romrawin

รักษากระลึกมีกี่แบบ แบบไหนเห็นผลจริงปลอดภัยและรอยดูจางลง

รักษากระลึก

รักษากระลึกมีกี่แบบ แบบไหนเห็นผลจริงปลอดภัย รอยดูจางลง
บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระลึก พร้อมแนะนำเทคนิคการรักษากระลึกที่ได้ผล เพื่อให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียนสดใสอีกครั้ง

กระลึกเป็นปัญหาผิวที่หลายคนกังวลใจ เพราะเป็นฝ้ากระที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิว ทำให้รักษากระลึกได้ยากกว่ากระทั่วไป บางคนลองใช้ครีมรักษากระลึก แต่กลับไม่เห็นผลชัดเจน หรืออาจใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้

รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการรักษากระลึก
- กระลึกคืออะไรต่างจากกระทั่วไปอย่างไร
- การรักษากระลึกมีกี่วิธี
- ข้อดีและข้อควรระวังในการรักษากระลึกแต่ละวิธี
- การดูแลผิวหลังรักษากระลึก
- รักษากระลึกต้องใช้เวลากี่เดือนถึงเห็นผล
- รักษากระลึกแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นอีกหรือไม่
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษากระลึก
- วิธีเลือกคลินิกรักษากระลึกให้ปลอดภัย
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการรักษากระลึก
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษากระลึก

กระลึกคืออะไรต่างจากกระทั่วไปอย่างไร
ก่อนที่เราจะรู้ว่าวิธีรักษากระลึกมีอะไรบ้าง เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากระลึกคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร

กระลึก (Melasma หรือบางครั้งเรียก “ฝ้าลึก”)
เป็นภาวะที่เม็ดสีเมลานินในผิวหนังผลิตมากเกินไป โดยเฉพาะในชั้นลึกของผิวหนัง (Dermis) หรือ บริเวณรอยต่อของชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ (Epidermal-Dermal Junction) ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำที่มักจะลึกและชัดเจนกว่ากระทั่วไป

ลักษณะของ “กระลึก”
• สี น้ำตาลเทา หรือเทาอมม่วง
• ขอบ ไม่ชัดเจน เบลอ ๆ
• ขนาด แผ่นใหญ่ อาจเชื่อมกันเป็นปื้น
• ตำแหน่ง มักพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก คาง
• การตอบสนองต่อการรักษา รักษายากกว่า เพราะอยู่ลึก

สาเหตุของกระลึก
• แสงแดด (ตัวกระตุ้นหลัก)
• ฮอร์โมน (เช่น ตั้งครรภ์, ยาคุมกำเนิด)
• พันธุกรรม
• ความเครียด, การนอนน้อย หรือเครื่องสำอางบางชนิด

ตารางเปรียบเทียบระหว่างกระลึกและกระทั่วไป

จุดเปรียบเทียบ

กระลึก

กระทั่วไป

ชั้นผิวที่เกิด

ลึก (Dermis)

ตื้น (Epidermis)

สี

เทา-น้ำตาลเข้ม

น้ำตาลอ่อน-เข้ม

ขอบเขต

เบลอ

คมชัด

การรักษา

ยากกว่า, ใช้เวลานาน

ง่ายกว่า

สาเหตุหลัก

แสงแดด + ฮอร์โมน

แสงแดด + กรรมพันธุ์

การรักษากระลึกมีกี่วิธี
การรักษากระลึกมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าผิวของเราเป็นแบบไหนด้วย โดยมักใช้หลายวิธีในการรักษากระลึกร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด เนื่องจากกระลึกอยู่ลึกในผิวหนัง การรักษากระลึกเพียงวิธีเดียวมักไม่เพียงพอ เราได้รวบรวมข้อมูลวิธีรักษากระลึกด้วย 5 วิธีหลักๆ ด้วยกันดังนี้

1.การรักษากระลึกด้วยยาและครีมทาภายนอก
1.1 ครีมลดเม็ดสี (Whitening Agents) ใช้ในการรักษากระลึก
ครีมเหล่านี้ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินช่วยรักษากระลึกได้

• Hydroquinone
ยายับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ได้ผลดีที่สุด แต่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เพราะอาจทำให้ผิวบาง แพ้ง่ายเมื่อใช้ระยะยาว

• Kojic acid, Arbutin, Azelaic acid
เป็นสารธรรมชาติหรือตัวลดเม็ดสีที่อ่อนโยนกว่า ใช้ได้นาน ไม่ทำให้ผิวบาง

• Retinoids (เช่น Tretinoin)
ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้เม็ดสีจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้น

• Vitamin C
ต้านอนุมูลอิสระ ลดการสร้างเม็ดสี ให้ผิวดูสว่างขึ้น

1.2 ครีมผสมสูตรหมอ (Triple Combination Cream) ใช้ในการรักษากระลึก
สูตรที่นิยมใช้ในคลินิกผิวหนังในการรักษากระลึก จะประกอบด้วย
• Hydroquinone
• Retinoid
• สเตียรอยด์อ่อน

จะใช้ในการรักษากระลึกในระยะเวลาสั้น ๆ และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะจะมีผลข้างเคียงหากใช้ไม่ถูกวิธี

2.การป้องกันแสงแดด
แสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กระลึกเข้มขึ้น และกระลึกมักไม่จางลงเลยหากไม่ป้องกันแสงอย่างจริงจังการใช้ครีมกันแดดเลยเป็นอีกวิธีที่ช่วยรักษากระลึก

2.1 ครีมกันแดด
• เลือก SPF 30 ขึ้นไป และมี PA+++ หรือมากกว่า
• ใช้ทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือออกนอกบ้าน
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้ง

2.2 การป้องกันเสริม
• ใส่หมวกปีกกว้าง
• ใช้ร่มกัน UV
• หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00-16.00 น.

3.การรักษากระลึกด้วยเลเซอร์หรือเครื่องมือแพทย์
เหมาะกับกรณีที่รักษากระลึกด้วยการทายาอย่างเดียวไม่ได้ผล หรือผู้ที่ต้องการเห็นผลการรักษากระลึกที่เร็วขึ้น

3.1 รักษากระลึกด้วยการเลเซอร์ลดเม็ดสี
• เช่น Q-Switched Nd:YAG, Picosecond Laser
• ทำงานโดยยิงแสงลงไปที่ชั้นผิวลึก เพื่อลดเม็ดสีเมลานิน
• ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง โดยทั่วไป 4-8 ครั้งขึ้นไป
• ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยง

3.2 รักษากระลึกด้วย IPL (Intense Pulsed Light)
• เป็นคลื่นแสงที่คล้ายเลเซอร์ แต่มีความอ่อนโยนกว่า
• เหมาะกับกระตื้น หรือมีผิวหมองร่วมด้วย
• ใช้ร่วมกับเลเซอร์หรือครีมได้

3.3 รักษากระลึกด้วย Fractional Laser หรือ Laser Resurfacing
• กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจนใหม่
• อาจมีการลอกผิวบ้าง และต้องมีช่วงพักฟื้น
• เหมาะกับกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังไม่ได้ผล

4.การรักษากระลึกด้วยการกินอาหารเสริมและยารับประทาน
เป็นการรักษากระลึกแบบวิธีเสริมที่ช่วยจากภายใน โดยเฉพาะในรายที่กระลึกเรื้อรัง

4.1 อาหารเสริมลดเม็ดสีในการรักษากระลึก
• วิตามิน C, วิตามิน E, กลูต้าไธโอน, สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ
• ช่วยลดความหมองคล้ำ และทำให้ผิวโดยรวมดูสว่างขึ้น
• ไม่ใช่การรักษาหลัก แต่ช่วยสนับสนุนผลลัพธ์

4.2 ยารับประทาน Tranexamic Acid ในการรักษากระลึก
• เดิมใช้ห้ามเลือด แต่พบว่าสามารถช่วยลดการสร้างเม็ดสีได้
• ใช้ในขนาดต่ำ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม
• ต้องระวังในผู้ที่มีความเสี่ยงเรื่องลิ่มเลือด

5.ทรีตเมนต์ช่วยเสริมในการรักษากระลึก
เหมาะกับการทำควบคู่กับการรักษากระลึกหลัก เพื่อช่วยผลัดผิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

5.1 การกรอผิว (Microdermabrasion) วิธีเสริมในการรักษากระลึก
• ใช้ผลึกเล็ก ๆ หรือหัวเพชรขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก
• กระตุ้นการผลัดผิวใหม่

5.2 Chemical Peeling วิธีเสริมในการรักษากระลึก
• ใช้กรดอ่อน ๆ เช่น AHA หรือ TCA ทาบนผิว
• ช่วยให้เซลล์ผิวหลุดลอกเร็วขึ้น ลดเม็ดสีส่วนเกิน
• ควรทำในคลินิกเท่านั้น เพราะมีความเสี่ยงต่อการไหม้ผิว

ข้อดีและข้อควรระวังในการรักษากระลึกแต่ละวิธี
ปัจจุบันมีวิธีการรักษากระลึกหลากหลาย ตั้งแต่การใช้ครีมทา ยากิน เลเซอร์ ไปจนถึงทรีตเมนต์ในคลินิกผิวหนัง แต่ละวิธีในการรักษากระลึก มีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่แตกต่างกัน จึงควรที่จะทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะกับสภาพผิว ปลอดภัย และได้ผลดีที่สุดในระยะยาว

ต่อไปนี้คือรายละเอียดของข้อดีและข้อควรระวังของแต่ละวิธีในการรักษากระลึก ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

1.รักษากระลึกด้วยครีมทาภายนอก (เช่น Hydroquinone, Retinoids, Kojic acid )
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยครีมทาภายนอก
• ใช้ง่าย ไม่ต้องไปคลินิก
• ราคาไม่สูงมาก
• เหมาะกับทุกสภาพผิว และสามารถใช้ได้ต่อเนื่องในระยะยาว (ถ้าเลือกตัวที่อ่อนโยน)
• เป็นการรักษากระลึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ข้อควรระวังการรักษากระลึกด้วยครีมทาภายนอก
• ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผล
• บางตัวอาจระคายเคืองหรือทำให้ผิวบางลง เช่น hydroquinone หรือ retinoid
• หากใช้ผิดวิธี อาจทำให้ผิวไวต่อแสง หรือเกิดภาวะผิวด่างถาวรได้

2.รักษากระลึกด้วยครีมสูตรผสม (Triple Combination)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยครีมสูตรผสม
• เห็นผลเร็วกว่าครีมทั่วไป เพราะมีตัวยา 3 ตัวทำงานร่วมกัน
• ได้ผลดีในหลายกรณี โดยเฉพาะช่วงเริ่มรักษา

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วยครีมสูตรผสม
• มีสเตียรอยด์อ่อน ๆ ซึ่งถ้าใช้เกินเวลาที่แพทย์กำหนดอาจทำให้ผิวบาง
• ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อใช้เอง
• หากหยุดทันทีหรือใช้ไม่ถูกวิธี อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไวต่อแสง หรือกระย้อนกลับ

3.รักษากระลึกด้วยการป้องกันแสงแดด
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยการป้องกันแสงแดด
• เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ถ้าทำดี กระลึกจะไม่เข้มขึ้นอีก
• เสริมประสิทธิภาพให้ทุกวิธีการรักษาได้ผลชัดเจนยิ่งขึ้น
• ง่ายและปลอดภัย ใช้ได้ทุกวัน

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วยการป้องกันแสงแดด
• หลายคนลืมทาซ้ำระหว่างวัน ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
• ต้องเลือกกันแดดให้เหมาะกับผิว (เช่น คนผิวแพ้ง่ายควรเลี่ยงน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ในสูตร)
• ถ้าไม่กันแดดอย่างจริงจัง กระลึกอาจกลับมาเข้มกว่าเดิม แม้จะรักษาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม

4.รักษากระลึกด้วยเลเซอร์ (เช่น Q-switched, Picosecond)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยเลเซอร์
• ช่วยทำลายเม็ดสีเมลานินในชั้นลึกที่ครีมหรือยากินเข้าไม่ถึง
• เห็นผลค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะในคนที่รักษาด้วยครีมอย่างเดียวไม่ได้ผล
• ใช้ร่วมกับวิธีรักษากระลึกแบบอื่นได้ เช่น ครีมและกันแดด

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วยเลเซอร์
• ถ้าใช้พลังงานสูงเกินไป หรือยิงผิดเทคนิค อาจทำให้ผิวไหม้หรือกระลึกกลับมาเข้มกว่าเดิมได้ (เรียกว่า post-inflammatory hyperpigmentation)
• ราคาสูง และต้องทำหลายครั้งต่อเนื่อง
• ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย

5.รักษากระลึกด้วย IPL (แสงความเข้มสูง)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วย IPL
• ลดความหมองคล้ำทั่วใบหน้า
• ช่วยให้ผิวเนียนและกระจ่างใส
• ไม่เจ็บเท่าเลเซอร์ และมักไม่ต้องพักฟื้น

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วย IPL
• เหมาะกับกระที่ตื้นหรือผิวหมอง ไม่ใช่กระลึกลึก ๆ
• ถ้าผิวคล้ำมาก อาจทำให้ผิวไหม้ได้
• ต้องทำหลายครั้ง และผลอาจไม่ชัดในบางคน

6.รักษากระลึกด้วยการกินยา (Tranexamic Acid)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยการกินยา
• ช่วยลดเม็ดสีจากภายใน โดยยับยั้งกลไกกระตุ้นเมลานินในระดับเซลล์
• ได้ผลดีในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อครีมหรือเลเซอร์
• ใช้ร่วมกับวิธีรักษากระลึกอื่นๆ ได้

ข้อควรระวังในการรักษากระลึกด้วยการกินยา
• เป็นยาที่ใช้ควบคุมเลือดออก จึงมีข้อห้ามใช้ในบางกลุ่ม เช่น ผู้มีประวัติลิ่มเลือดอุดตัน
• ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และมีการตรวจร่างกายก่อนเริ่มรักษากระลึกด้วยการกินยา
• หยุดยาเองไม่ได้ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกินระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ

7.รักษากระลึกด้วย อาหารเสริม (วิตามิน C, E, กลูต้าไธโอน ฯลฯ)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยอาหารเสริม
• ช่วยบำรุงผิวโดยรวม ให้ดูสว่างขึ้น
• ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบในผิว
• ใช้ร่วมกับการรักษาหลักเพื่อผลเสริม

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วยอาหารเสริม
• ไม่ใช่การรักษากระลึกวิธีหลัก ไม่ควรหวังผลมากจากอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว
• ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย มี อย.และเชื่อถือได้
• บางรายอาจแพ้สารบางชนิดในอาหารเสริม

8.รักษากระลึกด้วย Chemical Peeling (การลอกผิวด้วยกรดผลไม้)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วย Chemical Peeling
• ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดเม็ดสีส่วนเกิน
• ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
• ใช้ร่วมกับการทาครีมและกันแดดได้

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วย Chemical Peeling
• ถ้าใช้กรดเข้มข้นหรือทาผิดวิธี อาจทำให้ผิวไหม้หรือลอกเกินพอดี
• หลังทำผิวจะไวต่อแสง ต้องหลีกเลี่ยงแดดอย่างเคร่งครัด
• ต้องทำในคลินิกโดยแพทย์เท่านั้น

9.รักษากระลึกด้วย การกรอผิว (Microdermabrasion)
ข้อดีของการรักษากระลึกด้วยการกรอผิว
• ผลัดเซลล์ผิวออกอย่างอ่อนโยน
• กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใส
• ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

ข้อควรระวังของการรักษากระลึกด้วยการกรอผิว
• ไม่เหมาะกับกระลึกที่อยู่ลึกมาก
• ถ้าทำบ่อยเกินไปหรือใช้แรงมาก อาจทำให้ผิวระคายเคือง
• อาจไม่เห็นผลชัดเจนถ้าไม่ทำร่วมกับวิธีรักษากระลึกแบบอื่น

การดูแลผิวหลังรักษากระลึก
หลังการรักษากระลึก ไม่ว่าจะด้วยครีม ยารับประทาน เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ชนิดใดก็ตาม “การดูแลผิวหลังการรักษา” ถือเป็น หัวใจสำคัญ ที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการรักษากระลึก และช่วยป้องกันไม่ให้กระลึกกลับมาเข้มขึ้นอีก

การดูแลหลังการรักษากระลึกจะช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ลดการอักเสบ ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ผิวบาง ผิวลอก หรือการเกิดรอยดำถาวรจากการระคายเคือง

ต่อไปนี้คือหลักสำคัญของการดูแลผิวหลังรักษากระลึก ที่ควรทำตาม อย่างเคร่งครัด

1.หลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุดหลัง
• หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น.ซึ่งมีรังสี UV สูงที่สุด
• สวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นกันแดด และใช้ร่มกัน UV ทุกครั้งที่ออกแดด
• หลีกเลี่ยงแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแสงจากหลอดไฟ LED ที่มีคลื่นแสงสีฟ้าหลังการรักษากระลึก เพราะอาจกระตุ้นเม็ดสีได้เช่นกัน (โดยเฉพาะในคนที่มีผิวคล้ำง่าย)

2.ใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
• เลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และ PA+++ หรือมากกว่า
• ต้องเป็นสูตร Broad Spectrum ที่ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB
• ควรทาก่อนออกแดด อย่างน้อย 15-20 นาที
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หากอยู่กลางแจ้ง หรือมีเหงื่อ/น้ำ
• สำหรับผู้ที่เพิ่งทำเลเซอร์รักษากระลึก แนะนำให้ใช้ Physical Sunscreen ที่อ่อนโยน เพื่อลดการระคายเคือง

3.งดการใช้ครีมหรือยาที่ระคายเคืองในช่วงพักฟื้นหลังการรักษากระลึก
• หลังเลเซอร์รักษากระลึก หรือ Peeling ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี กรดวิตามิน A (retinoids), AHA, BHA, หรือกรดผลไม้ต่าง ๆ
• ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งที่แรงเกินไปหลังการรักษากระลึก จนกว่าแพทย์จะแนะนำให้กลับมาใช้ได้
• เน้นใช้ครีมบำรุงที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวหลังการรักษากระลึก เช่น
- Ceramide
- Panthenol (Vitamin B5)
- Hyaluronic acid
- Centella Asiatica (ใบบัวบก) เพื่อช่วยลดการอักเสบ

4.หลีกเลี่ยงการขัด ถู หรือสัมผัสผิวแรง ๆ หลังการรักษากระลึก
• งดการใช้สครับทุกชนิด
• หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อนหรือถูผิวแรง ๆ
• ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม
• ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าสะอาดหลังล้างหน้า ไม่ควรถูผิว

5.อย่าหยุดการรักษากระลึกเองโดยพลการ
• หลายคนหยุดทายาเมื่อเห็นว่ากระเริ่มจางลง ซึ่งอาจทำให้กระลึกกลับมาเข้มอีก
• การรักษากระลึกต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนขึ้นไป การหยุดใช้ยาหรือเว้นช่วงโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง
• ให้กลับมาตรวจติดตามผลตามที่แพทย์นัด เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวที่เปลี่ยนไป

6.ดูแลร่างกายโดยรวม
• นอนหลับให้เพียงพอ ไม่ควรนอนดึก
• หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะฮอร์โมนจากความเครียดสามารถกระตุ้นเม็ดสีให้ผลิตมากขึ้นได้
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C, E, เบต้าแคโรทีน
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และลดคาเฟอีนหากทำได้

7.ระวังการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ผิวหน้าที่ไม่ผ่าน อย.
• อย่าใช้ครีมที่ไม่ได้รับการรับรองจากแพทย์ หรือไม่ระบุส่วนผสม
• หลีกเลี่ยงครีมหน้าขาวราคาถูกที่ผสมสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์, ปรอท, ไฮโดรควิโนนความเข้มข้นสูง
• การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แม้อาจเห็นผลเร็ว แต่ระยะยาวเสี่ยงทำให้กระลึกดื้อต่อการรักษา และผิวไวแสงถาวร

รักษากระลึกต้องใช้เวลากี่เดือนถึงเห็นผล
โดยทั่วไป การรักษากระลึก (Melasma) จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในช่วง 4-8 สัปดาห์แรก หากมีการดูแลอย่างเหมาะสม แต่ การเห็นผลชัดเจน หรือเม็ดสีจางลงอย่างต่อเนื่องนั้น มักต้องใช้เวลา 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย ในการรักษากระลึก และในบางรายอาจต้องดูแลต่อเนื่องนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย

ทำไมการรักษากระลึกถึงต้องใช้เวลานานในการรักษา
1.เพราะกระลึกอยู่ในชั้นผิวที่ลึก
กระลึกต่างจากกระทั่วไป ตรงที่เม็ดสีอยู่ลึกถึงชั้น หนังแท้ (Dermis) หรือชั้นรอยต่อระหว่างหนังกำพร้ากับหนังแท้ จึงใช้เวลามากกว่าในการลดระดับเม็ดสี

2.มีปัจจัยกระตุ้นแฝงหลายอย่างในการรักษากระลึก
เช่น แสงแดด ฮอร์โมน ความเครียด ยาคุมกำเนิด พันธุกรรม ซึ่งอาจกระตุ้นให้กระลึกเข้มขึ้น แม้ในระหว่างที่กำลังรักษาอยู่

3.ผิวหนังมีการผลัดเซลล์ตามรอบธรรมชาติ
โดยเฉลี่ยผิวจะผลัดเซลล์ใหม่ทุก 28 วัน การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีจึงค่อยเป็นค่อยไป

4.การตอบสนองต่อการรักษากระลึกแตกต่างกันในแต่ละคน
ขึ้นอยู่กับสีผิวเดิม ความลึกของกระลึก การใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ระยะเวลารักษากระลึกโดยเฉลี่ย
• 1 เดือนแรกในการรักษากระลึก
ผิวเริ่มปรับสภาพ เม็ดสีอาจยังไม่จางชัด แต่ความหมองรวมอาจลดลงเล็กน้อย หากใช้ครีมและกันแดดถูกต้อง

• เดือนที่ 2-3 ในการรักษากระลึก
รอยกระเริ่มจางบางส่วน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ครีมร่วมกับกันแดดอย่างเคร่งครัด และไม่มีปัจจัยกระตุ้น เช่น โดนแดดซ้ำ

• เดือนที่ 4-6 ในการรักษากระลึก
เห็นผลค่อนข้างชัด รอยกระจางลง สีผิวเริ่มสม่ำเสมอมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่รักษาแบบครบวงจร (ครีม + กันแดด + ทรีตเมนต์หรือเลเซอร์)

• หลัง 6 เดือนขึ้นไป ในการรักษากระลึก
เน้นการควบคุมไม่ให้กลับมาเข้มใหม่ เรียกว่า “ระยะควบคุม” มากกว่าการรักษาเชิงรุก

รักษากระลึกแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นอีกหรือไม่
“มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้” แม้จะรักษากระลึกจนรอยกระจางลงแล้วก็ตาม เพราะ กระลึกไม่ใช่แค่เม็ดสีที่อยู่บนผิว แต่เกี่ยวข้องกับ การทำงานผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ที่มักตอบสนองไวต่อแสงแดด ฮอร์โมน และปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ

ทำไมรักษากระลึกแล้วกระลึกสามารถกลับมาเป็นได้อีก?
1.แสงแดดคือปัจจัยกระตุ้นอันดับ 1
รังสี UVA และ UVB สามารถกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี แม้เพียงโดนแดดช่วงสั้น ๆ ก็เพียงพอให้กระเข้มขึ้นได้

2.ฮอร์โมนไม่คงที่
เช่น การตั้งครรภ์ การกินยาคุม หรือความเครียดเรื้อรัง ที่ส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย

3.พฤติกรรมที่ทำให้ผิวอ่อนแอ
เช่น การขัดผิวแรงเกินไป การใช้ครีมแรง ๆ หรือครีมที่มีสารต้องห้าม เช่น สเตียรอยด์รุนแรง ซึ่งทำให้ผิวบางและไวแสงมากขึ้น

4.พันธุกรรมและสีผิวเดิม
ผู้ที่มีผิวคล้ำระดับกลางถึงเข้ม (เช่น ชาวเอเชีย) จะมีความไวต่อการสร้างเม็ดสีมากกว่าคนผิวขาว

แล้วการรักษากระลึกมีประโยชน์หรือไม่ ?
ถึงแม้กระลึกจะมีโอกาสกลับมาได้ แต่การรักษากระลึกอย่างถูกวิธีจะช่วยให้
• กระจางลงอย่างปลอดภัย
• ผิวเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
• ควบคุมไม่ให้กลับมาเข้มเท่าเดิม
• มีคุณภาพชีวิตและความมั่นใจในรูปลักษณ์ดีขึ้น

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษากระลึก
การรักษากระลึกสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่หากใช้วิธีรักษากระลึกที่ไม่เหมาะสม ใช้ยาไม่ถูกวิธี หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้แบ่งได้ตามประเภทของการรักษากระลึกดังนี้

1.ผลข้างเคียงจากครีมทารักษากระลึก
โดยเฉพาะครีมที่มีส่วนผสมของ Hydroquinone, Retinoid, กรดผลไม้ หรือสเตียรอยด์
• ผิวระคายเคือง เช่น แดง แสบ คัน ลอก
• ผิวไวต่อแสง ทำให้เกิดการกลับมาของกระหรือลุกลามมากขึ้น
• ผิวบางลง หากใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์ต่อเนื่องโดยไม่อยู่ในการควบคุมของแพทย์
• เกิดภาวะผิวด่างถาวร (Exogenous ochronosis) จากการใช้ Hydroquinone เข้มข้นเกินไปหรือใช้เป็นเวลานานเกินจำเป็น
• สิวเห่อ จากการใช้กรดหรือ Retinoid ในบางราย

2.ผลข้างเคียงจากการรักษากระลึกด้วยการทำเลเซอร์ หรือ IPL
• ผิวไหม้ แดง ร้อน หรือแสบ ทันทีหลังทำ หากใช้พลังงานสูงเกินไป
• ผิวลอกหรือคล้ำลงชั่วคราว (Post-inflammatory hyperpigmentation) โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำหรือไวต่อแสง
• เกิดจุดขาวถาวร หรือ รอยด่าง หากเม็ดสีถูกทำลายมากเกินไป
• กระลึกเข้มกว่าเดิม หากไม่ได้ป้องกันแสงแดดหลังทำ
• เสี่ยงติดเชื้อ หากผิวเปิดหรือบาดเจ็บจากเครื่องมือที่ไม่สะอาด

3.ผลข้างเคียงจากการรักษากระลึกด้วยการกินยา (เช่น Tranexamic Acid)
• คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือแน่นหน้าอก ในบางราย
• ปวดศีรษะ เวียนหัว จากผลต่อการไหลเวียนโลหิต
• เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (thrombosis) แม้โอกาสน้อยมาก แต่ต้องหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีประวัติกลุ่มโรคหัวใจ สมอง หรือเส้นเลือดดำอุดตัน
• ประจำเดือนมาไม่ปกติ ในบางคนที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

4.ผลข้างเคียงจากการรักษากระลึกด้วย Chemical Peeling และการกรอผิว
• ผิวลอกมากผิดปกติ หรือแสบระหว่างฟื้นตัว
• ผิวไวแดดมากขึ้น ต้องป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด
• เสี่ยงไหม้ผิวหรือเกิดแผล หากใช้กรดเข้มข้นเกินไป หรือทิ้งไว้นานเกิน
• รอยดำหรือรอยแดงหลังทำ ซึ่งอาจอยู่ได้หลายสัปดาห์

วิธีเลือกคลินิกรักษากระลึกให้ปลอดภัย
การรักษากระลึกเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้และความต่อเนื่อง หากเลือกคลินิกผิด อาจไม่เพียงแค่ไม่ได้ผล แต่ยังเสี่ยงต่อ ผิวบาง, เม็ดสีดื้อยา, หรือแม้แต่ เกิดรอยดำถาวร ได้ ดังนั้น การเลือกคลินิกในการรักาากระลึกจึงเป็นขั้นตอนสำคัญอันดับแรกที่ไม่ควรมองข้าม

1.ตรวจสอบว่าเป็นคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย
• คลินิกต้องมี ใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาล จากกระทรวงสาธารณสุข
• มีป้ายชื่อสถานพยาบาลชัดเจน หน้าเคาน์เตอร์มีเลขใบอนุญาตติดไว้
• ชื่อแพทย์ที่ให้บริการต้องมีเลขใบประกอบวิชาชีพแพทย์ สามารถตรวจสอบได้จากแพทยสภา

2.มีแพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ดูแลจริง
• ไม่ใช่เพียงมีชื่อแพทย์ติดไว้เฉย ๆ แต่ต้องมีแพทย์วินิจฉัย ตรวจผิว และออกแผนการรักษาด้วยตนเอง
• หากเป็นเลเซอร์หรือหัตถการ ต้องมีแพทย์เป็นผู้ให้บริการ หรือดูแลใกล้ชิด
• แพทย์ควรสามารถอธิบายโรค สาเหตุ และแผนการรักษากระลึกได้อย่างเข้าใจง่าย และเป็นมืออาชีพ

3.ใช้เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย
• เครื่องเลเซอร์ควรเป็น เครื่องที่ผ่าน อย.(ประเทศไทย) หรือมีมาตรฐานระดับสากล เช่น US FDA
• ไม่ใช้ครีมป้ายยาที่ไม่มีฉลาก หรือครีมผสมไม่ทราบแหล่งที่มา
• ควรหลีกเลี่ยงคลินิกที่ใช้ครีมผสมหรือแจก "ครีมลับเฉพาะ" ที่ไม่มีฉลาก เพราะมักมีสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์หรือปรอท

4.ไม่เน้นขายคอร์สเกินเหตุ
• คลินิกที่ดีจะเน้นให้ความรู้ก่อนการขาย ไม่เร่งตัดสินใจ
• มีแผนการรักษาที่ยืดหยุ่นตามสภาพผิวจริง ไม่ขายคอร์สยาวหรือราคาแพงโดยไม่ประเมินสภาพผิวก่อน
• ให้ข้อมูลครบถ้วนทั้งผลลัพธ์และความเสี่ยง

5.มีการติดตามผลและปรับแผนตามความคืบหน้า
• ควรมีระบบนัดติดตามผล เช่น ทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อตรวจเช็กความคืบหน้า
• แพทย์จะค่อย ๆ ปรับยาและวิธีรักษา ไม่ใช้สูตรเดียวตลอด
• ถ้าผิวมีปัญหา เช่น ระคายเคือง สิวขึ้น หรือผิวไวแสง แพทย์ควรให้คำแนะนำที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้คนไข้จัดการเอง

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการรักษากระลึก
การรักษากระลึกสามารถทำได้หลายวิธี จะต้องเลือกวิธีรักษาที่ปลอดภัย กับผิวหน้าของเรา ถ้าให้ดีที่สุดควรรักษากระลึกที่คลินิก เพราะเป็นการรักษาที่เห็นผลชัดเจน และปลอดภัย แต่ต้องเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ ถ้าใครสนใจสามารถนัดปรึกษาแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้เลย เรามีแพทย์ที่น่าเชื่อถือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมที่จะดูแลปัญหาของลูกค้าทุกคน ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษากระลึก
1.Q กระลึกรักษาหายขาดได้ไหม?
A ไม่สามารถหายขาดถาวรได้ 100% แต่สามารถทำให้จางลงมากและควบคุมไม่ให้กลับมาเข้มได้ หากดูแลต่อเนื่อง

2.Q ใช้แค่ครีมรักษากระลึกได้ไหม?
A ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะกระลึกไม่ลึกมาก แต่โดยทั่วไปมักต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น ครีม + กันแดด + ทรีตเมนต์

3.Q รักษากระลึกต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
A โดยเฉลี่ย 3-6 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผลชัดเจน และต้องดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมา

4.Q เลเซอร์ช่วยรักษากระลึกได้ไหม?
A ได้ แต่ต้องเลือกชนิดเลเซอร์ให้เหมาะสม และทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่กระจะเข้มกว่าเดิม

5.Q กระลึกกับฝ้าเหมือนกันไหม?
A ไม่เหมือนกัน กระลึกอยู่ลึกกว่าและสีมักคล้ำกว่า รักษายากกว่า ต้องใช้วิธีเฉพาะมากกว่า

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ