romrawin

ตัดพังผืดหลุมสิว คืออะไร ช่วยรักษาหลุมสิวให้หายได้อย่างไร

ตัดพังผืดหลุมสิว

ตัดพังผืดหลุมสิว คืออะไร ช่วยรักษาหลุมสิวได้อย่างไร
หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน เพราะทำให้พื้นผิวไม่เรียบเนียน หนึ่งในวิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยม คือ การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) ซึ่งมีจุดเด่นที่สามารถแก้ปัญหาหลุมสิวได้ตรงจุด และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับวิธีการตัดพังผืดหลุมสิวอย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทของหลุมสิวที่เหมาะสม ข้อดี ข้อควรระวัง ไปจนถึงการเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลตัวเองหลังทำ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกในการฟื้นฟูผิวหน้าให้เรียบเนียนอีกครั้ง

ตัดพังผืดหลุมสิวคืออะไร
การตัดพังผืดหลุมสิว หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Subcision คือเทคนิคการรักษาหลุมสิวชนิดหนึ่ง ที่ทำโดยการใช้เข็มปลายพิเศษ เช่น Nokor Needle หรือเข็มแบบทู่ สอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อตัดเส้นใยพังผืด ที่ดึงรั้งผิวเอาไว้ให้เป็นหลุมลึกลงไป พังผืดเหล่านี้เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติหลังการอักเสบจากสิว แต่บางครั้งร่างกายซ่อมแซมผิดปกติ ทำให้เกิดการยึดรั้งจนเกิดเป็นหลุมสิวถาวร

การตัดพังผืดหลุมสิวมีจุดมุ่งหมายหลัก 2 อย่างคือ
• ตัดพังผืดหลุมสิวปลดปล่อยผิวจากการยึดรั้งของพังผืด
• ตัดพังผืดหลุมสิวกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจนใหม่ เติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

หลังจากตัดพังผืดหลุมสิวแล้ว ผิวจะค่อย ๆ ฟื้นตัวและเรียบเนียนขึ้น ตามกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกายเอง

หลักการทำงานของการตัดพังผืดหลุมสิว
การตัดพังผืดหลุมสิวทำงานบนพื้นฐานของการปลดปล่อยพังผืดที่ดึงรั้งผิว พร้อมทั้งกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ตามธรรมชาติของร่างกาย โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1.ระบุจุดที่มีพังผืดรั้งใต้ผิว
ก่อนการตัดพังผืดหลุมสิว แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด เพื่อระบุจุดที่มี พังผืด (Fibrotic bands) ดึงรั้งอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลักษณะหลุมสิว

2.ใช้เข็มพิเศษเจาะเข้าสู่ชั้นผิวหนัง
แพทย์จะใช้เข็มปลายทู่ หรือเข็มพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เช่น Nokor needle เจาะผ่านผิวชั้นบนลงไปยังบริเวณที่มีพังผืดรั้งอยู่ โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอกมากเกินไป

3.ตัดและปลดปล่อยพังผืด
เมื่อเข็มถึงชั้นพังผืด แพทย์จะขยับเข็มไปมาในลักษณะพิเศษ เพื่อตัดเส้นใยพังผืด ที่กำลังดึงรั้งผิวให้เป็นหลุม ทำให้ผิวชั้นบนที่เคยถูกดึงรั้งสามารถเด้งตัวขึ้นอย่างอิสระ ส่งผลให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นทันทีบางส่วน

4.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
หลังจากตัดพังผืดหลุมสิว ร่างกายจะตอบสนองต่อการบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ด้วยการ

• กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ในบริเวณที่ได้รับการรักษา
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ (Neocollagenesis) เพื่อเติมเต็มพื้นที่ว่างที่เกิดขึ้นจากการตัดพังผืด
• ส่งผลให้บริเวณหลุมสิวเรียบเนียนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังการรักษา

5.การสมานแผลและการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ
กระบวนการสมานแผล (Healing process) จะทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น หลุมตื้นขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งเนื้อเยื่อใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าก่อนการตัดพังผืด

ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับหลุมสิวแบบไหน
การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) เป็นเทคนิคที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรักษาหลุมสิวบางประเภท ที่เกิดจากพังผืดดึงรั้งใต้ผิว ซึ่งทำให้ผิวบุ๋มลงไปอย่างเห็นได้ชัด วิธีนี้จึงมีความเหมาะสมแตกต่างกันตามชนิดของหลุมสิว ดังนี้

1.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับหลุมสิวแบบ Rolling Scar
• ลักษณะผิวดูเป็นคลื่นลอน ๆ ไม่เรียบสม่ำเสมอ มักจะมีขนาดกว้างและตื้นลึกไม่เท่ากัน คล้ายเนินคลื่นบนพื้นผิว
• สาเหตุเกิดจากพังผืดยึดรั้งผิวหนังชั้นล่างเอาไว้
• เหตุผลที่เหมาะ การตัดพังผืดช่วยปลดปล่อยแรงดึงรั้งของพังผืดได้อย่างตรงจุด ทำให้พื้นผิวเรียบขึ้นอย่างชัดเจน

2.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับหลุมสิวแบบ Boxcar Scar (บางกรณี)
• ลักษณะรอยหลุมมีขอบค่อนข้างชัด เป็นวงกลมหรือวงรี มีขนาดปานกลางถึงใหญ่ ความลึกระดับตื้นถึงกลาง
• สาเหตุเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในผิวอย่างเฉียบพลันและการเกิดพังผืดยึดรั้ง
• เหตุผลที่เหมาะ ถ้าหลุมมีพังผืดร่วมด้วย การตัดพังผืดหลุมสิวสามารถช่วยปลดปล่อยแรงดึงและทำให้หลุมดูตื้นขึ้นได้ แต่บางกรณีที่หลุมลึกหรือมีขอบชัดมาก อาจต้องทำการรักษาร่วมกับเลเซอร์หรือเทคนิคอื่นด้วย

3.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar
• ลักษณะหลุมเล็กแคบลึก คล้ายรอยถูกเจาะ
• สาเหตุเกิดจากการทำลายเนื้อเยื่ออย่างรุนแรงลึกถึงชั้นหนังแท้
• เหตุผลที่ไม่เหมาะ พังผืดมีบทบาทน้อยในหลุมประเภทนี้ และการตัดพังผืดหลุมสิวไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างหลุมแคบลึกได้ มักต้องใช้วิธีการรักษาเฉพาะ เช่น TCA CROSS หรือการเจาะหลุม (Punch Excision)

4.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับหลุมสิวตื้นทั่วไป หรือรอยแดงรอยดำจากสิว
• รอยตื้นจากสิวที่ยังไม่เกิดพังผืด ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคตัดพังผืดหลุมสิว อาจเหมาะกับการใช้เลเซอร์ฟื้นฟูผิว หรือการทายาเฉพาะจุดมากกว่า

ตัดพังผืดหลุมสิวมีข้อดีอะไรบ้าง
การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) เป็นหนึ่งในวิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะมี ข้อดีหลากหลายอย่าง ทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ดังนี้

1.ตัดพังผืดหลุมสิวรักษาที่ต้นเหตุของหลุมสิวโดยตรง
• หลุมสิวแบบ Rolling Scar และ Boxcar Scar ส่วนใหญ่เกิดจากพังผืดยึดรั้งผิว
• การตัดพังผืดจึงเข้าไปแก้ที่ต้นเหตุโดยตรง คือ การตัดเส้นใยพังผืดที่ดึงผิวลง
• เมื่อปลดพังผืดได้ ผิวจะเด้งตัวขึ้น และหลุมสิวจะตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

2.ตัดพังผืดหลุมสิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว
• หลังจากตัดพังผืดหลุมสิว ร่างกายจะมีกระบวนการสมานแผลโดยธรรมชาติ
• กระบวนการนี้ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่
• ช่วยให้ผิวฟูขึ้น เรียบเนียนขึ้น ไม่เพียงแค่แก้หลุม แต่ยังเสริมความแข็งแรงให้ผิวโดยรวม

3.ตัดพังผืดหลุมสิวเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
• การตัดพังผืดหลุมสิวจะไม่เห็นผลแค่ทันที แต่ผิวจะฟื้นตัวและดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 3-6 เดือนหลังทำ
• หลุมสิวจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นตามกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ

4.ตัดพังผืดหลุมสิวสามารถทำซ้ำได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
• หากหลุมยังคงลึกหรือต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
• การตัดพังผืดหลุมสิวสามารถทำซ้ำได้ทุก 6-8 สัปดาห์ตามการประเมินของแพทย์
• แต่ละครั้งที่ทำจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจน และเสริมผลการรักษาให้ดียิ่งขึ้น

5.ตัดพังผืดหลุมสิวสามารถผสมผสานกับการรักษาอื่นได้
• การตัดพังผืดหลุมสิวสามารถทำร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น
- เลเซอร์ฟื้นฟูผิว ช่วยเก็บรายละเอียดของผิวให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น
- ฟิลเลอร์เติมเต็ม ช่วยเติมเนื้อบริเวณที่ยุบตัวลึก
• การทำหัตถการเสริมเหล่านี้ช่วยยกระดับผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้นอีกหลายเท่า

6.ตัดพังผืดหลุมสิวเป็นวิธีที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์
• การตัดพังผืดหลุมสิวเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่มีรอยแผลขนาดใหญ่
• ตัดพังผืดหลุมสิวความเสี่ยงต่ำเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ที่มีทักษะสูง
• อาการข้างเคียง เช่น รอยช้ำหรือบวม เป็นเพียงชั่วคราว และสามารถฟื้นตัวได้ภายในไม่กี่วันถึงสัปดาห์

ข้อควรระวังในการตัดพังผืดหลุมสิว
แม้ว่าการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว แต่ก็มีข้อควรระวังหลายอย่างที่ต้องใส่ใจ เพื่อให้การรักษาปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

1.ตัดพังผืดหลุมสิวต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
• การตัดพังผืดหลุมสิวต้องใช้เทคนิคที่แม่นยำสูง เช่น การกำหนดตำแหน่งและความลึกของการตัด
• หากทำโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ อาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลผิดชั้น หรือทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาทสำคัญเสียหายได้

2.ตัดพังผืดหลุมสิวเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำและบวม
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว มักพบรอยช้ำและอาการบวมในบริเวณที่รักษาได้เป็นปกติ
• โดยทั่วไป รอยช้ำจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในบางกรณีอาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

3.ตัดพังผืดหลุมสิวโอกาสเกิดรอยแผลเป็นใหม่
• หากการตัดพังผืดหลุมสิวลึกเกินไปหรือแรงเกินไป อาจทำให้เกิดการสร้างพังผืดหรือแผลเป็นใหม่ขึ้นมาแทนที่
• โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นนูน (คีลอยด์) หรือมีประวัติแผลเป็นผิดปกติ

4.ตัดพังผืดหลุมสิวเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
• แม้ว่าจะเป็นหัตถการเล็ก แต่การตัดพังผืดหลุมสิวถือว่าเป็นการทำลายผิวบางส่วน
• หากการทำความสะอาดเครื่องมือ หรือการดูแลหลังทำไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อใต้ผิวได้
• การปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการดูแลแผลหลังทำจึงสำคัญมาก

5.ตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนัง (Hematoma)
• บางกรณีอาจเกิดการสะสมของเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดก้อนเลือด
• หากก้อนเลือดมีขนาดใหญ่ อาจต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากแพทย์ เช่น การระบายเลือดออก

6.ตัดพังผืดหลุมสิวอาจต้องทำหลายครั้งจึงเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
• การตัดพังผืดอาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความลึกและความรุนแรงของหลุมสิว
• ผู้เข้ารับการรักษาควรมีความเข้าใจว่าผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น ไม่ใช่เห็นผลชัดเจนหลังทำเพียงครั้งเดียว

ตัดพังผืดหลุมสิวอันตรายไหม
การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) โดยทั่วไปถือว่าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง หากดำเนินการโดยแพทย์และอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการรักษาผิวทุกประเภท การตัดพังผืดหลุมสิวก็มี ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่ระมัดระวังหรือได้รับการดูแลไม่ดีพอ

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบ
1.รอยช้ำและบวม
• เกิดจากเส้นเลือดใต้ผิวหนังถูกกระทบกระเทือนขณะตัดพังผืด
• อาการเหล่านี้มักเป็นเพียงชั่วคราว และจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

2.เลือดออกใต้ผิวหนัง (Hematoma)
• หากมีเลือดออกมากอาจเกิดเป็นก้อนเลือดสะสม
• อาจต้องให้แพทย์ดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือความผิดปกติของผิวในอนาคต

3.ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
• เกิดจากการเปิดแผลเล็ก ๆ ใต้ผิว ถ้าไม่ดูแลความสะอาดอย่างถูกต้อง
• ต้องมีการทำความสะอาดเครื่องมือและบริเวณรักษาอย่างเคร่งครัด และดูแลแผลอย่างเหมาะสมหลังทำ

4.การเกิดพังผืดใหม่หรือแผลเป็นผิดปกติ
• บางรายที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์หรือแผลนูนง่าย อาจเกิดพังผืดใหม่มากเกินไป
• จำเป็นต้องประเมินโดยแพทย์ก่อนการรักษา

5.ความเสียหายต่อเส้นประสาทหรือเส้นเลือดใหญ่ (พบได้น้อยมาก)
• ถ้าทำในบริเวณที่มีเส้นเลือดหรือเส้นประสาทขนาดใหญ่ และตัดพังผืดลึกเกินไป อาจเกิดการบาดเจ็บได้
• ความเสี่ยงนี้ลดลงอย่างมากเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์

ตัดพังผืดหลุมสิวมีผลข้างเคียงไหม
แม้ว่าการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) จะเป็นเทคนิคที่มีความปลอดภัยสูงและให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ในบางราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองเมื่อได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังการตัดพังผืดหลุมสิว
1.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีรอยช้ำ
การตัดพังผืดหลุมสิวอาจกระทบเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยช้ำบริเวณที่ทำหัตถการ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ รอยช้ำมักจะจางหายเองภายใน 7-14 วัน และไม่ส่งผลระยะยาวต่อผิว

2.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีอาการบวม
อาจพบอาการบวมเล็กน้อยถึงปานกลางในบริเวณที่ทำการรักษา อันเป็นผลจากกระบวนการอักเสบเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ อาการบวมจะลดลงภายใน 2-5 วันหลังทำ

3.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจปวดหรือระบมใต้ผิวหนัง
หลังการรักษา อาจมีอาการปวดตึงหรือตึงระบมใต้ผิวบริเวณที่ทำหัตถการ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็นหรือตามคำแนะนำของแพทย์

4.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนัง
หากเส้นเลือดขนาดใหญ่ได้รับความเสียหาย อาจเกิดก้อนเลือดสะสมใต้ผิวหนัง ก้อนเลือดขนาดเล็กจะสลายเองได้ แต่ในบางกรณีอาจต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติม

5.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีการติดเชื้อ
แม้จะพบไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดได้หากแผลไม่ได้รับการดูแลอย่างสะอาด หรือหากมีการสัมผัสบริเวณแผลโดยไม่ล้างมือก่อน การติดเชื้อจะมีอาการบวมแดง ร้อน ปวด หรือมีหนอง และควรรีบพบแพทย์ทันที

6.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีรอยแผลเป็นผิดปกติ
ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์หรือแผลนูนง่าย มีโอกาสเกิดแผลเป็นผิดปกติหลังทำสูงกว่าคนทั่วไป จำเป็นต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงจากแพทย์ก่อนทำหัตถการ

7.หลังการตัดพังผืดหลุมสิวอาจมีการเกิดพังผืดใหม่ผิดปกติ
หากผิวหนังซ่อมแซมตัวเองผิดปกติ หรือมีการกระตุ้นซ้ำบ่อยเกินไป อาจเกิดพังผืดใหม่ใต้ผิว ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม จำเป็นต้องวางแผนการรักษาอย่างระมัดระวัง

ตัดพังผืดหลุมสิวต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มุ่งเน้นการปลดล็อกพังผืดที่ดึงรั้งใต้ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ แม้ว่าผู้เข้ารับการรักษาบางรายอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงหลังทำครั้งแรก แต่โดยทั่วไปแล้ว การรักษาหลุมสิวด้วยการตัดพังผืดหลุมสิวมักต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

จำนวนครั้งโดยทั่วไปที่แนะนำ
• ส่วนใหญ่จะต้องทำ ประมาณ 2-4 ครั้ง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
• การทำแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่าง อย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างสมบูรณ์
• จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
- ความลึกและจำนวนของหลุมสิว
- ประเภทของหลุมสิว (เช่น Rolling scar หรือ Boxcar scar)
- การตอบสนองของผิวแต่ละบุคคล
- การดูแลผิวหลังการรักษา

ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนครั้งที่ต้องทำ
1.ความรุนแรงของหลุมสิว
• หลุมสิวตื้น หรือมีจำนวนไม่มาก อาจเห็นผลชัดเจนตั้งแต่การทำครั้งแรกหรือครั้งที่สอง
• หลุมสิวลึก ขอบแข็ง หรือมีพังผืดหนาแน่นมาก อาจต้องทำหลายครั้งจึงจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

2.สภาพผิวและอายุของผู้รับการรักษา
• ผิวที่ยังมีการฟื้นตัวและสร้างคอลลาเจนได้ดี เช่น ผิวของคนอายุน้อย มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า
• ผิวของผู้ที่มีอายุหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ อาจต้องใช้ระยะเวลาและจำนวนครั้งมากขึ้น

3.การดูแลหลังการรักษา
• การดูแลตัวเองหลังทำ เช่น การหลีกเลี่ยงแสงแดด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะสม และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การฟื้นตัวดีขึ้นและลดจำนวนครั้งที่ต้องทำได้

รูปแบบการประเมินผลระหว่างการรักษา
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิวแต่ละครั้ง แพทย์จะทำการประเมินผลลัพธ์ประมาณ 6-8 สัปดาห์ต่อมา
• หากยังคงมีพังผืดที่ยึดรั้งผิว หรือหลุมยังคงลึก อาจแนะนำให้ทำซ้ำ
• บางกรณี อาจทำการผสมผสานการรักษา เช่น ร่วมกับเลเซอร์ ฟิลเลอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับใครบ้าง
1.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวประเภท Rolling Scar
• มีลักษณะเป็นผิวที่เป็นคลื่นหรือลอนเล็ก ๆ
• เกิดจากพังผืดยึดรั้งชั้นผิวหนังแท้ไว้
• การตัดพังผืดช่วยปลดปล่อยแรงดึงรั้งและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นได้อย่างชัดเจน

2.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวประเภท Boxcar Scar (บางกรณี)
• เป็นหลุมที่มีขอบชัดเจน รูปร่างเป็นวงกลมหรือวงรี
• หลุมมีความลึกระดับตื้นถึงปานกลาง
• การตัดพังผืดสามารถช่วยได้โดยเฉพาะเมื่อมีพังผืดยึดรั้งร่วมด้วย อาจต้องทำร่วมกับหัตถการอื่นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวลึกและเป็นมานาน
• หลุมสิวที่เกิดขึ้นหลังจากการอักเสบของสิวอย่างรุนแรง และยังคงอยู่เป็นเวลานานหลายปี
• พังผืดที่ยึดรั้งใต้ผิวมักแข็งแรง การตัดพังผืดสามารถช่วยปลดล็อกโครงสร้างของผิวได้

4.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับผู้ที่สุขภาพผิวและร่างกายแข็งแรงดี
• ผู้ที่ไม่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
• ไม่มีปัญหาติดเชื้อเรื้อรังที่ผิวหนัง หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้แผลหายช้า
• ผิวมีศักยภาพในการซ่อมแซมและฟื้นตัวได้ดี

5.ตัดพังผืดหลุมสิวเหมาะกับผู้ที่มีความเข้าใจและคาดหวังผลลัพธ์อย่างสมเหตุสมผล
• ผู้ที่เข้าใจว่าการรักษาอาจต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้ง
• ผู้ที่พร้อมดูแลตัวเองหลังทำ เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดด ดูแลแผลอย่างสะอาด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับใคร
1.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar หรือ Keloid)
• คนที่เคยมีประวัติเกิดแผลเป็นนูนหนาหลังจากการบาดเจ็บ ผ่าตัด หรือการทำหัตถการ
• การตัดพังผืดอาจกระตุ้นให้เกิดพังผืดใหม่หรือแผลเป็นนูน ซึ่งอาจทำให้สภาพผิวแย่ลงกว่าเดิม

2.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
• ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น Hemophilia
• ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟาริน หรือแอสไพริน) อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกผิดปกติและการเกิดก้อนเลือดใต้ผิวหนัง

3.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง
• หากมีการติดเชื้อเฉพาะที่ เช่น ฝี หรือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ยังไม่ได้รับการรักษา
• การทำหัตถการในภาวะที่มีเชื้ออยู่แล้วเสี่ยงต่อการกระจายเชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

4.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
• ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ
• ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
• การฟื้นตัวของผิวจะช้ากว่าปกติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น

5.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรังที่ยังควบคุมไม่ได้
• เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (Chronic Dermatitis)
• โรคเหล่านี้อาจกระตุ้นให้แผลหลังการตัดพังผืดหายช้า หรือมีการอักเสบรุนแรง

6.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
• แม้ไม่มีข้อห้ามที่ชัดเจน แต่โดยทั่วไปจะเลี่ยงการทำหัตถการที่ไม่จำเป็นในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็ก ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนเสมอ

7.ตัดพังผืดหลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีความคาดหวังผลลัพธ์ไม่สมเหตุสมผล
• เช่น ต้องการให้หลุมสิวหายราบสนิทภายในครั้งเดียว
• การตัดพังผืดช่วยฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถทำให้สภาพผิวเรียบเนียน 100% ได้ในทันที ต้องทำความเข้าใจเรื่องกระบวนการฟื้นตัวและระยะเวลาเห็นผล

ตัดพังผืดหลุมสิว vs เลเซอร์หลุมสิว
การรักษาหลุมสิว มีหลายวิธีที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะ การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) และ การทำเลเซอร์หลุมสิว ซึ่งทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อจำกัดต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและประเภทของหลุมสิวของแต่ละบุคคล การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้จะช่วยให้เลือกแนวทางการรักษาได้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision)
หลักการทำงาน
• ใช้เข็มปลายทู่สอดเข้าใต้ผิวเพื่อตัดเส้นใยพังผืดที่ดึงรั้งหลุมสิว
• เมื่อพังผืดถูกตัด ผิวจะเด้งตัวขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เติมเต็มผิวบริเวณที่ถูกตัด

เหมาะกับหลุมสิวประเภท
• Rolling Scar (หลุมแบบคลื่น)
• Boxcar Scar บางประเภท (หลุมขอบชัดระดับตื้นถึงกลาง)

ข้อดี
• แก้ไขต้นตอของหลุมสิวที่เกิดจากพังผืดได้โดยตรง
• ช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ใต้ผิว
• มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวลึกที่เกิดจากการยึดรั้ง

ข้อจำกัด
• มีรอยช้ำและบวมหลังทำ ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
• มักต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อเห็นผลชัดเจน
• ไม่เหมาะสำหรับหลุมสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมแคบลึกแบบ Ice Pick Scar

เลเซอร์หลุมสิว
หลักการทำงาน
• ใช้พลังงานแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปในผิว เพื่อทำลายผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
• กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในบริเวณที่มีปัญหา

ประเภทของเลเซอร์ที่ใช้บ่อย
Fractional CO2 Laser
• Erbium:YAG Laser
Picosecond Laser (ในบางเทคโนโลยีล่าสุด)

เหมาะกับหลุมสิวประเภท
• Boxcar Scar
• Rolling Scar ระดับตื้น
• Ice Pick Scar (ในบางกรณี ร่วมกับเทคนิคเสริม)

ข้อดี
• ปรับผิวโดยรวมได้ทั้งหลุมสิว ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอในคราวเดียว
• มีเทคโนโลยีหลากหลายให้เลือกตามสภาพผิว
• ฟื้นฟูเนื้อเยื่อผิวโดยไม่ต้องใช้เข็มเจาะเข้าใต้ผิว

ข้อจำกัด
• ต้องการการพักฟื้นระยะสั้นถึงกลาง ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์
• อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแดง รอยดำ หรือผิวไวต่อแสง
• ไม่สามารถตัดเส้นพังผืดที่รั้งหลุมได้โดยตรง เหมาะสำหรับปรับพื้นผิวโดยรวมมากกว่า

การเตรียมตัวก่อนตัดพังผืดหลุมสิว
การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนเข้ารับการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) มีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น รอยช้ำ บวม หรือติดเชื้อ และช่วยให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยทั่วไป ผู้เข้ารับการรักษาควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้

1.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า
• ทำการประเมินสภาพหลุมสิว ประเภท ความลึก และพิจารณาว่าตัดพังผืดเหมาะสมหรือไม่
• แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติสุขภาพ เช่น การใช้ยา โรคประจำตัว ประวัติการเกิดแผลเป็นผิดปกติ (เช่น คีลอยด์) และประวัติการติดเชื้อ
• หากมีการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน ควรแจ้งแพทย์ เพราะอาจต้องหยุดยาในระยะเวลาที่แพทย์กำหนดก่อนทำการรักษา

2.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิด
• หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี, น้ำมันปลา หรืออาหารเสริมบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 7 วันก่อนทำการตัดพังผืด
• ยาบางชนิดที่ทำให้เลือดออกง่าย ควรได้รับการพิจารณาโดยแพทย์ผู้รักษาก่อนเริ่มการรักษา

3.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรดูแลผิวหน้าให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
• หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์แรง ๆ การกรอผิว (Microdermabrasion) หรือการทำหัตถการใด ๆ ที่ระคายเคืองผิวในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนการรักษา
• งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลไม้ (AHA/BHA), เรตินอล หรือสารที่ทำให้ผิวบางลงชั่วคราว ก่อนการทำหัตถการประมาณ 5-7 วัน

4.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรพักผ่อนให้เพียงพอ
• การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวดีและลดความเสี่ยงของการฟกช้ำหรือการติดเชื้อหลังทำ
• หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพราะแอลกอฮอล์มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดและอาจทำให้รอยช้ำชัดเจนขึ้น

5.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรเตรียมอุปกรณ์ดูแลหลังทำให้พร้อม
• เตรียมน้ำแข็งหรือเจลประคบเย็นสำหรับลดอาการบวมหลังทำ
• เตรียมครีมบำรุงผิวหรือยาทาแผลที่แพทย์แนะนำ
• เตรียมหน้ากากอนามัยสะอาดเพื่อป้องกันการสัมผัสเชื้อเมื่อต้องออกนอกบ้านในช่วงฟื้นตัว

6.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรวางแผนการหยุดพักหรือเลี่ยงกิจกรรมหนัก
• การตัดพังผืดอาจทำให้มีรอยช้ำหรือบวมที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงแรก
• วางแผนหลีกเลี่ยงงานสำคัญ เช่น การประชุมใหญ่ การถ่ายภาพ หรือกิจกรรมกลางแจ้งหนัก ๆ ประมาณ 5-7 วันหลังการทำ
• งดออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากในช่วง 3-5 วันแรกหลังทำ

7.ก่อนตัดพังผืดหลุมสิวควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการรักษา
• เข้าใจว่าผลลัพธ์จะไม่เห็นทันที และหลุมสิวจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นตามกระบวนการฟื้นตัวของร่างกาย
• การตัดพังผืดอาจต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้ง และอาจต้องรักษาร่วมกับหัตถการอื่นเพิ่มเติม เช่น เลเซอร์ หรือฟิลเลอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การดูแลตัวเองหลังตัดพังผืดหลุมสิว
การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดผลข้างเคียง เช่น รอยช้ำ บวม ติดเชื้อ และช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็ว พร้อมทั้งเสริมประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนใหม่ เติมเต็มหลุมสิวให้เรียบเนียนได้ดีที่สุด

1.หลังตัดพังผืดหลุมสิวประคบเย็นเพื่อลดบวมและช้ำ
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ประคบเย็นบริเวณที่ทำการรักษาทันทีหลังทำ
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ควรประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-20 นาที ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
• ช่วยลดอาการบวม อักเสบ และรอยช้ำใต้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.หลังตัดพังผืดหลุมสิวหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดแรง ๆ บนใบหน้า
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ผิวบริเวณที่รักษาจะบอบบางกว่าปกติ
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ห้ามนวดหน้า กด หรือสัมผัสแรง ๆ ในบริเวณที่ทำการตัดพังผืดอย่างน้อย 7-10 วัน
• การกดแรง ๆ อาจทำให้เลือดออกซ้ำ หรือทำให้เกิดพังผืดใหม่ได้

3.หลังตัดพังผืดหลุมสิวรักษาความสะอาดบริเวณแผล
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้องและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว หลีกเลี่ยงการใช้โฟมล้างหน้าที่มีสารผลัดเซลล์ผิว หรือส่วนผสมที่ระคายเคือง เช่น AHA, BHA, Retinol
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ห้ามเช็ดแรง

4.หลังตัดพังผืดหลุมสิวหลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดทุกวัน
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว แสงแดดเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้รอยช้ำ รอยดำ หรือผิวอักเสบแย่ลง
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่ม
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรงในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังทำ

5.หลังตัดพังผืดหลุมสิวงดใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่ระคายเคือง
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการทำ
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์, กรดผลไม้, น้ำหอม หรือสารที่กระตุ้นการระคายเคือง
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นสูง และเหมาะกับผิวบอบบางตามคำแนะนำของแพทย์

6.หลังตัดพังผืดหลุมสิวหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระทบกระเทือนผิว
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว งดออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น วิ่ง, เวทเทรนนิ่ง, ว่ายน้ำ หรือการทำซาวน่า ประมาณ 5-7 วัน
• กิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากเกินไป อาจทำให้บวมและช้ำมากขึ้น

7.หลังตัดพังผืดหลุมสิวรับประทานอาหารที่ช่วยการฟื้นตัวของผิว
• รับประทานโปรตีนให้เพียงพอ เช่น เนื้อปลา ไข่ เต้าหู้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
• เพิ่มอาหารที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง เบอร์รี่ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

8.หลังตัดพังผืดหลุมสิวสังเกตอาการผิดปกติ
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว หากมีอาการบวมแดง ร้อนปวด หรือมีหนองที่แผล อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
• หรือหากรอยช้ำขยายตัวผิดปกติ หรือมีอาการปวดรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที

ตัดพังผืดหลุมสิวต้องพักฟื้นกี่วัน
หลังการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) แม้จะไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ แต่ผิวหนังบริเวณที่ได้รับการรักษาจะมีการบาดเจ็บเล็กน้อยจากการตัดพังผืดใต้ผิว จึงต้องมีช่วงเวลาในการพักฟื้น เพื่อให้ผิวฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด

ระยะเวลาพักฟื้นโดยทั่วไป
• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว 1-3 วันแรก
ช่วงนี้เป็นระยะที่มีอาการบวมและรอยช้ำชัดเจนที่สุด ควรประคบเย็น และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือเผชิญแสงแดดจัด

• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว 4-7 วัน
อาการบวมจะเริ่มลดลง รอยช้ำจะเริ่มจางลง แต่ยังคงมีร่องรอยบางจุด หากจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรป้องกันผิวด้วยครีมกันแดดและสวมหมวก

• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว 7-14 วัน
รอยช้ำและบวมส่วนใหญ่มักหายไปในช่วงนี้ ผิวเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัวเต็มที่ ร่างกายเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในบริเวณที่ทำการรักษา

• หลังการตัดพังผืดหลุมสิว 14 วันขึ้นไป
ผิวดูเรียบขึ้นมากขึ้น อาการผิดปกติ เช่น บวม หรือช้ำจะหายไปเกือบหมด สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ และค่อย ๆ เห็นผลการรักษาชัดเจนขึ้นในระยะ 1-3 เดือนหลังทำ

บทสรุปเกี่ยวกับการตัดพังผืดหลุมสิว
สรุปว่า การตัดพังผืดหลุมสิวเป็นเทคนิคการรักษาที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวจากพังผืดยึดรั้งใต้ผิว โดยเข้าไปแก้ไขที่ต้นเหตุอย่างตรงจุด พร้อมกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมผิวด้วยการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้หลุมสิวค่อย ๆ ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและถาวร

แม้ว่าการตัดพังผืดหลุมสิวจะมีข้อดีหลายประการ เช่น การรักษาที่ตรงสาเหตุ การเห็นผลอย่างต่อเนื่อง และสามารถทำร่วมกับเทคนิคอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องใส่ใจ เช่น ความเสี่ยงต่อรอยช้ำ การติดเชื้อ หรือการเกิดพังผืดใหม่

การเลือกทำหัตถการตัดพังผืดหลุมสิวกับแพทย์ และการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังการรักษา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและน่าพึงพอใจที่สุด สำหรับผู้ที่มีหลุมสิวลึกประเภท Rolling Scar หรือ Boxcar Scar การตัดพังผืดหลุมสิวถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถฟื้นคืนความเรียบเนียนและมั่นใจให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ