romrawin

โปรแกรม Radiesse คืออะไร ฉีดกี่ครั้งเห็นผล ฉีดตรงไหนได้บ้าง

Radiesse

Radiesse คืออะไร ช่วยอะไร ฉีดกี่ครั้งเห็นผล ฉีดตรงไหนได้บ้าง
เมื่ออายุเพิ่มขึ้นหรือผิวต้องเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะทุกวัน หลายคนอาจสังเกตว่าผิวหน้าไม่เฟิร์มเหมือนเดิม เริ่มมีริ้วรอยร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย หรือกรอบหน้าเริ่มไม่ชัด หลายคนจึงมองหาวิธีฟื้นฟูผิวและปรับรูปหน้า โดยหนึ่งในตัวช่วยที่ถูกพูดถึงมากในวงการความงามตอนนี้คือ Radiesse หัตถการฟื้นฟูผิวที่ไม่ได้แค่เติมเต็มรูปหน้าให้สวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
Radiesse กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่อยากยกกระชับ เติมเต็ม และฟื้นฟูผิวไปพร้อมกัน แต่ก่อนฉีด Radiesse ควรศึกษาข้อมูลอะไรบ้าง ในบทความนี้จะพาไปรู้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

Radiesse คืออะไร
Radiesse คือสารเติมเต็มประเภท Biostimulator ที่ใช้ในด้านความงามเพื่อลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้กระชับขึ้น โดยส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่พบในร่างกายตามธรรมชาติ Radiesse ทำงานโดยการเติมเต็มวอลลุ่มใต้ผิวหนังและกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งช่วยให้ผิวดูอิ่ม ฟู แน่น กระชับ และริ้วรอยตื้นขึ้นได้ผลยาวนานถึงประมาณ 2 ปี

นอกจากนี้ยังช่วยสร้างเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ที่แข็งแรง ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์จะเห็นได้ในเวลาไม่นานหลังฉีดและจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3-4 สัปดาห์ถึง 1 ปีหรือมากกว่านั้น เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยตามตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม ขมับ และแก้มตอบ

หลักการทำงานของ Radiesse
Radiesse ทำงานด้วยหลักการเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือ แคลเซียมไฮดรอกซีแอพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA) เมื่อฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง จะช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นตอที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวให้ทำงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 รวมถึงอิลาสติน โปรติโอไกลแคน และกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่มากขึ้น

ซึ่งทั้งหมดช่วยเสริมความแข็งแรง ยืดหยุ่น และกระชับของโครงสร้างผิว การสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ในลักษณะของตาข่ายสามมิติช่วยเติมเต็มริ้วรอยลึกและร่องผิวให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวดูอิ่มฟู แน่นตึง ได้ผลทันทีหลังฉีดและผลอยู่ได้นาน โดยหลักการนี้แตกต่างจากฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิกที่เน้นอุ้มน้ำเพื่อเพิ่มวอลลุ่มโดยตรง Radiesse จะเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในควบคู่กับการเติมเต็มผิวด้วย CaHA

Radiesse ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Radiesse เป็นสารเติมเต็มในกลุ่ม Biostimulator ที่มีคุณสมบัติเติมเต็มและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปพร้อมกัน จึงช่วยฟื้นฟูผิวได้ตั้งแต่ความหย่อนคล้อย ร่องลึก ไปจนถึงปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับทั้งผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้นและผู้ที่อยากให้ผิวดูสุขภาพดี

1.Radiesse ช่วยยกกระชับและฟื้นฟูผิวที่หย่อนคล้อย
CaHA ใน Radiesse กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวที่หย่อนดูตึงกระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30+ ที่ผิวเริ่มบางและยุบตัว ช่วยได้ดีในเรื่องใบหน้าหย่อนคล้อย ผิวคอเหี่ยว ผิวลำตัวที่หย่อน เช่น ท้อง ต้นแขน

2.Radiesse ช่วยเติมเต็มโครงหน้าให้ชัดขึ้น
ด้วยความคงตัวสูง Radiesse เหมาะกับการเติมเต็มโครงหน้า ช่วยทำให้ใบหน้าดูคมชัดขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ เช่น คาง กรอบหน้า แนวกราม ขมับตอบ เพราะ Radiesse ให้โครงสร้างที่คงตัวกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป

3.Radiesse ช่วยลดร่องลึกที่เห็นชัด
ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกที่เกิดจากการขาดวอลลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ฉีดแล้วให้ผลลัพธ์ดูอิ่มฟูอย่างดูเป็นธรรมชาติ

4.Radiesse ช่วยให้ผิวเนียน กระชับ และแข็งแรงขึ้น
เมื่อใช้ Radiesse แบบ Hyperdilute จะเน้นผลลัพธ์ด้านสุขภาพผิว ได้แก่ รูขุมขนเล็กลง ผิวแน่นกระชับขึ้น ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวดูอิ่มน้ำและสุขภาพดีจากคอลลาเจนใหม่ เหมาะมากสำหรับผู้ที่ผิวบาง หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องเพิ่มวอลลุ่ม

5.Radiesse ช่วยฟื้นฟูหลังมือให้ดูเด็กลง
หลังมือที่ผิวบาง เส้นเลือดชัด หรือมีความเหี่ยวย่น สามารถใช้ Radiesse เติมเต็มให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียนขึ้น พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว

6.Radiesse ช่วยปรับผิวบริเวณคอให้เรียบและกระชับ
หลายคนมีริ้วรอยคอหรือผิวคอเหี่ยว Radiesse สามารถช่วยฟื้นฟูให้ผิวดูเรียบและเต่งตึงขึ้นได้

7.Radiesse ช่วยชะลอความเสื่อมของผิวในระยะยาว
เพราะ Radiesse ไม่ใช่แค่เติมเต็ม แต่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ จึงช่วยชะลอการหย่อนคล้อย ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดริ้วรอยในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาหัตถการที่ให้ผลในระยะยาว

Radiesse ฉีดได้กี่วิธี อะไรบ้าง
การฉีด Radiesse สามารถทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น ต้องการเพิ่ม Volume ยกกระชับผิว หรือฟื้นฟูผิวแบบทั่วหน้า โดยหลัก ๆ แล้ว Radiesse มี 2 วิธีการฉีดที่แพทย์เลือกใช้ตามความเหมาะสม ดังนี้

1.Radiesse แบบปกติ (Undiluted Radiesse)
หรือที่เรียกว่า Radiesse แบบเข้มข้น เหมาะสำหรับการเติมเต็มโครงหน้า เติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลลุ่มในจุดที่ยุบตัว และต้องการผลที่ชัดเจน
• ตำแหน่งที่นิยมฉีด กรอบหน้า คาง แนวกราม ขมับ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หลังมือ
• จุดเด่น เนื้อฟิลเลอร์คงตัวสูง ให้โครงหน้าแข็งแรง เติมวอลลุ่มได้ชัด และยกกระชับ

2.Radiesse แบบเจือจาง (Hyperdilute Radiesse)
Radiesse แบบเจือจางเพื่อฟื้นฟูผิว เหมาะสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจน ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย รูขุมขนกว้าง ผิวขาดความแน่น กระชับ และฟื้นฟูผิวโดยไม่เพิ่มวอลลุ่ม
• ตำแหน่งที่นิยมฉีด ทั่วใบหน้า แก้ม คอ ท้องหลังคลอด ต้นแขนที่ผิวหย่อน
• จุดเด่น ผิวแน่นขึ้น ริ้วรอยจางลง ผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเพิ่มปริมาตรใบหน้า

Radiesse ฉีดตรงไหนได้บ้าง
Radiesse เป็นฟิลเลอร์ชนิด Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่มีความคงตัวสูงและสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ จึงเหมาะทั้งสำหรับการเติมเต็มโครงหน้าและการฟื้นฟูคุณภาพผิว โดยสามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ใช้

1.กรอบหน้า ช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น ลดความหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าได้รูป
2.คาง ช่วยปรับความยาว ความแหลม หรือความยื่นของคางให้สมดุล ทำให้หน้าดูเรียวและได้สัดส่วนมากขึ้น
3.ขมับ เหมาะสำหรับผู้ที่ขมับตอบ ขมับยุบ ช่วยเติมเต็มให้ใบหน้าดูอิ่มฟูและอ่อนเยาว์ขึ้น
4.แนวกราม ช่วยสร้างมุมกราม ทำให้รูปหน้าเฉียบคม ดูเป็นธรรมชาติ และทำให้ใบหน้าโดดเด่นชัดขึ้น
5.ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องแก้มที่ลึกจากอายุหรือการยุบตัวของกระดูกใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
6.ร่องน้ำหมาก ลดร่องลึกมุมปากที่ทำให้ใบหน้าดูเศร้า ช่วยยกมุมปากให้ดูสดใสขึ้น
7.หลังมือ ฉีดเพื่อฟื้นฟูหลังมือที่บาง เหี่ยว เส้นเลือดชัด ให้กลับมาดูเต่งตึงและสุขภาพดี
8.ใบหน้า Radiesse สามารถฉีดได้ทั่วหน้าเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียน ลดความหย่อนคล้อย และฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดี
9.คอ ช่วยลดความหย่อนคล้อย คอเหี่ยว และริ้วรอยคอ ทำให้ผิวบริเวณคอเรียบตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
10.ลำตัว นิยมใช้ฟื้นฟูผิวบริเวณที่หย่อนมีริ้วรอย เช่น ท้องหลังคลอด ต้นแขนหน้าอกที่ผิวบางและย่น เพื่อเพิ่มความตึงของผิวโดยไม่เน้นเพิ่มวอลลุ่ม

Radiesse ฉีดกี่ซีซีถึงเห็นผล
โดยทั่วไปการฉีด Radiesse จะใช้ปริมาณประมาณ 1-2 ซีซีต่อครั้งและแนะนำให้ฉีด 1-3 ครั้งโดยเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและผลอยู่ได้นาน โดยหลังฉีดจะเห็นผลทันทีว่าริ้วรอยลดลง ผิวดูฟูแน่นขึ้น จากนั้นจะเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ผลลัพธ์เต็มที่จะเห็นชัดภายใน 3-6 เดือน และสามารถอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวและสภาพผิวของแต่ละคน ปริมาณที่ฉีดขึ้นอยู่กับบริเวณและปัญหาผิว เช่น บริเวณร่องแก้มอาจใช้ประมาณ 1.5-3 ซีซีต่อข้าง ส่วนบริเวณอื่นอาจใช้ปริมาณน้อยกว่านี้ตามคำประเมินของแพทย์

Radiesse ฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล
Radiesse โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดประมาณ 1-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการฉีดแต่ละครั้งอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและผลคงทน โดยหลังฉีดครั้งแรกจะเห็นผลทันทีว่าผิวดูฟูและริ้วรอยตื้นขึ้น จากนั้นจะค่อย ๆ กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนซึ่งจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 3-6 เดือนหลังการฉีด จำนวนครั้งและปริมาณฉีดขึ้นกับสภาพผิวและบริเวณที่ฉีดโดยแพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคล ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปีหากดูแลผิวดี

Radiesse กี่วันถึงเห็นผล
Radiesse จะเห็นผลทันทีหลังการฉีด เนื่องจากเป็น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ช่วยเติมเต็มพื้นที่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและริ้วรอยตื้นขึ้น ผลลัพธ์นี้จะเห็นชัดเจนตั้งแต่วันแรกหลังฉีด จากนั้นในช่วง 3-4 สัปดาห์หลังฉีด Radiesse จะเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรงและกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ได้จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและการดูแลตัวเองหลังฉีด

Radiesse อยู่ได้นานแค่ไหน
Radiesse อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุของผู้รับการฉีด การดูแลหลังฉีด ตำแหน่งที่ฉีด และสภาพผิวของแต่ละคน ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังฉีดจากการเติมเต็มใต้ผิว และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3-4 สัปดาห์หลังฉีดเนื่องจากการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งช่วยให้ผลลัพธ์คงทนยาวนานประมาณ 12-24 เดือน หรือบางกรณีอาจอยู่ได้กว่า 2 ปี หากดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด

Radiesse vs Sculptra ต่างกันยังไง
ทั้ง Radiesse และ Sculptra เป็นหัตถการสารเติมเต็มในกลุ่ม Biostimulator ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่มีคุณสมบัติ ความเข้มข้น และผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน จึงเหมาะกับปัญหาและตำแหน่งในการฉีดที่แตกต่างกันด้วย

1.ส่วนประกอบแตกต่างกัน
Radiesse
• ทำจาก Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
• เป็นอนุภาคคล้ายแร่ธาตุที่พบในกระดูกมนุษย์
• ช่วยเติมเต็มผิวหลังฉีดในเวลาไม่นาน

Sculptra
• ทำจาก Poly-L-Lactic Acid (PLLA)
• เป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ทำไหมละลาย
• ไม่มีคุณสมบัติเติมเต็มทันที แต่เน้นกระตุ้นคอลลาเจนล้วน ๆ

2.ผลลัพธ์หลังฉีด
Radiesse
• เห็นผลทันทีหลังทำเพราะมีเจลช่วยเพิ่มวอลลุ่ม
• ผิวกระชับขึ้นเรื่อย ๆ จากการสร้างคอลลาเจนใหม่
• เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นความชัดเจนตั้งแต่หลังทำทันที

Sculptra
• ไม่เห็นผลทันที
• ต้องรอ 6-12 สัปดาห์ เพื่อให้คอลลาเจนสร้างตัว
• ให้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติ
• เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวลึกและในระยะยาว

3.ระยะเวลาที่อยู่ได้นาน
Radiesse
• อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
• ผิวที่ได้รับการกระตุ้นคอลลาเจนจะยังดีขึ้นเรื่อย ๆ

Sculptra
• ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่า โดยเฉลี่ย 2-3 ปี
• เพราะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโครงสร้างผิวใหม่จำนวนมาก

4.เหมาะกับการฉีดบริเวณไหน
Radiesse เหมาะสำหรับ
• การปรับรูปหน้า คาง กราม กรอบหน้า
• เติมเต็มร่องลึก ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
• ขมับตอบ
• ฟื้นฟูหลังมือ
• ผิวหย่อนเล็กน้อย (เมื่อใช้แบบ Hyperdilute)

Sculptra เหมาะสำหรับ
• ผิวที่หย่อนคล้อย
• แก้มตอบ
• ขมับลึก
• ผิวคอ เหี่ยว ย่น
• ฟื้นฟูผิวลำตัว เช่น ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก
• ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

5.จำนวนครั้งที่ต้องฉีด
Radiesse
• ส่วนใหญ่ฉีดครั้งเดียวเห็นผล
• บางเคสอาจเติมเพิ่มตามความลึกของร่อง

Sculptra
• ต้องฉีดเป็นคอร์ส ศัลยแพทย์มักแนะนำ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 4-6 สัปดาห์

6.ความเสี่ยงหรือข้อควรระวัง
Radiesse
• ไม่ใช่ HA จึง สลายด้วยเอนไซม์ไม่ได้
• ต้องฉีดโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
• ห้ามฉีดใต้ตาและริมฝีปาก

Sculptra
• หากฉีดไม่ถูกชั้น อาจเกิด ก้อนนูน หลังผ่านไปหลายเดือน
• ต้องนวดหลังฉีดตามคำแนะนำ
• ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลในเวลาไม่นาน

Radiesse เหมาะกับใครบ้าง
Radiesse เป็นสารเติมเต็มที่เหมาะกับทั้งผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะยาว โดยกลุ่มคนที่เหมาะกับหัตถการนี้ ได้แก่

1.Radiesse เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
ผู้ที่เริ่มมีผิวหย่อนคล้อยเนื่องจากอายุ คอลลาเจนลดลง หรือการยุบตัวของกระดูกใบหน้า Radiesse ช่วยให้ผิวตึงขึ้น กระชับขึ้น เหมาะกับช่วงวัยตั้งแต่ อายุ 30 ปีขึ้นไป

2.Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกและใบหน้าขาดวอลลุ่ม
Radiesse เติมเต็มร่องลึกได้อย่างดี โดยเฉพาะร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมาก ขมับตอบ แก้มตอบ เหมาะกับคนที่ต้องการให้หน้าเต่งฟูขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

3.Radiesse เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับและสร้างกรอบหน้าให้คมชัด
ด้วยความคงตัวสูง Radiesse เหมาะกับการขึ้นโครงหน้า เช่น คาง แนวกราม กรอบหน้า ขมับ ทำให้โครงหน้าเด่นขึ้นโดยไม่ดูแข็งหรือปลอม

4.Radiesse เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบไม่เพิ่มวอลลุ่มบนใบหน้า
ใช้ Radiesse แบบ Hyperdilute เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผิวแน่นขึ้น รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน ลดความเหี่ยวย่นบริเวณคอและลำตัว โดยไม่ทำให้หน้าอ้วนขึ้น

5.Radiesse เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เนียนดูเป็นธรรมชาติ แต่คงทนนาน
Radiesse กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผลลัพธ์ค่อย ๆ ดีขึ้นและอยู่ได้นาน 12-18 เดือน เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นธรรมชาติและชอบผลลัพธ์แบบยั่งยืน

6.Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีมือเหี่ยวย่นหรือเส้นเลือดเด่นชัด
Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ฟื้นฟูหลังมือ ให้ดูอิ่มฟูเหมือนวัยหนุ่มสาว

7.Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีพื้นผิวผิวบางและต้องการความแข็งแรงระยะยาว
โดยเฉพาะคนที่ผิวอ่อนแอจากอายุ แสงแดด น้ำหนักลด การยุบตัวของชั้นผิว Radiesse ช่วยสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ชั้นผิวแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

Radiesse ไม่เหมาะกับใครบ้าง
แม้ Radiesse จะเป็นฟิลเลอร์ที่ช่วยยกกระชับ เติมเต็ม และกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่เหมาะกับหัตถการนี้ เนื่องจากลักษณะของสาร CaHA และความคงตัวของเนื้อฟิลเลอร์ อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ไม่สวยงามหรือมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยง หรือ พิจารณาอย่างระมัดระวังก่อนฉีด Radiesse มีดังนี้

1.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการฉีดบริเวณใต้ตา ริมฝีปาก หรือปีกจมูก
บริเวณเหล่านี้มีผิวบางและเสี่ยงเกิดก้อนง่าย Radiesse มีความคงตัวสูงและไม่สามารถสลายด้วยเอนไซม์ได้ จึงไม่เหมาะกับการฉีดในตำแหน่งที่ต้องการความนุ่มเป็นพิเศษ

2.Radiesse ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการวัสดุที่สลายได้ด้วยเอนไซม์
Radiesse ไม่ใช่ HA Filler จึง สลายด้วย Hyaluronidase ไม่ได้ หากเกิดก้อนหรือไม่พอใจผลลัพธ์ การแก้ไขต้องใช้วิธีอื่น ซึ่งทำได้ยากกว่า HA Filler คนที่ต้องการปรับแก้ได้ง่าย ควรเลือก HA Filler

3.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นคีลอยด์ง่าย
แม้จะเกิดน้อย แต่บางรายที่มีปัญหาแผลเป็นคีลอยด์หรือ hypertrophic scar ชัดเจน อาจเสี่ยงเกิดพังผืดมากกว่าปกติ แพทย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนทำ

4.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวบางมากในบางตำแหน่ง
เช่น ผู้สูงอายุที่ผิวบางจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน Radiesse อาจทำให้เห็นเป็นเงา หรือผิวไม่เรียบหลังฉีด เหมาะกับการใช้แบบ Hyperdilute มากกว่าแบบเข้มข้น

5.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเบาบางมาก
เช่น คนที่ต้องการแค่ความละมุนหรือความนิ่มที่ใกล้เคียงผิวธรรมชาติในบางตำแหน่ง Radiesse จะค่อนข้างคงตัวและยกมากกว่า อาจให้ผลที่แข็งเกินความต้องการ

6.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
แม้ยังไม่มีงานวิจัยที่บ่งชี้อันตรายโดยตรง แต่โดยมาตรฐานของวงการแพทย์ ไม่แนะนำฉีดฟิลเลอร์ทุกชนิดในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

7.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้าหรือผิวหนัง
เช่น สิวอักเสบรุนแรง ผิวติดเชื้อแบคทีเรีย ผิวอักเสบแดง ควรรักษาให้ผิวสงบก่อนฉีดเพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อหรือการอักเสบหลังฉีด

8.Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคภูมิต้านตนเองบางชนิด
โรคบางอย่าง เช่น โรคลูปัส โรคภูมิแพ้ตัวเอง อาจมีความเสี่ยงการอักเสบหรือการตอบสนองผิดปกติสูงขึ้น ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ

Radiesse อันตรายไหม เจ็บไหม
Radiesse โดยทั่วไปไม่ถือว่าอันตราย เพราะส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกายเหมือนเนื้อเยื่อธรรมชาติ แต่หลังฉีดอาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยหรือรู้สึกระคายเคืองบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักเป็นอาการชั่วคราวและจะหายได้เองใน 1-3 วัน รวมถึงอาจมีอาการบวม แดง หรือรอยช้ำจากการใช้เข็มฉีดได้เช่นกัน อาการเหล่านี้เป็นผลข้างเคียงปกติที่สามารถจัดการด้วยการประคบเย็นและพักผ่อนใบหน้า แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น แดงร้อน ผิวซีดลง หรือเปลี่ยนสี ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการดูแล

ส่วนในเรื่องความเจ็บ ขึ้นอยู่กับความไวของผิวในแต่ละบุคคล แต่อาจมีการใช้ยาชาหรือครีมลดความเจ็บปวดก่อนฉีดเพื่อลดอาการไม่สบายได้ และควรเลือกทำกับแพทย์เพื่อลดความเสี่ยง
โดยสรุป Radiesse มีความเสี่ยงน้อย ผลข้างเคียงมักเป็นอาการชั่วคราวและไม่รุนแรง หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลบริเวณที่ฉีดอย่างเหมาะสม

Radiesse มีผลข้างเคียงไหม
แม้ Radiesse จะเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน แต่เหมือนกับทุกหัตถการการฉีดเติมเต็ม ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ทั้งแบบทั่วไปที่พบได้บ่อยและแบบรุนแรงที่พบได้น้อย ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการฉีดโดยแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน

1.ผลข้างเคียงทั่วไป (พบได้บ่อยและหายได้เอง)
• อาการบวม เป็นอาการปกติหลังฉีด โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้เข็มหรือสาข์ คนไข้ส่วนใหญ่จะบวมประมาณ 1-3 วัน และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง
• รอยช้ำ เกิดจากเข็มหรือคานูลาทำให้เส้นเลือดฝอยแตกเล็กน้อย อาการช้ำอาจอยู่ 3-7 วัน และหายเองตามธรรมชาติ
• รอยแดงหรือปวดเล็กน้อย รอยแดงบริเวณที่ฉีด และอาการตึง ๆ เป็นปกติ สามารถลดอาการได้ด้วยการประคบเย็น
• ก้อนแข็งเล็กน้อย บางรายอาจคลำเจอเป็นก้อนนุ่มหรือแข็งเล็กน้อยภายใน 1-2 สัปดาห์แรก ซึ่งมักจะยุบลงเองเมื่อ Radiesse กระจายตัว

2.ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย
• อาการไม่เรียบเนียนหรือเป็นเงา บางรายอาจเห็นเป็นเงาหรือผิวไม่เนียน โดยเฉพาะเมื่อฉีดบริเวณผิวบางเกินไป ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการนวด หรือรอให้เจลสลายตัวตามเวลา
• อาการแพ้หรืออักเสบ แม้จะพบได้น้อยมาก เพราะ CaHA มีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย แต่บางรายอาจมีอาการแพ้ เช่น ผิวแดงนานผิดปกติ ปวดอักเสบ ต้องพบแพทย์ประเมินทันที

3.ผลข้างเคียงรุนแรง (พบได้น้อยมากแต่ต้องระวัง)
• การอุดตันของหลอดเลือด เกิดเมื่อฟิลเลอร์เข้าไปในเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ได้ ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องรักษาทันที อาการที่ควรระวัง เช่น ปวดรุนแรง ผิวซีด หรือมีลายม่วง ผิวเย็นผิดปกติ
• การเกิดก้อนแข็งหรือพังผืด อาจเกิดได้หากฉีดผิดชั้น ใช้ปริมาณไม่เหมาะสม ร่างกายตอบสนองมากกว่าปกติ ภาวะนี้พบได้น้อย และมักเกิดหลังฉีดหลายเดือน

การเตรียมตัวก่อนฉีด Radiesse
การเตรียมตัวที่ถูกต้องช่วยลดความเสี่ยงของอาการช้ำ บวม อักเสบ และทำให้ผลลัพธ์จากการฉีด Radiesse ออกมาดี เพราะ Radiesse เป็นฟิลเลอร์ในกลุ่ม Biostimulator ที่มีความคงตัวสูง การประเมินและการเตรียมตัวที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก

1.ก่อนฉีด Radiesse แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบก่อนทำ
• โรคประจำตัว แจ้งหากมีเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ โรคภูมิต้านตนเอง เคยเกิดคีลอยด์ง่าย เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและเลือกเทคนิคที่ปลอดภัยที่สุด
• ประวัติการแพ้ยา รวมถึงยาชา ยาปฏิชีวนะ หรืออาการแพ้สารใด ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงหลังฉีด
• ประวัติการศัลยกรรมหรือเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้แพทย์ประเมินชั้นผิวและตำแหน่งที่เหมาะสม

2.ก่อนฉีด Radiesse งดยาและอาหารเสริมบางชนิด 3-7 วันก่อนฉีด
เพื่อลดช้ำและเลือดออกง่าย ควรงดแอสไพริน ยาประเภท NSAIDs เช่น Ibuprofen น้ำมันปลา วิตามิน E โสม กระเทียมสกัด แปะก๊วย หากต้องทานยาประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาเสมอ

3.ก่อนฉีด Radiesse งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
แอลกอฮอล์ทำให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้นและเส้นเลือดขยาย เพิ่มความเสี่ยงช้ำและบวมหลังฉีด

4.ก่อนฉีด Radiesse หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่ทำให้ผิวอักเสบก่อนฉีด
เช่น เลเซอร์ สครับหน้า กดสิวแรง ๆ ควรเว้นอย่างน้อย 3-5 วัน เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองหรือเสี่ยงอักเสบหลังฉีด

5.ก่อนฉีด Radiesse งดแต่งหน้าหรือใช้ครีมที่ระคายเคืองหนักในวันทำ
เพื่อให้ผิวสะอาด ไม่อุดตัน และง่ายต่อการฆ่าเชื้อก่อนฉีด แนะนำล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยน งดใช้เรตินอล, AHA, BHA 2-3 วันก่อนฉีด

6.ก่อนฉีด Radiesse เตรียมรูปหน้าหรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข
สามารถเตรียมรูปก่อน-หลังที่ต้องการเป็นตัวอย่างให้แพทย์ช่วยประเมิน เพื่อให้ผลออกมาตรงตามความต้องการมากที่สุด

7.ก่อนฉีด Radiesse หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเลี่ยง
แม้ไม่มีงานวิจัยยืนยันอันตรายโดยตรง แต่เป็นมาตรฐานของวงการที่ไม่แนะนำฉีดฟิลเลอร์ทุกชนิดในช่วงนี้

8.ก่อนฉีด Radiesse หากมีสิวอักเสบหรือผิวติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน
เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อและลดความเสี่ยงอักเสบหลังฉีด

9.ก่อนฉีด Radiesse เตรียมตัวเรื่องเวลาในการพักหน้า
หลังฉีดอาจมีบวมเล็กน้อย 1-3 วัน ควรวางแผนก่อนถ่ายรูป ออกงาน หรือประชุมสำคัญ

การดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse
การดูแลหลังฉีด Radiesse เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการดูแลตัวเองที่ถูกต้องช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวย อยู่ทน และลดความเสี่ยงของอาการบวม เป็นก้อน หรืออักเสบได้อย่างมาก

1.หลังฉีด Radiesse ประคบเย็นทันทีหลังฉีด
ประคบเย็นเบา ๆ 10-15 นาที ช่วยลดบวม แดง และลดอาการช้ำ หลีกเลี่ยงการกดแรงเกินไป เพราะเส้นเลือดบริเวณที่ฉีดกำลังบอบช้ำจากเข็ม ประคบเย็นช่วยให้เลือดออกใต้ผิวน้อยลง

2.หลังฉีด Radiesse หลีกเลี่ยงการจับ กด นวด บริเวณที่ฉีด
ห้ามกด นวด คลึง หรือดันตำแหน่งที่ฉีด ยกเว้นแพทย์เป็นผู้แนะนำให้ช่วยนวดเพื่อให้กระจายตัว (กรณีฉีดแบบ Hyperdilute) เพราะการกดแรงอาจทำให้สารเคลื่อนตำแหน่งหรือเกิดก้อนได้

3.หลังฉีด Radiesse หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงหรือหัวใจเต้นเร็ว เช่น วิ่ง HIIT ยกเวทหนัก เพราะความร้อนและเลือดสูบฉีดมากขึ้นส่งผลให้บวม-ช้ำมากขึ้น

4.หลังฉีด Radiesse งดซาวน่า อบไอน้ำ โยคะร้อน 3-7 วัน
ความร้อนอาจทำให้ Radiesse กระจายตัวผิดชั้นและทำให้บวมมากขึ้น

5.หลังฉีด Radiesse งดแต่งหน้า 24 ชั่วโมงแรก
เพื่อป้องกันการอุดตันหรือการติดเชื้อในตำแหน่งที่มีรูเข็มจากการฉีด

6.หลังฉีด Radiesse งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
แอลกอฮอล์ทำให้เส้นเลือดขยาย เสี่ยงบวมช้ำมากกว่าเดิม งดดื่มจนกว่าจะไม่มีอาการบวมหรือช้ำแล้ว

7.หลังฉีด Radiesse งดนอนคว่ำหรือกดทับหน้า 2-3 วัน
ควรนอนหงายเป็นหลัก เพื่อไม่ให้สารฟิลเลอร์เคลื่อนตำแหน่ง ผู้ที่นอนตะแคงควรใช้หมอนข้างช่วยประคอง

8.หลังฉีด Radiesse ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น และช่วยให้คอลลาเจนสร้างตัวได้ดี

9.หลังฉีด Radiesse หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์พลังงานสูงในช่วง 1-2 สัปดาห์
เช่น เลเซอร์ Fractional CO2, Thermage, HIFU หรือ RF เพราะความร้อนอาจทำให้ Radiesse เคลื่อนชั้นหรือเกิดการอักเสบได้ สามารถทำเลเซอร์เบา ๆ เช่น Q-switch, IPL ได้หลังฉีดประมาณ 7 วัน (ประเมินตามแพทย์)

10.หลังฉีด Radiesse ห้ามนวดหน้าแรง ๆ ภายใน 2 สัปดาห์
รวมถึงการทำทรีตเมนต์หน้าแบบกดนวด ยกเว้นแพทย์เป็นผู้ประเมินและแนะนำเอง

11.หลังฉีด Radiesse สังเกตอาการผิดปกติ
หากพบอาการเหล่านี้ให้พบแพทย์ทันที เช่น ปวดรุนแรงผิดปกติ ผิวซีดหรือเป็นลายม่วง ผิวเย็นกว่าบริเวณอื่นบวมมากขึ้นเรื่อย ๆ หลัง 48 ชั่วโมง มีก้อนแข็งที่ไม่ยุบลงหลัง 2-4 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณของภาวะอุดตันหลอดเลือดหรือการอักเสบ

12.หลังฉีด Radiesse การนัดติดตามผล
ส่วนใหญ่ควรนัดติดตามผลหลัง 2 สัปดาห์ เพื่อให้แพทย์ประเมินการกระจายตัวของ Radiesse ความสมดุลของใบหน้า ความเรียบเนียนของผิว ความจำเป็นในการเติม Radiesse เพิ่มเติม

สรุป Radiesse ตัวช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
สรุปได้ว่า Radiesse ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ตอบโจทย์มากสำหรับคนที่อยากให้ผิวกลับมาดูแน่น อิ่มฟู และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ จุดเด่นคือไม่ได้แค่เติมเต็มทันทีหลังฉีด แต่ยังช่วยให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อีกด้วย ทำให้ผลลัพธ์ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งผ่านไปยิ่งรู้สึกว่าผิวแน่นขึ้น และดูสุขภาพดีจากภายใน Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องลึก ผิวดูโทรม ขาดวอลลุ่ม หรือกรอบหน้าไม่คมชัด

อย่างไรก็ตามการทำหัตถการฉีด Radiesse ควรทำโดยแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
โปรโมชั่นต่างๆ
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ