ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี
ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก
ผิวดีดูชุ่มชื้น อิ่มน้ำ พร้อมเผยผิวหน้า และผิวกาย แบบสุขภาพดีมี ออร่า บทความนี้จะมาบอกวิธีการดูแลตัวเองแบบง่าย ๆ ที่หลายคนอาจจะละเลยหรือมองข้ามไป
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ
- ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อผิว
- สัญญาณผิวดีชุ่มชื้น เช็กอย่างไร
- 13 ทริคดูแลตัวเองให้ผิวดี ดูอิ่มน้ำ
- คำถามยอดฮิตของการมีผิวดี หน้าฉ่ำ
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับผิวดีอิ่มน้ำ
ผิว ถือเป็นภาพลักษณ์อันดับต้น ๆ ที่เราจะมองเห็นกัน การมีผิวดี จึงถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน ใครหลาย ๆ คนไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ๆ ก็อยากให้ตัวเองมีผิวดีกันทั้งนั้น เพราะการที่เรามีผิวดียังบ่งบอกไปถึงวินัยในการดูแลตัวเอง และสุขภาพผิวที่แข็งแรงอีกด้วย
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อผิว
ก่อนที่เราจะมีผิวดีได้ เราต้องรู้ก่อนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อผิวของเราโดยตรง และมีปัจจัยอะไรบ้างที่เราควรที่จะเลี่ยง เพื่อไม่ให้กระทบต่อผิวของเรา

ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อผิวของเรา
• อากาศและแสงแดด ปัจจัยภายนอกที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน เหมือน จะดูปกติ แต่จริงๆแล้วเป็นสาเหตุทำร้ายผิวที่ใครหลายคนมองข้าม เช่น ยูวีที่มากับแสงแดด ถ้าเราไม่ป้องกันผิวให้ดีสามารถทำให้เราผิวไหม้ และร้ายแรงไปถึงการทำลาย DNA จนทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ และอากาศหนาว อากาศร้อน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิว ถ้าสภาพอากาศหนาว ถ้าผิวเราไม่ดูแลมากเพียวพอ ก็ทำให้ผิวแห้งแตกได้ ถ้าสภาพอากาศร้อน ร่างกายของเราก็จะผลิตเหงื่อมาก ถ้าทำความสะอาดไม่ดีพอ ก็ทำให้สิวขึ้นได้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากผิวดี จะต้องเตรียมรับมือกับสภาพอากาศและแสงแดดอย่างเหมาะสม
• สารเคมีจากครีมต่าง ๆ ธรรมชาติของผิวเรานั้นจะมีค่า pH อยู่ที่ 4.7 -7.5 ซึ่งค่าเฉลี่ยนี้จะเป็นค่าเฉลี่ยที่สมดุลผิวอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งถ้าเกิดผิวของเรามีปัญหา ถ้าเราเลือกครีมมาใช้แล้วเลือกไม่ดี หรือเลือกผิดปัญหาผิว หรือใช้สกินแคร์ที่ซ้ำซ้อนกันมากเกินไป ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากกว่าเดิมได้ด้วย เพราะครีมที่ใช้อาจจะมีสารแต่งกลิ่น ที่เข้าไปทำลายค่า pH ที่ปกติให้น้อยลงหรือมากกว่าเดิมได้ เมื่อค่า pH ของผิวเปลี่ยนไปจากเดิม เกราะป้องกันผิวก็จะถูกทำลายลง ทำให้ผิวของเราแพ้สารเคมีได้ในที่สุด
• อาหารและการใช้ชีวิต การเลือกรับประทานอาหารเข้าไปก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ You are what you eat กินอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเลือกกินแต่ของทอด ของมัน หน้าเราก็อาจจะมันเยิ้ม ผิวดูไม่ชุ่มชื้น แต่ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็ทำให้ผิวดี ขุ่มชื้น ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนอย่างเต็มที่ ร่างกายของเราก็จะดูเฟรช สุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก
ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อผิวของเรา
• ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ไม่ว่าจะวัยไหนล้วนส่งผลต่อสภาพของผิวโดยตรง ยิ่งในช่วงวัยรุ่น ฮอร์โฒนมีการปรับเพิ่มตามกลไกของร่างกาย การผลิตไขมันส่วนเกินในช่วงวัยนี้ส่งผลให้เกิดสิวได้ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งกังวลจนเกินไป แค่ดูแลตัวเราให้เต็มที่ จะมีสิวขึ้นบ้างตามฮอร์โมนถือว่าเป็นเรื่องปกติน้า
• พันธุกรรม ปัจจัยทางพันธุศาสตร์สามารถส่งต่อกันได้จากรุ่นสู่รุ่น ที่ก่อให้เกิดปัญหาผิวได้

ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสัญญาณผิวดีชุ่มชื้น เช็กอย่างไร
หลายคนอยากมี "ผิวดี" ที่ดูชุ่มชื้น อิ่มฟู และสุขภาพดีแบบไม่ต้องแต่งเติม แต่รู้หรือไม่ว่าแค่ดูผิวด้วยตาเปล่าอาจไม่พอ เพราะ “ผิวดี” ที่แท้จริง มีมากกว่าแค่ความเนียนหรือขาวใส หลายคนเข้าใจผิดว่าการมีผิวขาวคือ ผิวดี จริงๆแล้วไม่ว่าจะผิวสีอะไร สามารถมีผิวดีได้ทั้งนั้น
บทความนี้จะพาคุณมาเช็กตัวเองง่าย ๆ ว่า ตอนนี้ผิวของคุณจัดอยู่ในกลุ่ม “ผิวดีชุ่มชื้น” หรือยัง ด้วยสัญญาณบ่งบอกจากทั้งภายนอกและความรู้สึกภายในที่หลายคนมองข้าม ถ้าอยากรู้ว่าผิวของคุณอยู่ในโหมดสุขภาพดีหรือยัง มาดูไปพร้อมกันเลย
สัญญาณผิวดีข้อแรก ผิวสัมผัสนุ่ม เรียบเนียน ไม่แห้งกร้าน
ลักษณะของผิวดีที่สังเกตได้ง่ายที่สุด คือความรู้สึกเวลาสัมผัสผิวของตัวเอง คนที่ผิวดีจะมีสัมผัสที่นุ่มลื่น ไม่สากมือ ไม่มีจุดลอก หรือผิวแตกระแหง โดยเฉพาะหลังล้างหน้า ถ้าผิวยังรู้สึกเนียนอยู่โดยไม่แห้งตึงหรือมีผิวลอกเป็นขุย แสดงว่าชั้นผิวหนัง (Stratum Corneum) ยังคงมี ความชุ่มชื้นและไขมันตามธรรมชาติ (Natural Moisturizing Factors NMFs) ที่ทำงานได้ดี
กรณีผิวแห้งเกินไป มักเกิดจากการล้างหน้าบ่อย ใช้ผลิตภัณฑ์รุนแรง หรืออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน
สัญญาณผิวดีข้อสอง สีผิวสม่ำเสมอ ผิวดูเปล่งปลั่ง
สภาพผิวดีจะมีโทนสีผิวที่สม่ำเสมอ ไม่มีรอยแดง จุดด่างดำ หรือสีผิวไม่เท่ากันทั่วใบหน้า ผิวดีจะดูความเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นผลจากการไหลเวียนเลือดที่ดี และการผลัดเซลล์ผิวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผิวดีจะมีความชุ่มชื้นจะสะท้อนแสงได้ดี จึงดู “โกลว์” หรือ “ฉ่ำ” โดยไม่ต้องทาไฮไลต์
หากผิวหมองคล้ำ อาจเป็นผลจากแสงแดด มลภาวะ หรือเซลล์ผิวที่ตายแล้วยังไม่ถูกผลัดออก
สัญญาณผิวดีข้อสาม ผิวมีความชุ่มชื้นสมดุล ไม่แห้ง ไม่มันเกินไป
ผิวดีคือผิวที่สามารถควบคุมความชุ่มชื้นของตัวเองได้ ไม่แห้งลอก แต่ก็ไม่มันเยิ้มตลอดวัน โดยเฉพาะบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก คาง) ที่มักผลิตน้ำมันเยอะเป็นพิเศษ ผิวดีจะมีสมดุลความชุ่มชื้นดี จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวและการอักเสบได้
ถ้าผิวมันมาก อาจเพราะผิวขาดน้ำ แล้วต่อมไขมันต้องผลิตน้ำมันมาทดแทน
ถ้าผิวแห้งตึง อาจเกิดจากการขาดไขมันตามธรรมชาติของผิว
สัญญาณผิวดีข้อสี่ ผิวมีความยืดหยุ่น เด้ง ไม่ลอก ไม่เป็นขุย
ผิวดีควรมีความยืดหยุ่น (Skin Elasticity) และความฟู (Plumpness)
ซึ่งมาจากชั้นผิวแท้ที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ผิวดีจะดูอิ่มน้ำ เด้งเบา ๆ แต่งหน้าติดง่าย ไม่เป็นคราบ และไม่มีรอยลอกหรือขุยบริเวณข้างจมูกและมุมปาก ซึ่งมักเกิดจากผิวแห้งขาดน้ำ
วิธีทดสอบง่าย ๆ ใช้นิ้วกดเบา ๆ บริเวณแก้มแล้วปล่อย ถ้าผิวดีจะคืนตัวทันที ไม่มีรอยบุ๋มหรือความหย่อนคล้อย
สัญญาณผิวดีข้อห้า ไม่มีสิวอักเสบ หรือผื่นระคายเคือง
ผิวดีจะมี Skin Barrier ที่แข็งแรง คือชั้นไขมันที่ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันเชื้อโรค มลภาวะ และสารระคายเคือง ถ้าผิวไม่มีสิวอักเสบเรื้อรัง ผดผื่น หรืออาการแพ้ง่าย ถือว่าผิวดีสภาพผิวกำลังอยู่ในสภาวะสมดุลดี
Skin Barrier ที่เสีย มักเกิดจากการขัดหน้าบ่อย ใช้สกินแคร์หลายชั้นเกินไป หรือโดนแดดแรง ๆ โดยไม่ป้องกัน
สัญญาณผิวดีข้อหก ผิวฟื้นตัวได้เร็วเมื่อเจอมลภาวะหรือแสงแดด
ผิวดีจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ในเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังเจอแดดจัด หรือพักผ่อนน้อย ผิวดีจะไม่คล้ำลงนานเกินไป หรือแห้งลอกเรื้อรัง หากเรามีผิวดี ร่างกายมีระบบการผลัดเซลล์และสร้างคอลลาเจนที่ดี ก็จะช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น ดูสดใสภายในไม่กี่วัน
กรณีผิวฟื้นตัวช้า อาจเป็นสัญญาณว่าเซลล์ผิวเริ่มอ่อนแอ และต้องการการบำรุงจากภายใน เช่น วิตามินและการนอนหลับที่เพียงพอ
สัญญาณผิวดีข้อสุดท้าย เรามีเซนส์ผิวที่ดี
คำว่า ผิวดี หรือ ผิวสุขภาพดี ตัวเราก็ควรมีความรู้สึกจากภายในร่วมด้วย ถึงแม้ว่าภายนอกเราจะมีสัญญาณบ่งบอกที่ติ๊กถูกทุกข้อแล้ว ในแง่ของเซนส์หรือความรู้สึก เราก็ต้องมีความรู้สึกดีควบคู่กันไปด้วย เช่น เรารู้สึกว่าผิวนุ่ม สบายผิว ต้องไม่รู้สึกแสบร้อน หรือ คันผิว เพราะความรู้สึกแง่ลบนั้นอาจเป็นสัญญาณเล็กๆ ของการที่จะบอกว่าผิวของเราเริ่มอ่อนแอลงแล้ว
สัญญาณของ “ ผิวดี ” ไม่ใช่แค่ความสวยภายนอก แต่คือความสมดุลของการทำงานของผิวชั้นในร่วมด้วย
ถ้าใครก็ตามมีครบทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้น แสดงว่าคุณกำลังมีผิวดีที่แข็งแรง แต่ถ้าเกิดยังขาดข้อใดข้อหนึ่งอยู่ อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะผิวดีสามารถ “สร้างได้” ด้วยการดูแลที่ถูกต้อง และเข้าใจผิวของตัวเองในแบบเฉพาะของแต่ละคน

ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล13 ทริคดูแลตัวเองให้ผิวดี ดูอิ่มน้ำ
หลายคนมีคำถามว่า “ดูแลผิวยังไง ให้ดูผิวดี ดูอิ่มน้ำ” ซึ่งไม่ใช่แค่การทาครีมอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการดูแลผิวแบบองค์รวม ทั้งจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิต การเลือกรับประทานอาหาร การพักผ่อนให้เพียงพอ และการดูแลผิวอย่างเหมาะสมทั้งภายในและภายนอก
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจทีละข้อกับ 13 ทริค ที่จะช่วยให้ผิวดีขึ้น และ “ดูอิ่มน้ำ” ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี
1.เคล็ดลับผิวดีต้องดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
น้ำเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์ผิว ช่วยคงรูปร่างเซลล์ ให้ผิวดีดูฟู ไม่แห้งตึง และช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดี
วิธีดื่มน้ำให้ผิวดีดูอิ่มน้ำ
- ดื่มตามน้ำหนักตัวเพื่อให้ผิวดีดูอิ่มน้ำ
น้ำหนัก (กก.) × 30 = ปริมาณน้ำ (มล.) ที่ควรดื่มต่อวัน
เช่น น้ำหนัก 50 กก.- ดื่มประมาณ 1,500 มล.
- จิบเรื่อย ๆ ตลอดวัน
อย่าดื่มทีละเยอะๆ ให้ดื่มทุก 1-2 ชม.เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี
- เลือกน้ำเปล่าเป็นหลักในการดื่มน้ำให้ผิวดี
งดชานม น้ำหวาน กาแฟเยอะ ๆ เพราะทำให้ผิวขาดน้ำได้
- สังเกตปัสสาวะ เพื่อดูว่าเราดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่
สีเหลืองอ่อน = ดื่มน้ำพอดี
สีเข้ม = ดื่มน้ำน้อยเกินไป
- เพิ่มน้ำในบางช่วง
เช่น หลังออกกำลังกาย อยู่ห้องแอร์ หรือเจอแดดนาน ๆ
การ “ดื่มน้ำให้พอ” ต้องเน้น คุณภาพ + จังหวะเวลา + ปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย
หากทำได้ต่อเนื่อง ผิวดีดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่งจากภายในอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ทาครีมให้ชุ่มชื้นภายนอกเท่านั้น

ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล2.เคล็ดลับผิวดีด้วยการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพผิว
“ผิวดี เริ่มที่จานอาหาร” ฟังดูอาจธรรมดา แต่เป็นความจริงที่แพทย์ผิวหนังยืนยันตรงกันว่า การรับประทานอาหารที่ถูกต้องมีผลโดยตรงต่อโครงสร้าง ความชุ่มชื้น และการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้ผิวดีขึ้นได้
หากร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน เซลล์ผิวจะสร้างเกราะป้องกันผิวได้ดี ผลัดเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการอักเสบภายในที่มักเป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำหรือเป็นสิว
กลุ่มอาหารที่ช่วยให้ผิวดี มีอะไรบ้าง
1.วิตามิน C
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดีเต่งตึง เรียบเนียน
พบใน ส้ม สตรอว์เบอร์รี ฝรั่ง บร็อคโคลี
2.วิตามิน E
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของผิว ช่วยให้ผิวดีฟื้นตัวได้เร็ว
พบใน อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะกอก
3.Zinc (สังกะสี)
จำเป็นต่อการสมานแผล ลดสิว และควบคุมการผลิตน้ำมันบนผิว ทำให้ผิวดีขึ้น พบใน หอยนางรม ไข่แดง ถั่วเปลือกแข็ง
4.กรดไขมันโอเมก้า-3
ช่วยให้ผิวดีนุ่ม ชุ่มชื้น ลดการอักเสบในผิว และบำรุงเยื่อหุ้มเซลล์ พบใน ปลาแซลมอน ปลาทู อะโวคาโด เมล็ดแฟลกซ์
5.โปรตีนคุณภาพดี
เซลล์ผิวสร้างจากโปรตีน การกินโปรตีนเพียงพอจึงสำคัญต่อการซ่อมแซมผิว พบใน ไก่ ปลา เต้าหู้ ไข่ขาว ถั่วเลนทิล
3.พักผ่อนให้เพียงพอและสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวดี
การนอนหลับอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของ “ผิวดี” เพราะช่วงเวลาที่เรานอนหลับ คือช่วงที่ร่างกายรวมถึงเซลล์ผิวหนังฟื้นฟูตัวเอง ซ่อมแซมความเสียหายจากมลภาวะ รังสียูวี และความเครียดที่เผชิญมาตลอดวัน
ทำไม “การนอนดี” ถึงส่งผลให้ผิวดีขึ้น
ในช่วงเวลาหลับลึก (Deep sleep) และช่วงหลับฝัน (REM sleep) ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนสำคัญทำให้ผิวดีขึ้น เช่น
• Growth Hormone (ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเด้ง ตึง ไม่เหี่ยวย่น
• Melatonin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวฟื้นตัวดีขึ้น
• ลดระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) ซึ่งถ้าสูงเกินไป จะกระตุ้นสิว และเร่งการเสื่อมของผิว
หากพักผ่อนน้อย ผิวจะเข้าสู่ภาวะ “พักไม่พอ ฟื้นไม่ทัน” ทำให้เกิด
• ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส
• ถุงใต้ตา รอยคล้ำรอบดวงตา
• ผิวขาดความชุ่มชื้น แต่งหน้าไม่ติด
• สิวเห่อ หรือเกิดการอักเสบของผิวบ่อยขึ้น
นอนอย่างไรให้ผิวดี
• ควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง
โดยเฉพาะนอนก่อน 23.00 น.จะดีที่สุด เพราะฮอร์โมนซ่อมแซมผิวหลั่งช่วง 23.00 - 02.00 น.จะช่วยให้ผิวฟื้นฟูและผิวดีขึ้น
• นอนในห้องมืดสนิท
เพื่อให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนินได้เต็มที่
• ลดการใช้หน้าจอก่อนนอน 1 ชั่วโมง
แสงสีฟ้าจากมือถือและคอมพิวเตอร์รบกวนวงจรการหลับ
• มีรูทีนก่อนนอนที่สม่ำเสมอเพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
เช่น อาบน้ำอุ่น ฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านหนังสือ จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น
การพักผ่อนที่ดี ไม่ใช่แค่ “จำนวนชั่วโมง” แต่ต้อง “สม่ำเสมอ และมีคุณภาพ” ด้วย หากทำได้ต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จะส่งผลให้ผิวดี แต่ยังช่วยให้ระบบฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน และจิตใจก็สมดุล ส่งผลต่อความงามในภาพรวมทั้งหมดเลยค่ะ
4.หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์เพื่อให้ผิวดีขึ้น
หากกำลังตั้งใจดูแลตัวเองเพื่อให้ ผิวดีขึ้นอย่างแท้จริง การ “งดหรือหลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์” เพราะถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แม้คุณจะใช้สกินแคร์ดีแค่ไหน แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมที่ทำลายผิวจากภายใน ผิวก็อาจไม่สามารถฟื้นฟูหรือดูดีได้อย่างที่ต้องการ
ทำไมบุหรี่ถึงทำร้ายผิวไม่ช่วยให้ผิวดีขึ้น
บุหรี่มีสารพิษมากกว่า 4,000 ชนิด ซึ่งรวมถึงนิโคตินและสารก่อมะเร็งอีกหลายชนิดที่ส่งผลเสียต่อระบบไหลเวียนเลือดและสุขภาพผิวโดยตรง
ผลกระทบของบุหรี่ต่อผิวไม่ช่วยให้ผิวดีขึ้น
• หลอดเลือดฝอยที่เลี้ยงผิวหดตัว ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงผิวได้น้อยลง ผิวดูซีดเซียว หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง
• ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยเร็ว
• รบกวนการสมานแผลและฟื้นฟูผิว ผิวฟื้นตัวยาก แผลหายช้า สิวอักเสบหายไม่หมดจด
• ผิวแห้งง่ายและบางลง เพราะสารพิษในบุหรี่รบกวนการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติของผิว
แอลกอฮอล์มีผลต่อผิวอย่างไร
แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ดื่มไวน์กับอาหาร หรือดื่มสังสรรค์บ้างเป็นครั้งคราว แต่อย่าลืมว่า แอลกอฮอล์มีผลต่อการคงความชุ่มชื้นของผิวและสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อผิว
• ทำให้ผิวขาดน้ำ (Dehydration) ผิวดูแห้ง ขาดความสดใส และมีริ้วรอยชัดขึ้นในระยะสั้น
• กระตุ้นการอักเสบ ทำให้ผิวไวขึ้น เกิดผื่นหรือรอยแดงง่าย
• เร่งการเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวบางและเสียสมดุลจากภายใน
• ส่งผลต่อฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งอาจทำให้สิวเห่อหรือรอบเดือนแปรปรวนตามไปด้วย
คำแนะนำให้ผิวดีถ้าหลีกเลี่ยงแอลกอฮอลล์และการสูบบุหรี่ไม่ได้
• หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ให้ต่ำที่สุด และดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อช่วยขับแอลกอฮอล์
• หากสูบบุหรี่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีเลิกอย่างปลอดภัย และเริ่มฟื้นฟูผิวด้วยอาหารบำรุงและสารต้านอนุมูลอิสระ
5.ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียน
การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเพิ่มออกซิเจนในผิว ช่วยให้ผิวดีขับของเสียทางเหงื่อ และกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง เช่น endorphin และ growth hormone
1.การกระตุ้นการไหลเวียนเลือดช่วยให้ผิวดีเปล่งปลั่ง
เมื่อเราออกกำลังกาย หัวใจจะสูบฉีดเลือดได้มากขึ้น เลือดที่ไหลเวียนไปยังชั้นผิวจะนำพาออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวดีมีเลือดฝาด สดใส และกระจ่างใสจากภายใน นอกจากนี้ยังช่วยในการขจัดของเสียและสารพิษออกจากผิวได้ดียิ่งขึ้น ผิวดีดูสะอาด สดชื่น และมีชีวิตชีวา
2.การไหลเวียนของน้ำเหลืองช่วยลดของเสียสะสมที่ทำให้ผิวหมองช่วยให้ผิวดี
ระบบน้ำเหลืองเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยกำจัดของเสียในร่างกาย การออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือโยคะ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบน้ำเหลือง ทำให้สามารถขับของเสียที่อาจตกค้างอยู่ในชั้นผิว ลดการอักเสบและอาการบวมน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของผิวไม่สดใส ผิวจะดูเบาสบายขึ้น ผิวหน้าดูยกกระชับขึ้นดูผิวดีอย่างเป็นธรรมชาติ
3.ช่วยควบคุมฮอร์โมนและลดปัญหาผิวจากความเครียด
การออกกำลังกายมีผลโดยตรงต่อสมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะการลดระดับคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาเมื่อเราเครียด ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผิวแห้ง หมอง และเป็นสิวง่าย เมื่อควบคุมความเครียดได้ดี จะช่วยลดการอักเสบของผิว ลดสิว และทำให้ผิวดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาเสมอไป
4.ผิวดีจากภายใน สะท้อนสู่ภายนอก
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการผลิตไขมันธรรมชาติของผิว ทำให้ผิวดีชุ่มชื้นมากขึ้นโดยไม่มันเกินไป นอกจากนี้การไหลเวียนที่ดีทำให้การผลัดเซลล์ผิวเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ลดการสะสมของเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเนียนละเอียดขึ้น รูขุมขนกระชับ และผิวดีหน้าดูสดใส มีออร่าอย่างเป็นธรรมชาติ
คำแนะนำการออกกำลังกายเพื่อให้ผิวดี
• ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30 นาที
• เลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่อับชื้นหากเป็นคนที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย
• ล้างหน้าให้สะอาดก่อนและหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการอุดตันในรูขุมขน
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวให้ผิวดีจากภายใน
6.ใช้ครีมกันแดดให้ถึงและเพียงพอเพื่อให้ผิวดี
แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิว โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย ทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และความแห้งกร้านต่างๆ ตามมา การทาครีมกันแดดอย่างถูกต้องและเพียงพอ จึงเป็นการปกป้องผิวในทุกมิติ และถือเป็นหัวใจของการมี "ผิวดี" ชุ่มชื้น

ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลวิธีทาครีมกันแดด “ให้ถึง” เพื่อให้ผิวดี
"ทากันแดดให้ถึง" เพื่อให้ผิวดีหมายถึง การทาครีมกันแดดให้ครอบคลุมทุกบริเวณที่สัมผัสแสง ไม่ใช่แค่ใบหน้าอย่างเดียว แต่รวมไปถึง
• ขอบหน้าไรผม ขมับ ใต้คาง ใบหู
• ลำคอ หน้าคอ และท้ายทอย
• มือ แขน หลังมือ และขา หากสวมเสื้อผ้าเปิดผิว
หลายคนมักพลาดจุดเหล่านี้ ทำให้เกิดสีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือริ้วรอยก่อนวัยเฉพาะจุด เช่น รอยเหี่ยวย่นที่คอ
วิธีทาครีมกันแดด “ให้เพียงพอ” เพื่อให้ผิวดีต้องใช้ปริมาณแค่ไหน ?
ทา "น้อยเกินไป" ถึงเลือก SPF สูงแค่ไหนก็ป้องกันไม่ได้เต็มที่
ปริมาณที่แนะนำจากแพทย์ผิวหนังคือ
• ใบหน้าและลำคอ ใช้ประมาณ 2 ข้อนิ้ว (หรือประมาณ 1/2 ช้อนชา)
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อออกแดดนาน หรือมีเหงื่อ
• อย่าลืมทาก่อนออกแดด 15-20 นาที เพื่อให้สารกันแดดเริ่มทำงาน
เลือกกันแดดอย่างไร ให้ผิวดีในระยะยาว ?
• ควรเลือก ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และป้องกันได้ทั้ง UVA / UVB (มีคำว่า Broad Spectrum หรือ PA+++)
• หากเป็นคนผิวมันหรือเป็นสิวง่าย ให้เลือกสูตร Non-comedogenic, Oil-Free
• ผิวแห้งควรเลือกสูตรที่มี มอยส์เจอไรเซอร์ผสม เพื่อให้ผิวดูฉ่ำไม่แห้ง มันจนเกินไป
ทากันแดดทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่มหรือในบ้านเพื่อผิวดีไม่แห้งกร้าน
แสง UV สามารถทะลุกระจกได้ และแสงจากหน้าจอ (Blue Light) ก็มีผลต่อเม็ดสีผิวเช่นกัน ดังนั้น หากอยากมีผิวดีอย่างยั่งยืน การทากันแดดทุกวันแม้ไม่ออกแดดก็เป็นสิ่งจำเป็น
7.ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวเพื่อผิวดี
การบำรุงผิวเพื่อให้ผิวดีด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะช่วยปิดผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำ และเสริมชั้นไขมันที่จำเป็นต่อเกราะผิว (lipid barrier)
คำแนะนำการทาครีมเพื่อให้ผิวดี
• ผิวแห้ง - ครีมเข้มข้นมี Ceramide, Shea Butter
• ผิวมัน/ผิวผสม - เนื้อเจลบางเบา มี Hyaluronic Acid
8.หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยหรือล้างด้วยผลิตภัณฑ์แรงเพื่อให้ผิวดี
การล้างหน้าด้วยสบู่ที่มีค่า pH สูงหรือมีสาร SLS จะทำลายไขมันตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแห้งตึงและเกิดการระคายเคืองง่าย
คำแนะนำเพื่อให้ผิวดี ใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลีกเลี่ยงการถูแรงหรือใช้น้ำร้อน
9.ใช้เซรั่มหรือเอสเซนส์เติมน้ำให้ผิวเพื่อให้ผิวดีชุ่มชื้น
ผิวดีอิ่มน้ำมักมี Hyaluronic Acid ธรรมชาติหล่อเลี้ยง หากอายุมากขึ้น ปริมาณ HA จะลดลง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์เสริมในการทำให้ HA เพิ่มขึ้นล็อคผิวดีฉ่ำน้ำ
คำแนะนำใช้เซรั่มให้ผิวดี เลือกเซรั่มที่มี Hyaluronic Acid, Panthenol, Niacinamide
10.หลีกเลี่ยงการสครับหรือผลัดเซลล์บ่อยเกินไปเพื่อให้ผิวดี
แม้ว่าการผลัดเซลล์ผิวจะทำให้ผิวดีเรียบเนียนขึ้น แต่หากทำถี่เกินไปจะทำให้ Skin Barrier อ่อนแอ ผิวสูญเสียน้ำและระคายเคืองง่ายม่ทำให้ผิวดีขึ้น แต่จะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย
คำแนะนำผลัดเซลล์ผิวให้ผิวดีขึ้น ใช้สครับหรือ AHA/BHA 1-2 ครั้ง/สัปดาห์พอ เพื่อให้ผิวดีไม่ระคายเคืองมากเกินไป
11.สังเกตและดูแลผิวขาดน้ำให้ทัน
ผิวขาดน้ำคืออะไร
ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) คือภาวะที่ ผิวมีระดับน้ำในเซลล์ไม่เพียงพอ แม้บางคนจะมีผิวมัน หรือมีความชุ่มชื้นจากไขมันผิวตามธรรมชาติอยู่แล้ว ก็ยังสามารถมี “ผิวขาดน้ำ” ได้เช่นกัน ต่างจากผิวแห้งที่เป็นลักษณะของสภาพผิวถาวร ผิวขาดน้ำเป็น "ภาวะชั่วคราว" ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น
• พักผ่อนน้อย ดื่มน้ำน้อย
• อยู่ในห้องแอร์หรืออากาศแห้งนาน ๆ
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งมากเกินไป เช่น โฟมล้างหน้าที่แรง
• พฤติกรรมทำร้ายผิว เช่น ขัดผิวแรง ล้างหน้าบ่อย
สัญญาณเตือนว่าผิวกำลังขาดน้ำ
• ผิวดูหมอง คล้ำ ไม่สดใส
• แต่งหน้าไม่ติด เป็นขุย รองพื้นเป็นคราบ
• ผิวแห้งตึงแต่มีความมันช่วง T-zone
• รู้สึกแสบผิวหรือระคายเคืองง่ายกว่าปกติ
• ผิวดูหยาบ ไม่เรียบเนียน
เมื่อผิวขาดน้ำ ระบบปกป้องผิว (skin barrier) จะทำงานได้แย่ลง ทำให้ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย และเสี่ยงต่อการเกิดสิวหรือการอักเสบมากขึ้น ส่งผลให้ “ผิวดี” ดูห่างไกลออกไป
วิธีดูแลผิวขาดน้ำให้ทัน และฟื้นผิวดีอย่างปลอดภัย
1.เติมน้ำให้ผิวอย่างถูกวิธี
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี สารดึงน้ำเข้าสู่ผิว (Humectants) เช่น ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid), กลีเซอรีน (Glycerin), แพนทีนอล
• เลือกใช้เซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วย กักเก็บน้ำในผิว เช่น เซราไมด์ หรือสควาเลน
2.ปรับพฤติกรรมให้ผิวฟื้นตัวได้จริง
• ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร
• หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจัด
• ใช้โทนเนอร์หรือมิสต์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน
• อย่าลืม ทากันแดดทุกวัน เพราะแสงแดดทำให้ผิวสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้น
3.ฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว (Skin Barrier)
การมีผิวดีไม่ใช่แค่ผิวใส แต่ผิวต้องแข็งแรงด้วย ควรใช้สกินแคร์ที่ช่วยเสริมชั้นผิว เช่น เซราไมด์ ไนอาซินาไมด์ หรือผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอม
ผิวดีเริ่มต้นจากการไม่ปล่อยให้ผิวขาดน้ำ
การเข้าใจและรับมือกับผิวขาดน้ำอย่างทันท่วงที จะช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียน ดูอิ่มฟูจากภายใน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีผิวดีอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม ก็สามารถดูสุขภาพดีได้ หากมีสมดุลน้ำในผิวที่เหมาะสม
12.เติมความชุ่มชื้นระหว่างวันเพื่อให้ผิวดี
ในที่อากาศแห้ง เช่น ห้องแอร์ หรือระหว่างเดินทาง ควรมีผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นเพื่อป้องกันผิวขาดน้ำเฉียบพลัน
คำแนะนำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดี ใช้ facial mist หรือน้ำแร่ระหว่างวัน หรือพกเจลบำรุงผิวสูตรบางเบาไว้เติม
13.จัดการความเครียดเพื่อให้ผิวดี
ผิวดีไม่ใช่แค่เรื่องสกินแคร์ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบฮอร์โมนและอารมณ์ของเรา ในภาวะเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งมีผลกระทบต่อผิวหลายด้าน เช่น
• ทำให้เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อ่อนแอ
• เร่งการอักเสบของผิว เกิดสิว ผื่น หรือผิวแห้งลอกง่าย
• ทำให้การผลัดเซลล์ผิวผิดปกติ ผิวหมองคล้ำ ผิวไม่สม่ำเสมอ
คำแนะนำลดึความเครียดให้ผิวดี
• เลือกกิจกรรมผ่อนคลายที่ทำได้ทุกวัน เช่น ฟังเพลง ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ หรือฝึกสมาธิ
• ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ พิลาทิส หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที
• อย่าลืมว่าสภาพจิตใจที่ดี = สภาพผิวที่ดีด้วยเช่นกัน

ผิวดีชุ่มชื้น หน้าฉ่ำ ด้วยทริคดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอกแบบธรรมชาติ
ผิวดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลคำถามยอดฮิตของการมีผิวดี หน้าฉ่ำ
1.อยากผิวดี หน้าฉ่ำ ต้องเริ่มจากอะไร ?
คำตอบ เริ่มจาก เติมน้ำให้ผิว เป็นลำดับแรก เพราะผิวฉ่ำวาวไม่ได้หมายถึงมัน แต่คือผิวที่ชุ่มชื้นจากภายใน เซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มี ไฮยาลูรอนิค แอซิด หรือ กลีเซอรีน จะช่วยให้ผิวอิ่มฟู แลดูใสแบบสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ
2.หน้าฉ่ำแบบสาวเกาหลีต้องแต่งหน้าก่อน หรือดูแลผิวก่อน?
คำตอบ ต้อง “บำรุงผิวก่อนแต่งหน้า” เสมอ เพราะเมคอัพจะติดผิวได้ดีและเนียนขึ้นบนพื้นผิวที่ชุ่มชื้น การลง สกินแคร์ให้แน่นก่อนแต่ง จะช่วยให้ได้ลุคฉ่ำใสโดยไม่ต้องพึ่ง highlighter มากนัก และยังช่วยให้หน้าไม่ลอกหรือเป็นคราบระหว่างวันด้วย
3.แค่ใช้ครีมกันแดด ผิวจะดีขึ้นจริงไหม ?
คำตอบ จริง 100% เพราะ ครีมกันแดดคือหัวใจของการมีผิวดี ต่อให้บำรุงดีแค่ไหน แต่ไม่กันแดด ผิวก็เสื่อมเร็ว หมองง่าย มีฝ้าและริ้วรอยเร็วขึ้น การใช้กันแดด “ให้ถึงและเพียงพอ” ทุกวัน ช่วยล็อกผิวสวยให้อยู่ได้นานกว่าหลายเท่า
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับผิวดีอิ่มน้ำ
ผิวดีอิ่มน้ำ สามารถเริ่มได้จากการดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกและการรับประทานอาหาร การทาสกินแคร์ และการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยในทุก ๆ วัน การที่เราจะมีผิวดีนั้นไม่ได้ทำได้แค่วันสองวันเท่านั้น แต่ต้องใช้เวลา และความอดทน สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญควรดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอก เพื่อให้ผิวแข็งแรง เปิดไฟให้ผิว ดูผิวอิ่มน้ำ เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ