romrawin

โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา คืออะไร อันตรายไหม กี่วันถึงเห็นผล

โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา , ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา คืออะไร อันตรายไหม กี่วันถึงเห็นผล
ริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา ถุงใต้ตา และความหมองคล้ำ มักเป็นปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุเกินจริง โดยเฉพาะในคนที่ใช้สายตามากหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งหนึ่งในวิธีดูแลผิวบริเวณนี้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันก็คือ การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา หัตถการที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดเลือนริ้วรอยใต้ตาให้ดูเรียบเนียน สดใสขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ตั้งแต่คืออะไร ข้อดี-ข้อเสีย อันตรายหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น วิธีการเลือกคลินิกที่ปลอดภัย ไปจนถึงแนวทางการดูแลตัวเองก่อน-หลังการฉีด เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา คืออะไร
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา (Botox Under Eyes) คือ การฉีดสารโบทูลินัมท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตา โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา เพื่อช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย รอยย่น และเส้นเล็ก ๆ ที่มักเห็นได้ชัดเวลายิ้มหรือแสดงสีหน้า นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน สดใส และอ่อนเยาว์มากขึ้น

การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่ใช่การเติมเต็มเนื้อเหมือนฟิลเลอร์ แต่เป็นการลดการทำงานของกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ใต้ตาที่มีผลต่อการเกิดริ้วรอย เมื่อกล้ามเนื้อหยุดหดตัว ผิวบริเวณนั้นก็จะผ่อนคลายและดูเรียบเนียนขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์

ปัญหาใต้ตา เกิดจากสาเหตุใด
ผิวบริเวณใต้ตาเป็นบริเวณที่บอบบางและบางกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าอย่างมาก จึงมีโอกาสเกิดปัญหาได้ง่าย ทั้งริ้วรอย ความหมองคล้ำ ถุงใต้ตา หรือความหย่อนคล้อย ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาจึงควรรู้สาเหตุหลัก ๆ ของปัญหาใต้ตา ได้แก่

1.อายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวจะลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเกิดริ้วรอยตามมา โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมากกว่าจุดอื่น ทำให้เห็นริ้วรอยชัดเจนเร็วขึ้น

2.การแสดงสีหน้าและการขยับกล้ามเนื้อรอบดวงตา
เช่น การยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือหรี่ตาบ่อย ๆ ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหดตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานาน ซึ่งนำไปสู่การเกิดริ้วรอยร่องลึกได้ในระยะยาว

3.การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา ใต้ตาบวม หรือดูอิดโรย ผิวใต้ตาจะดูหมองคล้ำและเหนื่อยล้าได้ง่ายขึ้น

4.พันธุกรรม
บางคนมีลักษณะโครงสร้างผิวหนังใต้ตาที่ถ่ายทอดจากกรรมพันธุ์ เช่น มีถุงใต้ตาตั้งแต่อายุยังน้อย หรือมีผิวบางจนเห็นเส้นเลือดใต้ตาชัด ทำให้เกิดรอยคล้ำได้ง่าย

5.การสัมผัสแสงแดดและรังสี UV
รังสียูวีสามารถทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวบางลง แห้งเสีย และเกิดริ้วรอยได้ง่าย โดยเฉพาะใต้ตาที่ไม่ได้รับการปกป้องด้วยครีมกันแดดอย่างทั่วถึง

6.พฤติกรรมการใช้ชีวิตและอาหาร
• การรับประทานอาหารเค็มจัด ทำให้เกิดการบวมน้ำโดยเฉพาะตอนตื่นนอน
• การดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เร่งการเสื่อมของเซลล์ผิว
• การไม่ดื่มน้ำเพียงพอ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและเกิดริ้วรอยได้ง่าย

7.โรคประจำตัวหรือระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ
บางกรณีที่มีรอยคล้ำหรือถุงใต้ตาอย่างรุนแรง อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะภูมิแพ้ โรคตับ หรือการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ

วิธีแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอย
ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา และริ้วรอย เป็นหนึ่งในสัญญาณของความอ่อนล้าที่แสดงบนใบหน้าอย่างเด่นชัด ซึ่งอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และทำให้ดูแก่กว่าวัย การแก้ไขปัญหาเหล่านี้สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการดูแลตัวเอง การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไปจนถึงหัตถการทางการแพทย์ โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้ดังนี้

1.การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน
1.1 ปรับพฤติกรรมการนอนหลับ
• ควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
• นอนหัวสูงเล็กน้อยเพื่อป้องกันการสะสมของน้ำใต้ตา
• หลีกเลี่ยงการนอนดึกซ้ำ ๆ

1.2 ดื่มน้ำให้เพียงพอ
• ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

1.3 ลดโซเดียมและอาหารเค็ม
• อาหารเค็มทำให้ร่างกายบวมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาในตอนเช้า

1.4 ประคบเย็น
• ใช้ช้อนเย็น เจลประคบ หรือแตงกวาแช่เย็นวางบนดวงตา ช่วยลดอาการบวมและความหมองคล้ำ

2.การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา
2.1 อายครีม
• เลือกสูตรที่มีส่วนผสมของวิตามินซี, วิตามินเค, คาเฟอีน, เปปไทด์, เรตินอล หรือไฮยาลูรอนิกแอซิด
• ใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งเช้า-เย็น ทาอย่างเบามือเพื่อลดการเสียดสีของผิว

2.2 มาสก์ใต้ตา
• ช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดอาการบวมและความคล้ำชั่วคราว

3.การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์
3.1 ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• ลดริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา
• ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น

3.2 ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
• เติมเต็มร่องลึก ใต้ตาตอบ
• แก้ไขรอยคล้ำที่เกิดจากแสงเงาและโครงสร้างกระดูก

3.3 เลเซอร์รอบดวงตา
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• ลดรอยคล้ำและความหย่อนคล้อย

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาถือเป็นหนึ่งในวิธีปรับรูปหน้าและลดเลือนริ้วรอยที่ได้รับความนิยมมากในคลินิกความงาม เนื่องจากเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลเร็ว และใช้เวลาไม่นาน โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาที่บอบบาง การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาสามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้หลายอย่าง ดังนี้

1.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยลดริ้วรอยเส้นเล็กใต้ตา
ริ้วรอยที่เกิดขึ้นขณะยิ้มหรือแสดงอารมณ์ เช่น รอยย่นใต้ตา หรือ ตีนกาช่วงล่าง มักเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อรอบดวงตาซ้ำ ๆ การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อเฉพาะจุด ทำให้ริ้วรอยดูจางลง ผิวเรียบเนียนขึ้น และช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์

2.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยลดความอ่อนล้าและความเหนื่อยล้าใต้ตา
บริเวณใต้ตาที่มีเส้นริ้วหรือดูหย่อนคล้อย มักทำให้ใบหน้าดูเหนื่อย ไม่สดชื่น การฉีดโบท็อกซ์ช่วยให้ผิวบริเวณนี้เรียบตึงขึ้น ส่งผลให้ดวงตาดูสดใสขึ้น และใบหน้าดูมีพลังมากยิ่งขึ้น

3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยยกกระชับผิวใต้ตาเล็กน้อย
แม้โบท็อกซ์ไม่ได้เน้นผลในเรื่องการยกกระชับเท่ากับ HIFU หรือ Thermage แต่การคลายตัวของกล้ามเนื้อหลังฉีดสามารถช่วยให้ผิวดูตึงกระชับขึ้นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาผิวใต้ตาหย่อนเบา ๆ

4.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่
การฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมยิ้มบ่อย หรี่ตา หรือแสดงอารมณ์ทางใบหน้าเป็นประจำ ซึ่งกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะทำงานมากกว่าปกติ การลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อจะช่วยป้องกันการเกิดเส้นริ้วใหม่ได้ในระยะยาว

5.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยเพิ่มความเรียบเนียนของผิวโดยรวม
ผิวบริเวณใต้ตาหลังฉีดโบท็อกซ์จะดูเรียบและเนียนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะช่วยให้สามารถแต่งหน้าได้ง่ายขึ้น คอนซีลเลอร์ไม่ตกร่อง และผิวบริเวณรอบดวงตาดูสุขภาพดีขึ้น

6.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยให้ภาพรวมของใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสมดุลมากขึ้น
เมื่อริ้วรอยใต้ตาลดลง ใบหน้าจะดูผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียด ไม่โทรม และเมื่อฉีดร่วมกับโบท็อกซ์ในบริเวณอื่น เช่น หน้าผาก หว่างคิ้ว หรือหางตา ก็จะช่วยปรับสมดุลของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ดี

ถุงใต้ตาแบบไหนไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
แม้ว่าฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาจะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดเลือนริ้วรอยและความอ่อนล้ารอบดวงตา แต่ก็ใช่ว่าทุกปัญหาใต้ตาจะเหมาะกับวิธีนี้ โดยเฉพาะในกรณีของถุงใต้ตาที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางประเภทไม่ตอบสนองต่อการฉีดโบท็อกซ์ และอาจต้องใช้วิธีอื่นในการรักษา ดังนี้

1.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่เหมาะกับถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันสะสม
• ลักษณะ มีลักษณะเป็นก้อนนูนชัดเจนบริเวณใต้ตา เห็นได้แม้ไม่ได้ยิ้ม และไม่ลดลงเมื่อพักผ่อน
• สาเหตุ ไขมันใต้ตาดันตัวออกมาจากเบ้าตา เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือพันธุกรรม
• ทำไมโบท็อกซ์ไม่เหมาะ โบท็อกซ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อ แต่ไม่สามารถกำจัดหรือยุบไขมันได้ หากฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดตาตกหรือถุงตาดูนูนยิ่งขึ้น
• แนวทางที่เหมาะสมกว่า ผ่าตัดถุงใต้ตา หรือการใช้เลเซอร์และ RF ที่เจาะจงทำลายไขมัน

2.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่เหมาะกับถุงใต้ตาจากโครงสร้างกระดูกหรือเบ้าตาลึก
• ลักษณะ ใต้ตามีร่องลึก ทำให้ดูคล้ายมีถุงใต้ตา ทั้งที่ไม่ได้มีไขมันสะสม
• สาเหตุ โครงสร้างกระดูกใต้ตาลึกหรือยุบตัวตามอายุ
• ทำไมโบท็อกซ์ไม่เหมาะ เพราะไม่มีปัญหากล้ามเนื้อที่ต้องคลาย การฉีดโบท็อกซ์อาจทำให้ดูแปลกและไม่ช่วยเรื่องร่องลึก
• แนวทางที่เหมาะสมกว่า ฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกบริเวณร่องน้ำตา

3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่เหมาะกับถุงใต้ตาจากการบวมน้ำหรืออาการแพ้
• ลักษณะ บวมใต้ตาโดยเฉพาะตอนตื่นนอน และอาจดีขึ้นเมื่อพักผ่อนหรืออยู่ในอากาศเย็น
• สาเหตุ การกักเก็บของเหลวหรือปฏิกิริยาภูมิแพ้
• ทำไมโบท็อกซ์ไม่เหมาะ โบท็อกซ์ไม่ได้ช่วยลดอาการบวมน้ำ และอาจทำให้การระบายของเหลวแย่ลง
• แนวทางที่เหมาะสมกว่า ปรับพฤติกรรม ลดอาหารเค็ม ตรวจภูมิแพ้ หรือใช้ยาทาภายนอก

4.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่เหมาะกับถุงใต้ตาที่เกิดจากกล้ามเนื้อหย่อนคล้อยมาก
• ลักษณะ ผิวใต้ตาหย่อนคล้อยชัดเจนแม้ขณะพักใบหน้า
• สาเหตุ ความเสื่อมของกล้ามเนื้อและคอลลาเจนตามวัย
• ทำไมโบท็อกซ์ไม่เหมาะ การฉีดโบท็อกซ์อาจทำให้ผิวยิ่งหย่อนมากขึ้น หรือเกิดภาวะตาตกได้
• แนวทางที่เหมาะสมกว่า HIFU, Thermage หรือผ่าตัดยกกระชับหนังตาล่าง

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เลือกยี่ห้ออย่างไรให้ปลอดภัย
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ต้องการความแม่นยำสูง เพราะบริเวณรอบดวงตาเป็นจุดที่บอบบางมาก หากเลือกตัวยาไม่ได้มาตรฐานหรือเลือกยี่ห้อไม่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น ตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือหน้าผิดรูป ดังนั้นการเลือกยี่ห้อฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาที่เหมาะสม จึงเป็นหัวใจสำคัญของผลลัพธ์และความปลอดภัย

หลักการเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ฉีดใต้ตาให้ปลอดภัย
• ต้องผ่านการรับรองจาก อย.ไทย
• เลขทะเบียน อย.ชัดเจน
• ฉลากภาษาไทยถูกต้อง
• แพทย์สามารถโชว์กล่องและขวดจริงต่อหน้า
• ระบุชื่อผู้ผลิต เลขล็อต วันหมดอายุ
• หลีกเลี่ยงโบท็อกซ์ปลอม ที่มักลักลอบนำเข้าจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่มีเอกสารรับรอง

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์สำหรับฉีดใต้ตาควรคำนึงถึงความปลอดภัย ประสิทธิภาพ ความบริสุทธิ์ของตัวยา และผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เพราะผิวบริเวณใต้ตาบอบบางและต้องการความแม่นยำสูง โบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมและผ่านการรับรองจาก อย.ไทย มีหลายยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นแตกต่างกัน ดังนี้

1.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตายี่ห้อ Allergan (อเมริกา)
โบท็อกซ์ Allergan เป็นแบรนด์ต้นแบบและได้รับความนิยมสูงสุดในวงการความงามทั่วโลก ด้วยความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ทำให้ตัวยากระจายตัวได้แคบและแม่นยำ ลดโอกาสดื้อยาได้ดีมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฉีดใต้ตาที่ต้องการความละเอียดและควบคุมผลลัพธ์อย่างแม่นยำ ตัวยามีโมเลกุลขนาดใหญ่ที่ช่วยให้แพทย์ฉีดได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ Allergan ยังมีงานวิจัยรองรับมากมายทั่วโลกว่าปลอดภัยและเห็นผลไว โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนภายใน 2-4 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 5-8 เดือน ซึ่งนานกว่ายี่ห้ออื่นอย่างชัดเจน

2.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตายี่ห้อ Nabota (เกาหลี)
Nabota เป็นโบท็อกซ์เกาหลีที่ได้รับความนิยมในไทยมาก เนื่องจากมีราคาย่อมเยากว่า Allergan แต่ยังคงคุณภาพดี ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย จุดเด่นของ Nabota คือออกฤทธิ์ไว เห็นผลเร็ว เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันใจ โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดภายใน 1-2 สัปดาห์ ความบริสุทธิ์ของตัวยาอยู่ที่ประมาณ 98.7% ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ค่อนข้างเป็นธรรมชาติและกระจายตัวแคบ เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอย รอยตีนกา ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก และฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตายี่ห้อ Aestox (เกาหลี)
Aestox เป็นโบท็อกซ์เกาหลีที่พัฒนาขึ้นมาให้มีโครงสร้างโมเลกุลใกล้เคียงกับ Allergan เพื่อให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง ตัวยากระจายตัวแคบ ทำให้แพทย์สามารถฉีดได้ตรงจุดและควบคุมผลลัพธ์ได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณใต้ตาที่ต้องการความละเอียดสูง โบท็อกซ์ Aestox มีความบริสุทธิ์สูงและอ่อนโยนต่อผิวหน้า หลังฉีดแล้วใบหน้าจะไม่แข็งตึง ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและนุ่มนวล
ผลลัพธ์ของ Aestox จะเริ่มเห็นได้เร็ว และอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน แม้ว่าจะสั้นกว่า Allergan เล็กน้อย แต่ราคาจะถูกกว่ามาก จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

4.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตายี่ห้อ Xeomin (เยอรมัน)
Xeomin เป็นโบท็อกซ์จากเยอรมันที่มีความบริสุทธิ์สูงและไม่มีโปรตีนประกอบปนเปื้อน ซึ่งช่วยลดโอกาสการดื้อยาในระยะยาวได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์บ่อย ๆ หรือมีประวัติดื้อยา โบท็อกซ์ Xeomin มีโมเลกุลขนาดเล็กกว่าบางยี่ห้อ แต่ยังคงกระจายตัวแคบและแม่นยำ เหมาะสำหรับการฉีดลดริ้วรอยใต้ตาและบริเวณใบหน้าที่ต้องการความละเอียด ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน

5.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตายี่ห้อ Neuronox (เกาหลี)
Neuronox เป็นโบท็อกซ์เกาหลีที่ใช้สายพันธุ์เดียวกับ Allergan มีความบริสุทธิ์สูงและตัวยากระจายตัวแคบ จึงให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการฉีดลดริ้วรอยทั่วใบหน้า รวมถึงบริเวณใต้ตา

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา อันตรายไหม
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหนึ่งในหัตถการที่ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา เพิ่มความเรียบเนียน และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หลายคนกังวลว่าฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาจะอันตรายหรือไม่ ?
คำตอบคือ การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่อันตราย หากฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอย่างถูกวิธี ทำโดยแพทย์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาต ใช้ผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ของแท้ รวมถึงปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้เหมาะสมสำหรับฉีดบริเวณใต้ตา

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา มีผลข้างเคียงไหม
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ ทำให้ผิวใต้ตาเรียบเนียน ดูสดใสขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่แม้จะเป็นหัตถการที่ไม่เป็นอันตราย หากทำโดยแพทย์และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ก็ยังมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงบางอย่าง โดยเฉพาะถ้าฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาผิดวิธี หรือไม่เหมาะกับสภาพผิวของผู้รับบริการ

ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาที่อาจเกิดขึ้นได้
1.ตาช้ำหรือบวมบริเวณใต้ตาหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• เกิดจากเข็มแทงโดนเส้นเลือดฝอยหรือเนื้อเยื่อ
• เป็นอาการชั่วคราว พบได้บ่อย
• มักหายภายใน 2-5 วัน

2.กล้ามเนื้ออ่อนแรงเกินไป / ยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หากฉีดมากเกิน หรือฉีดผิดตำแหน่ง อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาทำงานผิดปกติ
• ผลที่พบ เช่น ยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุด ใต้ตาหย่อนผิดรูป

3.อาการตาตกหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• อาการเปลือกตาบนตก หรือขอบตาล่างหย่อนลง
• เกิดจากการกระจายของยาไปยังกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเปิดเปลือกตา
• เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อย แต่สร้างความรำคาญและเสียบุคลิกได้

4.อาการระคายเคือง บวมแดง หรือเจ็บบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• เกิดจากปฏิกิริยาระยะสั้นของร่างกาย
• มักเป็นเพียงอาการภายใน 1-3 วัน และสามารถหายได้เอง

5.ตาแห้ง หรือรู้สึกหนักตา หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• ในบางรายที่ฉีดใกล้เส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกระพริบตา อาจรู้สึกว่าตาแห้ง หรือลืมตาได้ไม่สุด

6.อาการดื้อยาหรือดื้อโบท็อกซ์ หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หากฉีดโบท็อกซ์บ่อยเกินไป หรือใช้ยี่ห้อที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดภาวะดื้อยา ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ลดลงในระยะยาว

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา
การปรับรูปหน้าบริเวณใต้ตาให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ และเรียบเนียนนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งสองวิธีที่ได้รับความนิยมมากคือ การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา และ การฉีดไขมันใต้ตา แม้ทั้งสองวิธีจะช่วยให้ใต้ตาดูดีขึ้น แต่แต่ละวิธีก็มีวัตถุประสงค์ กลไกการทำงาน และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ขอเปรียบเทียบระหว่าง ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา เพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าควรเลือกแบบใดให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาใต้ตา

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นการฉีดสาร Botulinum toxin type A เข้าไปที่กล้ามเนื้อใต้ตา เพื่อลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ที่ทำให้เกิดริ้วรอยเล็ก ๆ เวลายิ้มหรือแสดงสีหน้า

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาเล็ก ๆ จากการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ
• ใต้ตาไม่มีร่องลึกหรือถุงไขมัน
• ต้องการแก้ปัญหาชั่วคราวโดยไม่พักฟื้น

ข้อดีของฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• ทำได้เร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที
• ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลใน 3-7 วัน
• ช่วยให้ใต้ตาดูเรียบขึ้น สดใสขึ้น

ข้อจำกัดของฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• ไม่สามารถเติมเต็มร่องลึกหรือไขมันที่ยุบตัวได้
• ไม่ช่วยลดถุงใต้ตา
• ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ต้องฉีดซ้ำ

ฉีดไขมันใต้ตา
ฉีดไขมันใต้ตาเป็นการดูดไขมันจากร่างกายตัวเอง เช่น หน้าท้อง หรือต้นขา แล้วปั่นแยกไขมันบริสุทธิ์ก่อนฉีดกลับเข้าไปใต้ตา เพื่อเติมเต็มร่องลึก หรือปรับผิวให้ดูอิ่มฟู

ฉีดไขมันใต้ตาเหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีร่องลึกใต้ตา, ใต้ตาตอบ หรือผิวบาง
• ใต้ตาดูโทรมจากโครงสร้าง ไม่ใช่แค่จากริ้วรอย
• ต้องการผลลัพธ์ที่ดูธรรมชาติและอยู่ได้นาน

ข้อดีของฉีดไขมันใต้ตา
• ใช้ไขมันของตัวเอง ปลอดภัย ไม่แพ้
• แก้ปัญหาใต้ตาแบบโครงสร้างได้ตรงจุด
• อยู่ได้นาน 6 เดือน - หลายปี บางรายอยู่ถาวร

ข้อจำกัดของฉีดไขมันใต้ตา
• มีระยะพักฟื้นประมาณ 3-7 วัน
• อาจบวม/ช้ำบริเวณที่ฉีด
• ไขมันบางส่วนอาจสลายไป ทำให้ต้องเติมซ้ำ

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับใคร
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน โดยกลุ่มคนที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา มีดังนี้

1.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา
• มักเกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือหรี่ตาบ่อย
• โบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

2.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาจากอายุที่เพิ่มขึ้น
• เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อใต้ตาเริ่มทำงานไม่สมดุลและผิวบางลง
• การฉีดโบท็อกซ์ช่วยให้ผิวใต้ตาตึงขึ้นเล็กน้อย ดูสดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ไม่มีปัญหาถุงใต้ตานูนหรือไขมันสะสมมาก
• โบท็อกซ์ไม่สามารถลดถุงใต้ตาหรือไขมันได้
• ผู้ที่มีเพียงริ้วรอยเล็ก ๆ โดยไม่มีถุงไขมันจะเห็นผลชัดเจนมากที่สุด

4.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ่อนล้า ใต้ตาดูเหนื่อยโทรม
• ใต้ตาที่มีริ้วรอยบาง ๆ ทำให้หน้าดูเหนื่อย
• โบท็อกซ์ช่วยให้ดวงตาดูสดชื่นขึ้นโดยไม่ต้องแต่งหน้าหนา

5.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบไม่ต้องผ่าตัด
• เหมาะกับคนที่ไม่อยากผ่าตัดหนังตาล่าง หรือไม่ต้องการพักฟื้นนาน

6.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่เคยฉีดโบท็อกซ์ตำแหน่งอื่นและต้องการดูแลใต้ตาเพิ่มเติม
• เช่น เคยฉีดหน้าผาก ตีนกา หางตา แล้วอยากให้รอบดวงตาและใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ใช้กี่ cc ถึงเห็นผล
ปริมาณโบท็อกซ์นับเป็นจำนวนยูนิต (Unit) สำหรับปริมาณที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่มีผลต่อทั้งประสิทธิภาพของผลลัพธ์และความปลอดภัย เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นจุดที่ผิวบอบบาง มีกล้ามเนื้อและเส้นเลือดจำนวนมาก การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตามากเกินไปหรือกระจายผิดตำแหน่ง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ตาตก หรือยิ้มผิดรูป

โดยทั่วไปฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาใช้ประมาณ 2 - 6 ยูนิตต่อข้าง
• ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาของแต่ละคน เช่น จำนวนริ้วรอย, ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความกว้างของพื้นที่ที่ต้องการแก้ไข
• แพทย์จะประเมินและปรับปริมาณยูนิตให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล

ปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนยูนิตที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
1.ระดับความรุนแรงของริ้วรอยใต้ตา
• ริ้วรอยเล็ก ๆ บาง ๆ ใช้ 2-4 ยูนิต/ข้าง
• ริ้วรอยเห็นชัด หรือมีผิวหย่อนเล็กน้อย ใช้ 4-6 ยูนิต/ข้าง

2.เพศ และกล้ามเนื้อของผู้รับการฉีด
• ผู้ชายหรือคนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง อาจใช้ปริมาณมากกว่าผู้หญิง
• แต่ไม่ควรเกิน 6 ยูนิตต่อข้าง เพราะอาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อรอบดวงตา

3.ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้
• แต่ละยี่ห้อมีความเข้มข้นและการกระจายตัวต่างกัน
• เช่น Allergan (USA) มีความเข้มข้น กระจายตัวน้อย ใช้จำนวนน้อยกว่า

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาที่ไหนดี
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความชำนาญอย่างสูง เพราะใต้ตาเป็นบริเวณที่ผิวบาง มีกล้ามเนื้อและเส้นประสาทจำนวนมาก หากฉีดผิดตำแหน่งหรือใช้ตัวยาที่ไม่มีคุณภาพ อาจส่งผลให้เกิดภาวะตาตกหรือผลข้างเคียงร้ายแรงได้
ดังนั้นก่อนเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาที่ไหนดี ? ควรพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบจากหัวข้อดังต่อไปนี้

1.คลินิกฉีดโบท็อกซ์ใต้ตามีใบอนุญาตประกอบกิจการถูกต้อง
• คลินิกต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
• มีเลขใบอนุญาตแสดงไว้อย่างชัดเจนบริเวณหน้าคลินิก
• สถานที่ต้องสะอาด มีระบบการจัดการเครื่องมือแพทย์ที่ปลอดเชื้อ

2.แพทย์ที่ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
• ควรเป็นแพทย์ด้านผิวหนังหรือเวชศาสตร์ความงาม
• สามารถตรวจสอบรายชื่อได้จากเว็บไซต์แพทยสภา
• แพทย์ควรให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนทำ พร้อมประเมินรูปหน้าและสภาพปัญหาใต้ตาอย่างตรงจุด

3.ใช้โบท็อกซ์แท้ มี อย.ไทย ในการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• ขวดโบท็อกซ์ต้องมีฉลากภาษาไทย และมีเลขทะเบียน อย.ชัดเจน
• ยี่ห้อที่ได้รับรอง เช่น Botox Allergan - สหรัฐอเมริกา Xeomin - เยอรมนี
• ควรให้แพทย์แกะกล่องโบท็อกซ์ให้ดูต่อหน้า และสามารถขอถ่ายรูปขวดและกล่องได้

4.มีรีวิวฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาจากลูกค้าที่ใช้บริการจริง
• ดูรีวิวฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาจากลูกค้าจริง ทั้งก่อน-หลังฉีด และผลลัพธ์ระยะยาว
• ผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาควรดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่ตึงเกินไป
• ระวังรีวิวปลอมที่เกินจริง หรือมีการใช้ภาพซ้ำจากคลินิกอื่น

5.ไม่โฆษณาฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเกินจริง / ราคาถูกเกินเหตุ
• หากราคาถูกผิดปกติ เช่น 1,000-2,000 บาท รวมทุกอย่าง ให้สงสัยว่าอาจใช้โบท็อกซ์ปลอม หรือไม่มีใบอนุญาต
• หัตถการที่ปลอดภัยควรมีการประเมินใบหน้าโดยแพทย์ และคิดค่าบริการตามคุณภาพ ไม่ใช่ราคาต่ำที่สุด

6.มีบริการติดตามผลหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• คลินิกที่ดีควรมีระบบนัดติดตามผล เช่น หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา 7-14 วัน
• หากมีอาการข้างเคียง เช่น บวมมาก ตาช้ำ ควรสามารถติดต่อแพทย์ได้ทันที

ข้อสงสัยหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา บวม เป็นก้อนเกิดจากอะไร
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถลดริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตามหลายคนกังวลว่า ทำไมบางคนมีอาการบวม หรือเป็นก้อนหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ? ซึ่งอาจเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้

1.บวมเล็กน้อยหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา - อาการปกติ
• เกิดจากเข็มเจาะเข้าผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบเล็กน้อยของเนื้อเยื่อ
• พบได้บ่อยในผิวบาง บริเวณใต้ตา และจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน

2.บวมช้ำเป็นจ้ำหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา - เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก
• เข็มอาจกระทบเส้นเลือดฝอยใต้ผิว
• จะเห็นเป็นรอยเขียวหรือม่วงบริเวณใต้ตา
• ใช้เวลา 3-7 วันในการฟื้นตัว สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการ

3.บวมแข็ง เป็นก้อนนูนชัดเจนหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา - ต้องระวัง
• ฉีดลึกเกินไป หรือฉีดเข้าเนื้อเยื่อผิดชั้น
• ปริมาณโบท็อกซ์มากเกินจำเป็น ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนผิดปกติ
• แพ้ตัวยา หรือการอักเสบเฉพาะจุด

หากอาการบวมเป็นก้อนชัดเจน และไม่ดีขึ้นภายใน 5-7 วัน หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา กี่วันเห็นผล
หลังการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา หลายคนอยากรู้ว่า ต้องใช้เวลากี่วันจึงจะเห็นผลชัดเจน ซึ่งคำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้ ปริมาณที่ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา และสภาพร่างกายของแต่ละคน แต่โดยทั่วไปสามารถแบ่งช่วงเวลาในการเห็นผลฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาได้ดังนี้

ระยะเวลาเห็นผลหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
3-4 วันแรก หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• เริ่มรู้สึกว่าริ้วรอยใต้ตาเริ่มตึงขึ้น
• กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเริ่มคลายตัวอย่างช้า ๆ
• ผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตายังไม่ชัดเจนมากในช่วงนี้

7-14 วัน หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• เป็นช่วงที่ผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเริ่มชัดเจนที่สุด
• ริ้วรอยใต้ตาจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
• ใต้ตาดูเรียบเนียนและสดใสมากขึ้น

ผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาคงอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน
• หลังจากฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาผ่านไปหลายเดือน โบท็อกซ์จะสลายตามธรรมชาติ
• หากต้องการผลต่อเนื่อง ควรฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาซ้ำทุก 4-6 เดือน

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา บวมกี่วัน
หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา หลายคนอาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและมักไม่อันตราย แต่อาจทำให้รู้สึกกังวล โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาที่เป็นจุดบอบบาง อาการบวมที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว เทคนิคการฉีด และการดูแลหลังทำ

สำหรับข้อสงสัยว่าฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาบวมกี่วัน ? คำตอบคือ
• อาการบวมเล็กน้อยตามปกติ จะเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา มักหายได้เองภายใน 1-3 วัน บางรายอาจบวมนานถึง 5 วัน หากมีผิวบอบบางหรือเส้นเลือดใต้ตาชัด
• ถ้าบวมแดง ช้ำ หรือเจ็บมากผิดปกติ หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ควรเฝ้าระวัง และรีบพบแพทย์หากไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน

สาเหตุที่ทำให้บวมหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• เข็มแทงโดนเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ทำให้เกิดการช้ำหรือบวมเป็นจ้ำเล็กน้อย
• เนื้อเยื่ออักเสบเล็กน้อยหลังเข็มเจาะผิว เป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายหลังการฉีดสารเข้าไป
• เทคนิคการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาของแพทย์ หากฉีดลึกหรือใช้ปริมาณมากเกิน อาจทำให้บวมมากขึ้น
• ผิวบาง ใต้ตาไวต่อการระคายเคือง พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุมาก หรือผู้ที่มีเส้นเลือดใต้ตาชัด

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา ให้ผิวดูเรียบเนียน อ่อนเยาว์ และสดใสขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด แม้จะเห็นผลได้เร็วใน 3-7 วัน แต่สิ่งที่หลายคนอยากรู้คือ ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา อยู่ได้นานแค่ไหน ? คำตอบคือ ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน

• เดือนที่ 1-2 หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด ใต้ตาเรียบเนียน ริ้วรอยจางลง
• เดือนที่ 3-4 หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ฤทธิ์ของตัวยาเริ่มลดลง กล้ามเนื้อเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ
• เดือนที่ 5-6 หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ผลเริ่มจางหายเต็มที่ อาจมีริ้วรอยกลับมา ควรพิจารณาฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาซ้ำ

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ทำให้ตาบอดจริงหรือ
คำถามว่า ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอันตรายถึงขั้นตาบอดหรือไม่ ? เป็นความกังวลที่หลายคนถามก่อนตัดสินใจทำหัตถการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณใต้ตา ที่อยู่ใกล้กับดวงตาและมีเส้นเลือด เส้นประสาทอยู่มาก
คำตอบคือ โบท็อกซ์ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้ตาบอด แต่ถ้าฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาผิดเทคนิค ใช้ตัวยาที่ไม่บริสุทธิ์ หรือฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาโดยผู้ที่ไม่มีความรู้ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงในบริเวณรอบดวงตาได้เช่นกัน

การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง เพราะบริเวณใต้ตามีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อจำนวนมาก หากปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมก่อนและหลังฉีด อาจทำให้เกิดอาการบวม ช้ำ หรือผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้ เพื่อให้การฉีดปลอดภัยและเห็นผลเต็มที่ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
1.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาหลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
• ห้ามรับประทานยาแอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), วิตามินอี, น้ำมันปลา, โสม หรือยาละลายลิ่มเลือดอื่น ๆ อย่างน้อย 3-5 วันก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาต่อเนื่อง ควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาทุกครั้ง

2.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตางดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
• แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการฟกช้ำหรือบวมหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา

3.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนทำ
• ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ

4.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาล้างหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับบริการ
• งดแต่งหน้า หรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
1.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาห้ามนอนราบ 4-6 ชั่วโมงหลังฉีด
• ห้ามนอนราบหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เพื่อป้องกันไม่ให้ยาไหลไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะตาตก

2.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตางดการนวด ขยี้ หรือสัมผัสแรง ๆ บริเวณใต้ตา
• ห้ามสัมผัสบริเวณใต้ตาแรง ๆ หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา โดยเฉพาะภายใน 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายผิดตำแหน่ง

3.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตางดกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงหรือเหงื่อออกมาก
• ควรหลีกเลี่ยงทำกิจกรรมบางอย่างหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก อบไอน้ำ หรือโยคะร้อน ภายใน 48 ชั่วโมงแรก

4.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตางดการแต่งหน้าในบริเวณที่ฉีดใน 24 ชั่วโมงแรก
• ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือการระคายเคืองที่ผิว

5.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตางดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด
• ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบวมและช้ำหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา

6.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาหากรู้สึกบวมเล็กน้อยหรือช้ำเล็ก ๆ
• หากมีอาการบวมช้ำเล็กน้อยหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา สามารถประคบเย็นเบา ๆ ได้ใน 1-2 วันแรก วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที

7.หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาควรเข้ารับการตรวจติดตามผลตามนัด
• ควรเข้ารับการตรวจติดตามผลหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เพื่อให้แพทย์ประเมินผลและแก้ไขหากเกิดอาการไม่สมดุล หรือผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์

ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาที่ควรรู้
หลังจากฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา แม้จะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้นและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ก็มีข้อห้ามบางอย่างที่ต้องหลีกเลี่ยงในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของตัวยา หรือทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ตาบวม ตาตก หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดจุด ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ได้แก่

1.ห้ามนอนราบใน 4-6 ชั่วโมงแรกหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• เพราะแรงโน้มถ่วงอาจทำให้ตัวยาเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาควรนั่งหรือนอนเอนศีรษะเล็กน้อย
• หลีกเลี่ยงการหลับในท่าตะแคงหรือนอนคว่ำ

2.ห้ามขยี้ตา กด นวด หรือสัมผัสแรง ๆ บริเวณใต้ตา หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาห้ามขยี้ตา กด นวด หรือสัมผัสแรง ๆ บริเวณใต้ตา
• อาจทำให้ตัวยาเคลื่อนผิดตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดภาวะตาตก หรือ ยิ้มเบี้ยว

3.ห้ามแต่งหน้า หรือทาครีมบริเวณใต้ตาใน 24 ชั่วโมงแรก หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาห้ามแต่งหน้า หรือทาครีมบริเวณใต้ตาใน 24 ชั่วโมงแรก
• เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อหรือการระคายเคือง

4.ห้ามเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำร้อน หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาห้ามเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำร้อน
• เพราะความร้อนสูงทำให้หลอดเลือดขยาย และอาจทำให้ตัวยาเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

5.ห้ามออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาห้ามออกกำลังกายหนัก เช่น เวทเทรนนิ่ง คาร์ดิโอ โยคะร้อน
• เหงื่อและอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นอาจเร่งการกระจายของตัวยา

6.ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาห้ามดื่มแอลกอฮอล์
• เพราะแอลกอฮอล์จะขยายหลอดเลือด เพิ่มโอกาสช้ำ บวม หรือเสื่อมฤทธิ์ของโบท็อกซ์

7.ห้ามใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิดโดยไม่ปรึกษาแพทย์หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
• หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ห้ามใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด, วิตามินอี, น้ำมันปลา
• เพราะอาจทำให้ช้ำง่ายหรือเลือดออกในชั้นผิวมากกว่าปกติ

ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา ราคา
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา ทำให้ผิวเรียบเนียน สดใส และดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ราคาฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาโดยทั่วไปอยู่ที่เท่าไหร่ ?
ราคาฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของโบท็อกซ์, จำนวนยูนิตที่ใช้, ค่าบริการแพทย์, และ มาตรฐานของคลินิก ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งได้ดังนี้

ราคาฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา (โดยประมาณ)

ยี่ห้อโบท็อกซ์

ประเทศผลิต

จำนวนยูนิต (2-6 ยูนิต/ข้าง)

ราคาโดยประมาณ (ทั้ง 2 ข้าง)

Botox® (Allergan)

สหรัฐอเมริกา

4-12 ยูนิต

3,500 - 7,000 บาท

Xeomin®

เยอรมนี

4-12 ยูนิต

3,000 - 6,500 บาท

โบท็อกซ์เกาหลี (Aestox, Nabota)

เกาหลีใต้

4-12 ยูนิต

2,000 - 4,000 บาท

หมายเหตุ เป็นราคาฉีดโบท็อกซ์โดยทั่วไปในท้องตลาด ราคาแต่ละคลินิกอาจมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น โปรโมชั่น, แพ็กเกจแบบเหมาจุด, หรือรวมค่าบริการแพทย์แล้ว แนะนำปรึกษาและสอบถามราคาฉีดโบท็อกซ์ใต้ตากับคลินิกโดยตรงก่อนทำ

รีวิว ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ข้อดีฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
1.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตาอย่างเห็นผล
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดตัว ทำให้ผิวเรียบขึ้น ริ้วรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

2.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาทำให้ดวงตาดูสดใส ไม่เหนื่อยล้า
ใต้ตาที่ดูมีริ้วรอยหรือหย่อนคล้อยจะดูอ่อนล้า ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยคืนความสดชื่นให้ใบหน้าโดยรวม

3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ

4.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาใช้เวลาทำน้อย เห็นผลเร็ว
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาใช้เวลาเพียง 10-15 นาที เห็นผลชัดเจนภายใน 7-14 วัน

5.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาทำให้คลายตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยซ้ำ ๆ จากการแสดงสีหน้าในระยะยาว

6.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้
หัตถการอื่น ๆ สามารถทำร่วมกับฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา, เมโสใต้ตา หรือเลเซอร์ เพื่อผลลัพธ์ให้ผิวใต้ตาเรียบเนียนดูสดใสมากขึ้น

ข้อเสียฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
1.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่สามารถเติมเต็มร่องลึกหรือถุงใต้ตาได้
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเหมาะกับการลดริ้วรอยเท่านั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้าง เช่น ร่องลึกหรือไขมันสะสม

2.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาให้ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราว
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ต้องฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาซ้ำหากต้องการคงผลลัพธ์

3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาเสี่ยงผลข้างเคียงหากฉีดผิดเทคนิค
ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ตาตก ยิ้มแข็ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หากฉีดในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง หรือใช้ปริมาณยาเกินความจำเป็น

4.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาให้ผลลัพธ์อาจไม่สมดุลในบางราย
ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอาจไม่เห็นผลน่าพึงพอใจ หากกล้ามเนื้อสองข้างไม่เท่ากันตั้งแต่ต้น หรือผู้ที่ฉีดไม่ใช่แพทย์ทำให้ไม่มีความรู้

5.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาไม่เหมาะกับทุกปัญหาใต้ตา
ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำจากเส้นเลือด ผิวบาง หรือไขมันสะสมมาก อาจต้องใช้หัตถการอื่นร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาด้วย

6.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาต้องเลือกคลินิกและแพทย์อย่างระมัดระวัง
หากใช้โบท็อกซ์ปลอม หรือฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาโดยผู้ไม่มีใบอนุญาต อาจเสี่ยงต่ออาการแพ้ บวมอักเสบ หรือผลเสียระยะยาว

สรุปเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
สรุปได้ว่า การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาถือเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย และเสริมให้ดวงตาดูสดใสขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ หรือร่องตื้นบริเวณใต้ตา และไม่ต้องการผ่าตัดหรือพักฟื้น แต่ทั้งนี้การฉีดจะต้องทำอย่างแม่นยำในปริมาณที่เหมาะสม โดยแพทย์และคลินิกที่มีใบอนุญาต ใช้ผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านการรับรอง

อย่างไรก็ตามแม้เป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ก็ยังมีข้อควรระวัง และข้อห้ามสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น อาการตาบวม ตาตก หรือยาไม่ออกฤทธิ์ตามต้องการ

หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวรอบดวงตาให้กลับมาอ่อนเยาว์แบบไม่ยุ่งยาก การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตาอาจเป็นคำตอบที่ใช่ เพียงเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้ และดูแลตัวเองให้ถูกวิธี ก็สามารถกลับมามีผิวรอบดวงตาที่สดใสอีกครั้ง

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย ที่คุณอาจสนใจ