12 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ให้ผิวกลับมาเรียบเนียนใส
แผลเป็นจากสิว
12 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ให้ผิวกลับมาเรียบเนียน
ถึงแม้สิวจะหายแล้ว แต่สิ่งที่ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของเราคือ รอยแผลเป็นจากสิว ที่รักษายากมากกว่าการรักษาสิวอีก
เพราะแผลเป็นจากสิวไม่ได้แค่เปลี่ยนผิวให้ไม่เรียบเนียนเท่านั้น แต่ยังทำให้ผิวดูหมอง ไม่สดใส และอาจส่งผลต่อความมั่นใจในระยะยาว
แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไป เพราะถึงแม้การรักษาแผลเป็นจากสิว จะต้องใช้เวลาและความอดทนมากกว่าการรักษาสิว แต่ก็สามารถฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้ หากดูแลและรักษาอย่างถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หรือเข้ารับการรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สิ่งสำคัญคือ การเข้าใจธรรมชาติของแผลเป็นจากสิว และไม่คาดหวังผลลัพธ์แบบรวดเร็ว เพราะการฟื้นฟูผิวต้องอาศัยเวลา เพื่อให้เซลล์ผิวได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างสมบูรณ์
จำไว้ว่า แม้แผลเป็นจากสิวจะไม่หายภายในชั่วข้ามคืน แต่หากเราดูแลอย่างถูกวิธี สม่ำเสมอ และไม่ละทิ้งความหวัง ผิวของเราจะค่อย ๆ ดีขึ้น และกลับมาแข็งแรง เรียบเนียนอีกครั้งแน่นอน บทความนี้จะมาอธิบายการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว การรักษาที่ให้เข้ากับผิวหน้าของเรา รวมไปถึงการป้องกันการเกิดแผลเป็นจากสิว
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
- รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร
- รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่ประเภท แบ่งเป็นอะไรบ้าง
- รอยแผลเป็นจากสิวสามารถหายเองได้หรือไม่
- รอยแผลเป็นจากสิวรักษากี่วันหาย
- ใครไม่เหมาะกับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
- 12 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
- วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
- FAQ รวมคำถามเรื่องรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร
สิ่งที่เป็นปัญหากวนใจของคนเป็นสิวนอกจากการรักษาสิวแล้ว นั่นก็คือการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่รักษายากพอๆกัน หรือบางทีการรักษารอยแผลเป็นจากสิวอาจจะรักษายากกว่าด้วยซ้ำ ก่อนที่เราจะไปดูกันว่าวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวมีอะไรบ้าง เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า รอยแผลเป็นจากสิว คืออะไร
รอยแผลเป็นจากสิว (Acne scars) คือผลลัพธ์จากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังหลังจากสิวหาย โดยเฉพาะสิวอักเสบที่ลุกลามลึกลงไปในชั้นผิว ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังเกิดความเสียหาย และเมื่อร่างกายพยายามฟื้นฟูผิวบริเวณนั้น อาจเกิด “พังผืด” หรือการสร้างคอลลาเจนผิดปกติ ส่งผลให้เกิดรอยแผลจากสิวเป็นถาวรตามมา
กระบวนการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
1.เริ่มจากสิวอักเสบ
เช่น สิวหัวหนองหรือสิวหัวช้าง โดยเฉพาะถ้ามีการบีบหรือแกะ
สิวที่ลึกจะไปทำลายชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นที่มีคอลลาเจนและเส้นเลือด
2.กระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง
ร่างกายพยายามสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมผิว
แต่บางครั้งการสร้างคอลลาเจนนี้ผิดปกติ ทั้งมากเกินหรือน้อยเกินไป
3.เกิดเป็นรอยแผลเป็นจากสิว
เมื่อผิวซ่อมแซมได้ไม่สมบูรณ์ จะเกิดพื้นผิวไม่เรียบหรือยกนูนขึ้นทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่ประเภท แบ่งเป็นอะไรบ้าง
รอยแผลเป็นจากสิวจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน เรามาดูกันว่ารอยแผลเป็นจากสิวที่เราเป็นจัดอยู่ในรอยแผลเป็นจากสิวประเภทไหน เพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง
1.รอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นแบบหลุม (Atrophic Scars)
• Rolling scars
เป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมตื้น ๆ ขอบโค้งมน คล้ายผิวคลื่น
เกิดจากพังผืดยึดรั้งใต้ผิวหนัง
• Boxcar scars
เป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมขนาดกว้าง ขอบค่อนข้างชัด มักเกิดจากสิวอักเสบที่รุนแรง
• Ice pick scars
เป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมแคบและลึก เหมือนถูกเจาะด้วยเข็ม รักษายาก ต้องใช้วิธีรักษาแผล เป็นจากสิวเฉพาะทาง
2.รอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นแผลนูน (Hypertrophic Scars)
• แผลที่ยกนูนขึ้นเหนือผิว
เป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป มักพบบริเวณหน้าอก หลัง หรือไหล่มากกว่าบนใบหน้า
3.รอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นรอยแดง/รอยดำหลังสิว (Post-inflammatory erythema/hyperpigmentation)
• ไม่ใช่แผลเป็นจากสิวจริง ๆ แต่เป็นรอยที่เกิดจากการอักเสบ
• รอยแดงเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิว
• รอยดำเกิดจากเม็ดสีเมลานินมากขึ้น
รอยประเภทนี้สามารถจางลงเองได้ในไม่กี่เดือน หรือเร็วกว่านั้นถ้ามีการรักษาแผลเป็นจากสิวที่ถูกวิธี
แพทย์จะประเมินลักษณะของรอยแผลเป็นจากสิว โดยพิจารณารูปร่าง ความลึก และความกว้างของหลุม อาจใช้ไฟเฉียงส่องเพื่อตรวจดูพื้นผิวอย่างละเอียด แล้วจึงวางแผนการรักษารอยแผลเป็นจากสิวให้เหมาะกับแต่ละรอยประเภท
รอยแผลเป็นจากสิวสามารถหายเองได้หรือไม่
การที่รอยแผลเป็นจากสิวจะสามารถหายเองได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของรอยแผลเป็นจากสิวนั้นๆด้วย
1.รอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นรอยแดง / รอยดำ (Post-inflammatory erythema / hyperpigmentation)
• เป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่เกิดจากการอักเสบของสิว ที่ทิ้งรอยไว้หลังสิวหาย
• ผิวไม่ได้มีความเสียหายลึกถึงระดับโครงสร้าง
• ลักษณะคือ
- รอยแดง (มักเกิดในคนผิวขาวหรือผิวบาง)
- รอยดำ/น้ำตาล (มักพบในคนผิวสองสีหรือผิวคล้ำ)
คำตอบในกรณีนี้คือ รอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นรอยแดง / รอยดำ สามารถหายเองได้
• ระยะเวลา ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแล
• ปัจจัยที่ช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นรอยแดง/รอยดำ จางเร็วขึ้น
- การหลีกเลี่ยงแดด
- การทายาลดเม็ดสี เช่น ยากลุ่มกรดวิตามินเอ, วิตามินซี, กรดโคจิก ฯลฯ
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
รอยแดง/ดำไม่ใช่ "แผลเป็นจากสิวถาวร" และสามารถจางไปเองได้ แต่จะเร็วขึ้นหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม
2.รอยแผลเป็นจากสิวรักษายาก (Permanent acne scars)
เช่น
• หลุมสิว (Rolling, Boxcar, Ice pick)
• แผลนูน/คีลอยด์
คำตอบในกรณีนี้คือ รอยแผลเป็นจากสิวรักษายากจะไม่สามารถหายเองได้
• ผิวหนังเกิดความเสียหายลึกถึงชั้นหนังแท้ (dermis)
• โครงสร้างผิวเปลี่ยนไปอย่างถาวร เช่น เส้นใยคอลลาเจนเสียหาย
• ร่างกายไม่สามารถสร้างผิวใหม่ให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้โดยธรรมชาติ
การรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่รักษายาก จำเป็นต้องใช้หัตถการทางการแพทย์ เช่น
• เลเซอร์ (Fractional CO2, Pico ฯลฯ)
• Microneedling หรือ RF Microneedling
• Subcision (ตัดพังผืดใต้ผิว)
• ฉีดฟิลเลอร์ชั่วคราว
• กรอผิวด้วยคลื่นหรือสารเคมี
รอยแผลเป็นถาวรจากสิว"ไม่สามารถหายเองได้" จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคทางการแพทย์ในการฟื้นฟูผิว
รอยแผลเป็นจากสิวรักษากี่วันหาย
รอยแผลเป็นจากสิวไม่สามารถหายได้ภายในวันเดียว หรือหายได้ในสัปดาห์เดียว การรักษารอยแผลเป็นจากสิวจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 - 6 เดือน หรืออาจจะมากกว่านั้น แล้วแต่ความรุนแรงของรอยแผลเป็นจากสิวและวิธีที่เลือกใช้รักษารอยแผลเป็นจากสิว
ใครไม่เหมาะกับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
การรักษารอยแผลเป็นจากสิว เช่น เลเซอร์, กรอผิว, microneedling, subcision หรือการทำหัตถการต่าง ๆ ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว อาจจะไม่เหมาะกับบางกลุ่มคน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรืออาจทำให้แผลเป็นจากสิวแย่ลงได้
กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการรักษาแผลเป็นจากสิวไปก่อนหรือควรปรึกษาแพทย์ถ้าต้องการรักษาแผลเป็นจากสิวจริงๆ
1.ผู้ที่ยังมีสิวอักเสบรุนแรงอยู่
• เพราะการรักษาแผลเป็นจากสิวในช่วงที่สิวยังอักเสบอยู่ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือสิวลุกลามเพิ่มขึ้น
• ควรรักษาสิวให้สงบก่อน แล้วจึงเริ่มรักษารอยแผลเป็นจากสิว
2.ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีโรคผิวหนังเรื้อรัง
• เช่น โรคผิวหนังอักเสบ, โรคสะเก็ดเงิน, โรคผิวหนังภูมิแพ้
• ผิวอาจระคายเคืองหรือเกิดอาการลุกลามหลังทำหัตถการ ต้องให้แพทย์ประเมินอย่างระมัดระวัง
3.ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ง่าย
• โดยเฉพาะคนที่เคยมีแผลนูนจากแผลผ่าตัด หรือแผลสิวเก่า
• การทำหัตถการบางอย่าง (เช่น subcision หรือเลเซอร์ที่รุนแรง) ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว อาจกระตุ้นให้เกิดแผลนูนใหม่ได้
4.ผู้ที่มีผิวคล้ำมาก (Fitzpatrick skin type IV-VI)
• ผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิด รอยดำหลังการรักษาแผลเป็นจากสิว (PIH) มากกว่าผิวขาว
• ไม่ได้หมายความว่ารักษาแผลเป็นจากสิวไม่ได้ แต่ต้องเลือกวิธีรักษาแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสมและใช้พลังงานต่ำ
เช่น ใช้เลเซอร์ชนิดอ่อน หรือเว้นช่วงหัตถการในการรักษาแผลเป็นจากสิว ให้นานขึ้น
5.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
• ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือหัตถการบางประเภทในการรักษาแผลเป็นจากสิว ที่อาจกระทบกับฮอร์โมนหรือความปลอดภัยของลูก
• เช่น การใช้ยากรดวิตามินเอ, กรด TCA หรือการทำเลเซอร์บางชนิด
6.ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ยังควบคุมไม่ได้
• เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี, ภูมิคุ้มกันต่ำ, มีภาวะเลือดออกง่าย
• เพราะการรักษาแผลเป็นจากสิวอาจเกิดแผลหายช้า, ติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
12 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิว เป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่จะมีรอยแผลเป็นจากสิวที่ทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง หรือแม้กระทั่งหลุมสิว อาจทำให้ความมั่นใจลดลง การรักษารอยแผลเป็นจากสิว เหล่านี้จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง และเลือกวิธีรอยแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน
1.ใช้สารผลัดเซลล์ผิว (AHA, BHA, Retinoids) ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
• AHA (เช่น Glycolic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน รักษารอยแผลเป็นจากสิวลดรอยดำจากสิวตื้นๆ
• BHA (เช่น Salicylic Acid) ทำความสะอาดรูขุมขน ลดสิวอุดตัน รักษารอยแผลเป็นจากสิว
• Retinoids (เช่น Retinol, Tretinoin) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวจากแผลเป็นจากสิวและหลุมสิว
• ใช้เฉพาะตอนกลางคืน เริ่มจากความเข้มข้นต่ำ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
2.ใช้วิตามินซี (Vitamin C) ในการลดแผลเป็นจากสิว
• มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน
• ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยหมองคล้ำ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• ใช้เป็นเซรั่มในตอนเช้า ตามด้วยครีมกันแดดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
3.ใช้ครีมกันแดดทุกวันในการลดแผลเป็นจากสิว
• ป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวที่เข้มขึ้นจากแสงแดด
• เลือกสูตรที่มี SPF 30 ขึ้นไป และป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB
• ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้ง
4.เติมความชุ่มชื้นให้ผิวเพื่อรักษารอยแผลเป็นจากสิว
• ผิวที่ชุ่มชื้นจะซ่อมแซมและผลัดเซลล์ได้ดี
• เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตร non-comedogenic เพื่อป้องกันการอุดตัน
• เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวมันหรือเป็นสิว
5.ใช้เจลแต้มรอยสิวหรือแผ่นแปะสิวในการลดรอยแผลเป็นจากสิว
• ลดการอักเสบหลังสิวหาย ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• ส่วนผสมที่ดี เช่น Centella Asiatica, Salicylic Acid, Niacinamide
• แผ่นแปะสิวยังช่วยกันไม่ให้มือสัมผัสหรือแกะสิวเพิ่ม
6.ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน
• ล้างหน้า 2 ครั้ง/วัน เช้าและก่อนนอน
• ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีแอลกอฮอล์หรือสารระคายเคือง
• หลีกเลี่ยงการขัดหรือถูแรง เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงซ้ำ
7.สมุนไพรธรรมชาติช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว
• ว่านหางจระเข้ ลดการอักเสบ บรรเทารอยแผลเป็นจากสิว และให้ความชุ่มชื้น
• ใบบัวบก (Centella Asiatica) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยแผลเป็น
• เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของสารสกัดสูง เพื่อให้ได้ผลชัดเจน
8.ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว
• เป็นวิตามิน B3 ที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
• ลดการอักเสบจากสิวและทำให้รอยแผลเป็นจากสิวให้ดูจางลง
• ใช้ร่วมกับวิตามินซีหรือเรตินอยด์ได้ดี ไม่ระคายเคืองง่าย
9.มาสก์หน้าบำรุงผิวช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว
• เลือกมาสก์ที่ช่วยให้ผิวฟื้นตัว เช่น สูตร Hyaluronic Acid, วิตามินซี หรือสารต้านการอักเสบในการลดรอยแผลเป็นจากสิว
• ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น กระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ผิว
• ใช้ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน
10.รักษาแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์หรือทรีตเมนต์
• เหมาะกับแผลเป็นจากสิวลึก รอยหลุม หรือรอยดำที่ไม่จางด้วยครีม
• ตัวอย่างเช่น Fractional CO2, Microneedling, IPL, Q-Switched Laser
• ควรประเมินโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาผิวเฉพาะ
11.ความสม่ำเสมอในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
• การรักษารอยแผลเป็นจากสิวต้องใช้เวลา ไม่สามารถเห็นผลในระยะสั้น
• การใช้ผลิตภัณฑ์หรือทรีตเมนต์ใดๆ ต้องทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์
• หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคือง
12.Rejuran (รีจูรัน) กับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
• Rejuran ประกอบด้วย Polynucleotide (PN) ซึ่งเป็นดีเอ็นเอบริสุทธิ์ที่สกัดจากปลาแซลมอน
• มีโครงสร้างคล้ายกับ DNA ของมนุษย์ ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมและตอบสนองได้ดี
• ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณรอยแผลเป็นจากสิวซ่อมแซมได้ดีขึ้น
• ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ รอยดำและรอยแดง แผลเป็นจากสิวจางลง
• เมื่อใช้ร่วมกับการรักษาด้วยเลเซอร์ (เช่น Fractional Laser หรือ eMatrix) จะช่วยเสริมผลการรักษาแผลเป็นจากสิวให้ดียิ่งขึ้น
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์สูง
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
การป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการดูแลผิวและพฤติกรรมที่ถูกต้องตั้งแต่สิวยังไม่อักเสบมาก เพราะเมื่อผิวหนังอักเสบรุนแรงหรือถูกกระตุ้นผิดวิธี จะมีโอกาสทิ้งรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นถาวรได้
1.อย่าแกะหรือบีบสิวเองเด็ดขาด
• การบีบสิวด้วยมือเปล่าหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาด จะเพิ่มการอักเสบ ลึกลงถึงชั้นผิวแท้
• ทำให้เซลล์ผิวซ่อมแซมผิดปกติ เกิดเป็น หลุมสิวหรือแผลเป็นจากสิวถาวร
2.รักษาสิวอย่างรวดเร็ว
• ยิ่งปล่อยให้อักเสบนาน โอกาสเกิดแผลเป็นยิ่งสูง
• ใช้ยาทาสิวที่มี benzoyl peroxide, salicylic acid หรือ retinoids ตามคำแนะนำแพทย์หรือเภสัชกร
• หากเป็นสิวอักเสบรุนแรง ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับยารับประทานหรือฉีดยาเฉพาะจุด
3.หลีกเลี่ยงแสงแดด
• รังสียูวีทำให้รอยดำและแผลเป็นจากสิวเข้มขึ้นและจางช้าลง
• ควรใช้ ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป เป็นประจำ โดยเลือกสูตรที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic)
4.พักผ่อนให้พอ-ไม่เครียด
• ฮอร์โมนเครียดกระตุ้นการเกิดสิวอักเสบ
• พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะ ๆ
5.ควบคุมความมันและความสะอาดของผิวหน้า
• ล้างหน้าให้เหมาะกับสภาพผิว วันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงการขัดถูแรง
• เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์หรือสารระคายเคือง
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
แผลเป็นจากสิว คือหนึ่งในปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว แผลเป็นจากสิวส่งผลต่อทั้งสภาพผิว ความมั่นใจ และภาพลักษณ์โดยรวมของเรา การรักษาแผลเป็นจากสิวจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนพยายามหาทางแก้ไขให้ได้เร็วที่สุด
รอยแผลเป็นจากสิวสามารถรักษาให้หายได้ถ้ารักษาอย่างถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแผลเป็นจากสิวด้วยการใช้สกินแคร์ หรือการรักษาแผลเป็นจากสิวด้วยหัตถการต่างๆ ปัจจุบันมีทั้งการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และการรักษาด้วยหัตถการต่าง ๆ เช่น เลเซอร์, Subcision, TCA Cross, Microneedling และอีกหลากหลายวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แค่จะต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าของเรา
แต่สิ่งสำคัญของการรักษาแผลเป็นจากสิวคือ ห้ามใจร้อนเด็ดขาด เพราะการรักษาแผลเป็นจากสิวต้องใช้เวลา และต้องมีความอดทน เพื่อให้ผิวของเรากลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ใครที่ยังไม่มั่นใจว่าเราเหมาะกับการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยวิธีอะไร สามารถนัดคิวเพื่อปรึกษาคุณหมอได้เลย
FAQ รวมคำถามเรื่องรอยแผลเป็นจากสิว
1.ทำไมแผลเป็นจากสิวถึงไม่ยอมหายสักที ?
ตอบ แผลเป็นจากสิวหายช้าเพราะผิวฟื้นตัวได้ช้าหรือไม่ได้รับการดูแลที่ถูกวิธี เช่น ไม่ทาครีมกันแดด ใช้สกินแคร์ไม่ตรงจุด หรือยังมีสิวใหม่ขึ้นซ้ำ ๆ
2.ทาอะไรแล้วแผลเป็นจากสิวหายไว?
ตอบ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มี Vitamin C, Niacinamide, AHA, BHA หรือ Retinoid ซึ่งช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และสร้างผิวใหม่
3.ใช้น้ำมะนาวแต้มรอยแผลเป็นจากสิวได้ไหม?
ตอบ ไม่แนะนำ เพราะน้ำมะนาวมีความเป็นกรดสูง อาจทำให้ผิวไหม้หรือระคายเคืองได้ โดยเฉพาะถ้าโดนแดด ควรใช้สารสกัดที่ปลอดภัยกว่านี้
4.แปะรอยแผลเป็นจากสิวด้วยว่านหางจระเข้ช่วยได้จริงหรือ?
ตอบ ช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะว่านหางจระเข้มีสารต้านการอักเสบและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แต่ควรใช้แบบสกัดบริสุทธิ์และไม่ผสมน้ำหอม
5.ทำไมรอยแผลเป็นจากสิวถึงรักษายาก?
ตอบ เพราะเป็นความเสียหายลึกถึงชั้นผิว การรักษาต้องใช้วิธีที่กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน เช่น เลเซอร์, Microneedling หรือ Subcision
6.มีวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวแบบเร่งด่วนไหม?
ตอบ ไม่มีวิธีที่ “หายขาดทันที” แต่สามารถเร่งกระบวนการฟื้นฟูด้วยการทายาเฉพาะจุด ใช้เลเซอร์ความเข้มต่ำ หรือทำทรีตเมนต์เร่งการผลัดเซลล์ผิว
7.แผ่นแปะสิวช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้ไหม?
ตอบ แผ่นแปะสิวช่วยลดการอักเสบและป้องกันไม่ให้แกะสิว ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดรอยแผล แต่ไม่ได้รักษารอยที่เกิดขึ้นแล้ว
8.รอยดำกับรอยแดงหลังสิวต่างกันอย่างไร?
ตอบ
• รอยแดงมักเกิดใหม่ ๆ จากสิวอักเสบ (เลือดฝาดใต้ผิว)
• รอยดำคือรอยที่เริ่มจางแล้ว แต่ยังมีเม็ดสีสะสมอยู่ใต้ผิว
9.เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวเจ็บไหมและต้องทำกี่ครั้ง?
ตอบ เจ็บเล็กน้อยคล้ายยางดีด ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ โดยปกติต้องทำ 3-5 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผลชัดเจน
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด