การแพ้ฟิลเลอร์ มีอาการเป็นอย่างไร บวมกี่วัน อันตรายหรือไม่
แพ้ฟิลเลอร์
แพ้ฟิลเลอร์ มีอาการเป็นอย่างไร บวมกี่วันอันตรายหรือไม่
แพ้ฟิลเลอร์ เป็นอาการที่ร่างกายต่อต้านสารเติมเต็ม อาจจะเกิดขึ้นทันทีหลังฉีดเลย หรือเกิดขึ้นหลังฉีดนานแล้วก็ได้
อาการแพ้ฟิลเลอร์ เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยมากถ้าฉีดโดยใช้สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่เป็นของแท้ เพราะสามารถสลายได้เองตามกระบวนการทำงานของร่างกาย บทความนี้จะมาอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับอาการแพ้ฟิลเลอร์ และวิธีการดูแลรักษา
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการแพ้ฟิลเลอร์
- ใครที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์
- อาการแพ้ฟิลเลอร์ คืออะไร
- แพ้ฟิลเลอร์ มีอาการอย่างไรบ้าง
- อาการแพ้ฟิลเลอร์ตามตำแหน่งต่าง ๆ
- ฟิลเลอร์ปลอม กับ ฟิลเลอร์แท้ อันไหนเสี่ยงต่อการแพ้ฟิลเลอร์
- สาเหตุของการแพ้ฟิลเลอร์ เกิดจากอะไร
- การแพ้ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะเกิดกับใครบ้าง
- แพ้ฟิลเลอร์ ต้องดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร
- ป้องกันการแพ้ฟิลเลอร์อย่างไร
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการแพ้ฟิลเลอร์
ใครที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์เพื่อป้องกันการแพ้ฟิลเลอร์
แม้ฟิลเลอร์ (โดยเฉพาะชนิด Hyaluronic Acid) จะเป็นหัตถการที่นิยมและไม่เป็นอันตรายต่อผิวเมื่อทำโดยแพทย์ แต่จะมี “กลุ่มคนที่ไม่เหมาะ” หรือควร “เลื่อนการทำออกไปก่อน” เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ ดังนี้
1) ผู้ที่เคยแพ้ฟิลเลอร์ หรือแพ้สาร Hyaluronic Acid (HA)
หากมีประวัติแพ้ฟิลเลอร์มาก่อน หรือสงสัยว่าแพ้สารประกอบในผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ (รวมถึง HA หรือสารอื่น ๆ ในตัวผลิตภัณฑ์) ไม่ควรฉีดซ้ำเด็ดขาด เพราะการแพ้ฟิลเลอร์ครั้งต่อไปมีโอกาสรุนแรงกว่าเดิมได้
อาการแพ้ฟิลเลอร์อาจเริ่มจากบวม แดง คัน ลามไปถึงผื่นลมพิษ หรือรุนแรงถึงขั้นหายใจลำบากได้ในบางราย (แม้จะพบไม่บ่อย แต่ต้องระวัง)
บางคนอาจจะไม่ได้แพ้ HA โดยตรง แต่อาจแพ้ “ส่วนผสมอื่น” หรือมีปฏิกิริยาต่อฟิลเลอร์บางยี่ห้อทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ ดังนั้นควรแจ้งประวัติการแพ้ทุกอย่างให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดที่สุด
2) สตรีมีครรภ์ และผู้ที่ให้นมบุตร
กลุ่มนี้ มักแนะนำให้เลี่ยงหรือเลื่อนออกไปก่อน เพราะยังมีข้อมูลการศึกษาที่ชัดเจนไม่เพียงพอในหญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร และร่างกายในช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและภูมิคุ้มกัน ทำให้คาดเดาการตอบสนองหลังฉีดฟิลเลอร์ได้ยาก
3) ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หยุดยาก ช้ำง่าย หรือกำลังใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
หากมีปัญหา “เลือดแข็งตัวผิดปกติ” หรือมีแนวโน้มช้ำง่ายมาก รวมถึงคนที่กำลังใช้ยา อาหารเสริมบางชนิดที่ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ควรระวังเป็นพิเศษ และบางกรณีควรเลื่อนทำหัตถการออกไปก่อน
ทำไมต้องระวังในคนกลุ่มนี้
การฉีดฟิลเลอร์ต้องใช้เข็มหรือเข็มทู่ (cannula) ผ่านชั้นผิว จึงมีโอกาสกระทบเส้นเลือดเล็ก ๆ ทำให้เกิด
• รอยช้ำขนาดใหญ่
• เลือดออกใต้ผิวมากกว่าปกติ
• บวมและหายช้ากว่าปกติ
ตัวอย่างยาที่พบบ่อย (ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง)
• Aspirin (ASA)
• กลุ่ม NSAIDs (ยาแก้อักเสบแก้ปวดบางชนิด)
• Warfarin และยาต้านการแข็งตัวของเลือดอื่น ๆ
• Vitamin E ขนาดสูง
• สารสกัดใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba)
ข้อควรระวัง ห้ามหยุดยาเอง โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือดหรือยาหัวใจ ต้องให้แพทย์ผู้รักษาหลักเป็นคนประเมินร่วมกับแพทย์ผู้ฉีดเสมอ
4) ผู้ที่กำลังเป็นเริม (Herpes) หรือ งูสวัด (Shingles)
ถ้าอยู่ในช่วงที่มีตุ่ม ผื่นเริม งูสวัด หรือเพิ่งกำเริบไม่นาน แนะนำให้ชะลอการฉีดก่อน เพราะการกระตุ้นหรือการบาดเจ็บเล็กน้อยจากเข็ม รวมถึงความเครียดจากหัตถการ อาจทำให้เชื้อไวรัสกลับมากำเริบหรืออักเสบรุนแรงขึ้นได้
อาการแพ้ฟิลเลอร์ คืออะไร
อาการแพ้ฟิลเลอร์ คือ ภาวะที่ร่างกาย มองว่าสารที่ฉีดเข้าไปเป็นสิ่งแปลกปลอม แล้วกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้เกิดการอักเสบหรือปฏิกิริยาตอบสนองมากกว่าปกติ แม้ว่าฟิลเลอร์จำนวนมากในปัจจุบันจะเป็นชนิด Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามร่างกาย แต่ในทางปฏิบัติ “การแพ้ฟิลเลอร์” ยังเกิดขึ้นได้ เพราะร่างกายอาจตอบสนองต่อ
• ส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ (เช่น สารคงรูป สารช่วยให้เจลอยู่ตัว สารตกค้างจากกระบวนการผลิต) อาจทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์
• โปรตีน/สิ่งปนเปื้อนเล็กน้อย ที่อาจเหลืออยู่ในบางล็อต
• ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะคนที่มีประวัติแพ้ง่าย
คนที่แพ้ฟิลเลอร์อาจไม่ได้ “แพ้ HA โดยตรง” เสมอไป แต่แพ้ “องค์ประกอบร่วม” หรือเกิดปฏิกิริยาการอักเสบที่คล้ายการแพ้
ทำไมบางคนถึงแพ้ฟิลเลอร์ ทั้งที่คนส่วนใหญ่ฉีดได้ปกติ
แต่ละคนมีระบบภูมิคุ้มกันไม่เหมือนกัน บางคนตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นง่ายกว่าปกติทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ได้ เช่น
• เคยมีประวัติ แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้เครื่องสำอาง หรือเป็นลมพิษบ่อย
• มีโรคที่เกี่ยวกับ ภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันไว (ไม่ได้แปลว่าห้ามฉีดทุกคน แต่ควรประเมินอย่างละเอียด)
• เคยฉีดสารเติมเต็มมาก่อนแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น บวมเรื้อรัง กดเจ็บ เป็นก้อน
นอกจากนี้ “คุณภาพของผลิตภัณฑ์” และ “มาตรฐานการฉีด” ก็มีผล เพราะฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ มีโอกาสกระตุ้นการอักเสบ หรือกานแพ้ฟิลเลอร์มากขึ้น
ทำไมต้องรู้เรื่องอาการแพ้ฟิลเลอร์
เพราะถ้ารู้ทันและสังเกตอาการได้เร็วในการแพ้ฟิลเลอร์ จะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น อักเสบรุนแรง บวมเรื้อรัง หรือเกิดก้อนผิดปกติ
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่หลายคนนิยมทำและให้ผลลัพธ์ดีในคนส่วนใหญ่ แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวและร่างกายของเราก็ต่อเมื่อ
• เลือกผลิตภัณฑ์มาตรฐาน
• ทำกับแพทย์เท่านั้น
แพ้ฟิลเลอร์ มีอาการอย่างไรบ้าง
อาการแพ้ฟิลเลอร์ คือการที่ร่างกายตอบสนองต่อสารเติมเต็มมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล หรือปฏิกิริยาต่อส่วนประกอบบางอย่างในฟิลเลอร์ อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกันทุกคน และสามารถแยกได้ตาม “ช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการแพ้ฟิลเลอร์” เพื่อให้สังเกตได้ง่ายขึ้น โดยแบ่งอาการแพ้ฟิลเลอร์ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ อาการแพ้ฟิลเลอร์แบบเฉียบพลัน และอาการแพ้ฟิลเลอร์แบบเรื้อรัง
1) อาการแพ้ฟิลเลอร์แบบเฉียบพลัน (มักเกิดภายใน 24-72 ชั่วโมงหลังฉีด)
อาการแพ้ฟิลเลอร์แบบเฉียบพลันกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วหลังฉีดฟิลเลอร์ และบางส่วนอาจคล้ายกับอาการปกติหลังทำหัตถการ จึงควรดูว่ามีความรุนแรงหรือผิดปกติมากน้อยเพียงใด
• บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีดมากผิดปกติ
หากบวมเพียงเล็กน้อยและค่อย ๆ ยุบ ถือเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป แต่ถ้าบวมมากขึ้นเรื่อย ๆ แดงร้อนชัด หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือปฏิกิริยาแพ้ฟิลเลอร์
• คัน แสบ หรือรู้สึกระคายเคืองผิดปกติ
อาจเกิดจากการตอบสนองของผิวต่อสารในฟิลเลอร์ หากคันมาก ร่วมกับบวมแดงหรือมีผื่นขึ้น ควรระวังว่าอาจเป็นอาการแพ้ฟิลเลอร์
• มีผื่น ลมพิษ หรือผิวเปลี่ยนสี
ผื่นหรือผิวหนังผิดปกติบริเวณที่ฉีดหรือรอบ ๆ ใบหน้า อาจบ่งบอกถึงการแพ้ในระดับผิวหนัง หรือการอักเสบของเนื้อเยื่อชั้นตื้น
• อาการผิดปกติทั่วร่างกาย
เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หน้าบวม ตาบวม เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้อย่างรุนแรง อาการลักษณะนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นอาการแพ้ฟิลเลอร์รุนแรงที่เป็นอันตรายได้
2) อาการแพ้ฟิลเลอร์แบบเรื้อรัง หรือเกิดช้า (เกิดหลังฉีดไปแล้วหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือบางรายเป็นเดือน)
อาการแพ้ฟิลเลอร์แบบเรื้อรัง กลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับการอักเสบจากภูมิคุ้มกันในระยะยาว หรือการที่ร่างกายยังคงตอบสนองต่อฟิลเลอร์ที่อยู่ใต้ผิว
• เกิดก้อนแข็ง ไต หรือเนื้อนูนใต้ผิวหนัง
อาจเกิดจากฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน หรือร่างกายสร้างพังผืดมาล้อมสารที่มองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้สัมผัสแล้วรู้สึกแข็งหรือไม่เรียบ
• บวมแดงเป็น ๆ หาย ๆ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
บางคนจะมีอาการอักเสบกลับมาเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย หรือมีการติดเชื้ออื่นร่วมด้วย
• เจ็บ ตึง หรือปวดเมื่อกดสัมผัสบริเวณที่ฉีด
อาจบ่งบอกถึงการอักเสบเรื้อรัง การเกิดพังผืด หรือการระคายเคืองของเนื้อเยื่อรอบ ๆ ฟิลเลอร์ ซึ่งควรให้แพทย์ตรวจเพื่อประเมินอย่างละเอียด
อาการแพ้ฟิลเลอร์ตามตำแหน่งต่าง ๆ
แม้ฟิลเลอร์จะเป็นสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยมและไม่อันตรายต่อผิว หากใช้ของแท้และฉีดโดยแพทย์ แต่ในบางรายอาจเกิด อาการแพ้ฟิลเลอร์หรือภาวะแทรกซ้อนเฉพาะตำแหน่ง ได้ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นจะไม่เหมือนกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับโครงสร้างผิว ความหนาบางของผิวหนัง การไหลเวียนของเส้นเลือด และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น ๆ
การเข้าใจลักษณะอาการแพ้ฟิลเลอร์ตามตำแหน่งต่าง ๆ จะช่วยให้สังเกตความผิดปกติได้เร็ว และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงตามมาได้
อาการแพ้ฟิลเลอร์ใต้ตา
ใต้ตาเป็นบริเวณที่มีผิวบางมากและมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก หากเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ มักแสดงออกเป็น อาการบวมพองคล้ายถุงใต้ตา ก้อนนูนเล็ก ๆ หรือผิวดูใสจนเห็นเส้นเลือดชัด บางรายอาจรู้สึกตึง คัน หรือไม่สบายผิวบริเวณนั้น
นอกจากนี้ยังอาจเกิดการเปลี่ยนสีผิว เช่น ดูคล้ำ ม่วง หรือเขียว ซึ่งเกิดจากฟิลเลอร์ที่กดทับการไหลเวียนของเลือดหรือวางผิดชั้น อาการเหล่านี้พบได้ง่ายกว่าตำแหน่งอื่น เนื่องจากใต้ตาเป็นจุดที่บอบบางและไวต่อการระคายเคืองเป็นพิเศษ
อาการแพ้ฟิลเลอร์ปากและริมฝีปาก
ริมฝีปากเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทหนาแน่นและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่พบได้บ่อยคือ บวมแดงมาก รู้สึกร้อนผ่าว เจ็บ หรือยิบ ๆ ใต้ผิว บางรายอาจมีตุ่มใสเล็ก ๆ หรืออาการบวมไม่เท่ากัน
ในกรณีที่เกิดการอักเสบมาก อาจทำให้รูปปากดูเบี้ยวหรือขยับได้ไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากกล้ามเนื้อรอบปากตอบสนองต่อการอักเสบได้ไว จึงเป็นตำแหน่งที่ต้องใช้เทคนิคการฉีดอย่างละเอียด
อาการแพ้ฟิลเลอร์คาง
หากเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์คาง มักสังเกตได้จาก การคลำเจอก้อนแข็ง เจ็บเมื่อกด หรือคางดูไม่สมดุล บางรายอาจรู้สึกตึงหรือเหมือนผิวถูกดึงรั้ง
คางเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยการวางฟิลเลอร์เชิงโครงสร้าง (Structural Filler) และมักฉีดในชั้นลึก หากวางผิดตำแหน่งหรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัว ส่งผลให้รูปหน้าเปลี่ยนหรือคางดูเอียงได้
อาการแพ้ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่พบบ่อยคือ บวมตึงไม่เท่ากัน รู้สึกเจ็บเมื่อยิ้มหรือพูด และคลำพบก้อนใต้ผิว ซึ่งก้อนเหล่านี้อาจไม่ยุบตัว
ในบางรายอาจเกิดการอักเสบเรื้อรังหรือสีผิวเปลี่ยน ร่องแก้มแม้จะดูเป็นจุดที่ผิวแข็งแรง แต่จริง ๆ แล้วมีเส้นเลือดสำคัญอยู่ลึกด้านใน หากฉีดพลาดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
อาการแพ้ฟิลเลอร์แก้มส้ม
แก้มส้มเป็นตำแหน่งที่ต้องรับแรงจากการแสดงสีหน้าตลอดเวลา อาการแพ้ฟิลเลอร์จึงมักแสดงเป็น แก้มบวมโป่ง โดยเฉพาะเวลายิ้ม อาจมีความรู้สึกตึงแน่น ช้ำลึก หรือคลำได้ก้อนนูนใต้ผิว
หากฟิลเลอร์ถูกวางผิดชั้นหรือเกิดการอักเสบซ้ำ ๆ อาจทำให้ใบหน้าดูไม่สมมาตร เนื่องจากบริเวณนี้มีการขยับของกล้ามเนื้อสูงมาก
อาการแพ้ฟิลเลอร์จมูก (ตำแหน่งที่ต้องระวังที่สุด)
จมูกเป็นตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูง หากเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือฉีดผิดตำแหน่ง อาจพบ อาการบวมรุนแรง เจ็บลึก ผิวเปลี่ยนสีเป็นม่วงคล้ำหรือซีดขาวผิดปกติ
อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการอุดตันของหลอดเลือด (Vascular Compromise) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะเนื้อตายได้
ฟิลเลอร์ปลอม กับ ฟิลเลอร์แท้ อันไหนเสี่ยงต่อการแพ้ฟิลเลอร์
การแพ้ฟิลเลอร์ ปัจจัยไม่ได้มีแค่ร่างกายของแต่ละคนเท่านั้น แต่สิ่งที่ส่งผลมากมากคือ คุณภาพและแหล่งที่มาของฟิลเลอร์ โดยเฉพาะ “ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์เถื่อน” ที่ไม่ได้ผ่านระบบควบคุมมาตรฐาน อาจทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์และภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้มากกว่าอย่างชัดเจน
เหตุผลสำคัญคือ ฟิลเลอร์ปลอมมักมีความเสี่ยงในการแพ้ฟิลเลอร์ได้มากกว่าเพราะ
• ส่วนผสมไม่แน่นอน
• ความบริสุทธิ์ต่ำ หรือมีสารเจือปน
• การผลิต/การเก็บรักษาไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงปนเปื้อน
• ไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยทางการแพทย์ ทำให้คาดการณ์ผลข้างเคียงไม่ได้
ในขณะที่ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน จะถูกออกแบบมาเพื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะ และผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพในหลายขั้นตอน ทำให้โอกาสเกิด “แพ้ฟิลเลอร์จริง” จะต่ำกว่า
เปรียบเทียบฟิลเลอร์แท้ กับ ฟิลเลอร์ปลอม
ฟิลเลอร์ของแท้ (มาตรฐาน)
• ผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับ เช่น อย.
• มีข้อมูลการผลิต ชนิดสาร และแหล่งนำเข้า “ตรวจสอบย้อนกลับได้”
• มีความบริสุทธิ์ของสารสูง ลดการระคายเคืองและการอักเสบ
• โอกาสแพ้ต่ำกว่า (แต่ไม่ใช่ 0% เพราะแต่ละคนตอบสนองต่างกัน)
• ไม่อันตรายต่อผิวและงานวิจัยรองรับชัดเจน
ฟิลเลอร์ปลอม/ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน
• ไม่ผ่านการรับรอง หรือใช้ “เลขปลอม/ฉลากปลอม”
• ส่วนผสมอาจไม่ได้เป็นสารที่ควรฉีดเข้าร่างกาย หรือเจือปนสารอันตราย
• เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อ/สิ่งแปลกปลอมจากการผลิตและการเก็บที่ไม่ถูกต้อง
• โอกาสเกิดอาการแพ้ การอักเสบเรื้อรัง ก้อนแข็ง หรือเนื้อเยื่อตาย สูงกว่า
ทำไมฟิลเลอร์ปลอมถึงทำให้ “แพ้ฟิลเลอร์” ได้ง่ายกว่า
อาการแพ้ฟิลเลอร์หรืออักเสบหลังฉีด ไม่ได้เกิดจากตัวฟิลเลอร์อย่างเดียว แต่อาจมาจาก “สิ่งที่ปนอยู่ในผลิตภัณฑ์” ด้วย เช่น
• สารเจือปนที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
• โปรตีน/สารกันเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน
• สารที่มีโครงสร้างไม่เหมาะกับเนื้อเยื่อมนุษย์
• การปนเปื้อนเชื้อโรค ทำให้เกิดการติดเชื้อร่วม
ดังนั้น ในทางคลินิก “ฟิลเลอร์ปลอม” มักจะเจอกับปัญหาแบบนี้ได้บ่อยกว่า
• บวมแดงรุนแรงผิดปกติ
• เจ็บนาน ไม่ยุบตามเวลา
• คลำได้ก้อนแข็ง/เป็นไต
• อักเสบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ
• สีผิวเปลี่ยน ช้ำคล้ำผิดปกติ
• ในบางตำแหน่งเสี่ยงหลอดเลือดอุดตัน (อันตราย)
วิธีสังเกตเบื้องต้นว่าเสี่ยงเป็นฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่
1.ไม่มีฉลากภาษาไทย หรือข้อมูลไม่ชัดเจน
2.ไม่ระบุเลข อย./ ตรวจสอบไม่ได้ / ข้อมูลดูแปลก ๆ
3.ราคาถูกเกินจริง
สาเหตุของการแพ้ฟิลเลอร์ เกิดจากอะไร
แพ้ฟิลเลอร์ ไม่ได้แปลว่าร่างกายแพ้สารฟิลเลอร์เพียงอย่างเดียวเสมอไป เพราะในทางปฏิบัติ อาการที่คนไข้เรียกว่าแพ้ฟิลเลอร์ อาจเกิดได้จากหลายกลไก เช่น การตอบสนองของภูมิคุ้มกัน การอักเสบจากสิ่งปนเปื้อน เทคนิคการฉีด หรือการดูแลหลังทำ ซึ่งแต่ละสาเหตุมีโอกาสทำให้อาการรุนแรงและรูปแบบอาการต่างกัน
ด้านล่างคือสาเหตุหลัก ๆ ที่พบได้บ่อย ในการแพ้ฟิลเลอร์
1) คุณภาพและมาตรฐานของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน จะมีความบริสุทธิ์และกระบวนการผลิตที่ควบคุมคุณภาพ ทำให้โอกาสเกิดปฏิกิริยารุนแรงลดลง แต่ถ้าเป็น ฟิลเลอร์ปลอม/ไม่ได้มาตรฐาน ความเสี่ยงแพ้ฟิลเลอร์จะสูงขึ้นมาก เพราะอาจมีปัญหา เช่น
• ส่วนผสมไม่แน่นอน
• ความบริสุทธิ์ต่ำ มีสารเจือปนที่กระตุ้นการอักเสบ
• การผลิต/ขนส่ง/เก็บรักษาไม่ถูกต้อง ทำให้เสื่อมสภาพหรือปนเปื้อน
ผลคือเกิดอาการบวมแดง อักเสบเรื้อรัง เป็นก้อน หรือมีการติดเชื้อร่วมได้ง่ายกว่า
2) ส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช่ “ตัวฟิลเลอร์”
แม้ฟิลเลอร์หลายชนิดจะเป็นสารที่เข้ากับร่างกายได้ดี แต่ในผลิตภัณฑ์มักมีองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย เช่นสารช่วยคงรูปหรือสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ซึ่งในบางคนอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ได้ เช่น
• สารที่ทำให้ฟิลเลอร์คงตัว/อยู่ได้นาน
• สิ่งตกค้างจากการผลิต
• สารเจือปนหรือโปรตีนแปลกปลอม (โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน)
ร่างกายบางคนไวต่อสารกลุ่มนี้ ทำให้เกิดอาการบวม แดง คัน หรือเป็นไตได้
3) ภูมิคุ้มกันของแต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน
เหตุผลที่บางคนฉีดแล้วไม่มีปัญหา แต่บางคนมีอาการแพ้หรือบวมเรื้อรัง เป็นเพราะ ระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละคนแตกต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีแนวโน้ม “ไวเกิน” ต่อสิ่งแปลกปลอมอาจทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ได้ง่ายกว่า
• ร่างกายอาจมองสารที่ฉีดเข้าไปเป็นสิ่งกระตุ้น แล้วเกิดการอักเสบมากกว่าปกติ
• บางรายมีโอกาสเกิด “ก้อนแข็ง/ไต” จากกระบวนการอักเสบและพังผืด
และถ้ามี ประวัติแพ้ยา แพ้สารเคมี หรือภูมิแพ้รุนแรง ก็อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการที่จะเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ (ไม่ได้แปลว่าฉีดไม่ได้ แต่ควรแจ้งแพทย์และประเมินละเอียด)
4) เทคนิคการฉีดและการวางชั้นฟิลเลอร์
ต่อให้ใช้ของแท้ ถ้าเทคนิคไม่เหมาะสมก็ทำให้เกิดอาการที่คล้ายแพ้ได้ เช่น
• วางผิดชั้น (ตื้น/ลึกไม่เหมาะกับจุดนั้น) บวมเป็นก้อน ดูนูน ไม่เรียบ
• ใช้แรงดันมากหรือกระทบเนื้อเยื่อมากเกินไป อักเสบ บวมช้ำมากกว่าปกติ
• ปริมาณไม่เหมาะสม ตึงแน่น กดเจ็บ หรือเกิดการเคลื่อนตัวภายหลัง
หลายกรณีคนไข้จะรู้สึกว่า “แพ้ฟิลเลอร์” แต่จริง ๆ คือ “การระคายเคืองและการอักเสบจากเทคนิค” ซึ่งต้องแก้คนละแบบกับการแพ้ฟิลเลอร์จริง ๆ
5) ความสะอาดและความเสี่ยงการปนเปื้อนระหว่างทำ
การฉีดฟิลเลอร์ต้องเป็นหัตถการปลอดเชื้อ หากขั้นตอนหรืออุปกรณ์ไม่สะอาด อาจเกิด การติดเชื้อ หรือการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้ ซึ่งอาการจะคล้ายอาการแพ้ฟิลเลอร์และมักรุนแรงกว่า เช่น
• บวมแดงร้อน เจ็บมาก
• มีตุ่ม/หนอง หรืออักเสบเป็น ๆ หาย ๆ
• คลำได้ก้อนแข็งที่เจ็บ
กรณีนี้สำคัญมาก เพราะ “ติดเชื้อ” ต้องรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรปล่อยไว้ให้หายเอง
6) ประเภทของฟิลเลอร์ ส่งผลต่อความเสี่ยงระยะยาว
ฟิลเลอร์ชั่วคราว (เช่นกลุ่ม HA) จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวและแก้ไขได้ง่ายกว่า เพราะสลายได้ตามเวลา และบางชนิดสามารถใช้เอนไซม์ช่วยสลายได้ แต่ ฟิลเลอร์ถาวรหรือสารเติมเต็มที่ไม่สลาย มีความเสี่ยงการแพ้ฟิลเลอร์ในระยะยาวมากกว่า เช่น
• อักเสบเรื้อรังเป็นช่วง ๆ
• เป็นก้อนแข็งหรือพังผืด
• แก้ไขยาก และบางกรณีต้องผ่าตัด
7) การดูแลหลังฉีดที่ไม่เหมาะสม
หลังฉีดฟิลเลอร์ ช่วง 24-72 ชั่วโมงแรกเนื้อเยื่อยังบอบบาง ถ้าดูแลไม่ถูกต้องอาจกระตุ้นการอักเสบหรือทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวได้ เช่น
• กด นวด จับแรง ๆ บริเวณที่ฉีด
• โดนความร้อนจัด (ซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนักทันที)
• ดื่มแอลกอฮอล์จนหลอดเลือดขยาย ทำให้บวมช้ำมากขึ้นในบางราย
• ส่วนยาบางชนิด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้ ช้ำง่าย/บวมมาก จนคนไข้เข้าใจผิดว่าแพ้ฟิลเลอร์ได้ (ไม่ได้แปลว่าเป็นสาเหตุแพ้โดยตรง แต่ทำให้อาการหลังฉีดดูรุนแรงขึ้น)
การแพ้ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะเกิดกับใครบ้าง
การแพ้ฟิลเลอร์มักพบได้มากขึ้นในคนที่ “ร่างกายค่อนข้างไว” หรือมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง โดยกลุ่มที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
• คนที่เคยแพ้ยา/แพ้สารเคมี/แพ้ง่ายมาก มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาบวม แดง คัน หรืออักเสบหลังฉีดได้มากกว่า
• คนที่มีผิวอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลบริเวณที่จะฉีด เสี่ยงติดเชื้อและอักเสบลุกลามหลังทำ
• คนที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีโรคที่กดภูมิ ร่างกายจัดการสิ่งแปลกปลอมได้ไม่ดี เสี่ยงอักเสบเรื้อรัง
• คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหรือการแข็งตัวของเลือด/ใช้ยาละลายลิ่มเลือด ช้ำ บวม หรือมีอาการผิดปกติหลังฉีดได้ง่ายกว่าปกติ
ถ้ามีข้อใดข้อหนึ่ง แนะนำให้แจ้งแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยงในการแพ้ฟิลเลอร์
แพ้ฟิลเลอร์ ต้องดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร
ถ้าสงสัยว่า แพ้ฟิลเลอร์ ให้ดูแลตัวเองเบื้องต้นดังนี้
• หยุดจับ/กด/นวดบริเวณที่ฉีดทันที เพราะอาจทำให้บวมอักเสบหนักขึ้นหรือฟิลเลอร์เคลื่อน
• ประคบเย็นเบา ๆ ครั้งละประมาณ 10-15 นาที ช่วยลดบวมและระคายเคือง (อย่ากดแรง)
• สังเกตอาการอันตราย เช่น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หน้ามืด ผื่นลามเร็ว ปวดมากผิดปกติ หรือผิวซีด ม่วงคล้ำ ไปโรงพยาบาลทันที
• รีบติดต่อแพทย์/คลินิกที่ฉีด แจ้งอาการและเวลาที่เริ่มเป็น เพื่อให้ประเมินและแนะนำการรักษาที่ถูกต้อง
• อย่าซื้อยากินหรือทายาเอง โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์/ยาปฏิชีวนะ/ยาลดบวมแบบสุ่ม เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
• ถ้าอาการเป็นแค่บวมแดงเล็กน้อยแต่ไม่ดีขึ้นภายใน 24-48 ชม. หรือเริ่มปวดมากขึ้น ให้รีบพบแพทย์
ป้องกันการแพ้ฟิลเลอร์อย่างไร
การป้องกันการแพ้ฟิลเลอร์สามารถทำได้ หากเตรียมตัวให้ถูกต้องและเลือกอย่างรอบคอบ
• ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เพื่อประเมินผิว สุขภาพ และประวัติการแพ้ให้เหมาะกับแต่ละคน
• เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน มีเลข อย. ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ และเปิดกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า
• แจ้งประวัติแพ้ยา/แพ้สารเคมีให้แพทย์ทราบ ทุกครั้ง แม้จะคิดว่าไม่เกี่ยว
• หลีกเลี่ยงการฉีดบริเวณที่ผิวอักเสบ เป็นสิว หรือมีแผล เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ
• งดยาบางชนิดตามคำแนะนำแพทย์ก่อนฉีด เช่น ยาที่มีผลต่อการอักเสบหรือการแข็งตัวของเลือด
• ดูแลหลังฉีดตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดบวม อักเสบ และภาวะแทรกซ้อน
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการแพ้ฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการด้านความงามที่ได้รับความนิยมสูงและโดยทั่วไปไม่อันตรายต่อผิว แต่อาการแพ้ฟิลเลอร์หรือภาวะแทรกซ้อนหลังฉีด ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ภูมิคุ้มกันไว ประวัติแพ้ยา หรือได้รับฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
สาเหตุของอาการแพ้ไม่ได้เกิดจากตัวฟิลเลอร์เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกี่ยวข้องกับ
• คุณภาพของฟิลเลอร์
• เทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์
• สุขภาพผิวและภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล
ดังนั้น ผู้ที่กำลังวางแผนฉีดฟิลเลอร์ควร เลือกแพทย์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่านการรับรอง และต้องสังเกตอาการผิดปกติหลังฉีดอย่างใกล้ชิด หากมีอาการบวมแดง เจ็บผิดปกติ หรือสีผิวเปลี่ยน ควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรรอให้อาการรุนแรง
หากต้องการฉีดฟิลเลอร์อย่างมั่นใจ รมย์รวินท์คลินิก พร้อมดูแลโดยแพทย์ และใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และวางแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ละมุนและไม่อันตรายในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ