สารเติมเต็ม (Filler) คืออะไร มีกี่ประเภท ฉีดจุดไหนบ้าง แตกต่างกันอย่างไร
สารเติมเต็ม
สารเติมเต็ม คืออะไร มีกี่ประเภท ฉีดจุดไหนบ้าง แตกต่างกันอย่างไร
สารเติมเต็ม (Filler) คืออะไร มีกี่ประเภท ฉีดจุดไหนบ้าง
ในยุคที่เทรนด์ความงามและการดูแลผิวพัฒนาอย่างต่อเนื่อง “สารเติมเต็ม” หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ฟิลเลอร์ (Filler)” ได้กลายเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปหน้า ฟื้นฟูผิว และลดเลือนริ้วรอยโดยไม่ต้องศัลยกรรม ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มร่องลึก แก้ไขส่วนที่ยุบบนใบหน้า รวมถึงเพิ่มความอิ่มฟูและความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูอ่อนเยาว์ขึ้นและไม่ต้องพักฟื้นนาน
แต่ก่อนตัดสินใจฉีดสารเติมเต็มควรรู้อะไรบ้าง ในบทความนี้รวบรวมข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ มาให้ทราบกันเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเห็นผลตรงตามความต้องการ
สารเติมเต็ม (Filler) คืออะไร
สารเติมเต็ม (Filler) คือสารที่ใช้เติมเต็มหรือเสริมในชั้นใต้ผิวหนังเพื่อแก้ไขริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น สารเติมเต็มที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีความเสี่ยงน้อย โดย HA มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ผิวดูอิ่มฟู เต่งตึง และช่วยเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม มุมปาก คาง ขมับ แก้ม และจมูก รวมถึงช่วยปรับรูปหน้าตามต้องการได้อีกด้วย
โดยสารเติมเต็มมักใช้ฉีดในบริเวณที่มีร่องลึก หน้าตอบ หรือเพื่อเพิ่มมิติให้กับใบหน้าที่ต้องการความสวยงามอย่างดูเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 9 ถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งที่ฉีด สารเติมเต็มฟิลเลอร์จึงเป็นตัวช่วยในการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
ฟิลเลอร์ คืออะไร เจ็บไหม อันตรายหรือเปล่า รวมทุกเรื่องควรรู้ก่อนฉีด
สารเติมเต็ม (Filler) มีกี่ประเภท
สารเติมเต็ม (Filler) สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท โดยขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลัก และระยะเวลาการคงตัวในผิว ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการนำไปใช้งานที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับแต่ละปัญหาผิวหรือจุดที่ต้องการปรับรูปหน้า โดยประเภทของสารเติมเต็ม (Filler) แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1.สารเติมเต็มฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler)
เป็นสารเติมเต็มฟิลเลอร์ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย และได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากผลข้างเคียงน้อย Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารเติมเต็มประเภทชั่วคราวที่นิยมมากที่สุด เพราะคล้ายสารที่มีอยู่แล้วในร่างกาย
• มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำได้ดี
• ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
• เมื่อฉีดเข้าไปจะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวอิ่มฟูและเรียบเนียน
• สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase หากต้องการแก้ไข
• ระยะเวลาการคงอยู่ ประมาณ 6 เดือน - 1.5 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและบริเวณที่ฉีด
2.สารเติมเต็มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
สารเติมเต็มฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิว และอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว แต่ยังสามารถสลายได้ในเวลาหลายปี ตัวอย่างสารที่ใช้ในฟิลเลอร์กึ่งถาวร เช่น
Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
• มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็กในเนื้อเจล
• ช่วยเติมเต็มผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• นิยมใช้บริเวณร่องแก้ม ขมับ หรือแนวกราม
• อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
Poly-L-lactic Acid (PLLA)
• ฟิลเลอร์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
• ไม่เห็นผลทันที ต้องรอประมาณ 1-3 เดือนจึงเริ่มเห็นผลเต็มที่
• นิยมใช้เพื่อฟื้นฟูผิวทั่วหน้า ไม่เน้นเติมจุดเฉพาะ
• อยู่ได้นานประมาณ 2-3 ปี
3.สารเติมเต็มฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler)
เป็นสารเติมเต็มฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และจะคงอยู่ในผิวอย่างถาวร จึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงหากเกิดการอักเสบ หรือฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง ตัวอย่างสารที่ใช้ในฟิลเลอร์ถาวร เช่น
Polymethylmethacrylate (PMMA)
• มีลักษณะเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ในเนื้อเจลคอลลาเจน
• เคยได้รับความนิยมในอดีต แต่ปัจจุบันใช้น้อยลง
• หากฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เป็นก้อนหรือยากต่อการแก้ไข
• ข้อควรระวัง ฟิลเลอร์ถาวรไม่สามารถฉีดสลายได้ ต้องใช้วิธีผ่าตัดนำออกเท่านั้น
ในปัจจุบัน สารเติมเต็มฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ สามารถสลายได้เอง และความเสี่ยงน้อยเมื่อทำโดยแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก หรือฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด
สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยอะไรบ้าง
สารเติมเต็ม (Filler) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ฟิลเลอร์” ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่เติมร่องลึกเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาหลายอย่างบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งในด้านการปรับรูปหน้า ความชุ่มชื้นของผิว และการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด
1.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า
ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ผิว เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอยย่นมุมปาก เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปจะช่วยดันร่องให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นทันที
2.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและมีมิติ
ฟิลเลอร์สามารถใช้ในการปรับโครงหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น โดยไม่ต้องศัลยกรรม เช่น
• ฟิลเลอร์คาง - ช่วยให้คางยาวขึ้นได้รูป เหมาะกับผู้ที่มีคางสั้นหรือคางถอย
• ฟิลเลอร์ขมับ - เติมขมับที่ยุบให้เต็ม ใบหน้าดูอิ่มสวยขึ้น
• ฟิลเลอร์แก้มตอบ - ช่วยเติมเต็มใบหน้าให้ดูมีวอลลุ่ม สุขภาพดี
• ฟิลเลอร์หน้าผาก - ทำให้หน้าผากโค้งนูนอย่างดูเป็นธรรมชาติ
3.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยเสริมจุดเด่นให้ใบหน้าดูละมุนขึ้น
สารเติมเต็มฟิลเลอร์ไม่ได้ใช้แค่แก้ปัญหา แต่ยังสามารถเพิ่มความสวยงามได้ เช่น
• ฟิลเลอร์ปาก - ช่วยให้ริมฝีปากอวบอิ่ม ดูชุ่มชื้น
• ฟิลเลอร์จมูก - ใช้เสริมสันจมูกให้โด่งขึ้นเล็กน้อย (เฉพาะบางเคสที่เหมาะสม)
• ฟิลเลอร์คางและกรอบหน้า - ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
4.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยฟื้นฟูผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น
สารเติมเต็มฟิลเลอร์ชนิดเนื้อนิ่มสามารถฉีดทั่วหน้าเพื่อฟื้นฟูผิวที่แห้ง ขาดน้ำ หรือเริ่มมีริ้วรอยตื้น ๆ ได้
• เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน
• ช่วยให้ผิวเรียบเนียน อิ่มน้ำ
• ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาและปาก
5.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยยกกระชับผิวในบางจุด
สารเติมเต็มฟิลเลอร์บางชนิด เช่น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) หรือ Poly-L-lactic Acid (PLLA) มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
6.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยแก้ไขความไม่สมมาตรของใบหน้า
สารเติมเต็มฟิลเลอร์สามารถใช้ปรับสมดุลของใบหน้า เช่น เติมข้างที่แก้มยุบมากกว่าอีกข้าง แก้ไขคางเอียงหรือขมับไม่เท่ากัน ช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
7.สารเติมเต็ม (Filler) ช่วยชะลอวัยและคืนความอ่อนเยาว์
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ผิว ทำให้หน้าดูโทรม ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ยุบหายไป ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
สารเติมเต็ม (Filler) ฉีดจุดไหนได้บ้าง
สารเติมเต็ม (Filler) สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและรูปหน้าของแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรฉีดบริเวณใด ปริมาณเท่าใด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งจุดยอดนิยมในการฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ ได้แก่
1.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ใต้ตา
ช่วยลดรอยคล้ำและความลึกของร่องใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึก หน้าดูโทรม หรือมีเงาคล้ำจากโครงกระดูกตา ให้ใต้ตาดูเรียบเนียน หน้าตาดูสดชื่นขึ้น ( ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร อยู่ได้นานไหม อันตรายหรือไม่ )
2.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ช่วยเติมเต็มร่องลึกข้างจมูกที่เกิดจากการยุบตัวของไขมันและคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยและไม่โทรม ให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ใบหน้าดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ( ฉีดฟิลเลอร์ลดร่องแก้ม คืออะไร อันตรายไหม ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง )
3.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์คาง
ช่วยปรับรูปคางให้ได้สัดส่วน เหมาะกับคนที่คางสั้น คางถอย หรือใบหน้าดูไม่สมดุล เป็นจุดยอดนิยมเพราะสามารถช่วยให้รูปหน้าเรียวขึ้นได้โดยไม่ต้องศัลยกรรม ให้หน้าดูเรียวยาวขึ้น และสัดส่วนใบหน้าสมดุลมากขึ้น
4.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ขมับ
บริเวณขมับมักยุบลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูโทรมและมีอายุมากกว่าความเป็นจริง การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมเต็มส่วนที่ยุบ ให้ใบหน้าดูอิ่มและอ่อนเยาว์ขึ้น ให้โครงหน้าได้สัดส่วนขึ้น ใบหน้าดูละมุนและอ่อนวัย
5.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์หน้าผาก
ช่วยปรับรูปหน้าผากให้โค้งนูนสวย โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าผากแบนหรือยุบ ทำให้ใบหน้าดูหวานและสมส่วนมากขึ้น ให้หน้าผากนูนเรียบ โครงหน้าได้รูปอย่างดูเป็นธรรมชาติ
6.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ริมฝีปาก
ช่วยเพิ่มความอวบอิ่มและรูปทรงให้ริมฝีปาก เช่น ปากกระจับ ปากสายฝอ หรือปากธรรมชาติ พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี ให้ปากอวบอิ่ม ดูเป็นธรรมชาติ สวยได้รูปและไม่แห้งแตก
7.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์แก้มตอบ
ช่วยเติมเต็มส่วนแก้มที่ยุบหรือขาดวอลลุ่ม ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูและสุขภาพดีขึ้น ให้แก้มเต็ม ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา
8.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์จมูก
สามารถใช้ปรับสันจมูกให้โด่งขึ้นหรือเติมปลายจมูกเล็กน้อยได้ แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะเป็นจุดที่มีเส้นเลือดสำคัญมาก ให้จมูกดูโด่งขึ้นแบบธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ
9.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก
ช่วยลดรอยลึกจากมุมปากลงมาที่คาง ซึ่งมักเกิดจากการหย่อนคล้อยของผิวในวัย 30 ปีขึ้นไป ให้มุมปากยกขึ้น ดูไม่เศร้าหรือเหนื่อยล้า
10.ฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์กรอบหน้า
ช่วยสร้างแนวกรอบหน้าให้ชัดขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คม หรือผิวหย่อนคล้อย ให้กรอบหน้าคมชัด ดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
สารเติมเต็ม (Filler) กี่วันถึงเห็นผล
โดยทั่วไปแล้ว สารเติมเต็ม (Filler) จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีหลังฉีด แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของเนื้อฟิลเลอร์ในช่วงวันแรก ๆ จนกระทั่งเซตตัวเต็มที่ ซึ่งระยะเวลาที่เห็นผลชัดเจนจะขึ้นอยู่กับ ชนิดของฟิลเลอร์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวของแต่ละคน ระยะเวลาเห็นผลหลังฉีดสารเติมเต็ม ดังนี้
1.เห็นผลทันทีหลังฉีดสารเติมเต็ม
หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที เช่น ร่องลึกตื้นขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่ม หรือคางยาวได้รูปขึ้น เพราะฟิลเลอร์ทำหน้าที่เติมเต็มปริมาตรใต้ผิวทันที แต่ในช่วง 1-3 วันแรก อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกตึงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการปกติและจะค่อย ๆ ดีขึ้น
2.ช่วงสารเติมเต็มฟิลเลอร์เริ่มเข้าที่ (3-7 วันหลังฉีด)
หลังจากฉีดประมาณ 3 วัน ฟิลเลอร์จะเริ่มเข้ากับผิวมากขึ้น ความบวมลดลง และรูปทรงเริ่มเข้าที่ ช่วงนี้ผลลัพธ์จะเริ่มดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณ ใต้ตา ร่องแก้ม หรือริมฝีปาก ที่ผิวบาง
3.เห็นผลเต็มที่ภายใน 7-14 วัน หลังฉีดสารเติมเ็ม
ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะ เข้าที่เต็มที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังฉีด ในระยะนี้โครงสร้างของฟิลเลอร์จะเข้ากับผิวอย่างสมบูรณ์ ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติ
สารเติมเต็ม (Filler) อยู่ได้นานแค่ไหน
ระยะเวลาการคงอยู่ของสารเติมเต็ม (Filler) ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งชนิดของฟิลเลอร์ ยี่ห้อ จุดที่ฉีด และการดูแลหลังทำ โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์จะสามารถอยู่ได้นานตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 ปี หรือมากกว่านั้นในบางกรณี
• สารเติมเต็มฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) อยู่ได้นาน 6 เดือน - 18 เดือน
• สารเติมเต็มฟิลเลอร์กึ่งถาวรอย่าง CaHA หรือ PLLA อยู่ได้นาน 1-3 ปี
• สารเติมเต็มฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อ จุดที่ฉีด การดูแลหลังทำ และร่างกายของแต่ละคน
ดังนั้น หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยง ควรเลือกฉีดกับแพทย์ในคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้สารเติมเต็มฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้รับการรับรอง และดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังทำ
สารเติมเต็ม (Filler) ควรฉีดกี่ซีซี
ปริมาณของสารเติมเต็ม (Filler) ที่เหมาะสมในการฉีด ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด ปัญหาของแต่ละคน และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยทั่วไปแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและคำนวณปริมาณที่พอดี เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยดูเป็นธรรมชาติ ไม่เยอะเกินไปจนดูแข็งหรือผิดรูป
• สารเติมเต็มฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้ปริมาณต่างกัน ตั้งแต่ 0.5 - 4 ซีซี ตามพื้นที่และปัญหาที่ต้องการแก้ไข
• การฉีดสารเติมเต็มครั้งแรกควรเริ่มจากปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อยเติมเพิ่มเติมภายหลัง
• ควรฉีดกับแพทย์และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านมาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่สวยดูเป็นธรรมชาติ
สารเติมเต็ม (Filler) เหมาะกับใคร
สารเติมเต็ม (Filler) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก หรือฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องผิวหน้าโทรม ร่องลึก หรือใบหน้าไม่สมส่วน โดยสรุปกลุ่มคนที่เหมาะฉีดสารเติมเต็ม ได้แก่
1.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาร่องลึกบนใบหน้า
เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือรอยย่นใต้ตา ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มบริเวณที่ยุบตัว ทำให้ร่องลึกดูตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม
2.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่มีใบหน้าขาดวอลลุ่ม
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวและไขมันใต้ผิวจะยุบตัว ทำให้ใบหน้าดูโทรม แก้มตอบ หรือขมับบุ๋ม ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มจุดเหล่านี้ให้กลับมาอิ่มฟูได้
3.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ศัลยกรรม
ฟิลเลอร์สามารถปรับสัดส่วนของใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น เติมคางให้ยาวขึ้น เสริมกรอบหน้าให้คมชัด หรือเติมหน้าผากให้โค้งนูนสวย
4.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก
ฟิลเลอร์ปากช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และมีรูปทรงสวย เหมาะสำหรับคนที่มีริมฝีปากบางหรือแห้งแตกง่าย
5.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้นและดูอ่อนวัย
ผู้ที่มีผิวแห้งขาดน้ำ ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มบางชนิด ใช้ฉีดทั่วหน้าเพื่อฟื้นฟูผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
6.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึกหรือคล้ำ
ผู้ที่มีใต้ตาลึกจากโครงกระดูก ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยลดเงาคล้ำและร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น เหมาะกับคนที่แม้นอนพอแต่ยังดูโทรม
7.สารเติมเต็มเหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขความไม่สมมาตรของใบหน้า
ฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับสมดุลของใบหน้า เช่น เติมข้างที่ยุบหรือเอียงให้เท่ากัน ทำให้โครงหน้าโดยรวมดูสมส่วนมากขึ้น
สารเติมเต็ม (Filler) ไม่เหมาะกับใคร
สารเติมเต็ม (Filler) ถึงแม้จะเป็นหัตถการที่นิยม แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะมีบางกรณีที่อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือไม่ควรฉีดโดยเด็ดขาด การประเมินโดยแพทย์ก่อนทำจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้ารับบริการปได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง โดยกลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการฉีดสารเติมเต็มมีดังนี้
1.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
ในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก การฉีดฟิลเลอร์ในช่วงนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยแน่ชัด เพราะอาจเกิดการแพ้หรือการตอบสนองที่ไม่คาดคิดได้ จึงควรรอให้พ้นช่วงนี้ก่อน
2.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท
ผู้ที่มีโรคต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (SLE, HIV) โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเลือดออกง่าย หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (แอสไพริน, วาร์ฟาริน) โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ เลือดออกใต้ผิว หรือแผลหายช้า
3.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารในฟิลเลอร์
ผู้ที่เคยแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์ เช่น Hyaluronic Acid หรือ Lidocaine ที่ผสมอยู่ในเนื้อยา ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอาการแพ้รุนแรง บวม แดง หรืออักเสบหลังฉีด
4.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่มีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลในบริเวณที่จะฉีด
เช่น มีสิวอักเสบ แผลเปิด หรือติดเชื้อผิวหนัง หากฉีดฟิลเลอร์ขณะนั้น อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายลึกลงไปและเกิดการติดเชื้อรุนแรงได้ แนวทางที่เหมาะสมควรรักษาให้หายก่อน แล้วจึงฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างปลอดภัย
5.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือมีสารแปลกปลอมตกค้าง
หากเคยฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือสารซิลิโคนเหลวมาก่อน ควรหลีกเลี่ยงการฉีดซ้ำบริเวณเดิม เพราะสารเดิมอาจไม่เข้ากันกับฟิลเลอร์ใหม่ ทำให้เกิดการอักเสบหรือจับตัวเป็นก้อน ต้องให้แพทย์ตรวจด้วยอัลตราซาวด์หรือ MRI ก่อนฉีดใหม่
6.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการอื่นในบริเวณเดียวกัน
เช่น การเลเซอร์ การร้อยไหม หรือการฉีดโบท็อกซ์บางชนิดในช่วงเวลาที่ใกล้กัน เพราะผิวหนังอาจยังอักเสบหรือไวต่อการกระตุ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการบวม ช้ำ หรือฟิลเลอร์เคลื่อนตัว ควรเว้นระยะอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนหรือหลังทำหัตถการอื่น
7.สารเติมเต็มไม่เหมาะกับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง
ฟิลเลอร์สามารถปรับรูปหน้าได้เฉพาะบางส่วน ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าได้ทั้งหมด เช่น ทำให้หน้าเล็กลงถาวร หรือแทนการศัลยกรรมใหญ่ได้ เพราะผู้ที่มีความคาดหวังไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจไม่พอใจกับผลลัพธ์หลังทำ
ผลข้างเคียงที่อาจพบของสารเติมเต็ม (Filler)
ผลข้างเคียงของสารเติมเต็ม (Filler) เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังการฉีด โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาการชั่วคราวและหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่ในบางกรณีหากฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือใช้ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้เช่นกัน ดังนั้นการเข้าใจผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจฉีด โดยผลข้างเคียงที่อาจพบหลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ ได้แก่
1.อาการบวม แดง ช้ำบริเวณที่ฉีด
เป็นอาการปกติที่พบได้บ่อยในช่วง 1-3 วันแรกหลังฉีด เกิดจากการที่เข็มหรือคานูลาสัมผัสกับเส้นเลือดฝอยใต้ผิว แนะนำดูแลประคบเย็นเบา ๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือแตะบริเวณที่ฉีด อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 3-7 วัน
2.อาการตึงหรือเจ็บเล็กน้อย
หลังฉีดบางคนอาจรู้สึกตึงผิวหรือเจ็บเมื่อสัมผัส โดยเฉพาะบริเวณคางและร่องแก้ม เนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่และมีแรงดันใต้ผิว อาการจะหายไปเองภายในไม่กี่วันเมื่อฟิลเลอร์เซตตัวเต็มที่
3.ฟิลเลอร์เป็นก้อนหรือไม่เรียบ
บางครั้งฟิลเลอร์อาจกระจายไม่สม่ำเสมอ ทำให้คลำเจอก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิว สาเหตุที่อาจเกิดขึ้น
• ฉีดในชั้นผิวไม่ถูกต้อง
• ใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป
• นวดหรือกดบริเวณที่ฉีดเร็วเกินไปหลังทำ
4.ฟิลเลอร์ไหลหรือเคลื่อนตำแหน่ง
อาจเกิดขึ้นหากใช้ฟิลเลอร์คุณภาพต่ำ หรือฉีดในจุดที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ่อย เช่น บริเวณปาก
แนวทางป้องกัน
• เลือกฟิลเลอร์แท้ที่เหมาะกับแต่ละบริเวณ
• หลีกเลี่ยงการขยับกล้ามเนื้อใบหน้ามากเกินไปในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
5.การติดเชื้อบริเวณที่ฉีด
พบไม่บ่อย แต่หากเกิดขึ้นจะมีอาการบวม แดง เจ็บร้อน หรือมีหนอง เนื่องจากการฉีดในสภาพแวดล้อมไม่สะอาด หรือไม่ผ่านการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง ควรต้องรีบพบแพทย์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อและดูแลอย่างใกล้ชิด
6.ภาวะฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด
เป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุด แต่พบได้น้อยมาก หากเกิดขึ้นจะทำให้บริเวณที่ฉีดซีดหรือคล้ำลงทันที และอาจลามไปยังจุดอื่น เช่น จมูก หรือดวงตา เนื่องจากเข็มฉีดทะลุหรืออัดฟิลเลอร์เข้าไปในเส้นเลือด อาการเตือน
• ปวดมากผิดปกติ
• ผิวซีดหรือคล้ำเป็นจุด ๆ
• มีอาการชา หรือมองเห็นภาพพร่าหลังฉีดบริเวณใกล้ตา
7.อาการแพ้ฟิลเลอร์ (พบได้น้อยมาก)
บางรายอาจเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน บวมทั่วหน้า หรือเป็นก้อนแข็งใต้ผิว ควรหยุดการรักษาทันทีและพบแพทย์เพื่อให้ยาต้านการแพ้หรือยาสเตียรอยด์
การเตรียมตัวก่อนฉีดสารเติมเต็ม (Filler)
การเตรียมตัวก่อนฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยลดความเสี่ยงของอาการบวม ช้ำ หรือติดเชื้อหลังทำ และยังช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวยดูเป็นธรรมชาติ แนวทางการเตรียมตัวก่อนฉีดสารเติมเต็มมีดังนี้
1.ก่อนฉีดสารเติมเต็มศึกษาข้อมูลและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยตรง
• แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพจากแพทยสภา
• ฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้และได้มาตรฐาน
• คลินิกสะอาด ปลอดเชื้อ และมีอุปกรณ์ฉุกเฉินพร้อม
2.ก่อนฉีดสารเติมเต็มแจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียด
ก่อนทำควรแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบทั้งหมด เช่น
• โรคประจำตัว (เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ภูมิแพ้)
• ยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด แอสไพริน หรือวิตามินอี
• ประวัติการแพ้ยา หรือเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน
• การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและวางแผนการฉีดได้อย่างปลอดภัย
3.ก่อนฉีดสารเติมเต็มงดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
ควรงดอย่างน้อย 3-7 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น แอสไพริน (Aspirin) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) วิตามินอี
น้ำมันปลา (Fish Oil) โสม หรืออาหารเสริมบางชนิด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำและเลือดออกใต้ผิว
4.ก่อนฉีดสารเติมเต็มงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
ควรงดอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เลือดไหลเวียนเร็ว เพิ่มโอกาสช้ำหรือบวม และการสูบบุหรี่ส่งผลต่อการหายของแผลและทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน
5.ก่อนฉีดสารเติมเต็มหลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือหัตถการอื่น ๆ บริเวณใบหน้า
เช่น การเลเซอร์ การร้อยไหม การทำ HIFU หรือ Thermage ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการอักเสบหรือระคายเคืองของผิว
6.ก่อนฉีดสารเติมเต็มพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดี ลดโอกาสบวมหลังฉีด และทำให้ฟิลเลอร์เซตตัวได้สวยเป็นธรรมชาติ
7.ก่อนฉีดสารเติมเต็มเตรียมสภาพผิวให้สะอาด
ในวันเข้ารับบริการ ควรล้างหน้าให้สะอาด ไม่แต่งหน้า ไม่ทาครีม หรือโลชั่นใด ๆ เพื่อให้แพทย์สามารถทำความสะอาดผิวและฉีดได้ปลอดเชื้อ
8.ก่อนฉีดสารเติมเต็มเตรียมใจให้พร้อมและทำความเข้าใจกับผลลัพธ์จริง
ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าโดยสิ้นเชิง ผู้เข้ารับบริการควรมีความคาดหวังที่เหมาะสม และเข้าใจว่าผลลัพธ์จะเข้าที่เต็มที่ภายใน 7-14 วัน
การดูแลตัวเองหลังฉีดสารเติมเต็ม (Filler)
การดูแลตัวเองหลังฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะมีผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ ความคงทนของฟิลเลอร์ และการลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น บวม ช้ำ หรือฟิลเลอร์ไหล การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องหลังฉีดจะช่วยให้ฟิลเลอร์เซตตัวสวย เข้ากับใบหน้าได้เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น แนวทางการดูแลตัวเองหลังฉีดสารเติมเต็มมีดังนี้
1.หลังฉีดสารเติมเต็มหลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือนวดบริเวณที่ฉีด
ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ไม่ควรจับ กด หรือนวดแรง ๆ ที่บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตำแหน่งหรือกระจายไม่สม่ำเสมอ
2.หลังฉีดสารเติมเต็มหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด
เช่น การอบซาวน่า นอนอาบแดด ทำเลเซอร์ หรือใช้เครื่องนวดหน้าในช่วง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์แรก
เหตุผล ความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์ละลายเร็ว และอาจทำให้เกิดอาการบวมแดงเพิ่มขึ้น
3.หลังฉีดสารเติมเต็มหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
ควรงดกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เหงื่อออกมาก หรือหัวใจเต้นแรง เช่น วิ่ง เต้นแอโรบิก ยกน้ำหนัก อย่างน้อย 2-3 วันแรกหลังฉีด เพราะการเพิ่มแรงดันเลือดอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวหรือเกิดอาการบวมช้ำได้
4.หลังฉีดสารเติมเต็มหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือกดหน้า
โดยเฉพาะในคืนแรก ควรนอนหงายศีรษะสูงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตำแหน่ง และลดอาการบวมในช่วงแรก
5.หลังฉีดสารเติมเต็มงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
ควรงดอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เสี่ยงบวมและช้ำมากขึ้น และการสูบบุหรี่ทำให้การไหลเวียนเลือดแย่ลง ส่งผลให้ฟิลเลอร์เซตตัวได้ไม่ดี
6.หลังฉีดสารเติมเต็มงดการแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก
เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือการระคายเคืองจากการใช้เครื่องสำอางบริเวณแผลเข็ม หลัง 24 ชั่วโมงสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ แต่ควรล้างหน้าอย่างเบามือ
7.หลังฉีดสารเติมเต็มประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
หลังฉีดสามารถประคบเย็นได้เบา ๆ โดยใช้ผ้าสะอาดห่อเจลเย็น ประคบประมาณ 10-15 นาที ช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำได้ดี
8.หลังฉีดสารเติมเต็มดื่มน้ำมาก ๆ
เพราะฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) มีคุณสมบัติดูดซับน้ำ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูและผิวดูชุ่มชื้นขึ้น
9.หลังฉีดสารเติมเต็มหลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ ชั่วคราว
เช่น การร้อยไหม โบท็อกซ์ เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ผิว ควรเว้นระยะ อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เซตตัวอย่างสมบูรณ์ก่อน
10.หลังฉีดสารเติมเต็มสังเกตอาการผิดปกติ
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที
• ปวด บวม แดง ร้อน หรือช้ำมากผิดปกติ
• ผิวบริเวณที่ฉีดเริ่มซีดลงหรือคล้ำเป็นจุด ๆ
• มีอาการชา หรือมองเห็นภาพพร่าหลังฉีดบริเวณใกล้ดวงตา
เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด
หลังฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ห้ามกินอะไร
หลังฉีดสารเติมเต็ม (Filler) แล้ว สิ่งที่รับประทานเข้าไปมีผลต่อการฟื้นตัวของผิวและการคงตัวของฟิลเลอร์โดยตรง อาหารบางประเภทอาจทำให้เกิดอาการบวม ช้ำ หรือฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเรื่องอาหารในช่วง 3-7 วันแรกหลังฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง โดยอาหารและเครื่องดื่มที่ห้ามกินหลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ ได้แก่
1.หลังฉีดสารเติมเต็มงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ ค็อกเทล เพราะแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มโอกาสบวมและช้ำ รบกวนการเซตตัวของฟิลเลอร์ เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรงดอย่างน้อย 3-5 วัน หลังฉีด
2.หลังฉีดสารเติมเต็มงดอาหารหมักดอง / รสจัด / เผ็ดมาก
เช่น ปลาร้า กิมจิ ส้มตำดอง พริก ผัดเผ็ดต่าง ๆ เพราะทำให้เลือดสูบฉีดและอาจเกิดการอักเสบ เสี่ยงต่อการบวมแดงมากขึ้น
3.หลังฉีดสารเติมเต็มงดอาหารที่มีโซเดียมสูง
เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก แฮม อาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะโซเดียมทำให้ร่างกายบวมน้ำ เพิ่มอาการบวมบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์และทำให้ฟิลเลอร์เซตตัวช้าลง
4.หลังฉีดสารเติมเต็มงดอาหารที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า
ควรงดอาหารและอาหารเสริมบางประเภทที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ปลาน้ำลึก / น้ำมันปลา (Omega-3) วิตามินอี กระเทียมสด โสม เพราะทำให้เลือดออกง่าย เสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำและบวมมากขึ้น
5.หลังฉีดสารเติมเต็มงดอาหารทะเลและของดิบ
เช่น ซูชิ ปลาดิบ หอยนางรม หรืออาหารที่ปรุงไม่สุก เพราะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงที่แผลเข็มยังไม่ปิดสนิท
6.หลังฉีดสารเติมเต็มงดเครื่องดื่มคาเฟอีนสูง
เช่น กาแฟเข้ม ชาเข้ม หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ผิวอาจแห้งและฟิลเลอร์ดูไม่อิ่มฟูเท่าที่ควร
สรุป สารเติมเต็ม (Filler) ดีไหม
สรุปได้ว่า สารเติมเต็มหรือฟิลลเลอร์ (Filler) ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องลึก ฟื้นฟูความชุ่มชื้น หรือปรับโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ ปัจจุบันสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือชนิด Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งมีความเสี่ยงน้อย สามารถสลายได้เอง และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติเมื่อฉีดโดยแพทย์
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจฉีดสารเติมเต็ม ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรอง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งก่อนและหลังการฉีดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวย ลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง และคงอยู่ได้ยาวนาน
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ