รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผลผิวเรียบเนียน
รอยแผลสิว
รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผล
รอยแผลสิวรอยแผลสิวปัญหากวนใจ ขัดขวางความมั่นใจและโชว์ผิวหน้าขาวใสของเรา เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำ รอยแผลสิวแต่ละประเภท และก็การรักษารอยแผลสิวให้เห็นผล
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับรอยแผลสิว
- รอยแผลสิวคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
- ประเภทของรอยแผลสิวที่พบบ่อย
- วิธีรักษารอยแผลสิวแต่ละประเภท
- รอยแผลสิวหายช้าแค่ไหน อะไรมีผลต่อระยะเวลาในการรักษา
- เปรียบเทียบวิธีรักษารอยแผลสิว แบบธรรมชาติ vs ทางการแพทย์
- ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เกิดรอยแผลสิวซ้ำอีก
- สรุปทุกหัวข้อเกี่ยวกับรอยแผลสิว
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยแผลสิว
รอยแผลสิวคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยแผลสิว คือร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากที่เป็นสิวสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ตามรอยสิวที่เกิดขึ้น ซึ่งเราควรเข้าใจกระบวนการเกิดรอยแผลสิวก่อน เพื่อที่จะได้ป้องกันและรักษาได้อย่างตรงจุด
กระบวนการเกิดรอยแผลสิวหลังการอักเสบ
1.การเกิดรอยแผลสิวเริ่มต้นที่การอุดตันของรูขุมขน
เมื่อน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมในรูขุมขน จะกลายเป็นสิวหัวปิดหรือหัวเปิด ซึ่งสามารถลุกลามกลายเป็นสิวอักเสบได้
2.เกิดการอักเสบและระบบภูมิคุ้มกันตอบสนอง
ร่างกายจะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวมาจัดการกับเชื้อแบคทีเรียที่สะสม ส่งผลให้เกิดการอักเสบรุนแรงมากขึ้น
3.เนื้อเยื่อถูกทำลายและซ่อมแซมตัวเอง
หากการอักเสบลึกถึงชั้นหนังแท้ เซลล์สร้างคอลลาเจน (fibroblasts) อาจเสียหาย ทำให้การซ่อมแซมไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดรอยแผลสิวหรือเป็นหลุมสิว
4.เม็ดสีเมลานินถูกกระตุ้น
การอักเสบสามารถกระตุ้นเซลล์เม็ดสีให้สร้างเมลานินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดรอยดำหรือรอยแดงหลังสิวหรือที่เราเรียกว่า รอยแผลสิว

รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผล
โปรแกรมรักษารอยแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลปัจจัยที่ทำให้รอยแผลสิวลุกลามหรือหายช้า
1.การบีบ แกะ เกาสิว ทำให้เกิดรอยแผลสิว
การกดสิวด้วยมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดจะทำให้เนื้อเยื่อเสียหายลึกขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำถาวร
2.สิวอักเสบรุนแรงที่ไม่ได้รับการรักษาทำให้เกิดรอยแผลสิว
หากปล่อยไว้จนเกิดการติดเชื้อหรืออักเสบเรื้อรัง รอยแผลที่ตามมาจะลึกและหายยากขึ้น
3.แสงแดดถ้าไม่ปกป้องทำให้เกิดรอยแผลสิว
รังสี UV จะกระตุ้นให้ผิวสร้างเมลานินเพิ่มขึ้น ทำให้รอยดำเข้มและจางช้ากว่าปกติ
4.สภาพผิวและกรรมพันธุ์
คนที่มีผิวมัน แพ้ง่าย หรือมีประวัติเป็นแผลเป็นง่ายจะมีแนวโน้มเกิดรอยแผลสิวมากกว่าคนทั่วไป
5.การดูแลผิวไม่เหมาะสมทำให้เกิดรอยแผลสิว
เช่น ไม่ใช้ครีมกันแดด ไม่ทายาลดการอักเสบ หรือไม่บำรุงผิวให้ฟื้นฟูตามธรรมชาติ
6.การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองทำให้เกิดรอยแผลสิว
เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมรุนแรงอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้รอยแผลสิวหายช้าลง

รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผล
โปรแกรมรักษารอยแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลประเภทของรอยแผลสิวที่พบบ่อย
หลังจากสิวหาย อาจมี “ร่องรอยแผลสิว” หรือ “ความเสียหายของผิว” หลงเหลืออยู่ ซึ่งมีหลายลักษณะและระดับความรุนแรงแตกต่างกัน โดยรอยแผลสิวแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้
1.รอยแผลสิวที่เป็นรอยดำ (Post-inflammatory Hyperpigmentation - PIH)
ลักษณะของรอยแผลสิวที่เป็นรอยดำ
จุดสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม หรือสีเทาดำ ที่เกิดขึ้นหลังสิวอักเสบหายแล้ว
สาเหตุของรอยแผลสิวที่เป็นรอยดำ
เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ ร่างกายจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ให้ผลิตเมลานินมากขึ้น เพื่อปกป้องผิว ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นคล้ำลงแม้สิวจะหายแล้ว
กลุ่มเสี่ยงผู้ที่จะเป็นรอยแผลสิวที่เป็นรอยดำ
มักพบในผู้ที่มีผิวสีเข้มหรือผิวคล้ำง่าย และหากโดนแสงแดดมากโดยไม่ป้องกันก็จะทำให้รอยดำเข้มขึ้น
2.รอยแผลสิวที่เป็นรอยแดง (Post-inflammatory Erythema - PIE)
ลักษณะของรอยแผลสิวที่เป็นรอยแดง
เป็นจุดสีชมพู แดง หรือม่วงอ่อน ซึ่งมักเกิดกับผู้ที่มีผิวขาวหรือผิวบอบบาง
สาเหตุของรอยแผลสิวที่เป็นรอยแดง
รอยแผลสิวที่เป็นรอยแดงเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวและยังคงอยู่หลังสิวอักเสบหายแล้ว ถึงแม้ไม่มีเม็ดสีเมลานินมากเกินไปเหมือนรอยดำ แต่รอยแดงจะเห็นชัดเพราะเส้นเลือดยังคงอักเสบเล็กน้อย
กลุ่มเสี่ยงผู้ที่จะเป็นรอยแผลสิวที่เป็นรอยแดง
รอยแผลสิวที่เป็นรอยแดงพบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวบาง แพ้ง่าย หรือหลังจากสิวอักเสบขนาดกลางถึงรุนแรง
3.รอยแผลสิวที่เป็นแบบหลุมสิว (Atrophic Acne Scars)
ลักษณะของรอยแผลสิวที่เป็นแบบหลุมสิว
เป็นหลุมลึกลงไปในผิว มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ และไม่เรียบเนียน
สาเหตุของรอยแผลสิวที่เป็นแบบหลุมสิว
รอยแผลสิวที่เป็นหลุมสิวเกิดจากการที่สิวอักเสบรุนแรงทำลายคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ และร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่ ทำให้เกิดรอยบุ๋มถาวร
ประเภทของหลุมสิว
• Ice Pick Scar หลุมแคบและลึกเหมือนถูกแทงด้วยเข็ม
• Boxcar Scar หลุมกว้าง ขอบชัด มีความลึกปานกลาง
• Rolling Scar หลุมตื้น แต่กว้าง และมีลักษณะเป็นคลื่น ไม่เรียบ
กลุ่มเสี่ยงผู้ที่จะเป็นรอยแผลสิวที่เป็นหลุมสิว
ผู้ที่มีสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง หรือซีสต์ และมีพฤติกรรมกด บีบสิวบ่อย
4.รอยแผลสิวที่เป็นแบบนูน (Hypertrophic Scars / Keloid)
ลักษณะของรอยแผลสิวที่เป็นแบบนูน
รอยแผลสิวจะเป็นแผลนูนแข็ง สีชมพู แดง หรือคล้ำ โดยอาจลุกลามเกินขอบเขตของสิวเดิม (ในกรณีที่เป็น Keloid)
สาเหตุของรอยแผลสิวที่เป็นแบบนูน
รอยแผลสิวที่เป็นแบบนูนเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปขณะฟื้นฟูผิวหลังสิวอักเสบ ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อเพื่อซ่อมแซมมากเกินความจำเป็น
กลุ่มเสี่ยงผู้ที่จะเป็นรอยแผลสิวที่เป็นแบบนูน
พบได้บ่อยบริเวณอก หลัง กราม หรือผู้ที่มีพันธุกรรมเป็นแผลนูนง่าย

รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผล
โปรแกรมรักษารอยแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลวิธีรักษารอยแผลสิวแต่ละประเภท
การรักษารอยแผลสิวให้ได้ผล จำเป็นต้อง แยกประเภทของรอย อย่างชัดเจนก่อน เพราะแต่ละแบบมีสาเหตุและกลไกที่แตกต่างกัน การรักษารอยแผลสิวจึงต้องเลือกให้เหมาะสมเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด
1.แนวทางรักษารอยแผลสิวที่เป็นรอยดำ / รอยแดงจากสิว
การรักษารอยแผลสิวที่เป็น รอยดำและ รอยแดงสามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบของผิว โดยการรักษารอยแผลสิวหลัก ๆ ได้แก่
การรักษารอยแผลสิวที่ใช้ผลิตภัณฑ์ทาภายนอก
• วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินและทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น
• Niacinamide ลดการสร้างเม็ดสีและช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
• กรดผลไม้ (AHA/BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น
• Azelaic Acid มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดรอยแดงจากเส้นเลือดฝอย
การทำหัตถการ (ในกรณีที่รอยแผลสิวฝังลึก)
• IPL (Intense Pulsed Light) ช่วยลดรอยแดง ลดรอยแผลสิวโดยทำลายเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัว
• เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched หรือ Pico ช่วยลดเม็ดสีและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
• Microneedling กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเร่งกระบวนการผลัดผิว
2.แนวทางรักษารอยแผลสิวที่เป็นหลุมสิว (Atrophic Scars)
หลุมสิว เป็นรอยแผลสิวที่ลึกถึงชั้นหนังแท้ การรักษารอยแผลสิวที่เป็นหลุมสิว ต้องกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มความลึกของหลุม โดยวิธีที่นิยมและได้ผลดีมีดังนี้
การทำหัตถการทางการแพทย์ในการรักษารอยแผลสิว
• Fractional Laser (CO2, Er:YAG) ยิงเลเซอร์ลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นลึก พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวด้านบน
• Dermaroller / Microneedling ใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นให้เกิด micro-injury ในผิว - ร่างกายตอบสนองด้วยการซ่อมแซม - สร้างคอลลาเจนใหม่
• TCA CROSS ใช้กรด TCA 100% แต้มเฉพาะจุดบริเวณหลุมลึกเพื่อให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมแบบเฉพาะจุด
• Subcision ใช้เข็มปลายทู่ตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวให้หลุมตื้นขึ้น
• การฉีดฟิลเลอร์ เติมสารที่ช่วยยกหลุมให้ตื้นขึ้นในทันที
การรักษารอยแผลสิวที่เป็นหลุมสิวมักต้องทำหลายครั้ง และอาจต้องใช้หลายเทคนิคควบคู่กันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
3.การรักษารอยแผลสิวนูน (Hypertrophic Scars / Keloids)
รอยแผลสิวนูนจากสิวเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในระหว่างการซ่อมแซมผิว การรักษาต้องเน้นการลดการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์และควบคุมการสร้างคอลลาเจน ดังนี้
การรักษารอยแผลสิวนูน
• ฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional Steroid Injection) ใช้ยาเช่น Triamcinolone เพื่อลดการอักเสบและการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน ช่วยให้แผลนูนเรียบลง
• เลเซอร์ชนิดเฉพาะ (เช่น PDL หรือ CO2) ลดสีแดง ความหนาแน่น และความแข็งของแผล โดยไม่ทำลายผิวรอบข้างมาก
• แผ่นซิลิโคน (Silicone Sheets) ปิดทับแผลเป็นเพื่อลดการยกนูนและลดความตึงของผิว
รอยแผลสิวหายช้าแค่ไหน ? ปัจจัยอะไรที่มีผลต่อการรักษา
โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาที่รอยแผลสิวจะจางลงหรือหายไป ขึ้นอยู่กับ ประเภทของรอยแผลสิว และหลายปัจจัยเฉพาะบุคคล ซึ่งสามารถสรุปช่วงเวลาที่รอยแผลสิวจะหายได้ดังนี้
• รอยแผลสิวที่เป็นรอยแดงจากสิว (PIE) มักจะจางลงภายใน 1-3 เดือน หากไม่มีการกระตุ้นซ้ำ และมีการดูแลอย่างเหมาะสม
• รอยแผลสิวที่เป็นรอยดำจากสิว (PIH) อาจใช้เวลา 3-6 เดือน หรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ หรือไม่ได้ทาครีมกันแดด
• รอยแผลสิวที่เป็นหลุมสิวและแผลเป็นถาวร ไม่สามารถหายไปเอง ต้องใช้เวลารักษาแบบต่อเนื่องเป็น หลายเดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้
• รอยแผลสิวที่เป็นแผลนูน (Hypertrophic/Keloid) มักต้องการการรักษาหลายครั้งและอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงปีเพื่อให้เรียบลง
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาในการรักษารอยแผลสิว
1.อายุของรอยแผลสิว
รอยแผลสิวที่เพิ่งเกิดใหม่ มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า เนื่องจากกระบวนการฟื้นฟูผิวยังทำงานได้ดี
• รอยแผลสิว อายุไม่เกิน 3 เดือน - ตอบสนองไวต่อการทายา หรือเลเซอร์เบื้องต้น
• รอยแผลสิว ที่เกิดมานานหลายเดือนหรือเป็นปี - ต้องใช้หัตถการในการรักษารอยแผลสิว ที่ทำซ้ำหลายรอบ
2.พฤติกรรมการดูแลผิวที่เป็นรอยแผลสิว
พฤติกรรมที่ดีจะช่วยให้รอยแผลสิวหายไวขึ้น เช่น
• การทาครีมกันแดดเป็นประจำ - ช่วยป้องกันรอยดำเข้มขึ้น
• การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยอย่างต่อเนื่อง เช่น วิตามินซี, AHA, Niacinamide
• หลีกเลี่ยงการบีบ แกะสิว หรือขัดถูผิวแรงๆ
ในทางกลับกัน พฤติกรรมที่ส่งผลเสีย เช่น การนอนดึก ดื่มน้ำน้อย หรือใช้สกินแคร์ไม่เหมาะกับสภาพผิว อาจทำให้ผิวอักเสบซ้ำ และยืดระยะเวลาการหายจากรอยแผลสิวได้
3.การตอบสนองต่อการรักษารอยแผลสิวในแต่ละแบบ
แต่ละคนมีสภาพผิวและพันธุกรรมแตกต่างกัน ทำให้การตอบสนองต่อการรักษารอยแผลสิวไม่เท่ากัน เช่น
• บางคนเห็นผลลัพธ์จากรอยแผลสิวชัดเจนหลังทำเลเซอร์ไม่กี่ครั้ง
• บางคนอาจต้องเปลี่ยนเทคนิค หรือปรับยาหลายรอบกว่าจะเห็นผล ในการรักษารอยแผลสิว
นอกจากนี้ ประเภทของรอยแผลสิวก็มีผลด้วย เช่น
• รอยแผลสิวที่เป็นรอยดำตอบสนองได้ดีกับวิตามินซีและกรดผลไม้
• หลุมสิวต้องใช้เลเซอร์หรือหัตถการเจาะจง เช่น TCA CROSS, Subcision
• รอยแผลสิวที่เป็นแผลนูนต้องการการฉีดยากดคอลลาเจน และดูแลต่อเนื่องระยะยาว
เปรียบเทียบวิธีรักษารอยแผลสิว แบบธรรมชาติ vs ทางการแพทย์
ประเภท |
วิธีการรักษารอยแผลสิวธรรมชาติ |
วิธีทางการแพทย์ในการรักษารอยแผลสิว |
หลักการ |
ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สมุนไพร วิตามินจากพืช ในการรักษารอยแผลสิว |
ใช้ยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ ยาทาภายนอก หัตถการ |
ตัวอย่างวิธี |
น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ ขมิ้นชัน ในการรักษารอยแผลสิว |
เลเซอร์ (Fractional, Pico), IPL, ฉีดยา, TCA CROSS, ยาทาฝ้า รักษารอยดำ |
ระยะเวลาเห็นผล |
ช้า - อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี |
เร็วกว่า - บางรายเห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ขึ้นกับรอยและเทคนิค |
ความปลอดภัย |
โดยทั่วไปปลอดภัยในระยะสั้น แต่บางชนิดอาจระคายเคือง |
อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ปลอดภัยกว่าในระยะยาวเมื่อใช้ถูกวิธี |
ค่าใช้จ่าย |
ต่ำ - ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ราคาย่อมเยา |
สูงกว่า - ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและความถี่ในการทำ |
ประสิทธิภาพ |
เหมาะกับรอยแผลสิวตื้นๆ หรือรอยใหม่ |
เหมาะกับรอยแผลสิวลึก รอยฝังแน่น หรือหลุมสิวถาวร |
ข้อดี-ข้อจำกัดของแต่ละแนวทางในการรักษารอยแผลสิว
แนวทางการรักษารอยแผลสิวแบบธรรมชาติ
ข้อดีในการรักษารอยแผลสิวแบบธรรมชาติ
• ปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งสารเคมี
• เหมาะกับผิวแพ้ง่าย หรือผู้ที่ไม่สามารถเข้ารับหัตถการ
• งบประมาณน้อย
ข้อจำกัดในการรักษารอยแผลสิวแบบธรรมชาติ
• เห็นผลช้า
• ประสิทธิภาพจำกัดกับรอยแผลลึก เช่น หลุมสิวหรือแผลเป็นนูน
• มีโอกาสแพ้หรือระคายเคืองถ้าใช้วัตถุดิบเข้มข้นหรือไม่สะอาด
แนวทางทางการแพทย์ในการรักษารอยแผลสิว
ข้อดีทางการแพทย์ในการรักษารอยแผลสิว
• เห็นผลไว มีผลการศึกษาทางการแพทย์รองรับ
• ปรับการรักษาเฉพาะบุคคลได้ เช่น ใช้หลายเทคนิคควบคู่
• แก้ได้ครอบคลุมทั้งรอยแดง ดำ หลุม และแผลนูน
ข้อจำกัดในการรักษารอยแผลสิวทางการแพทย์
• ค่าใช้จ่ายสูงกว่า
• อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวลอก บวมแดง (แต่ชั่วคราว)
• ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์จากการลดรอยแผลสิวไว
1.ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีที่เหมาะกับรอยแผลสิวแต่ละประเภท
2.ใช้แนวทางผสมผสานในการรักษารอยแผลสิว เช่น ทายาร่วมกับเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ทางคลินิกควบคู่กับการบำรุงผิวประจำวัน
3.ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการล้างหน้า การใช้ครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นสิวใหม่

รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผล
โปรแกรมรักษารอยแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เกิดรอยแผลสิวซ้ำอีก
รอยแผลสิว ไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษาหลังเกิดขึ้นแล้ว แต่ การป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ หรือเกิดน้อยที่สุด คือหัวใจสำคัญของการดูแลผิวอย่างยั่งยืน โดยมีหลักสำคัญ 3 ข้อที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการป้องกันรอยแผลสิว
1.ห้ามแกะสิวเด็ดขาด
ทำไมจึงห้ามแกะสิว
• การบีบหรือแกะสิวจะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบลึกขึ้น
• เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำหรือมีแบคทีเรียแทรกซ้อน
• ทำให้ผิวเกิดรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวถาวรได้ง่าย
คำแนะนำเพื่อป้องกันรอยแผลสิว
• หากสิวเริ่มอักเสบ ควรรีบใช้ยาทารักษาหรือพบแพทย์
• หากจำเป็นต้องกดสิว ควรทำในคลินิกโดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเท่านั้น
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว
• สภาพผิวแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย การเลือกผลิตภัณฑ์ผิดอาจกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น
• บางส่วนผสม เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือซิลิโคนบางชนิด อาจอุดตันรูขุมขนหรือระคายเคืองผิว
คำแนะนำเพื่อป้องกันรอยแผลสิว
• เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุว่า “Non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นหรือมันเกินไปสำหรับผิวมัน
• สำหรับผิวแพ้ง่าย ควรเลือกสูตรที่ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ และผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนัง
• หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์สภาพผิวก่อนเลือกผลิตภัณฑ์บำรุง
3.ป้องกันแสงแดดเป็นประจำ
ผลเสียของแสงแดดต่อรอยแผลสิว
• รังสี UV กระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีมากขึ้น - ทำให้รอยดำเข้มขึ้นและจางช้าลง
• ยังส่งผลต่อคอลลาเจนในชั้นผิว - ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง เสี่ยงเกิดแผลเป็น
คำแนะนำเพื่อป้องกันรอยแผลสิว
• ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ไม่ได้ออกแดดโดยตรง
• เลือก SPF 30 ขึ้นไป และควรมีค่า PA+++ หรือสูงกว่า เพื่อป้องกันรังสี UVA และ UVB
• หากออกแดดกลางแจ้ง ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
• สามารถเสริมด้วยการใส่หมวก กางร่ม หรือเสื้อแขนยาว เพื่อปกป้องผิวทางกายภาพร่วมด้วย
สรุปทุกหัวข้อเกี่ยวกับรอยแผลสิว
รอยแผลสิวเป็นปัญหากวนใจใครหลาย ๆ คน การรักษารอยแผลสิวสามารถทำได้ด้วยวิธีธรรมชาติและรักษาโดยแพทย์ จะต้องหาวิธีรักษารอยแผลสิว ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา เพื่อให้เรามีผิวที่เรียบเนียนอีกครั้ง
แต่การรักษารอยแผลสิวจะต้องมีวินัยในการรักษารอยแผลสิวอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้ารักษารอยแผลสิวหายแล้ว สิ่งสำคัญคือหลังจากเป็นสิวจะต้องดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้เกิดเป็นรอยแผลสิวทีหลัง

รอยแผลสิวแต่ละแบบต่างกันยังไง รักษาวิธีไหนดี กี่วันเห็นผล
โปรแกรมรักษารอยแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยแผลสิว
รอยแผลสิวจะหายเองได้ไหม ?
คำตอบ
ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยแผลสิว
• รอยแผลสิวที่เป็นรอยแดงและ รอยดำ มีโอกาสหายเองได้ในบางกรณี โดยเฉพาะถ้ารอยแผลสิวยังใหม่ และมีการดูแลผิวที่ดี เช่น ทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงการแกะสิว และใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยลดเม็ดสี
• ระยะเวลาการจางของรอยแผลสิวอาจใช้เวลา 3-6 เดือน หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับสีผิวและปัจจัยภายนอก
• แผลเป็นแบบหลุมสิว (Atrophic scars)
ไม่สามารถหายเองได้ เนื่องจากคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ถูกทำลายไปแล้ว ผิวไม่สามารถฟื้นตัวให้กลับมาเรียบเนียนได้เอง จำเป็นต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์, Subcision, TCA CROSS ฯลฯ
• แผลนูน (Hypertrophic scars/Keloids) ก็ไม่หายเองเช่นกัน และอาจลุกลามมากขึ้นหากไม่ได้ควบคุม ต้องใช้การรักษาจำเพาะ เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ร่วมกับเลเซอร์ลดความนูน
ต้องทำเลเซอร์รอยแผลสิวกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
คำตอบ
จำนวนครั้งของการทำเลเซอร์ขึ้นอยู่กับ ประเภทของรอยแผล, ความลึก, และ เทคนิคที่ใช้ ดังนี้
• รอยดำ รอยแดง
การทำเลเซอร์ Q-Switched, Pico หรือ IPL อาจเห็นผลเริ่มต้นภายใน 2-3 ครั้ง แต่ในกรณีรอยฝังลึก อาจต้องทำประมาณ 4-6 ครั้งขึ้นไป
• หลุมสิว
เลเซอร์รอยแผลสิวที่เป็นกลุ่ม Fractional (เช่น CO2 หรือ Er:YAG) มักต้องทำ อย่างน้อย 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ผิวมีเวลาสร้างคอลลาเจนใหม่
• แผลนูน
ต้องทำเลเซอร์ร่วมกับฉีดยาเป็นรอบๆ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน และต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
ผิวแพ้ง่ายสามารถรักษารอยแผลสิวได้หรือไม่ ?
คำตอบ
ผิวแพ้ง่ายสามารถรักษารอยแผลสิวได้ แต่ต้องมีการรักษาอย่างระมัดระวังและเลือกเทคนิคที่อ่อนโยน
• การเลือกผลิตภัณฑ์ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ สีสังเคราะห์ และสารระคายเคือง โดยเลือกสูตรที่ผ่านการทดสอบสำหรับผิวแพ้ง่าย
• การรักษาทางการแพทย์
- สำหรับรอยแดง/ดำ - ใช้เลเซอร์พลังงานต่ำ หรือ IPL ที่เหมาะกับผิวบอบบาง
- สำหรับหลุมสิว - ใช้เทคนิคที่ปรับความแรงได้ เช่น Microneedling หรือ Fractional Laser แบบพลังงานต่ำ
- ในบางกรณี แพทย์อาจเลือกทำ Spot Treatment หรือรักษาเฉพาะจุดเพื่อลดการระคายเคืองผิวรอบข้าง
• การดูแลหลังทำ ผิวแพ้ง่ายควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดหลังการรักษา เช่น การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยน การหลีกเลี่ยงแดด และงดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดผิวแรงๆ
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ