โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์กราม คืออะไร กี่วันเห็นผล ช่วยหน้าเรียวได้จริงไหม
ฉีดโบท็อกซ์กราม
ฉีดโบท็อกซ์กราม คืออะไร กี่วันเห็นผล ช่วยหน้าเรียวได้จริงไหม
ฉีดโบท็อกซ์กราม กี่วันเห็นผล ช่วยหน้าเรียวได้จริงไหม
การปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กและได้สัดส่วนกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่มีใบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อกรามที่นูนเด่น การฉีดโบท็อกซ์กรามจึงเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น แต่ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์กราม มาทำความเข้าใจว่า การฉีดโบท็อกซ์กรามคืออะไร ช่วยให้หน้าเรียวได้จริงหรือไม่ เห็นผลภายในกี่วัน ต้องฉีดกี่ยูนิต และอยู่ได้นานแค่ไหน
รวมถึงเปรียบเทียบฉีดโบท็อกซ์กรามกับการผ่าตัดเหลากราม เลเซอร์ยกกระชับ และแนะนำการเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เหมาะสม ไปจนถึงคำถามยอดฮิต เช่น โบท็อกซ์ของแท้ดูยังไง เจ็บไหม อันตรายหรือไม่ และดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการ และลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง
ฉีดโบท็อกซ์กรามคืออะไร
การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เข้าไปที่กล้ามเนื้อกราม (Masseter muscle) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลักที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร โดยกล้ามเนื้อนี้หากมีการใช้งานมาก เช่น บดเคี้ยวอาหารแข็ง กัดฟัน หรือเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อย ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามขยายใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูเหลี่ยม หน้ากว้าง หรือไม่เรียวได้รูปตามต้องการ เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไป กล้ามเนื้อจะค่อย ๆ คลายตัวจากการหดเกร็ง ทำให้กรามที่เคยนูนหรือใหญ่ดูเล็กลง โดยไม่ต้องผ่าตัด
ฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยอะไรบ้าง
การฉีดโบท็อกซ์กราม มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งในเชิงความงามและด้านสุขภาพ โดยสามารถสรุปประโยชน์หลัก ๆ ได้ดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยให้กล้ามเนื้อกรามที่นูนแข็งดูเล็กลง ทำให้ใบหน้าดูเรียวและสมส่วนมากขึ้น
• เหมาะกับผู้ที่มีรูปหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จากโครงกระดูก
2.ฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยลดขนาดกรามโดยไม่ต้องผ่าตัด
• โบท็อกซ์เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องศัลยกรรม ไม่มีแผล ไม่มีรอยเย็บ ใช้เวลาไม่นานและไม่ต้องพักฟื้น
• เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวการผ่าตัดหรือยังไม่พร้อมกับวิธีถาวร
3.ฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยแก้ปัญหากรามไม่เท่ากัน
• หากกล้ามเนื้อกรามด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้าน แพทย์สามารถฉีดในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดให้ใบหน้าสมดุลและสมมาตรยิ่งขึ้น
4.ฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยลดอาการนอนกัดฟันหรือขบฟันแน่น
• ผู้ที่มีปัญหานอนกัดฟันจนเกิดอาการปวดกราม ปวดขากรรไกร หรือปวดศีรษะ สามารถบรรเทาได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
• เป็นการลดแรงบดเคี้ยว และช่วยป้องกันการสึกหรอของฟัน
5.ฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยช่วยให้ใบหน้าอ่อนหวานและดูเด็กลง
• ใบหน้าที่กรามไม่เด่นชัดมากเกินไปจะทำให้ภาพรวมของใบหน้าดูซอฟต์และอ่อนโยนขึ้น
• บางกรณีช่วยลดลักษณะของความแข็งบนใบหน้าที่อาจทำให้ดูมีอายุมากขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์กรามทำให้หน้าเรียวจริงไหม
การฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวได้จริง เพราะการฉีดโบท็อกซ์กรามจะลดขนาดกล้ามเนื้อกราม (Masseter muscle) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลักในการบดเคี้ยวอาหาร โดยเฉพาะในคนที่มี “กรามใหญ่” หรือ “หน้าบาน” จากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จากกระดูกขากรรไกร โบท็อกซ์จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัวและหดเล็กลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ใบหน้าจะดูเรียวลง กรอบหน้าชัดขึ้น โครงหน้าดูสมดุลและได้รูปมากขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์กรามต้องใช้กี่ยูนิต
จำนวนยูนิตของโบท็อกซ์ที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์กรามจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดกล้ามเนื้อกรามของแต่ละบุคคล เพศ ความหนาของกล้ามเนื้อ และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยทั่วไปสามารถสรุปได้ดังนี้
ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้โดยประมาณ
กลุ่มคนที่ฉีดโบท็อกซ์กราม |
ยูนิตต่อข้าง |
รวมสองข้าง |
ผู้หญิงที่มีกล้ามเนื้อไม่ใหญ่มาก |
25-30 ยูนิต |
50-60 ยูนิต |
ผู้หญิงที่มีกล้ามเนื้อหนาปานกลาง |
30-40 ยูนิต |
60-80 ยูนิต |
ผู้ชายหรือผู้ที่มีกล้ามเนื้อใหญ่ |
40-50 ยูนิต |
80-100 ยูนิต |
หมายเหตุ จำนวนยูนิตด้านบนเป็นของ Botox ชนิดมาตรฐานทั่วไป ในแต่ละแบรนด์อาจต้องใช้ยูนิตที่ต่างกันเนื่องจากค่าความเข้มข้นไม่เท่ากัน
ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนยูนิตที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์กราม
• ความหนาและขนาดของกล้ามเนื้อกราม
- กล้ามเนื้อหนามาก = ต้องใช้ยูนิตมากขึ้น
• ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ถ้าอยากหน้าเรียวชัดเจน อาจต้องใช้ในระดับสูง
- ถ้าอยากให้ดูเป็นธรรมชาติ อ่อนนุ่ม อาจใช้ปริมาณกลาง ๆ
• ฉีดครั้งแรก vs ฉีดซ้ำ
- ครั้งแรกอาจต้องใช้มากกว่า
- หากฉีดต่อเนื่องทุก 4-6 เดือน อาจลดจำนวนยูนิตในครั้งต่อ ๆ ไปได้
• แบรนด์โบท็อกซ์
- แต่ละยี่ห้อมีค่าความเข้มข้นต่างกัน เช่น 1 ยูนิตของ Allergan ไม่เท่ากับ 1 ยูนิตของ Dysport
ฉีดโบท็อกซ์กรามต้องฉีดกี่ครั้ง เว้นระยะกี่เดือน
การฉีดโบท็อกซ์กราม ไม่จำเป็นต้องฉีดบ่อยครั้ง แต่ต้องฉีดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ และป้องกันกล้ามเนื้อกลับมาใหญ่ขึ้นอีก โดยรายละเอียดของความถี่และระยะเวลาการฉีดมีดังนี้
ควรฉีดโบท็อกซ์กรามกี่ครั้ง
• ฉีดโบท็อกซ์กรามครั้งแรก เป็นการลดขนาดกล้ามเนื้อครั้งใหญ่ กล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง และเห็นผลชัดใน 4-8 สัปดาห์
• ฉีดโบท็อกซ์กรามต่อเนื่อง แนะนำให้ฉีด ซ้ำทุก 4-6 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ต่อเนื่อง และป้องกันกล้ามเนื้อกลับมาโตใหม่
บางรายที่กล้ามเนื้อหนามาก อาจต้องฉีดโบท็อกซ์กราม 2-3 ครั้งแรกต่อเนื่องในปีแรก แล้วจึงเว้นช่วงนานขึ้นได้ในการฉีดครั้งถัดไป
ระยะห่างระหว่างการฉีดโบท็อกซ์กรามแต่ละครั้ง
ครั้งที่ |
เวลาที่แนะนำให้ฉีดซ้ำ |
เหตุผล |
ครั้งแรก - ครั้งที่ 2 |
ประมาณ 4 เดือน |
เพื่อให้ผลต่อกล้ามเนื้อต่อเนื่องและลดขนาดลงชัดเจน |
ครั้งที่ 2 - ครั้งที่ 3 |
4-6 เดือน |
กล้ามเนื้อเริ่มจดจำและไม่หดตัวแรงเหมือนเดิม |
หลังจากนั้น |
ทุก 6 เดือน - 1 ปี |
หากกล้ามเนื้อเล็กลงแล้ว และไม่กลับมาใหญ่ |
หากหยุดฉีดไปนานเกิน 1 ปี กล้ามเนื้ออาจกลับมาใหญ่ขึ้นได้อีก ยิ่งฉีดต่อเนื่องระยะแรก กล้ามเนื้อจะยิ่งหดเล็กลงเร็ว เมื่อกล้ามเนื้อกรามเล็กลงแล้ว บางรายสามารถฉีดปีละ 1 ครั้งก็เพียงพอ ไม่ควรฉีดถี่เกินไป เช่น ทุกเดือน เพราะกล้ามเนื้ออาจดื้อโบท็อกซ์ได้ รวมถึงการเลือกใช้โบท็อกซ์ของแท้ และแพทย์ที่มีความรู้มีผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว
ฉีดโบท็อกซ์กรามกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม
ระยะเวลาเห็นผลของการฉีดโบท็อกซ์กราม
การฉีดโบท็อกซ์กรามไม่ได้เห็นผลทันทีหลังทำ แต่ต้องใช้ระยะเวลาให้ตัวยาออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ โดยหลังจากฉีดประมาณ 3 ถึง 5 วัน ผู้รับบริการจะเริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณกรามเริ่มคลายตัวเล็กน้อย บางคนอาจรู้สึกเมื่อยหรือเคี้ยวอาหารแข็งได้ลำบากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณแรกว่าโบท็อกซ์เริ่มออกฤทธิ์
จากนั้นภายในช่วงประมาณ 7 ถึง 14 วัน ใบหน้าจะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เริ่มดูเรียวขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแบบทันทีชัดเจนมากนักในช่วงนี้ แต่หากสังเกตจากรูปถ่ายก่อนและหลังจะเริ่มเห็นความแตกต่าง
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดของการฉีดโบท็อกซ์กรามจะปรากฏในช่วงประมาณ 3 ถึง 4 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อกรามหดเล็กลงอย่างเต็มที่ ใบหน้าจึงดูเรียว กระชับ และได้สัดส่วนมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนในช่วงนี้
ระยะเวลาอยู่ได้นานของการฉีดโบท็อกซ์กราม
โดยรวมแล้ว ผู้ที่เข้ารับการฉีดโบท็อกซ์กรามสามารถคาดหวังได้ว่าจะเริ่มเห็นผลในสัปดาห์ที่สอง และเห็นผลสูงสุดในช่วงเดือนแรกหลังการฉีด ซึ่งผลลัพธ์นั้นจะอยู่ได้นานเฉลี่ยประมาณ 4 ถึง 6 เดือน แล้วโบท็อกซ์จะค่อย ๆ สลายเองตามธรรมชาติ หากต้องการคงรูปหน้าที่เรียวสวยไว้ต่อเนื่อง ควรวางแผนฉีดซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์
ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับใคร
การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลงโดยไม่ต้องผ่าตัด แล้วใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์กราม มีดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ
คนที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์กรามมากที่สุดคือผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ ทำให้ใบหน้าดูเหลี่ยม หนา หรือแข็งแรงกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุหลักมักเกิดจาก
• การเคี้ยวอาหารแข็งเป็นประจำ
• นอนกัดฟัน หรือขบฟันแน่น
• การใช้กล้ามเนื้อกรามเยอะ เช่น การพูดมาก เคี้ยวหมากฝรั่งบ่อย ๆ
2.ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กโดยไม่ต้องผ่าตัด
การฉีดโบท็อกซ์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนานหรือหลีกเลี่ยงการผ่าตัดศัลยกรรม ลดกรามด้วยโบท็อกซ์สามารถเห็นผลภายใน 1-2 เดือน และไม่มีบาดแผล
3.ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับผู้ที่ไม่มีปัญหากระดูกกรามใหญ่โดยกำเนิด
หากใบหน้าเหลี่ยมเกิดจากกระดูกขากรรไกรที่ใหญ่ จะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยโบท็อกซ์เพียงอย่างเดียว ต้องปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งเพื่อพิจารณาวิธีอื่น ๆ เช่น การผ่าตัดกราม
4.ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดอาการนอนกัดฟันหรือขากรรไกรล้า
โบท็อกซ์สามารถช่วยลดแรงของกล้ามเนื้อกรามได้ ซึ่งในบางรายสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดขากรรไกร หรือปัญหานอนกัดฟันได้ด้วย
ฉีดโบท็อกซ์กรามยี่ห้อไหนดี
การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นวิธีปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ สำหรับยี่ห้อโบท็อกซ์ที่นิยมใช้ฉีดโบท็อกซ์กราม มีดังนี้
1.Botox® Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา
คุณสมบัติ
Botox® เป็นโบท็อกซ์ต้นแบบจากบริษัท Allergan ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาไทย (อย.) ถือเป็นยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจใช้ฉีดบริเวณต่าง ๆ
จุดเด่น
• ผ่านการวิจัยทางคลินิกมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี
• มีความบริสุทธิ์สูง โมเลกุลมีความเสถียร ลดความเสี่ยงในการแพ้และการดื้อยา
• เห็นผลชัดเจนภายใน 7-14 วัน และสามารถอยู่ได้นานถึง 6 เดือน
• ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการคลายตัวของกล้ามเนื้อ
ข้อควรพิจารณา
• ราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่น
• ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อคุมโดสอย่างเหมาะสม
เหมาะสำหรับ
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำ ปลอดภัยสูง และไม่ต้องการเสี่ยงกับของปลอมในท้องตลาด
2.Nabota จากประเทศเกาหลีใต้
คุณสมบัติ
Nabota เป็นโบท็อกซ์เกาหลีที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นแบรนด์เดียวจากเกาหลีที่ผ่านการรับรองทั้งจาก US FDA และ อย.ไทย
จุดเด่น
• มีความบริสุทธิ์สูงใกล้เคียง Botox®
• เห็นผลไวภายใน 5-7 วัน
• ราคาย่อมเยากว่าโบท็อกซ์อเมริกา แต่ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียง
• ได้รับการใช้ในคลินิกชั้นนำหลายแห่งในไทย
ข้อควรพิจารณา
• ควรเลือกคลินิกที่มีระบบการเก็บรักษาโบท็อกซ์ที่ได้มาตรฐาน เพราะความเย็นมีผลต่อคุณภาพ
• มีโอกาสเจอของลอกเลียนแบบหากใช้บริการจากคลินิกที่ไม่มีใบรับรอง
เหมาะสำหรับ
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ดีในราคาประหยัด เหมาะกับการฉีดเพื่อลดกรามหรือริ้วรอยทั่วไป
3.Aestox จากประเทศเกาหลีใต้
คุณสมบัติ
Aestox เป็นโบท็อกซ์จากเกาหลีที่เน้นคุณภาพระดับมาตรฐานในราคาประหยัด เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ฉีดเป็นครั้งแรก
จุดเด่น
• ราคาย่อมเยาที่สุดในกลุ่มโบท็อกซ์ที่ผ่าน อย.
• เห็นผลเร็วใน 3-5 วัน
• เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอยหรือลดกรามในระดับเบา-ปานกลาง
• ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
ข้อควรพิจารณา
• ระยะเวลาในการออกฤทธิ์สั้นกว่ายี่ห้ออื่น โดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 เดือน
• ไม่เหมาะกับคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ หรือผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนาน
เหมาะสำหรับ
ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด หรือผู้ที่ต้องการทดลองฉีดโบท็อกซ์ครั้งแรกก่อนตัดสินใจใช้ยี่ห้อระดับพรีเมียม
4.Xeomin® จากประเทศเยอรมนี
คุณสมบัติ
Xeomin® เป็นโบท็อกซ์ที่มีความพิเศษ คือไม่มีโปรตีนเจือปนในตัวยา จึงเรียกว่า Naked Botulinum ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยาในระยะยาว
จุดเด่น
• ลดโอกาสในการเกิดการดื้อยา โดยเฉพาะในคนที่เคยฉีดโบท็อกซ์มาหลายปี
• ให้ผลลัพธ์ที่ดูเรียบเนียนและธรรมชาติ
• มีความเสถียรสูงแม้ไม่ต้องแช่เย็นก่อนเปิดขวด
ข้อควรพิจารณา
• ราคาสูงใกล้เคียงกับ Botox® USA
• ต้องใช้โดยแพทย์ที่มีทักษะเฉพาะ เพราะออกฤทธิ์ละเอียด
เหมาะสำหรับ
ผู้ที่เคยฉีดโบท็อกซ์หลายครั้ง และกังวลเรื่องการดื้อยา หรือผู้ที่แพ้ง่าย
ฉีดโบท็อกซ์กราม เช็กของแท้-ของปลอม อย่างไร
การฉีดโบท็อกซ์กรามให้ได้ผลดีและปลอดภัย ไม่ใช่แค่การเลือกแพทย์หรือคลินิกที่มีประสบการณ์เท่านั้น แต่ต้องมั่นใจว่า โบท็อกซ์ที่ใช้นั้นเป็นของแท้ 100% ด้วย เพราะในตลาดมีโบท็อกซ์ปลอมระบาดอยู่มาก และของปลอมอาจทำให้เกิดอาการแพ้ บวม อักเสบ หรือผลลัพธ์ผิดเพี้ยนจากที่ควรจะเป็น
ขอแนะนำแนวทางการเช็กโบท็อกซ์ของแท้-ของปลอม ซึ่งสามารถใช้ตรวจสอบก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามได้ทุกยี่ห้อ ดังนี้
1.ตรวจสอบเอกสารกำกับยา (Lot Number & วันหมดอายุ)
โบท็อกซ์ของแท้จะมีเอกสารกำกับยาแนบมาทุกกล่อง ซึ่งจะระบุ
• เลขทะเบียน อย.(ต้องตรงกับข้อมูลจากเว็บไซต์ อย.)
• เลขล็อตผลิต (Lot number)
• วันผลิต และวันหมดอายุ
• ประเทศผู้ผลิต
• ชื่อบริษัทผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ
หากไม่มีเอกสารเหล่านี้ หรือระบุไม่ครบถ้วน มีข้อผิดปกติด้านภาษา หรือไม่มีฉลากภาษาไทย อาจเข้าข่ายของปลอม
2.เช็กขวดบรรจุโบท็อกซ์
ลักษณะขวดโบท็อกซ์ของแท้ในการฉีดโบท็อกซ์กราม
• ผลิตจากแก้วคุณภาพดี ฝาปิดแน่น ไม่มีรอยเปิด
• สติกเกอร์ฉลากบนขวดแนบสนิท ไม่เบี้ยว ไม่ซีด
• มีตราประทับแบรนด์ชัดเจน พร้อมระบุ Lot Number ที่ตรงกับกล่อง
• ฝาขวดไม่บุบ ไม่มีคราบสนิมหรือรอยกาว
3.ตรวจสอบใบเสร็จหรือฉลากติดขวดจากคลินิก
คลินิกฉีดโบท็อกซ์กรามที่ใช้โบท็อกซ์ของแท้ควรสามารถ
• แสดงใบเสร็จจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
• ติดสติกเกอร์ Lot Number ลงในเวชระเบียน หรือแนบบนเอกสารหลังฉีด
• ถ่ายรูปขวดและกล่องให้ลูกค้าก่อนใช้ เพื่อความโปร่งใส
4.ตรวจสอบ เลข อย.จากเว็บไซต์ขององค์การอาหารและยา
สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของ อย.ค้นหาด้วยเลขทะเบียน หรือชื่อผลิตภัณฑ์ หากเลข อย.ไม่ตรงกัน หรือไม่มีชื่อในระบบ อาจเป็นของปลอม หรือของที่ไม่ได้รับอนุญาตในไทย
5.พิจารณาจาก ราคาที่สมเหตุสมผล
โบท็อกซ์ของแท้มีต้นทุนที่สูง ดังนั้นหากคลินิกเสนอราคาฉีดโบท็อกซ์กรามถูกเกินจริง เช่น
• ฉีดโบท็อกซ์กราม100 ยูนิต ในราคา 3,000-4,000 บาท
• ฉีดโบท็อกซ์กรามโดยไม่มีระบุยี่ห้อ และไม่สามารถแสดงขวดหรือกล่องให้ดูได้
ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นของปลอม หรือของหิ้วไม่ได้มาตรฐาน
ฉีดโบท็อกซ์กรามอันตรายไหม
การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมสูง ในการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามโดยไม่ต้องผ่าตัด และมีความปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังมีคำถามว่า ฉีดโบท็อกซ์กรามอันตรายไหม ?
คำตอบคือ การฉีดโบท็อกซ์กรามไม่อันตราย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต ใช้โบท็อกซ์ของแท้ เป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีใบอนุญาตประกอบกิจการ
• ฉีดโบท็อกซ์กรามต้องใช้โบท็อกซ์ผ่าน อย.มีความบริสุทธิ์สูง จึงปลอดภัยต่อร่างกาย
• การฉีดโบท็อกซ์กรามต้องทำโดยแพทย์ที่รู้ตำแหน่งกล้ามเนื้ออย่างถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
• หากใช้โบท็อกซ์ของแท้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย เพราะร่างกายจะย่อยสลายออกภายใน 3-6 เดือน
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้โบท็อกซ์จะปลอดภัย แต่หากฉีดโบท็อกซ์กรามไม่ถูกวิธี หรือใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
1.ฉีดโบท็อกซ์กรามอาจเสี่ยงกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดตำแหน่ง
หากฉีดโบท็อกซ์กรามผิดจุด อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง เช่น มุมปาก แก้ม หรือลิ้น มีอาการอ่อนแรง ทำให้พูดไม่ชัดหรือยิ้มเบี้ยว
2.ฉีดโบท็อกซ์กรามอาจเสี่ยงมีอาการบวม แดง หรือช้ำ
อาจเกิดขึ้นชั่วคราวจากรอยเข็มหลังฉีด ซึ่งจะหายได้เองภายใน 3-7 วัน
3.ฉีดโบท็อกซ์กรามอาจเสี่ยงมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อกราม
บางรายอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อเคี้ยวอาหาร หลังฉีดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
4.ฉีดโบท็อกซ์กรามอาจเสี่ยงปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะ
เกิดขึ้นน้อยมาก และมักเป็นอาการชั่วคราว
5.ฉีดโบท็อกซ์กรามอาจเสี่ยงดื้อยา
หากฉีดบ่อยเกินไป หรือใช้โบท็อกซ์ที่มีคุณภาพต่ำ อาจทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อตัวยา และโบท็อกซ์จะไม่ได้ผลในอนาคต
ฉีดโบท็อกซ์กรามเจ็บไหม
คำถามว่า ฉีดโบท็อกซ์กรามเจ็บไหม ? เป็นหนึ่งในข้อสงสัยยอดฮิตที่หลายคนกังวลก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ ความจริงแล้วระดับความเจ็บปวดของการฉีดโบท็อกซ์กราม ถือว่าอยู่ในระดับที่ทนได้สำหรับคนทั่วไป และโดยมากถือว่าฉีดโบท็อกซ์กราม “เจ็บน้อยมาก” หรือ “แทบไม่รู้สึก” หากดำเนินการโดยแพทย์และใช้เทคนิคที่ถูกต้อง
ความรู้สึกระหว่างการฉีดโบท็อกซ์กราม
• โดยทั่วไปการฉีดโบท็อกซ์กรามไม่เจ็บมาก เนื่องจากเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กพิเศษ และแพทย์จะฉีดลงในตำแหน่งของกล้ามเนื้อกรามที่ลึกใต้ผิวหนัง
• คนไข้ส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กรามระดับ 2-4 จาก 10 ซึ่งเทียบเท่ากับการฉีดยาหรือวัคซีนทั่วไป
• ความรู้สึกที่พบได้บ่อยคือ รู้สึกจิ๊ด ๆ เล็กน้อย หรือเหมือนโดนหนีบเบา ๆ ตรงบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์กราม
ปัจจัยที่มีผลต่อความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กราม
• ความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กรามขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล คนที่ผิวบอบบางหรือไวต่อความรู้สึก อาจรู้สึกเจ็บมากกว่าคนทั่วไป
• ความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กรามขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์ แพทย์ที่มีความรู้จะสามารถจับกล้ามเนื้อกรามได้แม่นยำ ใช้เทคนิคการฉีดที่ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยที่สุด
• ความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กรามขึ้นอยู่กับขนาดเข็มและอุปกรณ์ที่ใช้ คลินิกคุณภาพจะใช้เข็มขนาดเล็กเฉพาะทางสำหรับฉีดโบท็อกซ์ จึงช่วยลดแรงกระแทกต่อผิวหนัง
• ความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กรามขึ้นอยู่กับการทายาชาก่อนฉีด หากคนไข้กังวลเรื่องความเจ็บ แพทย์อาจทายาชาก่อนประมาณ 15-20 นาที ซึ่งช่วยลดความรู้สึกเจ็บได้อย่างมาก
• ความเจ็บในการฉีดโบท็อกซ์กรามขึ้นอยู่กับจำนวนจุดฉีดและยูนิตที่ใช้ ปกติฉีดกรามจะใช้ประมาณ 25-40 ยูนิตต่อข้าง โดยมีจุดฉีดประมาณ 3-5 จุด หากใช้เทคนิคกระจายจุดดี ความรู้สึกเจ็บจะลดลงมาก
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์กรามมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้น รวมถึงลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ โดยสามารถสรุปแนวทางปฏิบัติที่สำคัญได้ดังนี้
ข้อควรปฏิบัติทันทีหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามขยับหรือเกร็งกล้ามเนื้อกราม เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง ยิ้ม หรือขบฟันแน่น ๆ อย่างน้อย 15-30 นาทีหลังฉีด เพื่อช่วยให้ตัวยากระจายตัวและดูดซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดนอนราบ นอนตะแคง หรือก้มหน้า ต่ำกว่าระดับหัวใจอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาไหลไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดแต่งหน้า ทาครีม หรือสัมผัสใบหน้าแรง ๆ ในช่วง 4-6 ชั่วโมงแรกหลังฉีด และควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าตลอด 24 ชั่วโมงแรก เพื่อลดความเสี่ยงการอักเสบติดเชื้อจากรูเข็ม
ข้อควรระวังและข้อห้ามในช่วง 1-2 วันแรก
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าแดง เช่น อบซาวน่า ตากแดด หรือทำเลเซอร์ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอาหารรสจัดหรือหมักดอง ในช่วง 14 วันหลังฉีด เพราะอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและทำให้รอยช้ำหายช้าลง รวมถึงลดประสิทธิภาพของโบท็อกซ์
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดการนวดหน้า สครับหน้า หรือใช้เครื่องนวดหน้า เครื่องล้างหน้าแรง ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีด
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน) วิตามินอี น้ำมันปลา ก่อนและหลังฉีดประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ
การดูแลอื่น ๆ หลังฉีดโบท็อกซ์กราม
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามหากมีอาการบวม แดง หรือช้ำ สามารถประคบเย็นเบา ๆ ได้ใน 1-2 วันแรก แต่ไม่ควรประคบเย็นทันทีหลังฉีด เพราะอาจขัดขวางการดูดซึมของตัวยา
• หลังฉีดโบท็อกซ์กราม อาจรับประทาน Zinc 50 mg หากแพทย์แนะนำ เพื่อช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ดีขึ้น
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
ข้อห้ามและข้อควรระวังก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง ลดความเสี่ยงการเกิดรอยช้ำ และช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้เต็มที่ มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ควรปฏิบัติดังนี้
ข้อห้ามก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามงดใช้ยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin, Ibuprofen, NSAIDs, วิตามินอี, น้ำมันปลา, โสม, แป๊ะก๊วย, Co-enzyme Q10, Evening Primrose Oil อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำและเลือดออกง่าย
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด (เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก) อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เพิ่มความเสี่ยงรอยช้ำ
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามงดสูบบุหรี่ เพราะสารในบุหรี่จะขยายหลอดเลือดและส่งผลต่อประสิทธิภาพของโบท็อกซ์
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามงดรับประทานอาหารหมักดอง อาหารเค็มจัด หรืออาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ (เช่น หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู) อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายบวมน้ำหรือเส้นเลือดขยายตัว
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม หากมีโรคประจำตัวร้ายแรง ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามแจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับสุขภาพ หากมีประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว หรือใช้ยารักษาโรคเฉพาะทาง
ข้อควรระวังก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนวันฉีด เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับการรักษา
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม ในวันฉีดควรล้างเครื่องสำอาง หรือทำความสะอาดใบหน้าให้เรียบร้อยก่อนพบแพทย์
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กรามควรเข้ารับการประเมินและปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เพื่อวางแผนการรักษาและเลือกตำแหน่งที่เหมาะสม
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม ควรเลื่อนการฉีดออกไปก่อน หากมีอาการเจ็บป่วยหรือร่างกายไม่แข็งแรง
ข้อห้ามและข้อควรระวังหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
หลังฉีดโบท็อกซ์กราม มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญเพื่อให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้เต็มที่ อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงผลข้างเคียง ดังนี้
ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดความร้อนทุกชนิดอย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีด เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด เลเซอร์ร้อน เช่น RF Thermage และงดนอนคว่ำ หรือตะแคงก้มหัวต่ำกว่าอก
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก อย่างน้อย 14 วัน เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เส้นเลือดขยายและเร่งการสลายของโบท็อกซ์
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดสูบบุหรี่ เพราะสารในบุหรี่ขยายหลอดเลือดและทำให้โบท็อกซ์สลายเร็วขึ้น
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดอาหารรสจัด เผ็ดมาก หมักดอง และอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ เช่น หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการอักเสบและลดการขยายของเส้นเลือด
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดนอนราบ หรือนอนตะแคง อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อไม่ให้โบท็อกซ์ไหลไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ เช่น คิ้วตก หนังตาตก
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดจับ นวด กด หรือถูบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้ตัวยากระจายไปยังกล้ามเนื้ออื่นที่ไม่ต้องการ
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดประคบเย็นหรือโดนความร้อนทุกชนิด เพราะโบท็อกซ์เป็นโปรตีนไวต่ออุณหภูมิ อาจเสื่อมเร็วได้
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะการไหลเวียนเลือดเร็วขึ้นจะทำให้โบท็อกซ์สลายเร็ว
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามงดเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออาหารเหนียว ๆ อย่างน้อย 1 เดือน หากฉีดลดกราม เพราะการเคี้ยวมากทำให้กล้ามเนื้อกรามกลับมาแข็งแรงเร็ว ส่งผลให้โบท็อกซ์หมดฤทธิ์ไว
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามควรขยับกล้ามเนื้อกรามเบา ๆ เช่น เคี้ยวหมากฝรั่งใน 15-30 นาทีแรกหลังฉีด เพื่อช่วยให้ตัวยากระจายตัวดีขึ้น
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า หรือทาครีมที่ต้องใช้แรงกดใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
• หลังฉีดโบท็อกซ์กราม หากมีรอยช้ำ สามารถทายาลดรอยเขียวช้ำได้ หรือรอยช้ำจะหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์
• หลังฉีดโบท็อกซ์กรามดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์กราม vs ผ่าตัดเหลากราม แตกต่างกันอย่างไร
ประเด็นเปรียบเทียบ |
ฉีดโบท็อกซ์กราม |
ผ่าตัดเหลากราม |
สาเหตุของกรามใหญ่ที่แก้ไขได้ |
เหมาะกับกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อกราม (Masseter muscle) |
เหมาะกับกรามใหญ่จากกระดูกกราม (กระดูกขากรรไกร) |
วิธีการ |
ฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซินเข้าไปในกล้ามเนื้อกราม ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเล็กลง |
ผ่าตัดตัดแต่งมุมกระดูกกรามให้เล็กลง บางกรณีตัดแต่งกล้ามเนื้อร่วมด้วย |
ระยะเวลาพักฟื้น |
ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที |
ต้องพักฟื้นประมาณ 6-12 สัปดาห์ ต้องดูแลความสะอาดแผลในช่องปากอย่างเคร่งครัด |
ผลลัพธ์ |
กรามยุบเต็มที่ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-5 เดือน |
ผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร |
ความเสี่ยง |
ความเสี่ยงน้อย ผลข้างเคียงมักเป็นชั่วคราว เช่น ปากเบี้ยว หากฉีดผิดตำแหน่ง |
มีความเสี่ยงต่อเส้นประสาทบริเวณมุมปาก มีรอยแผลและความเสี่ยงจากการผ่าตัด |
ค่าใช้จ่าย |
ราคาถูกกว่ามาก |
ราคาสูงกว่าและต้องใช้ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลเพิ่มเติม |
ข้อจำกัด |
ไม่เหมาะกับคนที่กรามใหญ่จากกระดูกหรือไขมันสะสม |
เหมาะกับคนที่มีกระดูกกรามใหญ่หรือโครงหน้าเหลี่ยมเท่านั้น |
สรุป ฉีดโบท็อกซ์กราม vs ผ่าตัดเหลากราม
• หากกรามใหญ่เกิดจากกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะเจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น และราคาถูก
• หากกรามใหญ่เกิดจากกระดูก การผ่าตัดเหลากรามจะให้ผลลัพธ์ถาวรและเหมาะสมกว่า แม้จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า
ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุของกรามใหญ่และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด
ฉีดโบท็อกซ์กราม vs เลเซอร์ยกกระชับปรับรูปหน้า
การฉีดโบท็อกซ์กรามและการทำเลเซอร์ยกกระชับปรับรูปหน้า เป็นหัตถการที่แตกต่างกันทั้งในด้านวิธีการทำงาน ผลลัพธ์ และจุดประสงค์หลัก ดังนี้
ประเด็นเปรียบเทียบ |
ฉีดโบท็อกซ์กราม |
เลเซอร์ยกกระชับปรับรูปหน้า (เช่น HIFU, Ulthera) |
วิธีการทำงาน |
ฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซินเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อกราม ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเล็กลง |
ใช้คลื่นอัลตราซาวด์หรือเลเซอร์ส่งความร้อนลงลึกในชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว |
จุดประสงค์หลัก |
ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก |
ยกกระชับผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อย เก็บกรอบหน้าและลดเหนียง |
ระยะเวลาเห็นผล |
เห็นผลภายใน 3-7 วัน |
เห็นผลภายใน 2-3 เดือน และผลดีขึ้นต่อเนื่อง |
ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้ |
4-6 เดือน |
1-2 ปี |
ความเจ็บปวดขณะทำ |
เจ็บน้อย เจ็บเฉพาะจุดที่ฉีด |
ปานกลางถึงมาก ขึ้นกับความทนของแต่ละคน |
ระยะเวลาทำหัตถการ |
15-30 นาที |
45-60 นาที |
ความถี่ในการทำซ้ำ |
4-6 เดือน/ครั้ง |
1-2 ครั้ง/ปี |
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น |
รอยช้ำ อาการปวดบริเวณที่ฉีด |
บวม แดง เจ็บเล็กน้อย |
การพักฟื้น |
ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยช้ำ 1-2 วัน |
ไม่ต้องพักฟื้น อาจบวมเล็กน้อย 1-2 วัน |
ข้อแนะนำการใช้ร่วมกัน |
แนะนำฉีดโบท็อกซ์ก่อน เว้น 14 วัน แล้วทำเลเซอร์ยกกระชับเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น |
สามารถทำร่วมกับโบท็อกซ์เพื่อเสริมผลลัพธ์ได้ |
สรุป ฉีดโบท็อกซ์กราม vs เลเซอร์ยกกระชับปรับรูปหน้า
• โบท็อกซ์กราม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อกรามให้หน้าเรียวลงอย่างรวดเร็ว เห็นผลเร็วใน 1 สัปดาห์ และเหมาะกับคนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ
• เลเซอร์ยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย และปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ผลลัพธ์จะเห็นชัดใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานกว่า
• การทำทั้งสองอย่างร่วมกันจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วน ทั้งลดขนาดกล้ามเนื้อและยกกระชับผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
หากสนใจฉีดโบท็อกซ์กรามหรือทำเลเซอร์ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษา ที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล
ฉีดโบท็อกซ์กรามราคาเท่าไหร่
ราคาฉีดโบท็อกซ์กรามโดยทั่วไปอัปเดตล่าสุด จะอยู่ในช่วงประมาณ 3,500 ถึง 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์และปริมาณยูนิตที่ใช้ เช่น
• โบท็อกซ์เกาหลี (เช่น Nabota, Aestox, Neuronox) ราคาเริ่มต้นประมาณ 3,500 - 7,000 บาท สำหรับ 50-100 ยูนิต
• โบท็อกซ์อเมริกา (Allergan) ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000 - 17,999 บาท สำหรับ 100 ยูนิต
• โบท็อกซ์อังกฤษ (Dysport) ราคาเริ่มต้นประมาณ 13,000 - 16,999 บาท สำหรับ 300 ยูนิต
โดยทั่วไปการฉีดโบท็อกซ์กรามจะใช้ประมาณ 50-100 ยูนิต ราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 6,999 บาทขึ้นไป และราคาจะแตกต่างกันตามคลินิกและยี่ห้อที่เลือก
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณยูนิตและยี่ห้อฉีดโบท็อกซ์กรามที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ
ฉีดโบท็อกซ์กรามที่ไหนดี
ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์กราม การเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์กรามที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญดังนี้
• คลินิกฉีดโบท็อกซ์กรามต้องเปิดให้บริการถูกต้องตามกฎหมาย มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน
• มีสถานที่สะอาด ปลอดภัย มีห้องทำหัตถการฉีดโบท็อกซ์กรามที่เหมาะสม และมีอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินครบถ้วน
• แพทย์ผู้ฉีดโบท็อกซ์กรามต้องมีความรู้เรื่องโครงสร้างใบหน้า สามารถประเมินและออกแบบการฉีดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
• คลินิกฉีดโบท็อกซ์กรามต้องใช้โบท็อกซ์แท้จากแบรนด์ที่ได้รับการรับรองจากอย.และยินยอมให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ได้
• มีการให้ข้อมูลอย่างละเอียดและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ราคา และขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์กราม
• มีรีวิวฉีดโบท็อกซ์กรามจากคนไข้จริงที่น่าเชื่อถือ เช่น รีวิวใน Facebook, Pantip ที่ไม่ใช่รีวิวจากคลินิกเพียงอย่างเดียว
• คลินิกฉีดโบท็อกซ์กรามตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางและติดต่อได้ง่าย
การเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม เพื่อประเมินใบหน้าและวางแผนการรักษา เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
รีวิว ฉีดโบท็อกซ์กราม
ฉีดโบท็อกซ์กราม รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ที่ รมย์รวินท์คลินิก
Q&A ฉีดโบท็อกซ์กราม
ฉีดโบท็อกซ์กราม ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไหม
หลังฉีดโบท็อกซ์กราม แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง และในบางกรณีอาจแนะนำให้งดถึง 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณยูนิตที่ฉีดและสภาพร่างกายของแต่ละคน
เหตุผลที่ควรงดแอลกอฮอล์หลังฉีดโบท็อกซ์กราม
1.แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
หลังฉีดโบท็อกซ์กรามจะมีการอักเสบเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัวเพิ่มขึ้น อาจทำให้
• รอยช้ำหรือบวมชัดเจนและนานขึ้น
• เกิดเลือดออกใต้ผิวหนังมากขึ้น
2.เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
แอลกอฮอล์อาจรบกวนระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้การกระจายตัวของตัวยาในชั้นกล้ามเนื้อผิดปกติ เกิดอาการเช่น
• กล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดตำแหน่ง
• ยิ้มเบี้ยว หรือผลลัพธ์ไม่สมมาตร
3.อาจทำให้ตัวยาเสื่อมประสิทธิภาพเร็วขึ้น
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่า แอลกอฮอล์มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมของโบท็อกซ์ แต่การดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงฟื้นตัวหลังฉีดโบท็อกซ์กราม อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาไม่เต็มที่
ฉีดโบท็อกซ์กราม ทำให้ยิ้มแข็ง ๆ ยิ้มไม่สุด จริงไหม
การฉีดโบท็อกซ์กรามสามารถทำให้เกิดอาการยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุดได้จริงในบางกรณี สาเหตุหลักเกิดจากโบท็อกซ์ไปออกฤทธิ์ที่กล้ามเนื้อ Risorius ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยดึงมุมปากเวลายิ้ม ถ้าโบท็อกซ์ไปทำให้กล้ามเนื้อนี้ทำงานน้อยลง จะทำให้ยิ้มได้ไม่เต็มที่ หรือบางครั้งอาจทำให้ปากเบี้ยวได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้หลังฉีดโบท็อกซ์กราม ได้แก่
• แพทย์ฉีดโบท็อกซ์กรามผิดตำแหน่ง ทำให้ยาไปกระทบกล้ามเนื้อ Risorius
• โบท็อกซ์กระจายตัวออกไปยังกล้ามเนื้อ Risorius
• กล้ามเนื้อ Risorius ของคนไข้บางรายวางตัวผิดปกติหรืออยู่ต่ำกว่าปกติ (พบประมาณ 1-2%)
• ใช้โบท็อกซ์ปลอม หรือคุณภาพต่ำ ทำให้การกระจายของยาไม่สม่ำเสมอ
• ฉีดโบท็อกซ์กรามในปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว โดยเฉพาะกรณีที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่มาก
อาการยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุด หรือปากเบี้ยวที่เกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อกซ์กรามมักเป็นชั่วคราว และจะดีขึ้นเองภายใน 1-2 เดือน โดยสามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูได้ด้วยการประคบร้อนบริเวณแก้ม หรือนวดด้วยเครื่อง RF (Radio Frequency)
ดังนั้นการเลือกแพทย์ที่มีความรู้ในการฉีดโบท็อกซ์กราม รวมถึงการใช้โบท็อกซ์แท้และการวางแผนฉีดอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุดได้
ทำไมฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วเหนียงเยอะขึ้น
หลังฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วเหนียงดูเยอะขึ้น เกิดจากกล้ามเนื้อกรามที่ถูกโบท็อกซ์ทำให้เล็กลงและคลายตัว ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณใต้คางซึ่งเคยถูกกล้ามเนื้อกรามดึงตึงไว้นั้นหย่อนคล้อยลงเล็กน้อย จึงทำให้เหนียงดูชัดขึ้นหรือดูเหมือนมีเหนียงเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ การฉีดโบท็อกซ์กรามโดยไม่ดูแลบริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น แก้ม กรอบหน้า คาง หรือเหนียง อาจทำให้ผิวหนังส่วนที่ไม่ได้รับการกระชับดูหย่อนคล้อยชัดเจนขึ้น เพราะสัดส่วนของใบหน้าดูเปลี่ยนไป
อาการเหนียงชัดขึ้นนี้มักเป็นผลข้างเคียงชั่วคราว และจะดีขึ้นเมื่อผิวหนังปรับตัวได้ หรือสามารถแก้ไขด้วยการทำทรีตเมนต์เสริม เช่น ฉีดแฟตเหนียง หรือยกกระชับผิวร่วมด้วย
สรุปฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วเหนียงเยอะขึ้น
• เหนียงชัดขึ้นหลังฉีดโบท็อกซ์กราม เกิดจากกล้ามเนื้อกรามเล็กลง ผิวหนังหย่อนคล้อยลงเล็กน้อย
• มักเป็นอาการชั่วคราวและดีขึ้นเมื่อผิวหนังปรับตัว
• แนะนำฉีดร่วมกับบริเวณอื่น ๆ หรือทำทรีตเมนต์เสริมเพื่อผลลัพธ์ที่สมดุลและดูดีขึ้น
• ควรเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีมาตรฐานเพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
ฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วปากเบี้ยว เกิดจากอะไร
อาการฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วปากเบี้ยว เกิดจากโบท็อกซ์ไปออกฤทธิ์ที่กล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ได้แก่ กล้ามเนื้อ Risorius และกล้ามเนื้อ Zygomaticus ซึ่งมีหน้าที่ช่วยยกมุมปากเวลายิ้ม เมื่อโบท็อกซ์ไปกดการทำงานของกล้ามเนื้อเหล่านี้ จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่งผลให้มุมปากข้างใดข้างหนึ่งยกขึ้นหรือตกลง ทำให้ปากดูเบี้ยว ไม่สมมาตรกัน และยิ้มไม่สุด
สาเหตุที่ทำให้โบท็อกซ์ไปกระทบกล้ามเนื้อเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ได้แก่
• ฉีดโบท็อกซ์กรามผิดตำแหน่ง หรือฉีดใกล้กล้ามเนื้อ Risorius และ Zygomaticus มากเกินไป
• โบท็อกซ์กระจายตัวไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ เช่น จากการนวดหน้าหรือใบหน้าถูกกระแทกแรง ๆ หลังฉีด หรือคนไข้นอนราบทันที
• ใช้โบท็อกซ์ปลอม หรือคุณภาพต่ำ ทำให้การกระจายของยาไม่สม่ำเสมอ
• ฉีดโบท็อกซ์กรามในปริมาณมากเกินไป หรือฉีดซ้ำถี่เกินไป ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเป็นอัมพาต
• คนไข้มีกล้ามเนื้อมุมปาก (Risorius) ที่วางตัวผิดปกติหรืออยู่ต่ำกว่าปกติ
อาการปากเบี้ยวนี้มักเป็นผลข้างเคียงชั่วคราว และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองเมื่อฤทธิ์ของโบท็อกซ์หมดไปภายใน 4-6 เดือน โดยสามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูได้ด้วยการประคบอุ่นบริเวณแก้ม หรือใช้คลื่น Radio-Frequency (RF) เพื่อเร่งสลายฤทธิ์โบท็อกซ์
ดังนั้น หากเกิดอาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อกซ์กราม ควรแจ้งแพทย์ทันทีเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม และเลือกฉีดกับแพทย์เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการฉีด
สรุปฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วปากเบี้ยว
• ปากเบี้ยวเกิดจากโบท็อกซ์ไปกดกล้ามเนื้อ Risorius และ Zygomaticus ที่ควบคุมมุมปาก
• มักเกิดจากฉีดโบท็อกซ์กรามผิดตำแหน่ง หรือโบท็อกซ์กระจายตัวไม่ดี
• อาการชั่วคราวหลังฉีดโบท็อกซ์กรามจะดีขึ้นเองภายใน 4-6 เดือน
• ควรเลือกแพทย์และคลินิกที่มีมาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงนี้
ทำไมหลังฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วปวดกราม
หลังฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วปวดกรามเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ เนื่องจากโบท็อกซ์ทำให้กล้ามเนื้อกรามทำงานลดลง กล้ามเนื้อจึงเกิดความรู้สึกตึงหรือหน่วงบริเวณกราม ซึ่งอาจทำให้รู้สึกปวดเล็กน้อยหรือปวดตึงได้ กล้ามเนื้อที่ถูกฉีดจะฝ่อตัวลงและบางครั้งทำให้เคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียวลำบากขึ้น ซึ่งก็เป็นอาการปกติที่มักจะดีขึ้นเองภายใน 1-2 สัปดาห์
นอกจากนี้ หากมีการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดหลังทำ อาจทำให้ยาไหลกระจายไปยังกล้ามเนื้ออื่นและเพิ่มความรู้สึกไม่สบายได้ การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์กรามจึงควรหลีกเลี่ยงความร้อน การนวดหน้า และงดออกกำลังกายหนัก เพื่อไม่ให้โบท็อกซ์สลายเร็วและลดอาการปวด
สรุปหลังฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วปวดกราม
• ปวดกรามหลังฉีดโบท็อกซ์กรามเกิดจากกล้ามเนื้อกรามทำงานลดลงและเกิดความตึงหน่วง
• อาการปวดหลังฉีดโบท็อกซ์กราม มักเป็นเล็กน้อยและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
• ควรหลีกเลี่ยงนวด กด หรือสัมผัสแรงบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์กราม และงดความร้อน รวมถึงออกกำลังกายหนักในช่วงแรกหลังฉีด
• หากอาการปวดรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วแก้มห้อย แก้มตอบ
หลังฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วเกิดอาการแก้มห้อย แก้มตอบ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ในบางราย เกิดจากสาเหตุดังนี้
• กล้ามเนื้อกรามที่เคยช่วยพยุงแก้มถูกโบท็อกซ์ทำให้คลายตัวและเล็กลง ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณแก้มหย่อนคล้อยหรือย้อยลงเล็กน้อย จึงทำให้แก้มห้อยหรือดูหย่อน
• คนไข้บางรายมีเนื้อแก้มน้อยอยู่แล้ว เมื่อฉีดโบท็อกซ์กรามมากเกินไป กล้ามเนื้อบริเวณกรามยุบตัวมาก ทำให้แก้มดูตอบ ซูบลง และโหนกแก้มดูเด่นชัดขึ้น
• หากมีแก้มเยอะและกรามใหญ่ด้วย แนะนำให้ฉีดแฟตแก้มก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม เพื่อป้องกันแก้มห้อยหลังฉีด
โดยอาการแก้มห้อยหรือแก้มตอบหลังฉีดโบท็อกซ์กรามมักเป็นชั่วคราวและสามารถแก้ไขได้ด้วยการทำทรีตเมนต์เสริม เช่น ฟิลเลอร์ยกกระชับผิว หรือฉีดแฟตแก้ม เพื่อเติมเต็มและยกกระชับแก้มให้ดูเต็มขึ้นและไม่หย่อนคล้อย
หากอาการแก้มห้อยหรือแก้มตอบรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วมีก้อนปูด
หลังฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วมีก้อนปูด เกิดจากกล้ามเนื้อกรามที่ยังยุบตัวไม่หมด โดยเฉพาะในคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ แข็งแรง เมื่อกัดฟันหรือเคี้ยวจะเห็นก้อนปูดขึ้นบริเวณกรามได้ ซึ่งเป็นอาการปกติในช่วงสัปดาห์แรกหลังฉีด
โดยก้อนปูดนี้จะค่อยๆ ยุบลงเมื่อโบท็อกซ์กระจายตัวทั่วกล้ามเนื้อและออกฤทธิ์เต็มที่ ภายในประมาณ 2-4 สัปดาห์ หากก้อนปูดยังไม่หาย อาจเกิดจากแนวพังผืดกั้นกลางกล้ามเนื้อกราม ทำให้โบท็อกซ์กระจายไม่ทั่ว สามารถแก้ไขได้โดยฉีดโบท็อกซ์กรามเพิ่มเติมในบริเวณก้อนปูดนั้น และหลังฉีดซ้ำอีก 1-2 สัปดาห์ ก้อนจะยุบลงได้
หากก้อนปูดมีอาการบวม แดง เจ็บ หรือรุนแรงเกิน 1 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจประเมิน เพราะอาจมีการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
สรุปฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วมีอาการปูด
• ก้อนปูดหลังฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นอาการปกติในช่วงแรก เกิดจากกล้ามเนื้อยังยุบไม่หมด
• ก้อนจะยุบลงเองภายใน 2-4 สัปดาห์ หลังฉีดโบท็อกซ์กราม เมื่อโบท็อกซ์ออกฤทธิ์เต็มที่
• หากก้อนไม่ยุบ อาจต้องฉีดโบท็อกซ์กรามซ้ำในบริเวณก้อนนั้น
• หากก้อนปูดมีอาการบวม แดง หรือเจ็บ ควรพบแพทย์ทันที
สรุป ฉีดโบท็อกซ์กราม
สรุปว่า การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ลดความแข็งของกราม และเพิ่มความอ่อนโยนของใบหน้าโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด ด้วยคุณสมบัติของโบทูลินัมท็อกซินที่ช่วยคลายตัวกล้ามเนื้ออย่างปลอดภัย ทำให้ใบหน้าค่อย ๆ ดูเรียวขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์ และคงผลลัพธ์ไว้ได้นานถึง 4-6 เดือน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกฉีดโบท็อกซ์กรามกับแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้โบท็อกซ์แท้ มีการประเมินรูปหน้าก่อนฉีด และให้คำแนะนำด้านการดูแลหลังทำอย่างถูกต้อง พร้อมวางแผนการฉีดอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ