ฟิลเลอร์ปลอม อันตรายแค่ไหน แตกต่างจากของฟิลเลอร์แท้อย่างไร
ฟิลเลอร์ปลอม
ฟิลเลอร์ปลอม อันตรายแค่ไหน เช็กฟิลเลอร์ของแท้อย่างไร
ในยุคที่การดูแลรูปลักษณ์และความอ่อนเยาว์เป็นสิ่งสำคัญ การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) จึงกลายเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่ช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และคืนความสดใสให้ผิวโดยไม่ต้องศัลยกรรม แต่ในขณะเดียวกัน “ฟิลเลอร์ปลอม” ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้นจากการลักลอบจำหน่ายและฉีดโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งแม้ราคาจะถูกกว่า แต่กลับแฝงด้วยความเสี่ยงร้ายแรง ทั้งอาการแพ้ การติดเชื้อ หน้าผิดรูป หรือแม้กระทั่งตาบอดได้หากฉีดผิดตำแหน่ง
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสังเกตฟิลเลอร์แท้ การป้องกันฟิลเลอร์ปลอม และวิธีแก้ไขเมื่อเผลอฉีดฟิลเลอร์ปลอมโดยไม่รู้ เพื่อลดความเสี่ยงและได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมั่นใจ
ฟิลเลอร์คืออะไร ทำไมคนนิยมฉีด
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่ขาดความยืดหยุ่น มีร่องลึก หรือขาดวอลลุ่ม เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ คาง หรือริมฝีปาก เป็นต้น โดยสารฟิลเลอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบันคือ ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มฟู เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจะมีความเสี่ยงน้อย และสามารถฉีดโดยแพทย์เพื่อปรับรูปหน้าได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ฟิลเลอร์ คืออะไร เจ็บไหม อันตรายหรือเปล่า รวมทุกเรื่องควรรู้ก่อนฉีด
ทำไมคนนิยมฉีดฟิลเลอร์
ในยุคที่คนให้ความสำคัญกับความอ่อนเยาว์และรูปหน้าที่ดูสมส่วน การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยม เพราะให้ผลลัพธ์เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาไม่นานหลังทำ โดยมีเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนเลือกฉีดฟิลเลอร์ ดังนี้
1.ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือมุมปาก ทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียน ลดความหมองคล้ำและอ่อนวัยลงอย่างเห็นได้ชัด
2.ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม ฟิลเลอร์สามารถใช้ในการปรับรูปหน้า เช่น เติมคางให้ได้สัดส่วน เสริมขมับ เติมหน้าผากให้โหนกนูน หรือเติมคอลลาเจนใต้ตาให้ดูสดใส เป็นการเสริมจุดเด่นและแก้ไขข้อบกพร่องได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
3.เห็นผลลัพธ์ในเวลาไม่นาน หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลได้ในเวลาไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ในระยะเวลาอันสั้น
4.สารฟิลเลอร์สามารถสลายได้เอง สำหรับฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic Acid จะสลายได้เองตามธรรมชาติภายใน 6-18 เดือน ทำให้สามารถปรับแต่งซ้ำหรือเปลี่ยนทรงหน้าได้ตามความต้องการ
5.มีความเสี่ยงน้อยเมื่อฉีดโดยแพทย์ หากเลือกฉีดกับแพทย์ในคลินิกที่มาตรฐานและใช้ฟิลเลอร์แท้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน หรืออักเสบ
ฟิลเลอร์ปลอม คืออะไร ต่างจากของแท้อย่างไร
ฟิลเลอร์ปลอม คือ สารเติมเต็มที่ถูกลักลอบผลิตหรือจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ฟิลเลอร์ประเภทนี้มักไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการควบคุมคุณภาพ และไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้ทางการแพทย์ บางครั้งอาจเป็นสารเลียนแบบฟิลเลอร์แท้ หรือเป็นสารอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน เช่น ซิลิโคนเหลว น้ำเกลือเจือปน หรือสารที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
การฉีดฟิลเลอร์ปลอมถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้เกิดอาการแพ้ บวม อักเสบ หรือติดเชื้อแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน ตาบอด หรือเนื้อตายได้ ในกรณีที่ฉีดผิดตำแหน่งหรือใช้สารที่ไม่เหมาะสม
ฟิลเลอร์แท้ คืออะไร เช็คก่อนฉีดฟิลเลอร์ แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร
ฟิลเลอร์แท้ต่างจากฟิลเลอร์ปลอมอย่างไร
|
ฟิลเลอร์แท้ |
ฟิลเลอร์ปลอม |
การรับรองมาตรฐาน |
ผ่านการรับรองมาตรฐาน |
ไม่มีเลข อย. หรือใช้เลขปลอม |
ส่วนประกอบ |
ทำจากสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่สลายได้ตามธรรมชาติ |
ใช้สารอื่นแทน เช่น ซิลิโคนเหลว น้ำมัน หรือสารสังเคราะห์ที่สลายไม่ได้ |
ผลลัพธ์หลังฉีด |
ผิวเรียบเนียน ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน |
ผิวแข็ง บวมผิดรูป เป็นก้อน หรือย้อย |
ความคงอยู่ |
อยู่ได้ 6-18 เดือน และสลายได้เอง |
ไม่สลายเอง ต้องผ่าตัดหรือขูดออก |
แหล่งที่มา |
นำเข้าจากบริษัทผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน |
ลักลอบนำเข้า ไม่มีข้อมูลแหล่งผลิตแน่ชัด |
ราคา |
ราคาสมเหตุสมผลตามแบรนด์และปริมาณ |
ราคาถูกผิดปกติ มักใช้ล่อใจลูกค้า |
อันตรายของการฉีดฟิลเลอร์ปลอม
การฉีดฟิลเลอร์ปลอมถือเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อทั้งผิวหน้าและสุขภาพโดยรวม เพราะสารที่ใช้ไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมักมีส่วนผสมที่ไม่เหมาะกับการใช้ในร่างกาย เช่น ซิลิโคนเหลว หรือน้ำมัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอักเสบและแทรกซ้อนรุนแรงได้
1.ฟิลเลอร์ปลอมทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และติดเชื้อ
ฟิลเลอร์ปลอมมักมีการผลิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนังจึงเกิดการ ติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ได้ง่าย ผู้ที่ฉีดมักมีอาการบวมแดง ปวด ร้อน บางรายอาจเกิดฝีหรือหนองสะสมใต้ผิว ต้องได้รับการรักษาโดยการเจาะระบายหนองและกินยาฆ่าเชื้อเป็นเวลานาน
2.ฟิลเลอร์ปลอมมักจับตัวเป็นก้อนหรือไหลผิดตำแหน่ง
เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถรวมตัวกับเนื้อเยื่อได้ดีเหมือนฟิลเลอร์แท้ จึงมักเกิดการ จับตัวเป็นก้อน หรือไหลไปยังบริเวณอื่นของใบหน้า เช่น จากคางไปแก้ม หรือจากใต้ตาไปข้างจมูก ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่สมส่วน และในบางกรณีไม่สามารถสลายได้ ต้องใช้การผ่าตัดเอาออกเท่านั้น
3.ฟิลเลอร์ปลอมทำให้เสี่ยงหลอดเลือดอุดตัน
หนึ่งในอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดคือ ฟิลเลอร์ปลอมอุดตันหลอดเลือด โดยเฉพาะถ้าฉีดเข้าใกล้บริเวณรอบดวงตา จมูก หรือหน้าผาก อาจทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ จนเกิดภาวะ เนื้อตาย หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ตาบอดถาวร
4.ฟิลเลอร์ปลอมเสี่ยงภาวะผิวหนังเป็นพังผืดหรือเป็นแผลเป็นถาวร
เมื่อร่างกายพยายามต่อต้านสารแปลกปลอม ฟิลเลอร์ปลอมจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างพังผืดใต้ผิว ผิวหนังบริเวณนั้นจะหนา แข็ง และขรุขระ ซึ่งไม่สามารถรักษาให้กลับมาเรียบเนียนได้เหมือนเดิม
5.ฟิลเลอร์ปลอมเสี่ยงเกิดอาการแพ้สารในฟิลเลอร์
สารเคมีบางชนิดที่ผสมในฟิลเลอร์ปลอมอาจก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น บวม คัน หรือช็อก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
6.ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลกระทบระยะยาวต่อผิวและสุขภาพ
ฟิลเลอร์ปลอมบางชนิดไม่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ ทำให้สารค้างอยู่ใต้ผิวเป็นเวลาหลายปี เกิดการอักเสบเรื้อรัง ผิวขรุขระ และมีโอกาสต้องผ่าตัดเอาออก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผลถาวรและผิวผิดรูป
อาการแพ้ฟิลเลอร์ปลอมเป็นอย่างไร
การแพ้ฟิลเลอร์ปลอมเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอันตราย เพราะสารที่ใช้ไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ ส่วนใหญ่เป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายหรือรับได้ จึงกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้และการอักเสบตั้งแต่ระยะสั้นจนถึงระยะยาว
1.อาการแพ้เฉียบพลัน (เกิดภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีด)
มักเกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม โดยร่างกายตอบสนองต่อสารแปลกปลอมอย่างรุนแรง อาการที่พบบ่อย ได้แก่
• บวมแดง ปวดร้อน บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม
• ผิวหนังมีอาการคัน แสบ หรือรู้สึกตึงผิดปกติ
• มีผื่นหรือรอยนูนคล้ายลมพิษ
• อาจมีอาการช็อกจากการแพ้ เช่น หายใจลำบาก เวียนหัว หรือหมดสติ ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
2.อาการแพ้แบบเรื้อรัง (เกิดหลังฉีดไปแล้วหลายวันถึงหลายเดือน)
ในบางราย ฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่สามารถสลายได้เองจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิด การอักเสบเรื้อรังหรือสร้างพังผืด ทำให้มีอาการดังนี้
• ผิวแข็ง เป็นก้อนนูน หรือมีลักษณะขรุขระใต้ผิว
• รู้สึกตึงหรือเจ็บเมื่อสัมผัส
• ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง เช่น จากคางไปแก้ม หรือจากใต้ตาไปบริเวณข้างจมูก
• ผิวบริเวณนั้นอาจเปลี่ยนสี คล้ำ หรือซีดลงเนื่องจากการไหลเวียนเลือดผิดปกติ
3.การติดเชื้อร่วมจากการแพ้ฟิลเลอร์ปลอม
ฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่สะอาดมักทำให้เกิดการติดเชื้อร่วมกับอาการแพ้ มีลักษณะเป็นตุ่มหนองหรือฝีใต้ผิว อาจมีไข้ ปวดแสบปวดร้อน และหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจลุกลามจนเนื้อตาย
4.ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากการแพ้ฟิลเลอร์ปลอม
ในกรณีรุนแรง การอักเสบอาจลามไปยังหลอดเลือดจนเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ เกิดแผลเนื้อตาย หรือถึงขั้นตาบอดถาวรได้ หากฉีดใกล้บริเวณรอบดวงตา
5.แนวทางปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อแพ้ฟิลเลอร์ปลอม
• รีบประคบเย็นบริเวณที่บวมเพื่อลดการอักเสบ
• หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด
• รีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินอาการ
• หากเป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid และยังสามารถสลายได้ แพทย์อาจใช้เอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อขับสารออกจากร่างกาย
• ในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่สามารถสลายได้เอง อาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาออก
อาการที่ควรรีบแพทย์เมื่อฉีดฟิลเลอร์ปลอม
การฉีดฟิลเลอร์ปลอมอาจไม่แสดงอาการผิดปกติทันทีในบางราย แต่เมื่อสารแปลกปลอมเริ่มส่งผลต่อเนื้อเยื่อหรือระบบหลอดเลือดในร่างกาย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นหากมีอาการต่อไปนี้หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายถาวรของผิวและอวัยวะอื่น ๆ
1.บวมแดง ร้อน ปวดมากผิดปกติ หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
หากหลังฉีดมีอาการบวมแดง ปวดแสบ หรือรู้สึกร้อนที่ผิวบริเวณที่ฉีด โดยเฉพาะถ้าอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่าอาจเกิด การอักเสบหรือติดเชื้อจากฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งต้องได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อหรือขับสารออกโดยเร็ว
2.ผิวเปลี่ยนสี ซีด เขียวคล้ำ หรือม่วง หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
อาการผิวซีดหรือคล้ำผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา จมูก หรือหน้าผาก เป็นสัญญาณเตือนของภาวะหลอดเลือดอุดตัน ที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอมอุดตันเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เนื้อตายหรือถึงขั้นตาบอดได้
3.มีก้อนแข็งหรือก้อนนูนผิดรูปใต้ผิวหลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
เมื่อฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไป สารอาจไม่กระจายตัวสม่ำเสมอ ทำให้เกิดก้อนแข็งเป็นพังผืด หรือไหลไปยังตำแหน่งอื่นของใบหน้า เช่น จากคางไปแก้ม หรือจากใต้ตาไปข้างจมูก หากพบลักษณะนี้ควรรีบให้แพทย์ตรวจและใช้เอนไซม์สลาย (ถ้าเป็นสาร HA) หรือประเมินการผ่าตัดออกหากไม่สามารถสลายได้เอง
4.มีหนอง ตุ่มนูน หรือรอยแดงกระจาย หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
เป็นสัญญาณของการติดเชื้อใต้ผิวหนัง มักเกิดหลังฉีดไปแล้วหลายวันหรือหลายสัปดาห์ หากไม่ได้รับการรักษาเชื้ออาจลุกลามจนกลายเป็นฝีหรือเนื้อตาย จำเป็นต้องให้แพทย์เจาะหนองและให้ยาปฏิชีวนะ
5.มีอาการคันหรือผื่นขึ้นทั่วหน้าหลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
บ่งบอกถึงภาวะ ภูมิแพ้ต่อสารในฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งร่างกายไม่สามารถยอมรับได้ หากอาการลุกลาม เช่น บวมรอบดวงตา ปาก หรือมีอาการหายใจติดขัด ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเข้าสู่ภาวะ ช็อกจากการแพ้
6.ปวดตา เห็นภาพเบลอ หรือมองไม่เห็นทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
เป็นอาการที่อันตรายมาก เพราะแสดงว่าฟิลเลอร์ปลอมอาจอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา จำเป็นต้องให้แพทย์เฉพาะทางรักษาภายในไม่กี่ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร
7.มีไข้ หนาวสั่น หรืออ่อนเพลีย หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
หากหลังฉีดฟิลเลอร์ปลอมมีอาการคล้ายติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตัว หรืออ่อนเพลีย ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
วิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้ vs ฟิลเลอร์ปลอม
การรู้จักแยกแยะระหว่างฟิลเลอร์แท้และฟิลเลอร์ปลอม เป็นสิ่งสำคัญมากก่อนตัดสินใจฉีด เพราะแม้ภายนอกจะดูคล้ายกัน แต่ความแตกต่างภายในสามารถส่งผลต่อผลลัพธ์ และอาจเกิดผลข้างเคียงได้อย่างมาก ฟิลเลอร์แท้จะผ่านการรับรองจากหน่วยงานทางการแพทย์ ส่วนฟิลเลอร์ปลอมมักไม่มีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจน และอาจเป็นอันตรายต่อผิวในระยะยาว
1.ตรวจสอบเลขทะเบียน อย.ไทย
• ฟิลเลอร์แท้ทุกกล่องต้องมีเลขทะเบียน อย.ไทย ที่ตรวจสอบได้จริง โดยสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
• หากไม่มีเลข อย.หรือเลขอย.พิมพ์ไม่ชัด / ไม่สามารถค้นเจอในระบบ ควรหลีกเลี่ยงทันที เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม
2.บรรจุภัณฑ์ต้องมีความสมบูรณ์และพิมพ์คมชัด
• กล่องของฟิลเลอร์แท้จะพิมพ์โลโก้ แบรนด์ และรายละเอียดชัดเจน ไม่เลือนหรือเบลอ
• ต้องมีฉลากภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยที่ถูกต้อง เช่น ชื่อรุ่น, วันผลิต, วันหมดอายุ, เลขล็อตผลิต
• ฟิลเลอร์ปลอมมักใช้กล่องที่พิมพ์ไม่ชัด มีคำสะกดผิด หรือสีของโลโก้ไม่เหมือนของแท้
3.ซีลและบรรจุภัณฑ์ต้องไม่ถูกเปิดมาก่อน
• ฟิลเลอร์แท้จะถูกซีลอย่างแน่นหนา และแพทย์ควรเปิดกล่องต่อหน้าคนไข้ทุกครั้ง
• ไม่ควรรับการฉีดจากหลอดที่เปิดไว้แล้ว หรือฟิลเลอร์ที่แบ่งมาจากกล่องอื่น
• หลังเปิดกล่อง แพทย์ควรให้ดูสติกเกอร์ Serial Number และสามารถถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานได้
4.แบรนด์และรุ่นที่แพทย์ใช้ต้องมีในรายชื่อฟิลเลอร์ที่ อย.รับรอง
แบรนด์ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย มีหลายยี่ห้อ เช่น
• Juvederm (อเมริกา) - รุ่นที่นิยม เช่น Voluma, Volift, Volbella
• Restylane (สวีเดน) - รุ่นยอดนิยมเช่น Vital, Lyft, Defyne
• Belotero (สวิตเซอร์แลนด์) - เนื้อเนียนละเอียด เหมาะกับบริเวณใต้ตา
• Neuramis (เกาหลี) - ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย.ไทย ราคาสมเหตุสมผล
หากคลินิกใช้ชื่อแบรนด์ที่ไม่เคยได้ยิน หรือไม่มีข้อมูลบนเว็บไซต์ของ อย.ไทย ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม
5.ฟิลเลอร์แท้ต้องมีคุณสมบัติสลายได้เองตามธรรมชาติ
• ฟิลเลอร์แท้ที่ทำจาก Hyaluronic Acid (HA) จะสามารถสลายได้เองภายใน 6-18 เดือน
• หากแพทย์บอกว่า “อยู่ถาวร ไม่สลาย” หรือ “ไม่ต้องฉีดซ้ำ” ให้ระวัง เพราะนั่นอาจเป็น ซิลิโคนเหลวหรือสารสังเคราะห์ที่เป็นฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งอาจไหล ย้อย หรือจับตัวเป็นก้อนในระยะยาว
6.ราคาต้องสมเหตุสมผล ไม่ถูกเกินจริง
• ฟิลเลอร์แท้จากแบรนด์ระดับสากล ราคาปกติจะอยู่ประมาณ 10,000-20,000 บาทต่อ 1 cc
• หากมีการโฆษณาฉีดฟิลเลอร์ในราคาไม่กี่พันบาท หรือ “ลดพิเศษเหลือหลักร้อย” ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์หิ้วที่ไม่ได้รับอนุญาต
7.คลินิกและแพทย์ต้องโปร่งใส เปิดเผยข้อมูล
• แพทย์ควรอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับชนิดฟิลเลอร์ที่ใช้ จุดฉีด และยินยอมให้คนไข้ดูบรรจุภัณฑ์จริง
• หากคลินิกปฏิเสธการเปิดกล่องให้ดู หรือไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลแบรนด์และรุ่นของฟิลเลอร์ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรเสี่ยงฉีดฟิลเลอร์ปลอม
8.สังเกตผลลัพธ์หลังฉีด
• ฟิลเลอร์แท้ ผิวดูเรียบเนียน เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน ไม่แข็ง และไม่มีอาการอักเสบ
• ฟิลเลอร์ปลอม อาจเกิดอาการบวมแดง ปวด หรือผิวผิดรูปหลังฉีดไม่กี่วัน
วิธีป้องกันไม่ให้เจอฟิลเลอร์ปลอม
ปัญหาฟิลเลอร์ปลอมเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือผู้ที่ลักลอบฉีดตามบ้าน เพราะราคาที่ถูกกว่าอาจล่อตาล่อใจ แต่ผลลัพธ์คือความเสี่ยงที่อาจทำให้หน้าเสีย หรือถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรเรียนรู้วิธีป้องกันและตรวจสอบให้แน่ชัดว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้
1.เลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐานและถูกกฎหมาย
• คลินิกต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุข แสดงไว้ชัดเจนหน้าสถานที่
• ภายในคลินิกควรสะอาด มีเครื่องมือแพทย์ครบ และมีบรรยากาศที่ได้มาตรฐาน
• หลีกเลี่ยงการฉีดตามบ้าน สถานเสริมสวย หรือบุคคลที่อ้างว่า “มีหมอมาฉีดให้ราคาพิเศษ” เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะใช้ฟิลเลอร์ปลอม
2.ตรวจสอบแพทย์ผู้ฉีดต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
• ควรฉีดโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังหรือแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเท่านั้น
• สามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์ของแพทยสภาเพื่อยืนยันตัวตน
• อย่าฉีดกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ หรือพนักงานทั่วไปในคลินิก
3.ตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ที่มี อย.ไทยรับรอง
• ฟิลเลอร์แท้จะต้องมีเลขทะเบียน อย.ไทย สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของ อย.
• บนกล่องฟิลเลอร์ควรมีข้อมูลครบถ้วน เช่น
- ชื่อแบรนด์ เช่น Juvederm, Restylane, Neuramis, Belotero
- เลขล็อตผลิต (Lot Number)
- วันผลิต - วันหมดอายุ
- หมายเลข อย.
• ฟิลเลอร์ปลอมมักไม่มีฉลากภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยที่ถูกต้อง และบางกล่องพิมพ์ชื่อแบรนด์ผิด
4.ให้แพทย์เปิดกล่องฟิลเลอร์ต่อหน้าทุกครั้งก่อนฉีด
• ขอให้แพทย์เปิดกล่องฟิลเลอร์ใหม่ต่อหน้า เพื่อให้เห็นหลอดและสติกเกอร์ที่มาพร้อมกล่อง
• ถ่ายรูปหรือเก็บ สติกเกอร์ซีเรียลนัมเบอร์ (Sticker Lot Number) ไว้เป็นหลักฐานหลังฉีด
• ฟิลเลอร์แท้ 1 กล่อง จะใช้หมดภายในการฉีดครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการแบ่งใช้จากคนอื่น
5.ระวังราคาถูกผิดปกติหรือโปรโมชั่นเกินจริง
• หากราคาฟิลเลอร์ถูกเกินจริง เช่น ฉีด 1 cc เพียงไม่กี่พันบาท ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์หิ้วที่ไม่มีอย.
• ฟิลเลอร์แท้จากแบรนด์ชั้นนำ เช่น Juvederm หรือ Restylane ราคาต่อ cc จะอยู่ในระดับหลักหมื่นขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรุ่นและคลินิก
6.ศึกษาข้อมูลแบรนด์ฟิลเลอร์ที่น่าเชื่อถือ
แบรนด์ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย และมีความนิยมทั่วโลก เช่น
• Juvederm (อเมริกา) - ฟิลเลอร์ที่ให้เนื้อเนียนละเอียด ยืดหยุ่นสูง
• Restylane (สวีเดน) - ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
• Belotero (สวิตเซอร์แลนด์) - เนื้อฟิลเลอร์เนียนละเอียด เหมาะสำหรับใต้ตา
• Neuramis (เกาหลี) - ได้รับการรับรองมาตรฐานและราคาเหมาะสม
7.หลีกเลี่ยงการซื้อฟิลเลอร์ออนไลน์หรือฉีดกับบุคคลทั่วไป
• ฟิลเลอร์ที่จำหน่ายออนไลน์ เช่น ผ่านโซเชียลมีเดีย มักเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน
• แม้จะอ้างว่าเป็น “ฟิลเลอร์แท้จากเกาหลี” หรือ “ฟิลเลอร์หิ้ว” ก็ไม่ควรเสี่ยง เพราะไม่มีการควบคุมคุณภาพการขนส่งและเก็บรักษา
8.ฟังคำแนะนำจากแพทย์และสอบถามอย่างละเอียด
ก่อนฉีดทุกครั้งควรถามแพทย์เกี่ยวกับ
• ชนิดของฟิลเลอร์ที่จะใช้
• จุดที่จะฉีดและปริมาณที่เหมาะสม
• ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และแนวทางดูแลหลังฉีด
ฟิลเลอร์ปลอมสามารถสลายเองได้ไหม
คำตอบคือ ฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถสลายเองได้ เพราะฟิลเลอร์ปลอมมักไม่ได้ผลิตจากสาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้เองในร่างกาย แต่กลับใช้สารอื่นที่ไม่สามารถสลายได้ เช่น ซิลิโคนเหลว น้ำมันปิโตรเลียม พาราฟิน หรือสารโพลีเมอร์สังเคราะห์ ทำให้เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกเองได้ จึงเกิดผลข้างเคียงรุนแรงในระยะยาว
ทำไมฟิลเลอร์ปลอมถึงไม่สลายเอง
• ฟิลเลอร์ปลอมใช้สารที่ไม่เข้ากับร่างกาย สารเหล่านี้ไม่สามารถถูกเอนไซม์ในร่างกายย่อยสลายได้ จึงตกค้างอยู่ใต้ผิวหนังเป็นเวลานาน
• ฟิลเลอร์ปลอมกระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง เมื่อร่างกายตรวจพบสารแปลกปลอม จะเกิดการอักเสบเรื้อรัง พยายามสร้างพังผืดล้อมรอบ ทำให้เกิดก้อนแข็ง ใบหน้าผิดรูป หรือผิวขรุขระ
• ฟิลเลอร์ปลอมเสี่ยงต่อการไหลหรือย้ายตำแหน่ง เนื่องจากไม่ยึดเกาะกับเนื้อเยื่อเหมือนฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอมจึงสามารถไหลลงต่ำ หรือย้ายไปอยู่ในบริเวณอื่นของใบหน้าได้
ถ้าฉีดฟิลเลอร์ปลอมไปแล้วควรทำอย่างไร
หากพบว่าตนเองเผลอฉีดฟิลเลอร์ปลอมไปโดยไม่รู้ตัว หรือเริ่มมีอาการผิดปกติหลังฉีด เช่น บวมแดง ปวด กดเจ็บ หรือมีก้อนใต้ผิว ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถสลายเองได้ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในอนาคต การเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสียหายของผิวหน้าและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
1.รีบพบแพทย์ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม
• ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง เพื่อให้แพทย์ประเมินชนิดของฟิลเลอร์ที่ฉีดไป
• แพทย์จะตรวจด้วยการคลำก้อนหรืออัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อดูว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นชนิดใด อยู่ลึกแค่ไหน และกระจายไปบริเวณใดบ้าง
• ยิ่งรีบตรวจเร็วเท่าไร ยิ่งมีโอกาสรักษาให้กลับมาใกล้เคียงปกติได้มากเท่านั้น
2.ห้ามนวด กด หรือพยายามสลายเองเด็ดขาด
• การนวดหรือกดแรง ๆ อาจทำให้ฟิลเลอร์ปลอมไหลไปยังบริเวณอื่นของใบหน้า เช่น จากคางไปแก้ม หรือจากใต้ตาไปข้างจมูก
• ไม่ควรใช้ยาหรือครีมที่โฆษณาว่าช่วยสลายฟิลเลอร์ เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่สามารถสลายฟิลเลอร์ปลอมได้จริง และอาจทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น
3.ให้แพทย์ช่วยประเมินแนวทางการรักษา
แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาตามชนิดของสารที่ฉีดและความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้
• กรณีเป็นฟิลเลอร์แท้ (Hyaluronic Acid) สามารถใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ฉีดสลายได้
• กรณีเป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่สามารถสลายได้เอง เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน
- อาจต้องใช้วิธีดูดออกหรือขูดฟิลเลอร์ปลอมออกด้วยการผ่าตัด
- บางกรณีสามารถใช้คลื่นเสียง (Ultrasound) หรือเลเซอร์เฉพาะทาง ช่วยลดปริมาณฟิลเลอร์ปลอมลงได้บางส่วน
- หากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะและยาลดอักเสบร่วมด้วย
4.ดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด
• ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่ทำหัตถการจนกว่าแผลจะหายดี
• ควรมาตรวจติดตามตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินการตอบสนองของร่างกายและป้องกันการกลับมาอักเสบซ้ำ
5.เก็บหลักฐานและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หากพบว่าคลินิกหรือบุคคลที่ฉีดให้ใช้ฟิลเลอร์ปลอม ควรทำดังต่อไปนี้
• เก็บหลักฐาน เช่น ใบเสร็จ ถ่ายรูปกล่องยา หรือบรรจุภัณฑ์
• แจ้งไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย
6.อย่าฉีดซ้ำหรือเติมเพิ่มก่อนประเมินผลครบถ้วน
หากใบหน้ายังมีฟิลเลอร์ปลอมหลงเหลืออยู่ การฉีดฟิลเลอร์แท้เพิ่มเติมเข้าไปอาจทำให้เกิดการอักเสบซ้ำ หรือสารตีกันจนกลายเป็นก้อนแข็งได้ ต้องรอให้แพทย์ยืนยันก่อนว่าบริเวณนั้นสามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้
ฉีดฟิลเลอร์ปลอมแล้วมีวิธีแก้อะไรบ้าง
ฟิลเลอร์ปลอมที่ผลิตจากสารอย่าง ซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือน้ำมันสังเคราะห์ ไม่สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ และเอนไซม์ Hyaluronidase ที่ใช้กับฟิลเลอร์แท้ก็ไม่สามารถละลายได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการทางการแพทย์เพื่อขจัดหรือควบคุมอาการอักเสบจากสารเหล่านี้ โดยมีแนวทางหลักดังนี้
1.ขูดฟิลเลอร์ปลอม
เป็นวิธีที่ได้ผลชัดเจนที่สุดในกรณีที่ฟิลเลอร์ปลอมจับตัวเป็นก้อน แข็ง หรือเกิดพังผืดใต้ผิวหนัง
• แพทย์จะเปิดแผลเล็ก ๆ ในบริเวณที่มีสารปลอม แล้วใช้เครื่องมือเฉพาะ ขูดหรือตักฟิลเลอร์ออก อย่างระมัดระวัง
• เหมาะกับเคสที่มีฟิลเลอร์ปลอมอยู่เป็นจุด ไม่กระจายกว้าง
• หลังทำอาจมีอาการบวม ช้ำ หรือแผลเล็กน้อย และต้องดูแลให้แผลหายสนิท
• หากสารปลอมแทรกซึมลึก แพทย์อาจต้องผ่าตัดใหญ่หรือทำซ้ำหลายครั้งเพื่อเอาออกให้หมด
ข้อดี เอาฟิลเลอร์ปลอมออกได้มากที่สุด
ข้อเสีย มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น หรือใบหน้าผิดรูปเล็กน้อยในบางราย
2.ใช้คลื่นเสียง Ultrasound
การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดขนาดของฟิลเลอร์ปลอมโดยไม่ต้องผ่าตัด
• คลื่นเสียงจะเข้าไปทำให้โมเลกุลของสารปลอมแตกกระจาย ช่วยให้ร่างกายกำจัดฟิลเลอร์ปลอมได้บางส่วน
• ใช้ได้ผลดีในกรณีที่ฟิลเลอร์ปลอมไม่ได้แข็งตัวมาก และอยู่ไม่ลึก
• มักใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ
ข้อดี ไม่ต้องผ่าตัด แผลเล็ก ฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน
ข้อเสีย ไม่สามารถกำจัดฟิลเลอร์ปลอมได้หมด ต้องทำหลายครั้ง
3.เลเซอร์ละลายสารแปลกปลอม
ใช้พลังงานเลเซอร์ความร้อนเฉพาะจุด เพื่อช่วยทำลายโครงสร้างของสารปลอม และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ของผิว
• เหมาะสำหรับเคสที่ฟิลเลอร์ปลอมแทรกในชั้นผิวตื้น
• แพทย์จะเลือกใช้เลเซอร์ชนิดที่เหมาะกับความลึกและชนิดของสาร เช่น CO₂ Laser หรือ Nd:YAG Laser
• หลังทำอาจมีอาการบวม แดง หรือแสบเล็กน้อย ซึ่งจะหายภายในไม่กี่วัน
ข้อดี ช่วยลดฟิลเลอร์ปลอมบางส่วน และปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
ข้อเสีย ไม่สามารถสลายฟิลเลอร์ปลอมได้ทั้งหมด และต้องทำหลายครั้งร่วมกับการดูแลอื่น
4.ฉีดยาสเตียรอยด์
ใช้ในกรณีที่เกิดการอักเสบ บวม หรือมีพังผืดจากฟิลเลอร์ปลอม
• ยาสเตียรอยด์จะช่วย ลดอาการอักเสบ ยับยั้งภูมิคุ้มกัน และทำให้พังผืดนิ่มลง
• แพทย์จะฉีดในปริมาณน้อยและเฉพาะจุด เพื่อป้องกันผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง หรือรอยบุ๋ม
• มักใช้ร่วมกับการขูดฟิลเลอร์ปลอมหรือคลื่นเสียง เพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น
ข้อดี ช่วยลดการอักเสบและความแข็งของพังผืดได้ดี
ข้อเสีย ใช้ในระยะยาวอาจทำให้ผิวบาง หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
วิธีการดูแลตัวเองหลังขูดฟิลเลอร์ปลอม
หลังจากทำการขูดฟิลเลอร์ปลอมออก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเล็กหรือการขูดฟิลเลอร์ปลอมเฉพาะจุด สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลหลังทำอย่างถูกวิธี เพื่อให้แผลหายเร็ว ลดการอักเสบ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือพังผืดซ้ำ การดูแลหลังขูดฟิลเลอร์ปลอมต้องทำอย่างต่อเนื่อง และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
1.ประคบเย็นเพื่อลดบวมใน 48 ชั่วโมงแรก หลังขูดฟิลเลอร์ปลอม
• หลังการขูดฟิลเลอร์ปลอม อาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำได้เป็นปกติ
• ให้ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลเย็นประคบบริเวณที่ผ่าตัดครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง
• หลีกเลี่ยงการประคบโดยตรงกับผิว เพราะอาจทำให้แผลไหม้จากความเย็น
2.รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
• แพทย์มักให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และ ยาลดอักเสบหรือยาแก้ปวด เพื่อลดอาการบวมเจ็บ
• ควรรับประทานยาให้ครบตามกำหนด แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
• ห้ามซื้อยารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะบางชนิดอาจมีผลต่อการสมานแผล
3.หลีกเลี่ยงการสัมผัส นวด หรือกดบริเวณแผลขูดฟิลเลอร์ปลอม
• การสัมผัสแผลบ่อยหรือกดแรงอาจทำให้แผลเปิด ติดเชื้อ หรือสารปลอมที่เหลือเคลื่อนที่ไปบริเวณอื่น
• หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หน้า นวดหน้า หรือเลเซอร์ทุกชนิดในช่วง 1 เดือนแรก
• ห้ามใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสแผลขูดฟิลเลอร์ปลอมโดยเด็ดขาด
4.ทำความสะอาดแผลขูดฟิลเลอร์ปลอมอย่างอ่อนโยน
• ใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดบริเวณแผลเบา ๆ วันละ 1-2 ครั้ง
• หากแพทย์ให้ยาทาแผล ควรทาบาง ๆ ตามคำแนะนำ
• หลีกเลี่ยงการใช้โฟมล้างหน้าที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือกรดผลไม้ (AHA, BHA) เพราะอาจระคายเคืองแผล
5.นอนหัวสูง ลดการบวม จากการขูดฟิลเลอร์ปลอม
• ควรนอนโดยใช้หมอนรองศีรษะให้สูงกว่าระดับหน้าอกเล็กน้อยในช่วง 3-5 วันแรก
• หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้างที่ผ่าตัด เพราะแรงกดอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือแผลเปิด
6.หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนจัดหลังขูดฟิลเลอร์ปลอม
• แสง UV สามารถกระตุ้นให้แผลคล้ำและเกิดรอยดำได้ง่าย
• หลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรง การอบไอน้ำ ซาวน่า หรือการออกกำลังกายหนักประมาณ 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
• หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรใช้ ครีมกันแดด SPF 50+ และสวมหมวกหรือหน้ากากป้องกัน
7.รับประทานอาหารที่ช่วยสมานแผลและหลีกเลี่ยงของต้องห้าม
ควรรับประทาน
• ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง บรอกโคลี เพื่อช่วยในการสร้างคอลลาเจน
• โปรตีนจากปลา ไก่ ไข่ เพื่อเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
ควรงดรับประทาน
• อาหารแสลง เช่น ของหมักดอง อาหารทะเล เหล้า บุหรี่ เพราะอาจกระตุ้นให้แผลอักเสบหรือบวมช้ำมากขึ้น
8.หลังขูดฟิลเลอร์ปลอมมาตรวจติดตามผลกับแพทย์ตามนัด
• หลังขูดฟิลเลอร์ปลอม แพทย์จะนัดมาตรวจเพื่อติดตามการหายของแผล และดูว่ามีสารปลอมหลงเหลืออยู่หรือไม่
• หากยังมีก้อนแข็งหรือพังผืด อาจต้องทำการรักษาซ้ำ เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือใช้คลื่นเสียงช่วยลดพังผืด
9.หลังขูดฟิลเลอร์ปลอมดูแลสภาพจิตใจและอย่ารีบร้อนฉีดใหม่ซ้ำ
หลังจากการขูดฟิลเลอร์ปลอมออก ใบหน้าอาจยังไม่เข้ารูปหรือมีรอยบุ๋มเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ต้องใช้เวลาให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวประมาณ 3-6 เดือน ก่อนพิจารณาฉีดฟิลเลอร์แท้เพิ่มเติม
ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้จะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูง ก็ยังมีความเสี่ยงหากเลือกทำโดยไม่รอบคอบ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อควรระวังต่อไปนี้อย่างละเอียด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
1.เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและถูกกฎหมาย
• คลินิกต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุข แสดงชัดเจนที่หน้าสถานประกอบการ
• ภายในคลินิกควรสะอาด ปลอดเชื้อ และมีเครื่องมือครบครัน
• หลีกเลี่ยงการฉีดตามบ้าน หรือสถานเสริมสวยที่ไม่มีแพทย์ เพราะมักเสี่ยงต่อการใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือการฉีดผิดชั้นผิว
2.ให้แพทย์เฉพาะทางเป็นผู้ฉีดเท่านั้น
• ควรฉีดโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง ที่มีใบประกอบวิชาชีพจากแพทยสภา
• อย่าฉีดกับพนักงานทั่วไป หรือบุคคลที่อ้างว่า “มีหมอจากต่างประเทศมาฉีดให้” โดยไม่มีหลักฐาน
• แพทย์จะรู้ตำแหน่งเส้นเลือดและชั้นผิวที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อการอุดตันหรือเนื้อตาย
3.ตรวจสอบฟิลเลอร์ให้แน่ใจว่าเป็นของแท้
• ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียน อย.ไทย และสามารถตรวจสอบได้ในเว็บไซต์ของ อย.
• แพทย์ควรเปิดกล่องต่อหน้า ให้เห็นหลอดฟิลเลอร์และ Sticker Serial Number ซึ่งสามารถถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานได้
• หากแพทย์ไม่ยอมเปิดกล่องให้ดู หรืออ้างว่าเป็น “ของหิ้วราคาพิเศษ” ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม
4.อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นราคาถูกผิดปกติ
• ราคาโดยทั่วไปฟิลเลอร์แท้จากแบรนด์มาตรฐานมักอยู่ที่ 10,000-20,000 บาทขึ้นไปต่อ 1 cc
• หากเจอโฆษณาฉีดฟิลเลอร์เพียงหลักพัน หรือ “ซื้อ 1 แถม 1” มักเป็นสัญญาณของ ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์หิ้ว
• อย่าตัดสินใจจากราคา เพราะความเสียหายจากฟิลเลอร์ปลอมอาจต้องใช้เงินรักษามากกว่าหลายเท่า
5.แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติสุขภาพก่อนฉีด
• หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคภูมิแพ้ หรือโรคเลือด ควรแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ
• หญิงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือผู้ที่มีแผลอักเสบติดเชื้อบนใบหน้า ควรงดการฉีดฟิลเลอร์ชั่วคราว
• ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน ควรแจ้งชนิดและยี่ห้อให้แพทย์ทราบ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาตีกันของสาร
6.ตรวจสอบแบรนด์ฟิลเลอร์ที่เลือกฉีดให้เหมาะกับจุด
แต่ละบริเวณบนใบหน้าต้องใช้ฟิลเลอร์คนละชนิด เช่น
• ฟิลเลอร์เนื้อนุ่ม เช่น Juvederm Volbella, Restylane Vital เหมาะสำหรับใต้ตา ริมฝีปาก
• ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เช่น Juvederm Voluma, Neuramis Deep เหมาะสำหรับคาง ขมับ หรือกรอบหน้า
หากเลือกไม่ถูกต้อง อาจทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนหรือไหลย้อยได้
7.ศึกษาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้จะเป็นฟิลเลอร์แท้ ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น
• บวม แดง ช้ำบริเวณที่ฉีด (มักหายภายใน 3-7 วัน)
• หากฉีดผิดชั้นผิวหรือเข้าเส้นเลือด อาจทำให้ เนื้อตายหรือการมองเห็นผิดปกติได้
• จึงจำเป็นต้องเลือกฉีดกับแพทย์ในคลินิกที่มีมาตรฐานเท่านั้น
8.ดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีดอย่างเหมาะสม
• ก่อนฉีด ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาแอสไพริน และวิตามินอี ประมาณ 3 วัน
• หลังฉีด ห้ามนวดหน้า สัมผัส หรือแต่งหน้าบริเวณที่ฉีดใน 24 ชั่วโมงแรก และงดความร้อน เช่น ซาวน่า หรือเลเซอร์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ปลอม
ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ไม่เพียงช่วยปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และดูเป็นธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีเสี่ยงอันตรายน้อย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ในทางตรงกันข้าม ฟิลเลอร์ปลอมแม้จะมีราคาถูก แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจทำให้ใบหน้าเสียรูป อักเสบ ติดเชื้อ หรือถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต
ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกต้องควรทำใน คลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และมีแพทย์เป็นผู้ฉีดเท่านั้น อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นราคาถูกหรือคำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะฟิลเลอร์ของแท้แม้ราคาสูงกว่า แต่ความเสี่ยงน้อยกว่าฟิลเลอร์ปลอมกว่าแน่นอน การลงทุนกับฟิลเลอร์แท้คือการลงทุนกับความมั่นใจและผลลัพธ์ในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ