romrawin

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิว

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลสุด
บทความนี้ได้รวบรวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว แต่ละวิธีไว้ให้แล้ว เพราะเรารู้ว่าปัญหาที่ยากหลังจากการรักษาสิว นั่นก็คือรอยสิว ที่บางทีอาจจะอยู่นานกว่าสิวด้วยซ้ำ เรามาดูกันเลยว่าวิธีลดรอยแผลเป็นสิวมีอะไรบ้าง

รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการลดรอยแผลเป็นสิว
- รอยเเผลเป็นสิวมีแบบไหนบ้าง
- ลดรอยแผลเป็นสิวในผู้ใหญ่และวัยรุ่นต่างกันอยางไร
- ทาครีมลดรอยแผลเป็นสิว
- ทาเจลว่านหางจระเข้ลดรอยแผลเป็นสิว
- ทานวิตามินเสริมเพื่อลดรอยแผลเป็นสิว
- ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยเรตินอล
- ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยรีจูรัน
- ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Belotero Revive
- ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Hifu
- ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยหัตถการ Pico Laser
- ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยหัตถการ Fractional CO2 Laser
- ลดรอยแผลเป็นสิวต้องใช้เวลานานแค่ไหน
- ลดรอยแผลเป็นสิวให้หายขาดได้ไหม
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับลดรอยแผลเป็นสิว

ลดรอยแผลเป็นสิว

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

รอยเเผลเป็นสิวมีแบบไหนบ้าง
ก่อนที่เราจะหาวิธีลดรอยแผลเป็นสิว เรามาดูกันก่อนว่ารอยแผลเป็นสิวมีกี่แบบเพื่อที่เราจะได้หาวิธีลดรอยแผลเป็นสิวที่ถูกจุด

รอยแผลเป็นจากสิว เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนกังวลใจ แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ก็มักทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน ขาดความมั่นใจ ซึ่งรอยแผลเป็นเหล่านี้มีหลายลักษณะ และแต่ละแบบก็มีวิธีการดูแลรักษาแตกต่างกันออกไป หากเข้าใจประเภทของแผลเป็นได้อย่างถูกต้อง ก็จะสามารถเลือกแนวทางการรักษาได้ตรงจุดมากขึ้น

ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

1.รอยแผลเป็นแบบหลุม (Atrophic Scars)
2.รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic & Keloid Scars)

มาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกัน

1.รอยแผลเป็นแบบหลุม (Atrophic Scars)
แผลเป็นประเภทนี้เป็น แผลเป็นที่ผิวหนังยุบตัวลง มักเกิดจากการที่สิวอักเสบทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง จนร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมได้สมบูรณ์ ทำให้เกิดการยุบตัวของผิว มี 3 ประเภทย่อยที่พบบ่อย ได้แก่

1.1 Ice Pick Scars (แผลเป็นหลุมแบบจิ้มลึก)
• ลักษณะ เป็นหลุมแคบๆ ลึก คล้ายถูกเข็มจิ้มลงบนผิว
• ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
• สาเหตุ มักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรงที่กินลึกถึงชั้นหนังแท้

1.2 Boxcar Scars (หลุมแผลกว้างขอบชัด)
• ลักษณะ เป็นหลุมกว้าง ขอบคม ชัดเจน ขนาดใหญ่กว่า Ice Pick
• พื้นหลุมจะลึกปานกลาง และมีรูปทรงเป็นเหลี่ยม
• สาเหตุ เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนอย่างเฉียบพลันในบางจุด

1.3 Rolling Scars (แผลเป็นหลุมแบบลอนคลื่น)
• ลักษณะ ผิวจะดูเป็นคลื่น ไม่เรียบเสมอกัน คล้ายเนินนูนต่ำๆ สลับกันไป
• มักเกิดบริเวณแก้ม
• สาเหตุ เกิดจากพังผืดดึงรั้งผิว ทำให้เกิดร่องลึกใต้ผิวหนัง

2.รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic & Keloid Scars)
แผลเป็นกลุ่มนี้เกิดจากการที่ร่างกาย สร้างคอลลาเจนมากเกินไป จนเกิดการนูนบนผิว มักพบในคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีพันธุกรรมเกี่ยวข้อง

2.1 Hypertrophic Scars (แผลเป็นนูนแข็ง ขอบไม่เกินขอบแผลเดิม)
• ลักษณะ นูนแข็ง สีออกชมพู แดง หรือน้ำตาล
• มักไม่ขยายล้ำออกนอกแผลเดิม
• พบบ่อยในบริเวณที่ผิวหนังตึง เช่น หน้าอก หลัง หัวไหล่

2.2 Keloid Scars (แผลเป็นคีลอยด์ ขยายใหญ่กว่าขอบแผลเดิม)
• ลักษณะ นูนแข็ง ขนาดใหญ่ ขอบขยายออกจากแผลเดิม ดูเงา มันวาว สีแดงคล้ำหรือม่วง
• อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย
• มักเกิดในผู้ที่มีกรรมพันธุ์เป็นคีลอยด์

“รอยดำรอยแดง” จากสิวล่ะ ถือเป็นแผลเป็นสิวหรือไม่ ?
ไม่จัดว่าเป็นแผลเป็นถาวร รอยดำ รอยแดง หรือที่เรียกกันว่า “Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH)” และ “Post-Inflammatory Erythema (PIE)” เป็นเพียงรอยที่เกิดจากเม็ดสีผิดปกติหลังการอักเสบของสิว ยังสามารถจางลงได้เองตามเวลา หรือช่วยให้จางไวขึ้นได้ด้วยการดูแลผิวอย่างเหมาะสม

ลดรอยแผลเป็นสิว

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ลดรอยแผลเป็นสิวในผู้ใหญ่และวัยรุ่นต่างกันอยางไร
อีกปัจจัยที่สำคัญในการลดรอยแผลเป็นสิว คือวัยที่เป็น เพราะการลดรอยแผลเป็นสิวของผู้ใหญ่และวัยรุ่นแตกต่างกัน เพราะผิวของวัยรุ่นกับผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน ทำให้การฟื้นฟูและการเลือกวิธีลดรอยแผลเป็นสิวจำเป็นต้องพิจารณาตามอายุด้วย หากดูแลผิวผิดวิธี อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เต็มที่ หรือเสี่ยงต่อการระคายเคืองมากขึ้น

มาทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของผิวแต่ละวัย และแนวทางลดรอยแผลเป็นสิวที่เหมาะสมกัน

ความแตกต่างของ "ผิววัยรุ่น" และ "ผิวผู้ใหญ่"

ปัจจัย

ผิววัยรุ่น

ผิวผู้ใหญ่

ความหนาแน่นของคอลลาเจน

สูง

เริ่มลดลง

การผลัดเซลล์ผิว

เร็ว

ช้าลง

การผลิตน้ำมัน

สูง (ผิวมัน)

ผิวแห้งลงตามอายุ

ความยืดหยุ่นของผิว

สูง

เริ่มหย่อนคล้อย

การตอบสนองต่อการรักษา

ฟื้นตัวไว

ฟื้นตัวช้ากว่า

ทริคลดรอยแผลเป็นสิวในวัยรุ่น
ผิววัยรุ่นมีการฟื้นฟูตัวเองได้ดี จึงตอบสนองต่อการลดรอยแผลเป็นสิวได้ไว แต่ยังต้องระวังการระคายเคืองง่าย เพราะผิวบางส่วนยังไวต่อสารบางชนิด เช่น Retinoid หรือกรดผลไม้ (AHA, BHA)

แนวทางลดรอยแผลเป็นสิวที่แนะนำ
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยการใช้ครีมผลัดเซลล์ผิวอ่อนๆ เช่น กรดซาลิไซลิก (BHA) หรือกรดไกลโคลิก (AHA) ความเข้มข้นต่ำ
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยการใช้ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) เพื่อช่วยลดรอยแดงรอยดำ และควบคุมความมัน
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยการเลือกเลเซอร์อ่อน เช่น Q-Switch หรือ IPL เพื่อกระตุ้นผิวให้สร้างใหม่
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยวิธีไม่ทำร้ายผิว เช่น มาสก์ผลัดเซลล์ หรือการทำทรีตเมนต์อ่อนๆ
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยการหลีกเลี่ยงการกดสิว เพราะจะเพิ่มโอกาสเกิดหลุมสิวและแผลเป็น

ข้อดีของวัยรุ่นในการลดรอยแผลเป็นสิวคือการฟื้นฟูเร็ว หากดูแลผิวอย่างเหมาะสม มักไม่ทิ้งรอยถาวร

ทริคลดรอยแผลเป็นสิวในวัยผู้ใหญ่
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะผลัดตัวช้าลง ระบบสร้างคอลลาเจนก็ทำงานน้อยลง ทำให้การลดรอยแผลเป็นสิวหายช้ากว่าช่วงวัยรุ่น หลุมสิวมักลึกกว่าในวัยรุ่น การดูแลจึงต้องเน้นการฟื้นฟูผิวให้ลึกขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นระบบ

แนวทางลดรอยแผลเป็นสิวที่แนะนำ
• ลดรอยแผลเป็นสิวโดยใช้ Retinoids (วิตามินเอ) เพื่อเร่งการผลัดเซลล์และกระตุ้นคอลลาเจน
• ลดรอยแผลเป็นสิวโดยใช้เซรั่มวิตามินซีเพื่อลดรอยดำและเสริมการสร้างคอลลาเจน
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยเลเซอร์ เช่น Fractional Laser, RF Microneedling
• ลดรอยแผลเป็นสิวการทำ Subcision ร่วมกับฟิลเลอร์ สำหรับหลุมสิวลึก
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยการทำทรีตเมนต์เข้มข้น เช่น PRP, Meso Therapy
• ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยการรับประทานอาหารเสริมที่มี Zinc, Vitamin C, Collagen

ลดรอยแผลเป็นสิวในผู้ใหญ่ต้องเน้นการบำรุงล้ำลึกและกระตุ้นการซ่อมแซมผิว เนื่องจากผิวฟื้นตัวช้ากว่าวัยรุ่น

ทาครีมลดรอยแผลเป็นสิว
ครีมลดรอยแผลเป็นสิวคืออะไร มีส่วนประกอบแบบไหน เหมาะกับรอยประเภทไหน และควรใช้แบบใดให้ได้ผลดีที่สุด

1.รอยแผลเป็นจากสิวควรใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิวแบบไหนได้ผล
ก่อนเลือกใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิว ต้องรู้ก่อนว่า “รอยแผลเป็น” มีหลายชนิด และไม่ได้ทุกชนิดจะตอบสนองต่อครีมบำรุงได้เท่ากัน

ประเภทแผลเป็น

ลักษณะ

ประสิทธิภาพ ของครีมลดรอยแผลเป็นสิว

รอยแดง (PIE)

รอยสีชมพู/แดงจางๆ หลังสิวหาย

เห็นผลดีมาก

รอยดำ (PIH)

สีคล้ำ น้ำตาลหรือเทา

เห็นผลดี

หลุมสิว (Atrophic Scar)

ผิวเป็นหลุม ไม่เรียบ

ครีมช่วยได้เล็กน้อย ต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่น

แผลเป็นนูน (Hypertrophic/Keloid)

ผิวนูน หนา แข็ง

ต้องใช้ครีมเฉพาะ และมักต้องร่วมกับการฉีดยา

2.ส่วนผสมสำคัญในครีมลดรอยแผลเป็นสิว
การเลือกครีมลดรอยแผลเป็นสิวที่มี “ส่วนผสมทางเภสัชกรรมที่มีงานวิจัยรองรับ” เป็นสิ่งสำคัญ ครีมลดรอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพจะมีส่วนประกอบดังนี้

2.1 Niacinamide (วิตามินบี 3)
• ลดการสร้างเม็ดสี ลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นรอยดำจางลง
• ลดการอักเสบ ลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นรอยแดงลดเร็ว
• เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

2.2 Vitamin C (Ascorbic Acid)
• ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้รอยดำจางเร็ว
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
• ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดดเสมอเพื่อลดรอยแผลเป็นสิว

2.3 Alpha Arbutin
• ยับยั้งเอนไซม์ที่กระตุ้นเม็ดสี
• ปลอดภัยกว่าไฮโดรควิโนน เหมาะสำหรับใช้ต่อเนื่องในการลดรอยแผลเป็นสิว

2.4 Allantoin / Centella Asiatica
• ช่วยสมานแผล ลดการระคายเคือง
• เสริมการฟื้นฟูผิว และลดการเกิดแผลเป็นใหม่

2.5 Silicone Gel / Silicone Sheet
• ลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นการเกิดแผลเป็นนูน
• เหมาะสำหรับคนที่มีผิวเป็นลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นนูนง่าย หรือเพิ่งหายจากสิวอักเสบรุนแรง

ลดรอยแผลเป็นสิว

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

3.วิธีใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิวอย่างถูกต้อง
การใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิวให้เห็นผล จำเป็นต้อง สม่ำเสมอ และทำควบคู่กับการดูแลอื่นๆ ดังนี้

ขั้นตอนการใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิว
1.ล้างหน้าให้สะอาด และซับหน้าให้แห้ง
2.แต้มครีมลดรอยแผลเป็นสิวเฉพาะจุด บริเวณที่เป็นรอย โดยไม่จำเป็นต้องทาทั่วใบหน้า
3.ใช้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน แล้วตามด้วยครีมกันแดดในตอนเช้า
4.หากใช้ร่วมกับกรดผลไม้หรือเรตินอยด์ ควรเว้นเวลาอย่างน้อย 20-30 นาที เพื่อลดการระคายเคือง

4.ระยะเวลาเห็นผลในการใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิว
• ลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นรอยแดง เห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์
• ลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นรอยดำ เห็นผลใน 4-8 สัปดาห์
• ลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นหลุมสิว ต้องใช้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น เลเซอร์หรือทรีตเมนต์ โดยครีมช่วยฟื้นฟูร่วมเท่านั้น

หมายเหตุ ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาเห็นผลในการลดรอยแผลเป็นสิว ได้แก่ สภาพผิว, อายุ, การใช้ผลิตภัณฑ์อื่นร่วม, และการป้องกันแสงแดด

5.ข้อควรระวังในการใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิว
• หลีกเลี่ยงครีมลดรอยแผลเป็นสิวที่มี แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารฟอกผิวแรงๆ โดยเฉพาะในคนผิวแพ้ง่าย
• หากมีอาการระคายเคืองในการลดรอยแผลเป็นสิว เช่น แสบ แดง ควรหยุดใช้ชั่วคราวและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
• ไม่ควรใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิวหลายตัวผสมกันในครั้งเดียว เพราะอาจเกิดการระคายเคืองหรือการต่อต้านกันของสาร

6.ทริคแนะนำสำหรับการใช้ครีมลดรอยแผลเป็นสิว
• ครีมลดรอยแผลเป็นสิวเป็นเพียง “แนวทางหนึ่ง” ควรใช้ร่วมกับการดูแลอื่น เช่น การทาครีมกันแดด, การกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือปรึกษาแพทย์เมื่อมีรอยแผลเป็นที่ลึกหรือเป็นมานาน
• การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นสิว ควรพิจารณาตาม “ประเภทของรอย” และ “สภาพผิวเฉพาะบุคคล”
• ผู้ที่มีปัญหาผิวซ้ำซากควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินสภาพผิวอย่างแม่นยำ และวางแผนการรักษาแบบองค์รวม

ทาเจลว่านหางจระเข้ลดรอยแผลเป็นสิว
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันมานานในฐานะพืชบำรุงผิว โดยเฉพาะในเรื่องของ การลดการอักเสบและการสมานแผล หลายคนจึงนำมาใช้กับลดรอยแผลเป็นสิว เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

แต่คำถามคือ “เจลว่านหางจระเข้ช่วยลดรอยแผลเป็นสิวได้จริงหรือไม่” คำตอบคือ สามารถลดรอยแผลเป็นสิวได้บางส่วน และผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงประเภทของรอยแผลเป็นด้วย

กลไกการทำงานของว่านหางจระเข้กับการลดรอยแผลเป็นสิว
ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) มีสารออกฤทธิ์หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลผิว ได้แก่

• Aloin และ Aloesin ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงมีส่วนช่วยลดรอยดำจากสิว
• Polysaccharides กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และช่วยสมานแผล
• Glycoproteins ลดการอักเสบและระคายเคือง
• วิตามิน E, C และ Zinc ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมผิว

รอยแผลเป็นสิวแบบไหนที่ว่านหางจระเข้ช่วยลดรอยแผลเป็นสิวได้

ประเภทของรอย

ว่านหางจระเข้ช่วยในระดับไหน

เหตุผล

รอยแดง (PIE)

ช่วยได้ดี

ลดการอักเสบและการระคายเคือง

รอยดำ (PIH)

ช่วยได้ปานกลาง

ช่วยยับยั้งเม็ดสี แต่ต้องใช้เวลานาน

หลุมสิว

ช่วยได้น้อย

ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจนหรือเติมเต็มผิว

แผลเป็นนูน

ไม่แนะนำ

ไม่มีผลยับยั้งคอลลาเจนเกิน

เจลว่านหางจระเข้มีประโยชน์กับรอยแดงและรอยดำจากสิวเป็นหลัก แต่ไม่เหมาะกับการลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นแผลเป็นลึกหรือนูน

วิธีใช้เจลว่านหางจระเข้ให้ได้ผลสูงสุดในการลดรอยแผลเป็นสิว
1.เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของว่านหางจระเข้สูง (ควรดูว่า Aloe Vera อยู่ลำดับต้นๆ ในส่วนผสม)
2.ทาหลังล้างหน้า วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น โดยทาบางๆ ลงบนรอยสิว
3.หลีกเลี่ยงเจลที่มีแอลกอฮอล์หรือกลิ่นหอม ซึ่งอาจระคายเคืองผิว
4.หมั่นใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผล
5.สามารถแช่เย็นก่อนใช้ เพื่อเพิ่มความเย็น ลดการอักเสบเฉพาะจุด

ทานวิตามินเสริมเพื่อลดรอยแผลเป็นสิว
การดูแลผิวจากภายในเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะการเสริมวิตามินเพื่อฟื้นฟูสภาพผิว ลดรอยแผลเป็นสิว และป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวตามวัย ซึ่งแพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ Vitamin C, Vitamin A และ Vitamin B3 เป็นหลัก เพราะมีงานวิจัยรองรับว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวในหลายด้าน

ทำไมวิตามินจึงสำคัญต่อผิวและช่วยลดรอยแผลเป็นสิว
• ร่างกายอาจได้รับวิตามินไม่เพียงพอจากอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่พักผ่อนน้อยหรือมีพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว เช่น การเผชิญแดดจัด หรือความเครียดสะสม
• วิตามินบางชนิดมีบทบาทเฉพาะทางในเรื่องผิว เช่น ลดรอยแผลเป็นสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือยับยั้งเม็ดสี

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Vitamin C (วิตามินซี)
• เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากมลภาวะและรังสียูวี
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึงและลดเลือนริ้วรอย
• ยับยั้งเอนไซม์ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้รอยดำจากสิวจางลง
• ส่งเสริมการสมานแผลและลดการอักเสบ ทำให้รอยแผลจากสิวหายเร็วขึ้น
• ปริมาณแนะนำ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวัน

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Vitamin A (เรตินอยด์หรือเบต้าแคโรทีน)
• ควบคุมการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน ช่วยลดสิว
• กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ จึงเหมาะกับผู้ที่มีแผลหรือรอยจากสิว
• เสริมการทำงานของผิวให้แข็งแรง ลดอาการแพ้ง่าย
• พบได้ในอาหารเสริมทั้งในรูปแบบ Retinyl Palmitate และ Beta-Carotene
• ปริมาณแนะนำ ไม่เกิน 5,000 IU ต่อวัน หากไม่มีการตรวจโดยแพทย์

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Vitamin B3 (ไนอาซินาไมด์)
• ลดการอักเสบของผิว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของสิวและรอยแดง
• ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว จึงช่วยลดรอยดำได้อย่างปลอดภัย
• ส่งเสริมการสร้างเซราไมด์ ช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้น
• มีคุณสมบัติช่วยควบคุมความมัน ทำให้สิวเกิดซ้ำน้อยลง
• ปริมาณแนะนำ 16-35 มิลลิกรัมต่อวัน (ในบางสูตรเสริมผิวอาจมากกว่าเล็กน้อย)

ข้อควรพิจารณาในการเลือกและใช้วิตามินเสริมในการลดรอยแผลเป็นสิว
• ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุปริมาณและรูปแบบวิตามินชัดเจน เช่น Vitamin C แบบ Buffered หรือ Liposomal ที่ดูดซึมได้ดี
• ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดรอยแผลเป็นสิว
• ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้วิตามินทำงานเต็มประสิทธิภาพ
• ใช้ควบคู่กับการดูแลผิวภายนอกเพื่อลดรอยแผลเป็นสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำ การหลีกเลี่ยงแสงแดด และการนอนหลับให้เพียงพอ

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยเรตินอล
เรตินอล (Retinol) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในเวชสำอางและการรักษาปัญหาผิวพรรณ โดยเฉพาะเรื่อง สิว ริ้วรอย และลดรอยแผลเป็นสิว เรตินอลได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากว่า สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวได้จริง

เรตินอลคืออะไร ?
• เรตินอลเป็นหนึ่งในกลุ่มของ เรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ
• มีคุณสมบัติหลักในการ เร่งการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
• สามารถพบในผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ใช้ภายนอก เช่น เซรั่ม ครีมบำรุง และเจลรักษาสิว

กลไกการทำงานของเรตินอลกับการลดรอยแผลเป็นสิว
1.เร่งการผลัดเซลล์ผิว
- เรตินอลช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดลอกออกเร็วขึ้น
- ลดรอยแผลเป็นสิว ทำให้รอยดำและรอยแดงจากสิวจางลงเร็วกว่าปกติ

2.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ช่วยเติมเต็มร่องลึกในหลุมสิว
- ลดรอยแผลเป็นสิวและความชัดของแผลเป็นแบบหลุมตื้นหรือหลุมขนาดเล็ก

3.ควบคุมความมันและลดสิวใหม่
- ป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดซ้ำ ซึ่งช่วยลดการเกิดแผลเป็นใหม่

4.สม่ำเสมอผิวและปรับสีผิวให้เรียบเนียน
- รอยดำหรือรอยคล้ำจากสิวจะค่อยๆ จางลง
- ทำให้โทนสีผิวดูเรียบและกระจ่างใสมากขึ้น

วิธีใช้เรตินอลอย่างถูกต้องเพื่อลดรอยแผลเป็นสิว
1.เริ่มจากความเข้มข้นต่ำในการลดรอยแผลเป็นสิว
- เริ่มที่ 0.025% หรือ 0.05% เพื่อให้ผิวปรับตัวก่อน
- เมื่อผิวแข็งแรงขึ้นจึงเพิ่มความเข้มข้น เช่น 0.1% หรือสูงกว่า

2.ใช้เฉพาะตอนกลางคืน
- เรตินอลไวต่อแสงแดดมาก ควรใช้ก่อนนอน
- เช้าให้ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน

3.ใช้ในปริมาณน้อยและแต้มบางๆ ในการลดรอยแผลเป็นสิว
- ประมาณเมล็ดถั่วเขียวก็เพียงพอสำหรับทั้งหน้า
- ทาเฉพาะจุดที่มีปัญหาก็ได้

4.เริ่มใช้แบบวันเว้นวัน
- เพื่อลดการระคายเคืองและอาการลอกในช่วงเริ่มต้น
- เมื่อผิวปรับตัวได้แล้วค่อยเพิ่มความถี่เป็นทุกคืน

5.ทามอยส์เจอไรเซอร์คู่กัน
- เพื่อป้องกันผิวแห้งหรือแสบแดง
- ควรทามอยส์เจอไรเซอร์หลังเรตินอลทันที

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยรีจูรัน
รีจูรัน (Rejuran) คือสารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน (PDRN - Polynucleotide) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการ ฟื้นฟูเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

ในแง่ของการลดรอยแผลเป็นสิว
• ช่วยฟื้นฟูหลุมสิวตื้น ให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
• ลดรอยแผลเป็นสิว ลดรอยแดงและรอยดำ จากสิวโดยการเสริมการไหลเวียนของเลือดและการซ่อมแซมผิว
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย และต้องการฟื้นฟูผิวแบบไม่รุนแรง

วิธีใช้รีจูรันในการลดรอยแผลเป็นสิว มักใช้ในรูปแบบ “Rejuran Healer” โดยแพทย์จะฉีดตัวยาเข้าสู่ผิวโดยตรง (Mesotherapy) ในบริเวณที่มีปัญหา

ผลลัพธ์ลดรอยแผลเป็นสิว เห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ และแนะนำทำต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ระยะยาว

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Belotero Revive
Belotero Revive คือผลิตภัณฑ์ฉีดผิวในกลุ่ม Skin Booster ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นฟูเซลล์ผิว และลดรอยแผลเป็นสิวตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นของการลดรอยแผลเป็นสิว
• เติมเต็มผิวในระดับชั้นตื้น ช่วยลดรอยแผลเป็นสิว หลุมสิวตื้นดูเรียบเนียนขึ้น
• เพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และความกระจ่างใสของผิว
• กระตุ้นการซ่อมแซมผิวและลดรอยแผลเป็นสิวที่เป็นรอยดำจากสิว
• เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำซึ่งทำให้แผลเป็นดูเด่นชัดขึ้น

ผลลัพธ์การลดรอยแผลเป็นสิว ผิวดูเรียบขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น ภายใน 1-2 สัปดาห์ และมักแนะนำทำต่อเนื่อง 2-3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ยาวนาน

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Hifu
HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) คือเทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงที่ลงลึกถึงชั้น SMAS (ใต้ผิวหนัง) เพื่อ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่

สำหรับลดรอยแผลเป็นสิว โดยเฉพาะหลุมสิวตื้น
• ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้น
• กระตุ้นการซ่อมแซมผิวจากภายในโดยไม่ต้องฉีดหรือผ่าตัด
• ช่วยลดรอยแผลเป็นสิว ความลึกของหลุมสิวและปรับผิวให้ดูสม่ำเสมอมากขึ้น
• เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยร่วมกับหลุมสิว

ผลลัพธ์เพื่อลดรอยแผลเป็นสิว ผิวดูเรียบขึ้นภายใน 4-8 สัปดาห์หลังทำ และอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

ลดรอยแผลเป็นสิว

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยหัตถการ Pico Laser
Pico Laser คือเลเซอร์ความเร็วสูงระดับ picosecond ที่สามารถส่งพลังงานไปยังผิวได้อย่างแม่นยำในเวลาสั้นมาก จึงช่วย ลดรอยแผลเป็นสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำร้ายผิวรอบข้าง

จุดเด่นในการลดรอยแผลเป็นสิว
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
• ลดรอยแผลเป็นสิว ที่เป็นรอยดำและรอยแดงจากสิวได้อย่างปลอดภัย
• เหมาะกับทุกสีผิว เสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังเลเซอร์น้อย
• เจ็บน้อย พักฟื้นไว สามารถแต่งหน้าหลังทำได้ใน 1 วัน

ผลลัพธ์ในการลดรอยแผลเป็นสิว เห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก และแนะนำทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิวด้วยหัตถการ Fractional CO2 Laser
Fractional CO2 Laser คือเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความร้อนเจาะลึกลงไปในผิวแบบจุดเล็กๆ (fractional) เพื่อ กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะกับการลดรอยแผลเป็นสิว ที่เป็นหลุมสิวลึกหรือแผลเป็นที่เป็นมานาน

จุดเด่นลดรอยแผลเป็นสิวด้วย Fractional CO2 Laser
• ลดความลึกของหลุมสิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
• เห็นผลชัดเจนหลังทำ 1-3 ครั้ง
• กระตุ้นผิวให้สร้างเซลล์ใหม่จากภายใน
• อาจมีรอยแดง/ลอกผิวประมาณ 5-7 วัน

ผลลัพธ์ลดรอยแผลเป็นสิว ผิวฟื้นตัวเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ และดีขึ้นเรื่อยๆ ใน 2-3 เดือนหลังทำ

ลดรอยแผลเป็นสิวต้องใช้เวลานานแค่ไหน
ระยะเวลาลดรอยแผลเป็นสิว ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยแผลเป็นและวิธีการรักษา เช่น

• รอยแดง / รอยดำ ใช้เวลาประมาณ 4-12 สัปดาห์ หากดูแลอย่างต่อเนื่องด้วยครีมหรือเลเซอร์เบาๆ
• หลุมสิวตื้น ประมาณ 2-4 เดือน เมื่อใช้เรตินอล เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ร่วม
• หลุมสิวลึกหรือแผลเป็นเรื้อรัง อาจใช้เวลานาน 6 เดือนขึ้นไป และต้องทำหัตถการหลายครั้ง เช่น Subcision, Laser หรือฉีดฟิลเลอร์ร่วม

สม่ำเสมอในการดูแลคือกุญแจสำคัญ และควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคน

ลดรอยแผลเป็นสิวให้หายขาดได้ไหม
การลดรอยแผลเป็นสิวให้หายขาดจะขึ้นอยู่กับ “ประเภท” ของรอยแผลเป็นจากสิว

1.รอยแดง (PIE) และ รอยดำ (PIH)
- เป็นรอยชั้นตื้นของผิว ไม่ใช่แผลเป็นถาวร
- สามารถหายขาดได้ หากดูแลอย่างเหมาะสม เช่น ทาครีม, ทากันแดด, เลเซอร์
- มักจางลงเองภายใน 1-3 เดือน หากไม่มีการอักเสบซ้ำ

2.หลุมสิว (Atrophic Scars)
- เกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อผิวถาวร
- ไม่สามารถหายขาดได้ 100% แต่สามารถฟื้นฟูให้ผิวเรียบขึ้นมากถึง 60-90%
- ต้องใช้หัตถการในการลดรอยแผลเป็นสิว เช่น เลเซอร์, Subcision, Microneedling หรือฟิลเลอร์ ร่วมกันหลายครั้ง

3.แผลเป็นนูน (Hypertrophic / Keloid)
- เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกิน
- รักษาให้แผลเรียบและไม่โตต่อได้ แต่ต้องเฝ้าระวังการกลับมาใหม่
- ใช้การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือเลเซอร์เฉพาะทางร่วมกับการดูแลระยะยาว

ลดรอยแผลเป็นสิว

รวมวิธีลดรอยแผลเป็นสิว ให้หน้ากระจ่างใส วิธีไหนดี เห็นผลดีที่สุด

ลดรอยแผลเป็นสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับลดรอยแผลเป็นสิว
การลดรอยแผลเป็นสิว จะต้องดูก่อนว่ารอยแผลเป็นสิวของเราเป็นแบบไหน และวิธีไหนในการรักษาเหมาะสมกับรอยสิวบนใบหน้าของเรา แต่วิธีป้องกันรอยแผลสิวที่ดีที่สุดคือ ถ้าเป็นสิวห้ามบีบ หรือแกะสิว จนทำให้เกิดรอย เพราะบางทีการรักษารอยสิวยากกว่าการรักษาสิวด้วยซ้ำ แต่ถ้าเกิดใครตอนนี้กำลังรักษาลดรอยแผลเป็นสิวอยู่ แล้วยังไม่เห็นผลควรไปปรึกษาคุณหมอเพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างตรงจุด แต่สุดท้ายแล้วระหว่างการรักษาอย่างเพิ่งใจร้อนนะ เพราะรอยแผลสิว ต้องใช้เวลาในการรักษา ถ้าเรารักษาลดรอยแผลเป็นสิวอย่างถูกวิธี มั่นใจได้เลยว่าผิวจะกลับมากระจ่างใสได้อีกครั้งอย่างแน่นอน

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ