20 วิธีทำให้หน้าเรียว ลดแก้ม ลดเหนียง กรอบหน้าคมชัด เห็นผลชัดไว
วิธีทำให้หน้าเรียว
20 วิธีทำให้หน้าเรียว ลดแก้ม ลดเหนียง กรอบหน้าคมชัด เห็นผลชัด
รวม 20 วิธีทำให้หน้าเรียว ลดแก้ม ลดเหนียง กรอบหน้าคมชัด
ใบหน้าเรียวเล็ก เป็นหนึ่งในอุดมคติความงามที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติ อ่อนเยาว์ และถ่ายรูปออกมาสวยทุกมุม แต่ความจริงแล้วแต่ละคนมีสาเหตุของ “หน้ากลม-หน้าบาน” แตกต่างกันไป บางคนเกิดจากโครงสร้างกระดูกกรามใหญ่ บางคนมีกล้ามเนื้อกรามหนา ไขมันสะสม หรือผิวหนังหย่อนคล้อย ทำให้วิธีแก้ปัญหาก็ต้องต่างกันด้วย
ปัจจุบันมีหลายแนวทางที่ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวได้ ตั้งแต่วิธีง่าย ๆ ที่ทำเองได้ เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อหน้า ไปจนถึงหัตถการความงาม เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ HIFU ร้อยไหม และวิธีถาวรอย่างการศัลยกรรม ในบทความนี้เราจะพาไปรู้วิธีทำให้หน้าเรียว พร้อมข้อดี ข้อจำกัด และคำแนะนำว่าควรเลือกวิธีไหนให้เหมาะกับคุณที่สุด
สาเหตุที่ทำให้หน้าบานหรือหน้าใหญ่
สาเหตุที่ทำให้หน้าบานหรือหน้าใหญ่มีหลายปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1.โครงสร้างกระดูกและพันธุกรรม
• คนที่มีกระดูกกรามกว้างหรือเหลี่ยม มักทำให้รูปหน้าไม่เรียว
• โครงสร้างกระดูกใบหน้าที่ใหญ่ตั้งแต่กำเนิด ส่งผลให้ดูหน้าบานแม้น้ำหนักไม่มาก
2.กล้ามเนื้อกรามใหญ่
• การใช้กล้ามเนื้อกรามบ่อย เช่น เคี้ยวอาหารเหนียว แข็ง หรือหมากฝรั่ง
• ผู้ที่มีนิสัยกัดฟันตอนนอน ทำให้กล้ามเนื้อกรามหนาขึ้น
• ส่งผลให้หน้าดูกว้างหรือเหลี่ยม
3.ไขมันสะสมบนใบหน้า
• น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีไขมันสะสมบริเวณแก้ม คาง เหนียง
• ทำให้หน้าดูใหญ่และไม่เรียว
4.ผิวหนังหย่อนคล้อย
• เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง
• ผิวไม่กระชับเหมือนเดิม เกิดความหย่อนคล้อย ทำให้ดูหน้ากลมใหญ่
5.พฤติกรรมการใช้ชีวิต
• นอนดึก พักผ่อนไม่พอ ทำให้หน้าบวม
• ทานอาหารเค็มหรือโซเดียมสูง ทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
• ดื่มแอลกอฮอล์ หรือ ดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ ส่งผลให้หน้าบวม
6.ปัญหาสุขภาพบางอย่าง
• โรคภูมิแพ้ ทำให้เกิดอาการหน้าบวม
• ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมนหรือการทำงานของต่อมไร้ท่อ
• ภาวะไตหรือตับมีปัญหา อาจทำให้ใบหน้าดูบวมใหญ่
เลือกวิธีทำให้หน้าเรียวอย่างไรให้เหมาะสม
การเลือกวิธีทำให้หน้าเรียวให้เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้หน้าดูใหญ่และความต้องการของแต่ละคน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับวิธีเดียวกันเสมอไป ดังนั้นเราควรพิจารณาจากหลายปัจจัยดังนี้
1.วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
• โครงสร้างกระดูกใหญ่ หากเป็นกรามกว้างตั้งแต่กำเนิด อาจต้องพิจารณาศัลยกรรมผ่าตัดกรามหรือใช้หัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้า เช่น ฟิลเลอร์ ร้อยไหม
• กล้ามเนื้อกรามใหญ่ เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม เพื่อคลายกล้ามเนื้อ ทำให้หน้าดูเรียวขึ้น
• ไขมันสะสม เหมาะกับการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายเฉพาะส่วน หรือทำหัตถการดูดไขมัน / HIFU / Meso Fat
• ผิวหนังหย่อนคล้อย เหมาะกับหัตถการยกกระชับ เช่น HIFU, Ulthera, Thermage หรือร้อยไหม
2.เลือกวิธีทำให้หน้าเรียวตามความต้องการผลลัพธ์
• ต้องการเห็นผลหน้าเรียวที่ดูเป็นธรรมชาติ แนะนำบริหารกล้ามเนื้อหน้า, นวดหน้า, ควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย
• ต้องการเห็นผลในเวลาไม่นาน แต่ไม่อยากผ่าตัด แนะนำหัตถการความงาม เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม HIFU Ulthera
• ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่อยู่ได้ค่อนข้างนานถาวร แนะนำศัลยกรรมผ่าตัดกราม ดูดไขมันหน้า
3.พิจารณาเรื่องงบประมาณของวิธีทำให้หน้าเรียว
• งบจำกัด เริ่มจากวิธีธรรมชาติและการดูแลตัวเอง
• งบปานกลาง เลือกหัตถการไม่ผ่าตัด เช่น โบท็อกซ์ ร้อยไหม HIFU
• งบสูงและพร้อมพักฟื้น ศัลยกรรมแก้โครงสร้างหน้า
4.คำนึงถึงระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้ของวิธีทำให้หน้าเรียว
• โบท็อกซ์ / ฟิลเลอร์ / HIFU อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ หรือร้อยไหม อยู่ได้ 1-2 ปี
• ศัลยกรรม ให้ผลค่อนข้างถาวร แต่ต้องดูแลหลังทำและมีความเสี่ยงมากกว่า
5.ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีทำให้หน้าเรียว
• ก่อนเลือกวิธีทำให้หน้าเรียว ควรให้แพทย์ช่วยวิเคราะห์รูปหน้า ว่าปัญหามาจาก กระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน หรือผิวหย่อนคล้อย
• แพทย์จะช่วยแนะนำวิธีทำให้หน้าเรียวที่ลดความเสี่ยง เหมาะกับสภาพหน้า และงบประมาณ ของแต่ละคน
แนะนำ 20 วิธีทำให้หน้าเรียว หน้า V-Shape
1.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยโบท็อกซ์
โบท็อกซ์เป็นสาร Botulinum Toxin Type A เมื่อฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อกราม จะช่วยยับยั้งสัญญาณประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น ( โบท็อกซ์ )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยโบท็อกซ์
• เห็นผลเร็วภายใน 2-4 สัปดาห์
• ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
• เจ็บน้อย ใช้เวลาไม่นานในการทำ (ประมาณ 10-15 นาที)
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยโบท็อกซ์
• ผลลัพธ์อยู่ได้เพียง 4-6 เดือน ต้องฉีดซ้ำ
• ไม่สามารถแก้ปัญหาหน้าใหญ่จากไขมันหรือผิวหย่อนคล้อยได้
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยโบท็อกซ์เหมาะกับใคร ผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ไม่อยากผ่าตัด แต่อยากให้หน้าดูเรียวเล็กลงอย่างชัดเจน
2.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์
การฉีดสารเติมเต็มที่ส่วนใหญ่ทำจากกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เพื่อปรับรูปหน้า เช่น เติมคางให้ยาวขึ้น ทำให้หน้าดูวีเชฟ หรือเติมขมับเพื่อให้หน้าสมดุล ( ฟิลเลอร์ )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์
• ปรับรูปหน้าให้เรียวได้ทันทีหลังฉีด
• ไม่ต้องผ่าตัด พักฟื้นน้อย
• สามารถเลือกปริมาณและตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์
• ไม่ได้ลดขนาดหน้า แต่ช่วยปรับสัดส่วนให้ดูเรียวขึ้น
• ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-18 เดือน ต้องฉีดซ้ำ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์เหมาะกับใคร ผู้ที่มีคางสั้น หน้าดูกลม หรือใบหน้าไม่ได้สัดส่วน อยากปรับรูปหน้าให้ได้ทรงวีเชฟ
3.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยร้อยไหม
การร้อยไหมหน้าเรียวจะใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงเล็ก ๆ ใส่เข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อยกผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยร้อยไหม
• เห็นผลยกกระชับทันทีบางส่วน
• กระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง ทำให้ผิวแน่นกระชับ
• ผลอยู่ได้ 1-2 ปี
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยร้อยไหม
• ต้องทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาไหมทะลุหรือผิวไม่เรียบ
• อาจบวมช้ำเล็กน้อยหลังทำ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยร้อยไหมเหมาะกับใคร คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องการเห็นผลทันทีโดยไม่ผ่าตัด
4.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยเมโสแฟต
การฉีดตัวยาช่วยลดไขมันเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยเมโสแฟต
• ลดไขมันเฉพาะจุด เช่น แก้ม เหนียง กรอบหน้า
• ไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลหลังทำ 2-3 สัปดาห์
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยเมโสแฟต
• ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงเห็นผลชัดเจน
• อาจมีอาการบวมแดงหรือช้ำเล็กน้อย
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยเมโสแฟตเหมาะกับใคร คนที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง ทำให้หน้าดูกลมใหญ่
5.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Oligio
Oligio คือเครื่องยกกระชับผิวด้วย คลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ส่งพลังงานลงชั้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัวและกระตุ้นการสร้างใหม่ ผิวจึงดูตึง กระชับ และหน้าเรียวขึ้น ( Oligio )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Oligio
• กระชับผิว ลดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ดี
• เจ็บน้อยกว่า RF รุ่นเก่า ไม่ต้องพักฟื้นนาน
• เห็นผลทันทีบางส่วน และดีขึ้นต่อเนื่อง 1-3 เดือน
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Oligio
• ยกกระชับไม่ลึกเท่า Ulthera หรือ Thermage
• ผลอยู่ราว 6-12 เดือน ต้องทำซ้ำ
• ไม่เหมาะกับผู้ที่หน้ากลมจากไขมันเยอะ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Oligio เหมาะกับใคร
• ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย-ปานกลาง
• คนที่อยากยกกระชับหน้าเรียวแต่ไม่ชอบความเจ็บ
• เหมาะกับผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีริ้วรอยหรือผิวไม่กระชับ
6.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ulthera
Ulthera เป็นเครื่องยกกระชับผิวด้วยเทคโนโลยี Microfocused Ultrasound ที่สามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เมื่อพลังงานลงไปถึงชั้นนี้ จะเกิดการหดตัว และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวตึง กระชับ และยกขึ้นอย่างชัดเจน ( Ulthera )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ulthera
• ผลลัพธ์ใกล้เคียงการผ่าตัดดึงหน้า แต่ไม่ต้องผ่าตัด
• ยกกระชับได้ลึกและชัดเจน เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน
• อยู่ได้นาน 1-2 ปีต่อการทำ 1 ครั้ง
• ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ulthera
• ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ HIFU รุ่นอื่น ๆ
• ระหว่างทำอาจรู้สึกเจ็บหรือแสบลึก ๆ
• ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพผิวของแต่ละคน
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ulthera เหมาะกับใคร
• คนที่มีผิวหย่อนคล้อยชัดเจน ต้องการยกหน้าขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
• คนที่ไม่อยากผ่าตัดแต่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน
• ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป เริ่มมีปัญหาความหย่อนคล้อยมากขึ้น
7.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ultraformer
Ultraformer เป็นเครื่อง HIFU รุ่นใหม่ ที่ใช้คลื่นเสียงความเข้มข้นสูง ยิงพลังงานลงไปยังชั้น SMAS เช่นเดียวกับ Ulthera แต่มีหัวหลายขนาดเพื่อใช้กับหลายบริเวณ ทั้งยกกระชับผิวและสลายไขมันเฉพาะจุด เช่น เหนียง กรอบหน้า ( Ultraformer )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ultraformer
• เจ็บน้อยกว่า Ulthera ทำให้หลายคนทนได้สบายกว่า
• ค่าใช้จ่ายถูกกว่า Ulthera เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
• ยกกระชับผิวหน้า และสลายไขมันเล็กน้อยได้พร้อมกัน
• ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ultraformer
• ผลลัพธ์อยู่ได้เพียง 6-12 เดือน ต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
• ยกกระชับได้ไม่ชัดเจนเท่า Ulthera
• อาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้งเพื่อเห็นผลเต็มที่
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ultraformer เหมาะกับใคร
• คนที่มีผิวเริ่มหย่อนเล็กน้อย-ปานกลาง
• ผู้ที่ต้องการหน้าเรียวขึ้นเล็กน้อย และลดเหนียงไปพร้อมกัน
• คนที่อยากยกกระชับผิวในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า Ulthera
8.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Volnewmer
Volnewmer เป็นนวัตกรรมใหม่ที่พัฒนาต่อจาก Thermage โดยใช้พลังงาน RF ความเข้มข้นสูง และเทคโนโลยีที่ช่วยให้พลังงานกระจายสม่ำเสมอทั่วชั้นผิว ทำให้สามารถยกกระชับได้ลึกและครอบคลุมโดยไม่เจ็บมาก ( Volnewmer )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Volnewmer
• เจ็บน้อยกว่าวิธี RF รุ่นเก่า เช่น Thermage
• เห็นผลยกกระชับชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติ
• ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
• ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนทั้งใบหน้า คอ และกรอบหน้า
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Volnewmer
• ราคาสูงกว่าวิธีอื่นบางชนิด
• ยังไม่แพร่หลายมากในไทย อาจหาคลินิกทำได้ไม่ทุกที่
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Volnewmer เหมาะกับใคร
• คนที่มีผิวหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก
• คนที่กลัวเจ็บจาก Thermage แต่อยากได้ผลใกล้เคียง
• ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวในครั้งเดียวโดยไม่ต้องพักฟื้น
9.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Thermage
Thermage ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ยิงพลังงานลงไปในชั้นผิวเพื่อทำให้คอลลาเจนหดตัวและกระตุ้นการสร้างใหม่ ผลลัพธ์คือผิวที่ตึง กระชับ และเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่มีริ้วรอยร่วมกับความหย่อนคล้อย เช่น มุมปาก ใต้ตา กรอบหน้า ( Thermage )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Thermage
• ยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอยได้พร้อมกัน
• ทำครั้งเดียวอยู่ได้นาน 1-2 ปี
• เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวที่มีทั้งความหย่อนและริ้วรอย
• ไม่มีบาดแผลหรือรอยเข็ม
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Thermage
• ค่าใช้จ่ายสูงกว่าหัตถการหลายชนิด
• ระหว่างทำอาจรู้สึกร้อนหรือแสบผิวบ้าง
• ผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เห็นผลทันที
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Thermage เหมาะกับใคร
• คนที่อายุ 30-50 ปี ที่มีทั้งผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย
• ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้า
• คนที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนานโดยไม่ต้องทำบ่อย
10.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Morpheus8
Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีที่ผสาน Microneedling (เข็มเล็ก ๆ) เข้ากับ คลื่นวิทยุ RF โดยเข็มจะเจาะลงไปในชั้นผิวและปล่อยพลังงานความร้อนลงไปลึก ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิวจากภายใน ( Morpheus8 )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Morpheus8
• ยกกระชับผิวได้ลึกและมีประสิทธิภาพมาก
• ลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนกว้าง และรอยสิวไปพร้อมกัน
• เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหลายอย่างในครั้งเดียว
• ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี หากดูแลดี
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Morpheus8
• หลังทำอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ต้องใช้เวลา 2-3 วันในการฟื้นฟู
• ต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลเต็มที่
• ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหัตถการทั่วไป
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Morpheus8 เหมาะกับใคร
• คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมกับปัญหาสิว รูขุมขน หรือริ้วรอย
• ผู้ที่อยากหน้าเรียวแต่ไม่อยากทำหลายหัตถการ
• คนที่ต้องการทั้งผลด้านความงามและสุขภาพผิว
11.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Emface
Emface คือเทคโนโลยีใหม่จากยุโรปที่ผสาน คลื่นไฟฟ้า (HIFES) เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อบนใบหน้า และ คลื่นวิทยุ RF เพื่อกระชับผิวไปพร้อมกัน ผลที่ได้คือทั้งกล้ามเนื้อบนใบหน้าดูกระชับขึ้น และผิวชั้นบนมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด ( Emface )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Emface
• ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เข็ม และไม่ต้องพักฟื้น
• เหมาะกับคนที่กลัวการฉีดและไม่อยากผ่าตัด
• ได้ผลทั้งการยกกระชับและปรับโทนผิวให้ตึงกระชับ
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Emface
• ค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น
• ยังไม่แพร่หลายมากในไทย อาจหาคลินิกที่ทำได้ยาก
• ต้องทำหลายครั้งเพื่อให้เห็นผลเต็มที่
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Emface เหมาะกับใคร ผู้ที่ต้องการยกกระชับหน้าแต่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากฉีดหรือผ่าตัด และต้องการวิธีที่สบาย ๆ
12.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Hifu
HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) คือการยิงคลื่นเสียงพลังงานสูงเข้าสู่ชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับขึ้น บางรุ่นยังช่วยสลายไขมันได้เล็กน้อยด้วย ( HIFU )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Hifu
• เจ็บน้อยกว่า Ulthera และ Thermage
• ราคาเข้าถึงง่ายกว่า
• ยกกระชับผิวและช่วยเก็บกรอบหน้าได้ในระดับหนึ่ง
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Hifu
• ผลลัพธ์ไม่ชัดเท่า Ulthera
• อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ต้องทำซ้ำ
• ผลขึ้นอยู่กับคุณภาพเครื่องและฝีมือแพทย์
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Hifu เหมาะกับใคร ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง อยากให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่เจ็บและไม่ต้องผ่าตัด
13.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Linear Z
เป็น HIFU แบบ Linear Shot ที่ยิงพลังงานลงเป็นเส้นตรง แตกต่างจาก HIFU แบบทั่วไปที่ยิงเป็นจุด เน้นการสลายไขมันที่เหนียงและกรอบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Linear Z
• ลดไขมันใต้คางและกรอบหน้าได้ดี เห็นผลเร็ว
• เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น
• ช่วยให้กรอบหน้าชัดเจนขึ้น
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Linear Z
• ไม่ได้ยกกระชับทั้งหน้า เหมาะเฉพาะการลดไขมัน
• ผลอยู่ได้ 6-12 เดือน ต้องทำซ้ำ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Linear Z เหมาะกับใคร คนที่มีเหนียงหรือไขมันบริเวณกรอบหน้า แต่ผิวไม่ได้หย่อนคล้อยมาก
14.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Indiba
Indiba เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (RF) แบบเฉพาะที่ปล่อยพลังงานความร้อนอุ่น ๆ เข้าสู่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและเร่งการซ่อมแซมเซลล์ผิว ( Indiba )
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Indiba
• รู้สึกสบายขณะทำ คล้ายการนวดหน้า
• ช่วยลดบวมน้ำและทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น
• กระชับผิวเล็กน้อยหากทำต่อเนื่อง
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Indiba
• ต้องทำบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล
• ผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่าเครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ ๆ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Indiba เหมาะกับใคร คนที่อยากบำรุงผิวหน้า กระตุ้นการไหลเวียน และอยากผ่อนคลายไปพร้อมกับการดูแลผิว
15.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการดูดไขมัน
การดูดไขมันหน้าเป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้ท่อดูดเอาไขมันส่วนเกินที่แก้ม เหนียง หรือกรอบหน้าออก ช่วยลดปริมาณไขมันที่ทำให้หน้าดูกลมใหญ่
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการดูดไขมัน
• ลดไขมันถาวร ทำครั้งเดียวเห็นผลชัด
• เหมาะกับคนที่ไขมันเยอะจนวิธีอื่นเอาไม่อยู่
• ช่วยให้กรอบหน้าคมชัดมากขึ้น
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการดูดไขมัน
• ต้องพักฟื้น อาจมีรอยช้ำหรือบวมหลังทำ
• มีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทั่วไป
• ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการดูดไขมันเหมาะกับใคร คนที่มีแก้มและเหนียงเยอะจากไขมันสะสม และต้องการผลลัพธ์ถาวร
16.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยศัลยกรรมผ่าตัดกราม
เป็นการผ่าตัดเหลากระดูกกรามเพื่อลดความกว้างของใบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่โครงกระดูกใหญ่ตั้งแต่กำเนิด
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยศัลยกรรมผ่าตัดกราม
• เห็นผลถาวร เปลี่ยนโครงสร้างหน้าได้จริง
• ทำเพียงครั้งเดียวจบ
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยศัลยกรรมผ่าตัดกราม
• เจ็บตัวมาก ต้องพักฟื้นนาน
• ค่าใช้จ่ายสูง และมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด
• ต้องเลือกโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานและแพทย์เชี่ยวชาญ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยศัลยกรรมผ่าตัดกรามเหมาะกับใคร คนที่มีโครงหน้ากรามกว้างจากกระดูก ไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีอื่น
17.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยท่าบริหารหน้าเรียว
การออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น การอ้าปาก การเป่าลมในแก้ม การยกแก้ม เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและลดอาการบวมน้ำ
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยท่าบริหารหน้าเรียว
• ไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถทำเองได้ทุกวัน
• ช่วยให้กล้ามเนื้อใบหน้าแข็งแรงและกระชับขึ้น
• ส่งผลดีต่อการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยท่าบริหารหน้าเรียว
• ต้องทำอย่างสม่ำเสมอถึงจะเห็นผล
• ผลลัพธ์ช้าและไม่ชัดเจนเท่าหัตถการ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยท่าบริหารหน้าเรียวเหมาะกับใคร คนที่อยากหน้าเรียวดูเป็นธรรมชาติ ไม่รีบร้อนเห็นผล
18.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยกัวซานวดหน้า
ใช้หินกัวซาขูดนวดตามแนวกล้ามเนื้อและเส้นน้ำเหลืองบนใบหน้า เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดอาการบวม
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยกัวซานวดหน้า
• ลดบวมได้จริง ทำให้หน้าดูเล็กลงชั่วคราว
• ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้า
• ทำเองได้ที่บ้านหรือเข้าร้านนวดหน้า
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยกัวซานวดหน้า
• ผลไม่ถาวร ต้องทำบ่อย ๆ
• หากทำแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยช้ำ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยกัวซานวดหน้าเหมาะกับใคร คนที่อยากให้หน้าสดใสดูเรียวขึ้นแบบชั่วคราว
19.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งช่วยเผาผลาญพลังงานและลดไขมันทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณใบหน้า
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการออกกำลังกาย
• ลดน้ำหนักและไขมันทั่วตัว รวมถึงใบหน้า
• สุขภาพแข็งแรงขึ้น ระบบเผาผลาญดีขึ้น
• ช่วยให้ผิวสดใสจากการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการออกกำลังกาย
• ต้องใช้เวลาและทำต่อเนื่อง
• ไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะลดเฉพาะใบหน้า
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการออกกำลังกายเหมาะกับใคร คนที่น้ำหนักเกินและมีไขมันสะสมมากทั่วร่างกาย
20.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการควบคุมอาหาร
การปรับพฤติกรรมการกิน ลดอาหารที่มีโซเดียมสูง น้ำตาล และไขมัน เพื่อป้องกันการบวมน้ำและสะสมไขมัน
ข้อดีของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการควบคุมอาหาร
• ลดอาการบวม ทำให้ใบหน้าดูเล็กลงอย่างดูเป็นธรรมชาติ
• ดีต่อสุขภาพโดยรวม
• เห็นผลต่อเนื่องเมื่อทำร่วมกับการออกกำลังกาย
ข้อจำกัดของวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการควบคุมอาหาร
• ต้องมีวินัยสูงในการควบคุมอาหาร
• เห็นผลช้า ไม่ใช่วิธีลัด แต่ให้ผลดีในระยะยาว
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการควบคุมอาหารเหมาะกับใคร คนที่อยากหน้าเรียวแบบยั่งยืน และพร้อมปรับพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยตัวเอง vs หัตถการ vs ศัลยกรรม
1.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยตัวเอง
การดูแลตนเอง เช่น ท่าบริหารหน้า, นวดหน้า/กัวซา, ออกกำลังกาย, ควบคุมอาหาร ลดโซเดียมและไขมัน
ข้อดี
• ไม่มีความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง
• ไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือใช้จ่ายน้อยมาก
• ดีต่อสุขภาพโดยรวม
ข้อจำกัด
• ผลลัพธ์ช้าและไม่ชัดเจนเท่าหัตถการ
• ต้องทำสม่ำเสมอและใช้เวลานาน
• ไม่สามารถแก้ปัญหาจากโครงกระดูกหรือผิวหย่อนคล้อยมากได้
เหมาะกับใคร
• คนที่หน้าใหญ่จากไขมันหรือน้ำหนักเกิน
• ผู้ที่ไม่รีบร้อนและอยากแก้ปัญหาแบบธรรมชาติ
• เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมผลลัพธ์ควบคู่กับหัตถการ
2.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยหัตถการความงาม
การใช้เทคโนโลยีหรือการฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม HIFU Ulthera Thermage Meso Fat เป็นต้น
ข้อดี
• เห็นผลเร็วกว่าแบบธรรมชาติ
• ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
• มีหลายทางเลือก ปรับให้เหมาะกับปัญหาเฉพาะได้ เช่น ลดกราม, สลายไขมัน, กระชับผิว
ข้อจำกัด
• ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องทำซ้ำ (ทุก 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับวิธี)
• มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการดูแลตัวเอง
• ต้องเลือกแพทย์และคลินิกที่เชื่อถือได้เพื่อความปลอดภัย
เหมาะกับใคร
• คนที่อยากเห็นผลชัดเจนและรวดเร็ว
• ผู้ที่หน้ากลมจากกรามใหญ่ ไขมัน หรือผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย-ปานกลาง
• คนที่ไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัด
3.วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยศัลยกรรม
การผ่าตัดโครงสร้างใบหน้าเพื่อให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น เช่น เหลากราม ดูดไขมันหน้า ตัดกระพุ้งแก้ม
ข้อดี
• เห็นผลชัดเจนและถาวร
• เหมาะกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ด้วยหัตถการ เช่น โครงกระดูกกรามใหญ่
• ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
ข้อจำกัด
• มีความเสี่ยงสูง เจ็บตัวมาก และต้องพักฟื้นนาน
• ค่าใช้จ่ายสูงกว่าทุกวิธี
• หากทำแล้วไม่พอใจ การแก้ไขยากและซับซ้อน
เหมาะกับใคร
• คนที่มีโครงกระดูกกรามกว้างตั้งแต่กำเนิด
• ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวรและยอมรับความเสี่ยงได้
• คนที่งบประมาณสูงและพร้อมพักฟื้นนาน
วิธีทำให้หน้าเรียวควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนทำ
1.เตรียมร่างกายให้พร้อม
• พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังทำ
• งดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนทำ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้น เสี่ยงช้ำและบวม
• งดสูบบุหรี่ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ เพราะนิโคตินทำให้แผลหายช้า และลดประสิทธิภาพของการสร้างคอลลาเจน
• ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและฟื้นตัวเร็ว
2.งดยาและอาหารเสริมบางชนิด
• หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน วิตามินอี น้ำมันปลา โสม
• ควรปรึกษาแพทย์หากจำเป็นต้องใช้ยาเป็นประจำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด
3.เตรียมผิวหน้า
• ล้างหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับบริการ
• งดการแต่งหน้าในวันที่นัดทำหัตถการ เพื่อความสะอาดและปลอดเชื้อ
• หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์แรง ๆ ก่อนหน้า 1 สัปดาห์
4.เตรียมใจและข้อมูล
• ศึกษาวิธีการที่สนใจ ทั้งข้อดี-ข้อจำกัด เพื่อเลือกให้เหมาะกับปัญหา เช่น โบท็อกซ์เหมาะกับกรามใหญ่, HIFU เหมาะกับผิวหย่อน, เมโสแฟตเหมาะกับไขมันแก้ม
• เลือกคลินิกและแพทย์ที่มีใบอนุญาต และใช้เครื่องยกกระชับ/ตัวยาที่ผ่าน อย.
• สอบถามผลลัพธ์และระยะเวลาที่อยู่ได้ เพื่อคาดหวังผลอย่างเหมาะสม
• แจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว การแพ้ยา หรือการตั้งครรภ์ ให้แพทย์ทราบก่อนทำ
5.สำหรับผู้ที่เตรียมทำศัลยกรรม
• ตรวจสุขภาพตามที่แพทย์สั่ง เช่น ตรวจเลือด, ตรวจคลื่นหัวใจ
• เตรียมวันลาและการพักฟื้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
• จัดเตรียมอุปกรณ์จำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย เจลประคบเย็น-อุ่น อาหารอ่อน
• มีญาติหรือเพื่อนช่วยดูแลหลังผ่าตัดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
6.สำหรับผู้ที่ดูแลตัวเองแบบธรรมชาติ
• วางแผนควบคุมอาหาร ลดเค็ม มัน หวาน เพื่อลดไขมันและอาการบวมน้ำ
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เน้นคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่ง
• ฝึกบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า (Face Yoga) อย่างน้อยวันละ 10-15 นาที
วิธีทำให้หน้าเรียวควรดูแลตัวเองอย่างไรหลังทำ
1.หลังทำหัตถการความงาม
• เลี่ยงการนวดหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ทำ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
• งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 1-2 วัน เพราะอาจทำให้บวมและช้ำมากขึ้น
• งดออกกำลังกายหนัก ๆ หรือทำกิจกรรมที่มีความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ใน 24-48 ชั่วโมงแรก
• ประคบเย็น ในกรณีที่มีอาการบวมแดง โดยเฉพาะหลังฉีดโบท็อกซ์หรือเมโสแฟต
• ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้สารออกฤทธิ์ได้เต็มที่และช่วยการขับของเสีย
• ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันผิวที่ไวต่อแสงหลังทำทรีตเมนต์
• ติดตามผลกับแพทย์ ตามนัด เพื่อเช็กความเรียบร้อยและแก้ไขทันทีหากมีปัญหา
2.หลังทำศัลยกรรมหน้าเรียว
• พักผ่อนให้เพียงพอ โดยนอนศีรษะสูงในช่วง 3-5 วันแรก เพื่อลดบวม
• ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก จากนั้นเปลี่ยนเป็นประคบอุ่นเพื่อลดบวมและฟื้นฟูเร็วขึ้น
• รับประทานยาตามแพทย์สั่ง อย่างเคร่งครัด เช่น ยาลดบวม ยาปฏิชีวนะ
• เลือกรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ซุป งดอาหารแข็งหรือเผ็ดจัดในช่วงพักฟื้น
• งดออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดการผ่าตัด
• หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง เพื่อไม่กดทับแผล
• มาตามนัดเพื่อตัดไหม/ตรวจแผล และเช็กการฟื้นตัวอย่างใกล้ชิด
3.การดูแลตัวเองเพื่อหน้าเรียว
• ทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-5 วัน/สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลชัดเจน
• หลีกเลี่ยงการทำรุนแรงเกินไป เช่น กัวซาขูดแรง อาจทำให้ผิวช้ำหรือเกิดเส้นเลือดฝอยแตก
• ควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง ลดเค็ม มัน หวาน และเพิ่มผักผลไม้
• ออกกำลังกายเป็นประจำ ทั้งคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่ง เพื่อเผาผลาญไขมันและกระชับกล้ามเนื้อ
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยลดอาการบวมน้ำและทำให้ผิวดูสดใส
สรุปวิธีทำให้หน้าเรียวเลือกอะไรดี
สรุปได้ว่า วิธีทำให้หน้าเรียวไม่ได้มีวิธีที่ดีที่สุดแบบตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและความต้องการของแต่ละคน หากเกิดจากไขมันและน้ำหนักเกิน การควบคุมอาหารและออกกำลังกายอาจเพียงพอ แต่ถ้ามาจาก กล้ามเนื้อกราม การฉีดโบท็อกซ์จะตอบโจทย์มากกว่า หรือหากเป็นเรื่อง ผิวหย่อนคล้อย หัตถการอย่าง HIFU, Ulthera, Thermage ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ส่วนกรณีที่โครงสร้างใบหน้ากว้างจากกระดูกจริง ๆ การศัลยกรรมอาจเป็นทางออกเดียวที่แก้ได้ถาวร
สิ่งสำคัญก่อนเลือกวิธีทำให้หน้าเรียวคือควรปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์รูปหน้า และเลือกวิธีทำให้หน้าเรียวที่ลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เหมาะสมกับสภาพผิว งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด การดูแลตัวเองด้วยการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวและสุขภาพดีในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ