ผิวหน้าแห้ง เกิดจากอะไร ป้องกันและแก้ไขอย่างไรได้บ้าง บอกลาหน้าแห้ง ผิวพัง ด้วยเคล็ดลับหน้าปังแบบตัวแม่
หน้าแห้ง
บอกลาหน้าแห้ง ผิวพัง ด้วยเคล็ดลับหน้าปังแบบตัวแม่
หน้าแห้ง ผิวแห้ง เป็นปัญหาที่หลาย ๆ คนเจอ ซึ่งบางคนมักจะหน้าแห้งตอนหน้าหนาว แต่บางคนก็หน้าแห้งได้ทุกฤดู ทำให้ผิวเป็นขุย ได้เวลาที่เราต้องลุกขึ้นมาดูแลผิวแบบจริงจังเพื่อรักษาให้หน้าเราดูสุขภาพดีเผยผิวออร่าแบบตัวแม่แล้ว
ก่อนที่เราจะรู้ถึงวิธีรักษาผิวหน้าแห้ง เราจะต้องรู้ถึงต้นตอและสาเหตุก่อนว่า การที่เราหน้าแห้งสาเหตุของเรามาจากอะไร เพื่อการรักษาและดูแลได้อย่างตรงจุด
รวมทุกหัวข้อบอกลาหน้าแห้ง
• หน้าแห้งคืออะไร เราหน้าแห้งอยู่ไหม
• หน้าแห้งเกิดจากอะไร
• ทำไมหน้าหนาวแล้วหน้าแห้งตลอด
• หน้าแห้งแต่ละระดับมีอาการอย่างไรบ้าง
• หน้าแห้งส่งผลอย่างไรต่อการใช้ชีวิต
• วิธีดูแลผิวบอกลาหน้าแห้งด้วยวิธีธรรมชาติ
• วิธีดูแลหน้าแห้งด้วยการกินวิตามินเสริม
• กู้หน้าแห้งด้วยหัตถการความงาม
• วิธีป้องกันหน้าแห้งด้วยทริคดีๆ
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการบอกลาหน้าแห้ง
หน้าแห้งคืออะไร เราหน้าแห้งอยู่ไหม
"หน้าแห้ง" หมายถึงสภาพผิวที่ขาดความชุ่มชื้นและน้ำมันตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวดูแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย หรือรู้สึกตึง อาจมีอาการคัน แดง หรือระคายเคืองง่าย ผิวแห้งหน้าแห้งมักเกิดได้ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น พันธุกรรม อายุ อากาศแห้ง การใช้สกินแคร์ที่รุนแรง หรือการดื่มน้ำน้อยที่น้อยเกินไป
เราหน้าแห้งอยู่ไหม ? วิธีเช็กอาการหน้าแห้งแบบง่ายๆ
1.หลังล้างหน้า 15-30 นาที (ไม่ทาครีม) - ถ้ารู้สึกว่าผิวตึง ลอก หรือเป็นขุย อาจมีแนวโน้มเป็นผิวแห้ง
2.ดูที่รูขุมขน - คนผิวแห้งมักมีรูขุมขนเล็กมาก หรือแทบมองไม่เห็น
3.ลองใช้กระดาษซับมัน - ถ้าไม่มีน้ำมันติดออกมาเลย แสดงว่าผิวคุณแห้ง
4.สังเกตอาการ - ถ้าผิวลอกง่าย แดง หรือคันบ่อย ๆ มีแนวโน้มเป็นผิวแห้ง
หน้าแห้งเกิดจากอะไร
"หน้าแห้ง" (Dry Skin หรือ Xerosis) เกิดจากการที่ชั้นผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและไขมันที่จำเป็น ทำให้เกิดอาการผิวตึง ลอกเป็นขุย ระคายเคืองง่าย หรือแม้แต่เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวแห้งเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งเป็น ปัจจัยภายใน (Intrinsic Factors) และ ปัจจัยภายนอก (Extrinsic Factors) ที่ทำให้หน้าแห้งง่าย
ปัจจัยภายใน (Intrinsic Factors) ที่ทำให้หน้าแห้ง
เป็นปัจจัยที่เกิดจากร่างกายและการทำงานของผิวเอง ซึ่งควบคุมได้ยากมากกว่าปัจจัยภายนอก
1.พันธุกรรมและโครงสร้างผิว
• คนที่มีผิวแห้ง หน้าแห้ง โดยธรรมชาติ มักเกิดจากพันธุกรรมที่ทำให้การผลิตน้ำมัน (Sebum) ต่ำกว่าปกติ
• คนที่มีภาวะ Atopic Dermatitis (โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง) หรือ Ichthyosis (โรคผิวหนังแห้งแตกเป็นเกล็ด) มักมีความผิดปกติของโปรตีน Filaggrin ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
2.อายุที่เพิ่มขึ้น
• เมื่ออายุเกิน 25 ปี การผลิตไขมัน (Sebum) ลดลง
• อายุมากขึ้นทำให้ ระดับของ Hyaluronic Acid และ Ceramides ลดลง ส่งผลให้ผิวกักเก็บน้ำไม่ดี
• วัยหมดประจำเดือนทำให้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งมากขึ้น
3.การทำงานของเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่ผิดปกติ
• Ceramides และ Lipids ในชั้นผิวลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่าย
• ค่า pH ของผิวไม่สมดุล (ปกติ pH ผิวจะอยู่ที่ 4.7-5.5) ถ้าค่า pH สูงเกินไป จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำง่ายขึ้น
4.การดื่มน้ำน้อยและขาดวิตามิน
• ถ้าดื่มน้ำไม่เพียงพอ ผิวจะขาดน้ำ และดูแห้งกร้าน
• การขาด กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acids) เช่น Omega-3 และ Omega-6 จากอาหาร ทำให้ผิวขาดน้ำมันธรรมชาติ
• การขาด วิตามิน A, C, E และ Zinc ทำให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ช้าลง
5.โรคประจำตัวและยาบางชนิด
• โรค ไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) ทำให้การผลิตไขมันที่ช่วยปกป้องผิวลดลง
• โรค เบาหวาน ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ
• ยาบางชนิด เช่น Isotretinoin (รักษาสิว), ยาขับปัสสาวะ, ยาเคมีบำบัด ทำให้ผิวแห้งได้
ปัจจัยภายนอก (Extrinsic Factors) ที่ทำให้หน้าแห้ง
เป็นปัจจัยที่มาจากสิ่งแวดล้อมของเรารวมไปถึงพฤติกรรมที่ส่งผลให้ผิวหน้าแห้งขึ้น
1.สภาพอากาศและมลภาวะ
• อากาศหนาวหรืออากาศแห้ง ทำให้ความชื้นในผิวระเหยเร็วขึ้น
• แสงแดด (รังสี UVA/UVB) ทำลายคอลลาเจนและ Lipid Barrier ของผิว
• ฝุ่นละอองและมลภาวะ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระและทำลายชั้นปกป้องผิว
2.การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสม
• โฟมล้างหน้าที่มี SLS (Sodium Lauryl Sulfate) ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันธรรมชาติ
• การใช้ สครับแรง ๆ หรือโทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์สูง ทำให้ผิวหน้าแห้งและระคายเคือง
• การใช้ ครีมบำรุงที่ไม่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพียงพอ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่าย
3.พฤติกรรมที่ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
• อาบน้ำร้อนนาน ๆ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันธรรมชาติ
• ใช้เครื่องปรับอากาศหรือฮีตเตอร์บ่อย ๆ ลดความชื้นในอากาศ ทำให้ผิวหน้าแห้ง
4.การขาดการดูแลผิวที่เหมาะสม
• ไม่ทาครีมกันแดด ทำให้รังสียูวีทำลายเกราะป้องกันผิว
• ไม่ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นหน้าแห้งขึ้น
ทำไมหน้าหนาวแล้วหน้าแห้งตลอด
ในช่วงหน้าหนาว หลายคนสังเกตว่าผิวหน้าแห้ง ลอก หรือรู้สึกตึงมากกว่าปกติ สาเหตุหลักมาจาก การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อกลไกการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิว ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำมากขึ้นกว่าปกติ เรามาดูกันว่าทำไมหน้าหนาวถึงทำให้หน้าแห้งขึ้น
1.ความชื้นในอากาศลดลง
อากาศหนาวมักมาพร้อมกับ ระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่ลดลง ซึ่งหมายความว่าอากาศแห้งมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะดึงเอาความชุ่มชื้นจากผิวออกไป กระบวนการนี้เรียกว่า Transepidermal Water Loss (TEWL) หรือการระเหยของน้ำออกจากชั้นผิว
ปกติแล้วผิวของเราจะมีเกราะป้องกันความชุ่มชื้นที่เกิดจาก ไขมันและสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Natural Moisturizing Factors - NMFs) ซึ่งช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิว แต่เมื่อความชื้นในอากาศลดลง แรงดึงดูดน้ำจากชั้นผิวจะเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำในผิวระเหยออกไปได้เร็วกว่าเดิม ส่งผลให้ผิวแห้งและขาดน้ำ
2.อุณหภูมิที่เย็นลงส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานลดลง
เมื่ออากาศเย็น ต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) มีการผลิตน้ำมันลดลง ซึ่งน้ำมันเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นของผิว การที่น้ำมันลดลงทำให้ เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง และผิวสูญเสียน้ำได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดอาการแห้ง ลอก หรือทำให้ระคายเคืองได้
โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งอยู่แล้วจะได้รับผลกระทบมากขึ้น เพราะปกติผิวแห้งจะมีการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติที่ต่ำกว่าผิวประเภทอื่น เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว จึงยิ่งทำให้ปัญหาผิวหน้าแห้งรุนแรงขึ้น
3.การใช้เครื่องทำความร้อนและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
ในช่วงอากาศหนาว หลายคนมักเปิดเครื่องทำความร้อนหรือฮีตเตอร์ ซึ่งทำให้ ความชื้นในอากาศลดลงไปอีก ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นเร็วขึ้น นอกจากนี้ พฤติกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนไปในหน้าหนาว เช่น อาบน้ำอุ่นหรือร้อนเป็นเวลานาน ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวหน้าแห้งมากขึ้น
น้ำร้อนสามารถ ล้างเอาน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไป และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง เมื่อใช้โฟมล้างหน้าหรือสบู่ที่มีสารชำระล้างรุนแรงร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันเร็วขึ้น
4.แสงแดดและรังสียูวียังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้ง
แม้ว่าหน้าหนาวจะมีแสงแดดอ่อนลง แต่ รังสี UVA และ UVB ยังคงมีผลต่อผิว โดยเฉพาะ UVA ที่สามารถทะลุผ่านชั้นผิวลึกลงไปและทำให้ เซลล์ผิวสูญเสียน้ำและความยืดหยุ่น หากไม่ได้ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ผิวจะอ่อนแอลงและสูญเสียน้ำได้ง่ายขึ้นทำให้ผิวหน้าแห้งขึ้น
5.เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงตามธรรมชาติ
ในช่วงอากาศหนาว เซลล์ผิวที่ตายแล้วมักสะสมมากขึ้น เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิว (Cell Turnover) อาจทำงานช้าลง ส่งผลให้ ชั้นหนังกำพร้า (Stratum Corneum) หนาตัวขึ้น และเกิดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งสามารถขัดขวางการซึมซาบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้ผิวหน้าแห้งกร้าน
หน้าแห้งแต่ละระดับมีอาการอย่างไรบ้าง
1.หน้าแห้งเล็กน้อย (Mild Dry Skin)
เป็นระดับที่พบบ่อยในคนทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเย็นหรือแห้งมากขึ้น ผิวจะเริ่มสูญเสียความชุ่มชื้น แต่ยังไม่ถึงขั้นมีอาการรุนแรง
อาการที่พบหลังรู้สึกหน้าแห้งเล็กน้อย
• ผิวรู้สึกตึงเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังล้างหน้า
• ผิวดูไม่สดใส อาจดูหมองเล็กน้อย
• เริ่มมีรอยแตกของเซลล์ผิวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
• ผิวเริ่มมีความหยาบขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่ลอกเป็นขุย
• รูขุมขนเล็กและไม่ค่อยมีน้ำมันออกมา
2.หน้าแห้งปานกลาง (Moderate Dry Skin)
เป็นระดับหน้าแห้งที่เริ่มส่งผลกระทบต่อความสามารถของผิวในการรักษาสมดุลของน้ำและไขมัน ทำให้ผิวเริ่มมีอาการระคายเคืองมากขึ้น
อาการที่พบหลังรู้สึกว่าหน้าแห้งปานกลาง
• ผิวตึงชัดเจนทั้งวัน แม้จะทาครีมบำรุงแล้ว
• ผิวเริ่มลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณ ร่องจมูก แก้ม และหน้าผาก
• ผิวรู้สึกแสบหรือคันเมื่อโดนลมหรืออากาศเย็น
• ผิวแดงง่ายขึ้น โดยเฉพาะหลังล้างหน้า
• ริ้วรอยเล็ก ๆ บางจุดอาจเริ่มปรากฏเร็วกว่าปกติ เนื่องจากผิวขาดความยืดหยุ่น
• อาจมีอาการแต่งหน้าไม่ติดหรือรองพื้นเป็นคราบ
3.ผิวแห้งรุนแรงหรือผิวแห้งเรื้อรัง (Severe Dry Skin / Chronic Xerosis)
เป็นระดับหน้าแห้งที่รุนแรงที่สุด ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และอาจนำไปสู่ภาวะผิวหนังอักเสบได้
อาการที่พบหลังรู้สึกว่าหน้าแห้งมาก
• ผิวหน้าแห้งลอกเป็นขุยหนัก และอาจเป็นแผ่นที่สังเกตเห็นได้ชัด
• ผิวหน้าแห้งแตกลายละเอียด โดยเฉพาะบริเวณแก้มและรอบปาก
• อาการแสบ คัน และระคายเคืองรุนแรง
• มีรอยแดงหรืออักเสบบนผิวหนัง
• อาจมีรอยแตกที่ลึกขึ้นจนรู้สึกเจ็บ
• ผิวเปราะบางและไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น อากาศเย็น ลม และสารเคมีในสกินแคร์
หน้าแห้งส่งผลอย่างไรต่อการใช้ชีวิต
การที่เราหน้าแห้งมากจะส่งผลให้ผิวของเรามีลักษณะคล้ำ และขรุขระ ผิวบริเวณที่แห้งเราสามารถมองได้อย่างชัดเจนเลยว่า ผิวบริเวณนั้นไม่เรียบเนียน อาจทำให้รู้สึกระคายเคืองหรือทำให้คันได้
ยิ่งใครที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งที่รุนแรงมาก ผิวบริเวณนั้นของเราอาจจะแตกเป็นร่องลึกหรือมีเลือดออกได้
เพราะฉะนั้นปัญหาหน้าแห้งไม่ควรปล่อยไว้ ถ้ารู้ตัวว่าเรากำลังผิวหน้าแห้งในระยะแรก ๆ ควรรักษาหรือดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้ปัญหาผิวหน้าแห้งบานปลาย
วิธีดูแลผิวบอกลาหน้าแห้งด้วยวิธีธรรมชาติ
เราสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาผิวหน้าแห้งลอก ที่ทำร้ายผิวและอาจส่งผลรุนแรงได้
รวมวิธีดูแลผิวหน้าแห้งให้กลับมาสุขภาพดี
1.หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อน
การที่เราล้างหน้าด้วยน้ำร้อน หรืออาบน้ำด้วยน้ำร้อน อาจจะทำให้รู้สึกสบายแต่ความจริงแล้วน้ำร้อน จะทำลายชั้นไขมันธรรมชาติทำให้ผิวของเราเสียความชุ่มชื้น ส่งผลให้หน้าแห้งได้ ดังนั้นเวลาที่เราล้างหน้าแนะนำให้ใช้น้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือน้ำเย็นตอนอาบน้ำหรือล้างหน้าดีกว่า เพื่อให้ผิวของเราสูญเสียไขมันธรรมชาติ
2.มาสก์หน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของใบหน้า
วิธีบอกลาหน้าแห้งด้วยวิธีมาสก์หน้า เป็นการฟื้นฟูที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพราะเป็นการที่เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหน้าของเราโดยตรง และควรเลือกมาส์กที่เป็นสูตรไฮยาลูรอนิก แอซิด หรือเซราไมด์ เพราะจะยิ่งช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่แห้งกร้าน ให้กลับมารู้สึกนุ่มชุ่มชื้นอีกครั้ง
3.งดการสครัปหน้าและผลัดเซลล์ผิวไปก่อน
การสครัปหน้าและการผลัดเซลล์ผิวจะช่วยให้เราผิวหน้ากระจ่างใสก็จริง แต่ถ้าเป็นช่วงที่เราหน้าแห้ง หน้าลอก อาจเกิดจากการที่เราสครัปหน้า หรือผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป ควรหยุดทำไปสั้กพักก่อนถ้าผิวหน้ากลับมาชุ่มชื้นแล้วค่อยกลับไปสครัปหน้าหรือ ผลัดเซลล์ผิวอีกครั้ง แต่ทำเดือนละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้วน้าสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย
4.ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่อ่อนโยนและเข้ากับผิวหน้าของเรา
การดูแลผิวหน้าแห้ง เพื่อให้กลับมามีความชุ่มชื้นอีกครั้งจะต้องปรับผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ดูแลผิวหน้าอยู่แล้วอาจจะไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไหร่ มาเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน และเรตินอยด์ เป็นต้น เพราะว่าสารเหล่านี้จะยิ่งทำให้ผิวหน้าของเราระคายเคืองและเกิดการอักเสบได้
5.ดูแลกิจวัตรประจำวันให้ดีขึ้น
หลายคนอาจจะงงว่า การดูแลกิจวัตรประจำวันให้ดีขึ้นเกี่ยวอะไรกับการดูแลไม่ให้หน้าแห้ง จริงๆแล้วเกี่ยวและสำคัญอย่างมากเลย ในการดูแลกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การดื่มน้ำให้ถึง การที่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และจะต้องลดความเครียดลง เพื่อให้ระบบภายในร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการฟื้นฟูได้แบบธรรมชาติ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้หน้ามีความชุ่มชื้นขึ้น
วิธีดูแลหน้าแห้งด้วยการรับปประทานวิตามินเสริม
การรับประทานวิตามินและสารอาหารบางชนิดสามารถช่วย เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และลดอาการผิวหน้าแห้ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิตามินแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันในการรักษาสมดุลน้ำและไขมันในผิว
1.วิตามิน A (Retinol, Beta-Carotene)
• เสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่และฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวลดหน้าแห้ง
• ลดการสูญเสียน้ำจากผิว (Transepidermal Water Loss - TEWL)
• ช่วยให้ต่อมไขมันทำงานปกติ ทำให้ผิวไม่แห้งลอก
แหล่งอาหาร
• ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า, ผักโขม)
• มันหวาน, แครอท, ฟักทอง (Beta-Carotene)
• ไข่แดง, ตับสัตว์
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก ควรกินคู่กับไขมันดี (เช่น น้ำมันมะกอก) เพื่อการดูดซึมที่ดีขึ้น
2.วิตามิน E (Tocopherol)
• เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ
• เสริมสร้างไขมันในชั้นผิว ลดอาการหน้าแห้งลอก
• เพิ่มความยืดหยุ่นและช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ
แหล่งอาหาร
• ถั่วอัลมอนด์, วอลนัท, เมล็ดทานตะวัน
• น้ำมันมะกอก, น้ำมันอะโวคาโด
• ปลาที่มีไขมันสูง (แซลมอน, แมคเคอเรล)
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก ควรกินคู่กับวิตามิน C เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
3.วิตามิน C (Ascorbic Acid)
• กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ให้ผิวยืดหยุ่นและกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น ลดอาการหน้าแห้ง
• ป้องกันความเสียหายของผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
• ลดการอักเสบและช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งเป็นขุย
แหล่งอาหาร
• ผลไม้ตระกูลส้ม, ฝรั่ง, มะเขือเทศ
• พริกหวาน, บรอกโคลี, ผักใบเขียว
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก ควรบริโภควิตามิน C สด ๆ (ไม่ผ่านความร้อน) เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ
4.วิตามิน D
• ช่วยให้เซลล์ผิวกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น
• ลดอาการผิวหน้าแห้ง คัน และอักเสบของผิว
• ส่งเสริมการทำงานของเกราะป้องกันผิว
แหล่งอาหาร
• แสงแดด (ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามิน D จากแสงแดด)
• ปลาที่มีไขมันสูง (แซลมอน, ทูน่า)
• ไข่แดง, นมเสริมวิตามิน D
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก ควรรับแสงแดดยามเช้า 10-15 นาทีทุกวัน เพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามิน D
5.วิตามิน B7 (Biotin) และวิตามิน B3 (Niacinamide)
• ลดอาการผิวลอกและผิวหน้าแห้งเป็นขุย
• ฟื้นฟูชั้นไขมันที่ช่วยกักเก็บน้ำในผิว
• ช่วยลดการอักเสบของผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
แหล่งอาหาร
• ไข่แดง, ถั่ว, อะโวคาโด (Biotin)
• ไก่, ปลา, ข้าวกล้อง, เห็ด (Niacinamide)
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก ควรกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน B ร่วมกับอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อเสริมการทำงานของเซลล์ผิว
6.Omega-3 และกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acids)
• เติมความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในลดอาการหน้าแห้ง
• ลดการอักเสบและอาการระคายเคืองของผิว
• เสริมสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ
แหล่งอาหาร
• ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, น้ำมันปลา
• เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย, วอลนัท
• น้ำมันมะกอก, น้ำมันอะโวคาโด
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก เลือกปลาที่มีไขมันดีสูง และหลีกเลี่ยงปลาที่มีสารปรอทสูง
7.สังกะสี (Zinc)
• ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหายจากความแห้ง
• ช่วยสมานผิวและลดการอักเสบ
• เสริมสร้างการทำงานของเกราะป้องกันผิว
แหล่งอาหาร
• หอยนางรม, เนื้อแดงไม่ติดมัน
• เมล็ดฟักทอง, ถั่วลิสง, ธัญพืชเต็มเมล็ด
ทริคเพิ่มความชุ่มชื่นช่วยหน้าแห้งลอก ควรกินสังกะสีในปริมาณพอเหมาะ (ไม่เกิน 40 มก./วัน) เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
สรุปวิตามินและอาหารที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นกู้หน้าแห้ง
วิตามิน / สารอาหาร |
ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอย่างไร |
แหล่งอาหาร |
วิตามิน A |
ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ |
ผักใบเขียว, แครอท, ตับ |
วิตามิน E |
เพิ่มไขมันผิว ลดอาการแห้งลอก |
ถั่ว, น้ำมันพืช, ปลาแซลมอน |
วิตามิน C |
กระตุ้นคอลลาเจน ป้องกันผิวเสียหาย |
ส้ม, ฝรั่ง, มะเขือเทศ |
วิตามิน D |
ช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น |
แสงแดด, ปลาที่มีไขมันสูง |
Biotin (B7) / Niacinamide (B3) |
ลดผิวลอก ฟื้นฟูชั้นไขมันผิว |
ไข่, ถั่ว, อะโวคาโด, ข้าวกล้อง |
Omega-3 |
เติมน้ำให้ผิว ลดอาการระคายเคือง |
ปลาแซลมอน, เมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันมะกอก |
สังกะสี (Zinc) |
ฟื้นฟูเซลล์ผิว ลดการอักเสบ |
หอยนางรม, เมล็ดฟักทอง, เนื้อแดง |
กู้หน้าแห้งด้วยหัตถการความงาม
สมัยนี้หัตถการความงามมีการพัฒนานวัตกรรมอยู่เสมอ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาผิวพรรณในทุก ๆ ด้าน ปัญหาหน้าแห้ง ก็มีนวัตกรรมทางความงามที่ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าแห้งได้อย่างเร่งด่วน อีกทั้งยังช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีเพิ่ม ออร่าได้อีกด้วย
ฉีด Sculptra กู้หน้าแห้ง
Sculptra เป็นฟิลเลอร์ที่แตกต่างจากไฮยาลูโรนิกฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะไม่ได้แค่เติมเต็มผิวทันที แต่ช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผิวฟื้นฟูจากภายใน ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าแห้ง ขาดน้ำ และริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในระยะยาว
Sculptra คืออะไร ทำไมช่วยหน้าแห้ง ?
• มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว
• ไม่ใช่ฟิลเลอร์ที่ให้ผลลัพธ์ทันทีเหมือน HA Filler แต่ทำงานโดย กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนของตัวเอง
• เหมาะกับผู้ที่มีปัญหา ผิวหน้าแห้ง ผิวบาง แห้ง ขาดน้ำ และริ้วรอย จากการที่คอลลาเจนลดลง
การทำงานของ Sculptra ที่ช่วยกู้หน้าแห้ง
1.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
• ผิวหน้าแห้งมักเกิดจาก คอลลาเจนและอิลาสตินลดลง ทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ กักเก็บน้ำได้ไม่ดี
• Sculptra กระตุ้นไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มขึ้น
• ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน ลดอาการหน้าแห้งและขาดน้ำได้ในระยะยาว
2.ฟื้นฟูโครงสร้างผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ
• เมื่อผิวมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ชั้นผิวจะหนาขึ้นและสามารถกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น
• ลดอาการผิวบาง ผิวหน้าแห้งที่ทำให้เกิด ความแห้งกร้านและริ้วรอยเล็ก ๆ
• ผิวดูเนียนนุ่มและเด้งขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
3.เพิ่มความชุ่มชื้นจากภายในโดยไม่ทำให้หน้าบวม
• Sculptra ไม่ใช่ฟิลเลอร์เติมน้ำแบบ HA ที่ให้ผลลัพธ์ชั่วคราว
• เมื่อคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นตามธรรมชาติ ผิวหน้าแห้งก็จะดูชุ่มชื้นขึ้น
• ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่บวม ไม่เป็นก้อน
4.ลดริ้วรอยและร่องลึกจากผิวแห้ง
• ผิวหน้าแห้งทำให้ริ้วรอยเห็นชัดขึ้น โดยเฉพาะ ร่องแก้ม มุมปาก และใต้ตา
• Sculptra ฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวหน้าที่แห้งดูอิ่มน้ำ โดยไม่ต้องพึ่งฟิลเลอร์แบบเติมเต็ม
5.ช่วยให้ผิวแข็งแรงและทนต่อสภาพแวดล้อมมากขึ้น
• ผิวที่มีคอลลาเจนและไขมันผิวที่สมดุล จะ ป้องกันการสูญเสียน้ำ (TEWL) ได้ดีขึ้น
• ทำให้ผิว ไม่แห้งง่ายแม้อยู่ในสภาพอากาศหนาวหรือแห้ง
ผลลัพธ์ที่ได้จาก Sculptra สำหรับคนหน้าแห้ง
ระยะเวลา |
การเปลี่ยนแปลงของผิว |
1-2 สัปดาห์แรก |
ผิวยังไม่เปลี่ยนแปลงมาก แต่เริ่มรู้สึกว่าผิวนุ่มขึ้น |
4-6 สัปดาห์ |
ผิวเริ่มอิ่มน้ำ ดูฉ่ำวาวขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง |
3-6 เดือน |
ผิวแข็งแรงขึ้นจากการสร้างคอลลาเจน ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวหน้าแห้งชุ่มชื่นขึ้น |
6-12 เดือน |
ผิวแน่นขึ้น กักเก็บน้ำได้ดีขึ้น หน้าไม่แห้งง่าย |
ฉีด Rejuran กู้หน้าแห้ง
Rejuran เป็นการบำรุงผิวเชิงลึกที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยมีสารสำคัญคือ Polynucleotide (PN) ซึ่งสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวหน้าแห้งแข็งแรงขึ้นและลดปัญหาผิวหน้าแห้งเรื้อรังได้อีกด้วย
Rejuran คืออะไร ทำไมช่วยหน้าแห้ง กลับมาชุ่มชื่นได้
• เป็นสารที่มี Polynucleotide (PN) หรือ PDRN (Polydeoxyribonucleotide)
• เป็นสารที่ได้จาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งมีโครงสร้างคล้าย DNA ของมนุษย์
• มีคุณสมบัติช่วย ฟื้นฟูเซลล์ผิว ซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว และเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำของผิว
• เหมาะสำหรับผู้ที่มี ผิวหน้าแห้ง ขาดน้ำ ผิวบาง และมีริ้วรอยจากการขาดความชุ่มชื้น
หลักการทำงานของ Rejuran ช่วยกู้หน้าแห้ง
1.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น
• ผิวหน้าแห้งเกิดจาก คอลลาเจนและอิลาสตินที่ลดลง ทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย
• Polynucleotide (PN) ใน Rejuran กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้น
• เมื่อคอลลาเจนเพิ่มขึ้น โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น กักเก็บน้ำได้ดีขึ้น ลดอาการหน้าแห้งได้ดี
2.ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่อ่อนแอและเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier Repair)
• ผิวหน้าแห้งเรื้อรังมักเกิดจาก เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่เสียหาย ทำให้ผิวสูญเสียน้ำและระคายเคืองง่าย
• Rejuran ช่วย ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น
• เมื่อเกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ผิวสามารถ กักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น และลดอาการผิวหน้าแห้ง แพ้หรือระคายเคือง
3.เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในโดยไม่ต้องพึ่งมอยส์เจอไรเซอร์มาก
• Polynucleotide (PN) ช่วยเพิ่มการสร้าง Hyaluronic Acid ตามธรรมชาติของผิว
• Hyaluronic Acid เป็นสารที่ช่วย ดึงน้ำเข้าสู่ผิวและล็อกความชุ่มชื้นไว้
• หลังฉีด Rejuran ผิวจะดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้นขึ้นจากภายใน ไม่แห้งเป็นขุย
4.ลดริ้วรอยที่เกิดจากผิวหน้าแห้งและช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
• เมื่อผิวขาดน้ำ ริ้วรอยจะเห็นชัดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มและรอบดวงตา
• Rejuran ช่วยเติมน้ำให้ผิว ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
• ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ ริ้วรอยจากผิวหน้าแห้งจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ
5.ป้องกันการสูญเสียน้ำ (Transepidermal Water Loss - TEWL) และลดการระคายเคือง
• ผิวหน้าแห้งมากมักสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้แห้งตึงตลอดเวลา
• Rejuran ช่วย ฟื้นฟูโครงสร้างผิวและลด TEWL ทำให้ผิวหน้าสามารถกักเก็บน้ำได้นานขึ้น
• ช่วยลดอาการระคายเคืองจากการที่ผิวหน้าแห้ง เช่น อาการแดง แสบ หรือคัน
ผลลัพธ์ที่ได้จาก Rejuran สำหรับคนหน้าแห้ง
ช่วงเวลา |
การเปลี่ยนแปลงของผิว |
1-2 สัปดาห์แรก |
ผิวเริ่มนุ่มขึ้น อาการหน้าแห้งและลอกลดลง |
4-6 สัปดาห์ |
ผิวดูอิ่มน้ำขึ้น ริ้วรอยจากผิวหน้าแห้งลดลง |
3 เดือน |
ผิวแข็งแรงขึ้น เกราะป้องกันผิวฟื้นฟูเต็มที่ |
6 เดือน |
ผิวกระจ่างใส สุขภาพดี กักเก็บน้ำได้ดีขึ้น |
Rejuran เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มี ปัญหาผิวหน้าแห้งเรื้อรัง ฟื้นฟูด้วยครีมหรือวิตามินแล้วยังไม่พอ และต้องการฟื้นฟูผิวแบบเป็นธรรมชาติจากภายใน
วิธีป้องกันหน้าแห้งด้วยทริคดีๆ
• หลังจากล้างหน้าแล้ว ไม่ควรเช็ดหน้าแรงๆ ควรเช็ดหน้าอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อผิวหน้าได้ง่าย หลีกเลี่ยงที่จะทำให้หน้าแห้ง
• ใช้ครีมกันแดด SPF 30 - 50 ในทุกๆวันแม้จะเป็นวันที่ไม่มีแดดก็จำเป็นต้องใช้
• เพิ่มความชุ่มชื้นจากภายในลดอาการหน้าแห้ง ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
• หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนในการล้างหน้าเพื่อป้องกันการหน้าแห้ง เพราะการที่ผิวหน้าถูกรบกวนด้วยน้ำอุ่น
• ใช้มาส์กหน้าบำรุ่งผิวให้ชุ่มชื่น สัปดาห์ละ 2 -3 ครั้งเพื่อป้องกันการหน้าแห้งลอก
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการบอกลาหน้าแห้ง
อาการหน้าแห้ง สามารถเป็นได้ทุกคนแต่ไม่ควรละเลยปัญหาหน้าแห้งนี้ เพราะนอกจากจะทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจแล้วถ้าเป็นหน้าแห้งในระดับรุนแรง อาจทำให้รู้สึกเจ็บ และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้
ใครที่รู้สึกว่าหน้าแห้งมาก แต่ไม่รู้ว่าควรรักษายังไง สามารถทักมาปรึกษาแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก เพื่อที่จะประเมิณการรักษาได้อย่างตรงจุด เรามีเทคโนโนยีที่ทันสมัย และแพทย์ Specialist ด้านผิวหน้า ที่จะคอยดูแลรักษาปัญหาผิวหน้าที่ทำให้เราเป็นกังวลใจได้
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด