือเลเซอร์ตามคำแนะนำของแพทย์
• หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดทุกวัน
สรุปเปรียบเทียบของ ฝ้า กระ และจุดด่างดำ
ประเภท |
ลักษณะ |
สาเหตุหลัก |
พบบ่อยใน |
การรักษา |
ฝ้า |
ปื้นน้ำตาล/เทา ใหญ่ สมมาตร |
ฮอร์โมน + แสงแดด |
หญิงวัยทำงาน |
ยาทาเฉพาะจุด + กันแดด |
กระ |
จุดเล็ก ขอบชัด สีน้ำตาล |
พันธุกรรม / แสงแดด |
คนผิวบางหรือผิวขาว |
เลเซอร์ ครีมผลัดเซลล์ + กันแดด |
จุดด่างดำ |
จุดคล้ำ ไม่เป็นระเบียบ |
สิว แผล แดด อายุ สารเคมี |
ทุกเพศทุกวัย |
ครีมลดเม็ดสี / เลเซอร์ / กันแดด |
จุดด่างดำจากสิวและรอยแดงจากสิวต่างกันอย่างไร
หลังจากสิวหาย หลายคนพบว่าใบหน้ายังคงมีรอยอยู่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักที่พบบ่อยคือ “จุดด่างดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH)” และ “รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema - PIE)” แม้จะดูคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่อง สี, กลไกการเกิด, ระยะเวลาในการหาย, และ วิธีรักษา
1.จุดด่างดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH)
ลักษณะของจุดด่างดำจากสิว
• เป็นจุดสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้มหรืออมเทา
• ขึ้นหลังสิวหาย โดยเฉพาะในสิวที่อักเสบมาก
• ผิวบริเวณนั้นเรียบ ไม่เจ็บ ไม่อักเสบ
สาเหตุ
• เกิดจากการที่ผิวหนังอักเสบจากสิว แล้วกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี (เมลานิน) ทำงานมากผิดปกติ
• เมลานินที่ถูกผลิตเกินจะสะสมอยู่ในผิว ทำให้เกิดรอยคล้ำ
พบบ่อยใน
• คนผิวคล้ำ หรือผิวสีเข้ม
• ผู้ที่ชอบบีบสิว หรือสิวอักเสบรุนแรง
2.รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema - PIE)
ลักษณะรอยแดงจากสิว
• เป็นรอยแดง ชมพู หรือม่วงอ่อน บางรายอาจมีสีคล้ายเลือดใต้ผิว
• เกิดหลังสิวหาย โดยเฉพาะสิวอักเสบที่รุนแรง
• ผิวบริเวณนั้นเรียบ ไม่เจ็บ แต่บางครั้งดูเหมือนยังอักเสบ
สาเหตุ
• เกิดจาก เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว และยังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์ หลังจากสิวอักเสบ
• ไม่มีเมลานินเกี่ยวข้อง
พบบ่อยใน
• คนผิวขาว หรือผิวบาง
• ผู้ที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง หรือผิวไว
Skincare Routine ของคนที่มีปัญหาจุดด่างดำ
Skincare Routine ในการดูแลผิวเพื่อแก้ปัญหาจุดด่างดำ จะดูแลผิว 4 เรื่องหลัก ๆ ต่อไปนี้
• ลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน
• เร่งการผลัดเซลล์ผิว
• ป้องกันการเกิดจุดด่างดำใหม่
• ฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสอย่างปลอดภัย
ช่วงเช้า (Morning Routine)
1.ล้างหน้า
• ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์หรือสารระคายเคือง
• หลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้าที่มีเม็ดสครับหรือฟองหนาแน่นเกินไป
2.โทนเนอร์
• เลือกโทนเนอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นและลดการอักเสบ เช่น ที่มีส่วนผสมของใบบัวบกหรือว่านหางจระเข้
3.เซรั่มลดจุดด่างดำ
• ใช้เซรั่มที่มีสารออกฤทธิ์ช่วยลดเม็ดสี เช่น
- Vitamin C (ช่วยยับยั้งเมลานิน ให้ผิวกระจ่างใส)
- Niacinamide (ลดการส่งเม็ดสีจากเซลล์สร้างเม็ดสีสู่ผิว)
- Alpha Arbutin หรือ Tranexamic Acid (ลดจุดด่างดำเฉพาะจุด)
4.มอยเจอร์ไรเซอร์
• เลือกสูตรที่ไม่หนักผิว เช่น เจลครีมหรือครีมเนื้อบางเบา
• ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว
5.ครีมกันแดด
• ใช้ SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA+++ หรือมากกว่า
• ควรทาทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกนอกบ้าน
• หากต้องออกแดดนาน ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
ช่วงกลางคืน (Night Routine)
1.ล้างหน้า / เช็ดเครื่องสำอาง
• หากแต่งหน้า ให้ใช้คลีนซิ่งก่อนล้างหน้า เพื่อให้ผิวสะอาดจริง
• ตามด้วยโฟมล้างหน้าอ่อนโยนเหมือนช่วงเช้า
2.โทนเนอร์ / เอสเซนส์
• ช่วยปลอบผิวและเตรียมผิวก่อนบำรุง
3.เซรั่มหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว
• ใช้เวชสำอางหรือเซรั่มที่ช่วยลดจุดด่างดำและเร่งการผลัดเซลล์ เช่น
- AHA หรือ BHA (ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก)
- Retinol หรือ Retinal (กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่)
- Arbutin หรือ Niacinamide (ลดการสร้างเม็ดสี)
หมายเหตุ หากใช้กรดผลไม้หรือเรตินอยด์ ควรเริ่มใช้แบบวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งในช่วงแรก
4.มอยเจอร์ไรเซอร์กลางคืน
• เลือกสูตรที่ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น เช่น ที่มี Ceramide, Glycerin หรือ Hyaluronic Acid
• ช่วยฟื้นฟูผิวขณะนอนหลับ
คำแนะนำเพิ่มเติม Skincare Routine ในการดูแลผิวเพื่อแก้ปัญหาจุดด่างดำ
• ห้ามบีบหรือแกะสิว เพราะอาจทำให้เกิดจุดด่างดำลึกและหายช้า
• หลีกเลี่ยงการขัดหน้าแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง
• ใช้ครีมกันแดดทุกวันอย่างเคร่งครัด เพราะแสงแดดทำให้จุดด่างดำเข้มขึ้น
• หากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรทดลองบริเวณเล็ก ๆ ก่อนเพื่อดูว่าผิวระคายเคืองหรือไม่
• ถ่ายภาพเปรียบเทียบสภาพผิวทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อดูพัฒนาการของผิว
7 เคล็ดลับรักษาจุดด่างดำ
เรามี 7 เคล็ดลับในการรักษาจุดด่างดำมาแนะนำกัน ใครที่สนใจสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผิวตัวเองได้เลย
1.การใช้เซรั่มที่มีสารลดเม็ดสีเมลานิน (Depigmenting Agents)
สารเหล่านี้จะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักที่เซลล์เม็ดสี (Melanocytes) ใช้ในการผลิตเมลานิน ทำให้ผิวไม่สร้างเม็ดสีเกิน จึงช่วยให้จุดด่างดำค่อย ๆ จางลง
สารสำคัญที่แนะนำในเซรั่มที่ทำให้จุดด่างดำเจือจางลง
• Vitamin C (Ascorbic Acid) - มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการสร้างเม็ดสี และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส
• Niacinamide (วิตามิน B3) - ลดการส่งเมลานินจากชั้นลึกขึ้นสู่ผิวชั้นบน
• Alpha Arbutin - ยับยั้ง Tyrosinase อย่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
• Tranexamic Acid - ลดการอักเสบและการกระตุ้นเม็ดสีจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด
คำแนะนำในการใช้เพื่อลดจุดด่างดำ
• ทาเช้าและเย็นก่อนมอยเจอร์ไรเซอร์
• ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ เพื่อเห็นผล
• ต้องใช้ควบคู่กับครีมกันแดดเสมอ
2.การผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation) ด้วยกรด AHA/BHA/Retinoids
ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ ทำให้เซลล์ใหม่ที่ขาวกว่าเผยขึ้นมาแทนผิวเดิมจุดด่างดำดูจางลง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอุดตันที่อาจทำให้เกิดสิวใหม่
สารที่ใช้ในการผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดจุดด่างดำ
• AHA (Glycolic acid, Lactic acid) - ผลัดผิวชั้นบน ลดความหมองคล้ำ
• BHA (Salicylic acid) - เจาะลึกลงรูขุมขน ขจัดความมันส่วนเกิน
• Retinoids (Retinol, Tretinoin) - กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ลดจุดด่างดำและรอยสิวในระยะยาว
คำแนะนำในการใช้การผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดจุดด่างดำ
• เริ่มจากสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หากไม่มีอาการระคายเคืองจึงค่อยเพิ่มความถี่
• ทาตอนกลางคืน และตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
• ห้ามใช้ร่วมกับสารกัดผิวแรง ๆ ในวันเดียวกัน
• หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงในช่วงที่ใช้
3.การใช้ครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม
ป้องกันรังสี UVA และ UVB ซึ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานมากขึ้น และทำให้รอยดำเข้มกว่าเดิม หรือเกิดใหม่ได้ง่าย การทาครีมกันแดดจะช่วยไม่ให้เกิดจุดด่างดำใหม่ขึ้น
คำแนะนำในการใช้ครีมกันแดดเพื่อลดจุดด่างดำ
• เลือก SPF 30-50 ขึ้นไป และค่า PA+++ หรือมากกว่า
• ทาทุกวัน แม้อยู่ในบ้าน หรือวันที่ไม่มีแดด
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้งนาน
• สำหรับคนที่ใช้สารผลัดเซลล์หรือเลเซอร์ ควรเน้นกันแดดเป็นพิเศษ
4.การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อลดจุดด่างดำ
ใช้พลังงานแสงเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวโดยตรง โดยไม่ทำลายผิวชั้นอื่น ซึ่งช่วยให้จุดด่างดำจางลงอย่างแม่นยำและจางหายได้เร็วขึ้น
ประเภทเลเซอร์ที่ใช้บ่อยในการลดจุดด่างดำ
• Q-switched Nd:YAG Laser - เหมาะสำหรับจุดด่างดำจากแดด จุดด่างดำจากสิว
• Pico Laser - ยิงพลังงานเร็วมาก เม็ดสีแตกละเอียด ลดการอักเสบหลังทำ เหมาะกับจุดด่างดำฝังลึก
• Fractional Laser - กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีจุดด่างดำและหลุมสิวร่วมด้วย
ข้อควรระวังในการใช้เลเซอร์เพื่อลดจุดด่างดำ
• ต้องทำกับแพทย์เท่านั้น
• ผิวอาจไวต่อแสงหลังทำ ต้องหลีกเลี่ยงแดดและทากันแดดทุกวัน
• อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อผลที่ดีที่สุด (3-6 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรอย)
5.การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ (Chemical Peel / Microneedling)
เป็นการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวหรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ซึ่งจะช่วยให้ผิวใหม่ที่ไม่มีเม็ดสีสะสมค่อย ๆ ขึ้นมาแทนที่ผิวเดิม ทำให้จุดด่างดำดูจางลง โดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์
ตัวอย่างใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อรักษาจุดด่างดำ
• Chemical Peeling - ทาสารเคมีอ่อน ๆ เช่น กรดผลไม้บนผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่มีเม็ดสี ทำให้จุดด่างดำดูจางลง
• Microneedling - ใช้เข็มเล็ก ๆ สร้างรอยจิ๋วบนผิวเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟู ทำให้จุดด่างดำดูจางลง
• Mesotherapy - ฉีดวิตามินหรือสารลดเม็ดสีเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรงทำให้จุดด่างดำดูจางลง
คำแนะนำการใช้เทคโนโนโลยีเพื่อรักษาจุดด่างดำ
• ต้องทำโดยแพทย์
• มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลเซอร์ แต่ว่าเห็นผลช้ากว่า
• ควรดูแลผิวอย่างอ่อนโยนหลังทำ
6.การดูแลตัวเองด้วยการเลือกกินอาหารและอาหารเสริม
การบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็น จะช่วยให้ร่างกายควบคุมกระบวนการผลิตเม็ดสีและฟื้นฟูผิวได้จากภายในทำให้ จุดด่างดำดูจางลง สวยจากภายในสู่ภายนอก
อาหารแนะนำในการลดจุดด่างดำ
• วิตามินซี - ช่วยในการสร้างคอลลาเจนและลดเม็ดสี (เช่น ฝรั่ง, ส้ม, บรอกโคลี)
• วิตามินอี - ป้องกันการเกิดจุดด่างดำใหม่จากอนุมูลอิสระ
• กลูต้าไธโอน - ต้านเม็ดสีและช่วยให้ผิวสว่างขึ้น (อาจเสริมในรูปอาหารเสริม)
• ซิงค์ (Zinc) - ควบคุมการอักเสบ ลดโอกาสเกิดสิวและรอยดำจากสิว
คำแนะนำในการรับประทานอาหารเพื่อลดจุดด่างดำ
• ควรเสริมด้วยอาหารที่หลากหลาย ไม่พึ่งอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว
• ดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยขับของเสียสะสมในร่างกาย
7.ปรับพฤติกรรม ป้องกันไม่ให้จุดด่างดำเกิดซ้ำ
การรักษาจุดด่างดำด้วยวิธีการต่าง ๆ จะไม่ยั่งยืน หากยังมีพฤติกรรมที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีอยู่ซ้ำ ๆ
แนวทางที่ควรทำเป็นประจำในการป้องกันจุดด่างดำ
• หลีกเลี่ยงการบีบสิวหรือจับหน้าบ่อย ๆ
• ไม่ขัดหน้าแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง
• นอนให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวฟื้นตัว
• จัดการความเครียด เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลจากความเครียดกระตุ้นการสร้างเม็ดสี
• สังเกตว่ารอยเกิดจากอะไร (แดด, สิว, แพ้) เพื่อป้องกันที่ต้นเหตุ
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับจุดด่างดำ
ปัญหาจุดด่างดำ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนถ้าดูแลผิวแบบผิดวิธี หรือทาครีมกันแด แต่ทาไม่มากพอที่ครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวจากแสง UV ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวเกี่ยวกับจุดด่างดำ อย่าเพิ่งเสียความมั่นใจ เราสามารถดูแลรักษาผิวให้หายได้ เพียงแค่ต้องเลือกวิธีที่เหมาะกับผิวของเรา ใครที่สนใจอยากรักษาจุดด่างดำ สามารถทักมาปรึกษาคุณหมอรมย์รวินท์ คลินิกได้ เพราะเรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแพทย์ที่เข้าใจเรื่องของผิวหน้าเป็นอย่างดี ให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด มาเริ่มต้นดูแลตัวเองไปด้วยกันนะ
คำถามยอดฮิตของปัญหาจุดด่างดำ
1.จุดด่างดำคืออะไร?
จุดด่างดำคือรอยคล้ำที่เข้มกว่าสีผิวปกติ เกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสม
2.จุดด่างดำเกิดจากอะไร?
หลัก ๆ แล้วจุดด่างดำเกิดจาก แสงแดด, สิว, แผล, ฮอร์โมน, อายุ, การอักเสบของผิว
3.จุดด่างดำจากสิวหายได้ไหม?
จุดด่างดำสามารถหายได้ แต่ใช้เวลา อาจหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
4.รอยดำจากสิวต่างจากฝ้ายังไง?
รอยดำเป็นจุดเล็ก ฝ้าเป็นปื้นใหญ่และเกิดจากฮอร์โมน
5.ใช้ครีมอะไรลดจุดด่างดำได้?
ครีมที่ช่วยลดจุดด่างดำมักจะมีสารต่อไปนี้ วิตามินซี, อาร์บูติน, กรดโคจิก, เรตินอยด์, ไนอาซินาไมด์
6.จุดด่างดำจางเองได้ไหม?
จุดด่างดำบางกรณีจางได้เอง แต่จะเร็วกว่าถ้ารักษา
7.ใช้เลเซอร์ลบจุดด่างดำได้ไหม?
สามารถใช้เลเซอร์ลบจุดด่างดำได้ โดยเฉพาะเลเซอร์เฉพาะจุด เช่น Q-Switched, Pico
8.กันแดดช่วยเรื่องจุดด่างดำไหม?
ช่วยได้มาก เพราะกันแดดช่วยป้องกันไม่ให้จุดด่างดำมีรอยเข้มขึ้นหรือจุดด่างดำเกิดใหม่
9.ต้องทากันแดดแม้อยู่ในบ้านไหม?
ควรทากันแดด เพราะแสงจากหน้าต่างหรือหน้าจอมี UV ได้
10.จุดด่างดำหายถาวรไหม?
จุดด่างดำสามารถหายได้ถาวรหายได้ แต่ถ้าไม่ป้องกัน อาจกลับมาใหม่
11.แค่ใช้ครีมเพื่อรักษาจุดด่างดำเพียงพอไหม?
บางกรณีแค่ใช้ครีมก็เพียงพอ แต่ถ้าจุดด่างดำเป็นรอยลึกอาจต้องใช้เลเซอร์ในการรักษาร่วมกัน
12.แปะรอยสิวด้วยแผ่นแปะ จะช่วยลดรอยดำไหม?
ช่วยลดการอักเสบ ทำให้มีโอกาสเกิดรอยดำน้อยลง
13.นอนดึกทำให้จุดด่างดำขึ้นไหม?
ได้ เพราะฮอร์โมนเสียสมดุลและผิวฟื้นฟูช้าลง
14.ล้างหน้าบ่อย ๆ จะช่วยให้จุดด่างดำจางลงไหม?
ไม่จำเป็น ล้างมากไปอาจทำให้ผิวระคายเคือง
15.จุดด่างดำจากแดดรักษายากไหม?
ขึ้นอยู่กับความลึก ถ้าจุดด่างดำตื้นจะรักษาได้ง่ายกว่า
16.ผิวแห้งทำให้จุดด่างดำชัดขึ้นไหม?
ใช่ ผิวแห้งทำให้รอยดูเข้มและเห็นชัด
17.ทายาสิวแล้วรอยดำจะไม่เกิดใช่ไหม?
ไม่เสมอไป แต่ช่วยลดโอกาสอักเสบรุนแรง
18.กินอาหารเสริมช่วยลดจุดด่างดำได้ไหม?
บางชนิดช่วยลดจุดด่างดำได้ เช่น วิตามินซี แต่ไม่ใช่ทางหลัก
19.ใช้ครีมแล้วไม่เห็นผลจุดด่างดำไม่หาย ทำไงดี?
อาจต้องปรับสูตร หรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังในการใช้ครีมรักษาจุดด่างดำ
20.จุดด่างดำรักษากี่วันถึงหาย?
โดยทั่วไป 4-12 สัปดาห์ แล้วแต่สาเหตุและการดูแลรักษา
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด