โปรแกรมเรเดียส ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ต้องฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
เรเดียส
เรเดียส ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ต้องฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
เรเดียส คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ต้องฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
เรเดียส เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมงานผิวที่กำลังมาแรงในปีนี้ เพราะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยของผิว ช่วยให้ผิวสุขภาพดี ดูสดใสขึ้น
ก่อนที่เราจะฉีดหัตถการงานผิวอย่าง เรเดียส เรามาศึกษาข้อมูลกันก่อนว่า เรเดียสคืออะไร ช่วยงานผิวในเรื่องไหน และใครที่เหมาะกับการฉีดเรเดียสบ้าง
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับเรเดียส
- เรเดียส คืออะไรมีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง
- ฉีดเรเดียส อันตรายหรือไม่
- เรเดียส ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- เรเดียส มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
- เรเดียส สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง
- เรเดียส เหมาะกับใคร
- ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดเรเดียส
- การเตรียมตัวก่อนฉีดเรเดียส
- การดูแลตัวเองหลังฉีดเรเดียส
- ข้อควรระวังหลังฉีดเรเดียส
- ผลลัพธ์หลังฉีดเรเดียส
- ฉีดเรเดียส กี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
- ฉีดเรเดียส อยู่ได้นานแค่ไหน
- เปรียบเทียบหัตถการงานผิว เรเดียส กับโปรแกรมงานผิวอื่น ๆ
- สรุปทุกเรื่องของหัตถการงานผิวเรเดียส
เรเดียส คืออะไรมีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง
เรเดียส คือผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสารเติมเต็มที่ออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวและเพิ่มความกระชับจากภายใน แตกต่างจากฟิลเลอร์แบบทั่วไป เพราะ ไม่ได้ใช้ไฮยาลูโรนิก แอซิด (HA) เป็นส่วนประกอบหลัก แต่ใช้ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายโครงสร้างที่พบในร่างกายมนุษย์ จึงเข้ากันได้ดีและไม่อันตรายต่อผิวของเรา
นวัตกรรมของ เรเดียส ถูกพัฒนาโดย Merz Aesthetics และมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกมานานหลายปี ได้รับการรับรองจากหน่วยงานมาตรฐานสากล ทำให้ เรเดียส เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวภายในอย่างล้ำลึก
CaHA คืออะไร ?
CaHA (Calcium Hydroxylapatite) คืออนุภาคแร่ที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ เช่น ในกระดูกและฟัน แต่ CaHA ที่ใช้ทางการแพทย์ รวมถึงในเรเดียส จะเป็นรูปแบบสังเคราะห์เพื่อให้มีความบริสุทธิ์และความคงตัวสูง
• มีลักษณะเป็น ไมโครสเฟียร์ทรงกลม ขนาดประมาณ 25-45 ไมครอน
• กระจายตัวอยู่ในเจลอุ้มน้ำ เพื่อช่วยให้ฉีดได้ง่ายและไม่เป็นอันตราย
• ผ่านการใช้งานในวงการแพทย์มานานกว่า 25 ปี
คุณสมบัติสำคัญของ CaHA คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเสริมความแข็งแรงของผิวในระยะยาว พร้อมกับสลายไปตามกระบวนการทำงานของร่างกาย
ทำไม เรเดียส จึงถูกเรียกว่า “Regenerative Biostimulator”
จุดเด่นของ เรเดียส ไม่ได้อยู่แค่การเติมเต็มใต้ผิวทันที แต่ยังช่วย ฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Biostimulator)
หลังฉีดเรเดียส จะช่วยส่งเสริมการสร้างสสารสำคัญในผิวหลายชนิด ได้แก่
• Collagen Type I - เสริมความแข็งแรง
• Collagen Type III - ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น
• Elastin - เพิ่มความเด้งและความยืดหยุ่น
• Angiogenesis - ส่งเสริมการเกิดเส้นเลือดใหม่ ทำให้ผิวดูสุขภาพดี
• Proteoglycan - ช่วยอุ้มน้ำและคงความชุ่มชื้น
เรเดียส จึงไม่ได้เป็นเพียงการเติมเต็ม แต่เป็นการ เสริมโครงสร้างผิวแบบองค์รวม
หลักการทำงานของ เรเดียส
เมื่อแพทย์ฉีดเรเดียส เข้าไปในชั้นผิวระนาบที่เหมาะสม จะเกิดกระบวนการทำงานเป็นลำดับดังนี้
1) เรเดียส เติมเต็มทันที
เจลที่หุ้มอนุภาค CaHA จะช่วยเพิ่มความอิ่มฟูใต้ผิวทันทีหลังทำ ทำให้ดูแน่น กระชับขึ้น
2) CaHA ทำหน้าที่เหมือน โครงสร้างค้ำยันผิว
อนุภาค CaHA จะจัดเรียงกันเป็นโครงสร้าง 3 มิติคล้ายเส้นใยตาข่าย (3D Matrix) ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงในชั้นผิวลึก
3) เรเดียส กระตุ้นการทำงานของ Fibroblast
โครงสร้างนี้จะส่งสัญญาณกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน
4) เรเดียส ฟื้นฟูผิวในระยะยาว
ในช่วงสัปดาห์ต่อ ๆ ไป จะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่น กระชับ และมีคุณภาพดีขึ้น
ส่วนอนุภาค CaHA จะสลายไปเองตามกระบวนการทำงานของร่างกาย เหลือไว้เพียง สภาพผิวที่แข็งแรงกว่าเดิม
ฉีดเรเดียส อันตรายหรือไม่
การฉีดเรเดียส โดยทั่วไปถือว่าไม่อันตราย เมื่อทำโดยแพทย์และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน เนื่องจาก เรเดียส ผ่านการรับรองจากหลายประเทศ อีกทั้งมีส่วนประกอบที่เข้ากันได้กับร่างกายและสามารถสลายได้เองตามกระบวนการทำงานของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ร่วมด้วย
1) ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ เรเดียส แท้ที่ผ่านการรับรอง
ผลิตภัณฑ์ เรเดียส ของแท้จะมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ทำให้โครงสร้างของ CaHA บริสุทธิ์และมีความคงตัวเหมาะสม จึงช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง
2) ฉีดเรเดียส โดยแพทย์ที่ผ่านการอบรมเฉพาะด้าน
เรเดียส เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ต้องใช้เทคนิคสูง แพทย์จึงควรผ่านการอบรมจากบริษัทผู้นำเข้าโดยตรง เพื่อให้สามารถวางตำแหน่งการฉีดได้ถูกต้อง ประเมินความเหมาะสมของชั้นผิวได้ดี และจัดการความเสี่ยงได้อย่างรอบด้าน
3) คลินิกต้องได้มาตรฐานและถูกต้องตามกฎหมาย
คลินิกที่ได้รับใบอนุญาตจะมีการควบคุมด้านความสะอาด เครื่องมือ และระบบการดูแลรักษาที่เป็นไปตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
เรเดียส ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
เรเดียส เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Biostimulator) ที่ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน โดยเน้นการเสริมความแข็งแรงของชั้นผิวลึก ซึ่งเป็นพื้นฐานของการมีผิวที่กระชับและดูสดใสขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้เกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ทำให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ต่อเนื่องหลังฉีดเรเดียส
การทำงานของ เรเดียส ครอบคลุมหลายด้าน ดังนี้
1) เสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างผิว
เรเดียส ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 ซึ่งเป็นคอลลาเจนหลักในชั้นผิว มีบทบาทในการเพิ่มความแน่นและความแข็งแรงของผิว เปรียบเสมือนเป็นแกนค้ำยันให้เซลล์ผิวใหม่ยึดเกาะได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวดูกระชับและเต่งตึงขึ้น
2) เรเดียส ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนและอิลาสตินลึกถึงระดับโครงสร้าง
นอกจากคอลลาเจนชนิดที่ 1 แล้ว เรเดียส ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนชนิดที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นและความเรียบเนียนของผิว การเพิ่มขึ้นของคอลลาเจนชนิดนี้ช่วยปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อให้จัดเรียงดีขึ้น ทำให้ริ้วรอยดูจางลง และผิวดูมีวอลลุ่มมากขึ้น
3) เพิ่มอิลาสติน ช่วยให้ผิวเด้งและยืดหยุ่น
อิลาสตินคือเส้นใยที่ทำให้ผิวคืนตัวได้ดี เรเดียส ช่วยส่งเสริมการสร้างอิลาสตินใหม่ในปริมาณสูง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อผิวมีอิลาสตินที่สมดุล จะแลดูเด้ง กระชับ และเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยน้อยลง
4) ส่งเสริมการไหลเวียนของสารอาหารในชั้นผิว
เรเดียส ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ผิวได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวโดยรวมดูสดใส สุขภาพดี และฟื้นฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นในผิว
อีกหนึ่งประโยชน์ของ เรเดียส คือการส่งเสริมการผลิตสารที่ช่วยอุ้มน้ำในผิว เช่นโปรตีโอไกลแคน ซึ่งมีบทบาทในการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูนุ่มฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เรเดียส มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
แม้ เรเดียส จะเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มี ข้อจำกัดบางอย่างที่ควรทราบก่อนตัดสินใจทำ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา
ข้อจำกัดสำคัญของเรเดียส
1) ไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มในตำแหน่งที่ต้องการความละเอียดสูง
เรเดียส มีเนื้อที่แน่นและคงตัวกว่า HA filler ทำให้ ไม่เหมาะสำหรับจุดที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น
- ใต้ตา
- ริมฝีปาก
- ร่องบางบริเวณที่ผิวบางมาก
ในตำแหน่งเหล่านี้แพทย์มักเลือกใช้ฟิลเลอร์ HA แทน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่นุ่มและไม่แข็งตึง
2) เรเดียส ไม่สามารถสลายด้วยเอนไซม์
ต่างจากฟิลเลอร์ HA ที่สามารถสลายด้วยไฮยาลูโรนิเดสได้ เรเดียส ไม่มีเอนไซม์เฉพาะในการสลายโดยตรง เพราะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดเองตามกระบวนการทำงานของร่างกาย
3) ผลลัพธ์ต้องอาศัยเวลาในการฟื้นฟู
ถึงแม้ เรเดียส จะให้ความอิ่มฟูทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์ด้านการสร้างคอลลาเจนจะค่อย ๆ พัฒนาในช่วงหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน จึงอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีแบบเต็มรูปแบบภายในเวลาอันสั้น
4) ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการอักเสบหรือการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีดเรเดียส
หากผิวมี
• สิวอักเสบรุนแรง
• แผลเปิด
• การติดเชื้อบนผิวหนัง
แพทย์มักแนะนำให้รักษาผิวให้สงบก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจายเชื้อหรือเพิ่มการอักเสบ
5) ต้องอาศัยการประเมินอย่างละเอียดก่อนทำ
เรเดียส เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวลึก แต่ ไม่ใช่ทุกเคสที่จำเป็นต้องใช้ เรเดียส เช่น ผู้ที่มีใบหน้าตอบหรือมีไขมันน้อยมากในบางบริเวณ อาจต้องใช้เทคนิคหรือสารเติมเต็มอื่นร่วมด้วย
เรเดียส สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง
เรเดียส เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่สามารถใช้ฟื้นฟูสภาพผิวและเพิ่มความกระชับได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย โดยตำแหน่งที่มักนำมาใช้ ได้แก่
• บริเวณใบหน้า
• บริเวณแก้มและร่องแก้ม
• ร่องน้ำหมาก
• แนวกรามและขอบกราม
• หลังมือ
การเลือกตำแหน่งฉีดและปริมาณที่ใช้ในแต่ละจุด จำเป็นต้องอาศัยการประเมินโดยแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวและโครงสร้างของแต่ละคน
ปัจจัยที่ใช้พิจารณาปริมาณเรเดียส
ปริมาณ เรเดียส ที่ใช้ (กี่ซีซี) ในแต่ละบริเวณ จะไม่ได้ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบร่วมกัน เช่น
• เป้าหมายในการปรับรูปหน้า หรือฟื้นฟูผิวในบริเวณนั้น
• ความหนาและความแน่นของชั้นผิว
• ขนาดพื้นที่และตำแหน่งที่ต้องการฉีด
• โครงสร้างใบหน้าหรือมือของแต่ละบุคคล
แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความกลมกลืนของผลลัพธ์เป็นหลัก
ตัวอย่างปริมาณ เรเดียส ที่อาจใช้ในแต่ละตำแหน่ง
ตัวเลขด้านล่างเป็นเพียงตัวอย่างประมาณการเท่านั้น ปริมาณจริงอาจมากหรือน้อยกว่านี้ตามการประเมินของแพทย์
• บริเวณแก้มและร่องแก้ม
มักใช้มากกว่าบริเวณอื่นเพราะเป็นพื้นที่ค่อนข้างกว้าง อาจอยู่ที่ประมาณ 1.5 - 3 ซีซี
• ร่องน้ำหมาก
ปริมาณโดยประมาณอาจอยู่ที่ 1 - 2 ซีซี ขึ้นกับความลึกของร่องและระดับการเติมที่ต้องการ
• แนวกรามและขอบกราม
ปริมาณอาจอยู่ที่ 1 - 3 ซีซี ตามรูปหน้าเดิมและปัญหาที่ต้องการปรับ เช่น ต้องการให้กรอบหน้าคมชัดขึ้นหรือเติมในจุดที่ดูแบน
• บริเวณหลังมือ
โดยทั่วไปอาจใช้ประมาณ 1 - 2 ซีซีต่อข้าง ขึ้นกับความบางของผิวและระดับความเหี่ยวหรือเส้นเลือดที่เห็นชัด
ปริมาณต่อกล่อง
เรเดียส 1 กล่อง จะบรรจุ 1 ไซริงค์ ปริมาตร ประมาณ 1.5 ซีซี การจะใช้กี่กล่องหรือกี่ซีซีในแต่ละเคส แพทย์จะอธิบายและวางแผนร่วมกับคนไข้ก่อนทำทุกครั้ง
เรเดียส เหมาะกับใคร
เรเดียส เป็นหัตถการที่เน้นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายใน จึงมักเหมาะกับคนที่มีปัญหา คุณภาพผิวและโครงสร้างผิว มากกว่าการเติมแค่ผิวตื้น ๆ ด้านบน โดยกลุ่มที่มักเหมาะสม ได้แก่
1.คนที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้ดูแน่นและอิ่มฟูขึ้น
เรเดียส เหมาะกับผู้ที่มีลักษณะผิวแบบนี้
• ผิวขาดคอลลาเจน ดูบาง ขาดความแน่น
• ผิวหน้าดูแฟบ ไม่มีวอลลุ่ม
• ผิวแห้ง หมอง ขาดความชุ่มชื้น
• รูขุมขนกว้าง ผิวดูไม่เรียบ
• ผิวบริเวณบางส่วนยุบตัว มีรอยบุ๋มหรือแผลเป็นตื้น ๆ
• มีหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก ต้องการให้ผิวดูเรียบและอิ่มขึ้น
กลุ่มนี้มักต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูแข็งแรงและชุ่มชื้นขึ้น มากกว่าการเปลี่ยนรูปหน้าอย่างชัดเจน
2.คนที่มีความหย่อนคล้อยหรือต้องการปรับกรอบหน้า
เรเดียส เหมาะกับผู้ที่เริ่มสังเกตว่า
• ผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย
• กรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าดูหย่อนหรือดูเหนื่อย
• ต้องการช่วยเสริมความกระชับและโครงสร้างผิวในชั้นลึก
ในกลุ่มนี้ เรเดียส อาจนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับรูปหน้าและช่วยเสริมให้ผิวดูยกกระชับขึ้นโดยรวม ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การประเมินและออกแบบการรักษาโดยแพทย์
3.คนที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกบางตำแหน่งบนใบหน้า
เช่น
• ร่องแก้ม
• ร่องน้ำหมาก
• ร่องมุมปาก
เมื่อโครงสร้างผิวลึกได้รับการฟื้นฟูและมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ริ้วรอยและร่องลึกบางส่วนอาจดูตื้นขึ้น ผิวโดยรวมจะดูแน่นขึ้นและเรียบเนียนขึ้น
4.คนที่ต้องการฟื้นฟูมือหรือลำคอให้ดูเต่งตึงขึ้น
เรเดียส สามารถนำมาใช้ในบริเวณอื่นนอกจากใบหน้าได้ เช่น
• ผิวหลังมือที่เริ่มเหี่ยวบาง เห็นเส้นเลือดหรือเส้นเอ็นชัด
• ผิวบริเวณลำคอที่เริ่มหย่อนหรือดูโรย
โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความอิ่มฟูและช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดูเรียบและสดชื่นขึ้น
5.คนที่อยากดูเด็กลงโดยไม่ผ่าตัด
เหมาะกับผู้ที่มองหาหัตถการที่
• ไม่ต้องผ่าตัด
• ใช้เวลาในการทำไม่นาน
• สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ค่อนข้างเร็ว
เรเดียส เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเชิงลึกแบบไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่ผลลัพธ์และระยะเวลาการฟื้นตัวอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
6.คนวัย 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีสัญญาณผิวตามวัย
เช่น
• เริ่มมีริ้วรอยบาง ๆ
• ผิวดูไม่เต่งตึงเหมือนเดิม
• รู้สึกว่าผิวบางลงและอยากเติมคอลลาเจนจากภายใน
ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่คอลลาเจนตามธรรมชาติเริ่มลดลง เรเดียส จึงอาจถูกนำมาใช้เป็นตัวช่วยหนึ่งในการฟื้นฟูโครงสร้างผิว
ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดเรเดียส
แม้ เรเดียส จะเหมาะกับคนจำนวนมาก แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงหรืออย่างน้อยต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อน เช่น
• ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
• ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบในบริเวณที่จะฉีด
• ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดหรือใช้ยาบางกลุ่มที่อาจมีข้อควรระวังเพิ่มเติม
• ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
การเตรียมตัวก่อนฉีดเรเดียส
การเตรียมตัวให้เหมาะสมก่อนฉีดเรเดียส มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อทั้งความปลอดภัยและความสวยงามของผลลัพธ์ หลังฉีดเรเดียส ผิวจะมีการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนต่อเนื่อง การเตรียมผิวและร่างกายให้พร้อมจึงเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม โดยแนวทางหลักมีดังนี้
1.เรื่องยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ
หากมียาที่รับประทานกลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาต้านการอักเสบบางชนิด เช่น แอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือด ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้งดหรือปรับยา อย่างน้อยประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกใต้ผิว
หากเป็นยาที่จำเป็นต่อการรักษาโรคประจำตัว ห้ามหยุดยาเอง ต้องให้แพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ผู้ดูแลเป็นผู้พิจารณา
2.หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเข้ารับบริการฉีดเรเดียส
แอลกอฮอล์อาจทำให้เส้นเลือดขยายตัว เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำ บวม และอาจทำให้ระยะการฟื้นตัวดูนานขึ้น
3.งดสกินแคร์ที่ระคายเคืองผิวชั่วคราว
ก่อนการฉีดเรเดียส 2-3 วัน ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้ผิวไวต่อการระคายเคือง เช่น
• เรตินอล หรือวิตามินเอในความเข้มข้นสูง
• กรดผลไม้ หรือกรดกลุ่ม AHA/BHA เช่น กรดไกลโคลิก
• ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวรุนแรง
การงดสกินแคร์ที่ระคายเคืองต่อผิวชั่วคราวจะช่วยลดโอกาสผิวแดง แสบ ระคายเคือง และช่วยให้ผิวตอบสนองต่อการรักษาได้ดียิ่งขึ้น
4.เตรียมผิวให้สะอาดในวันนัด
ในวันที่เข้ารับการฉีดเรเดียส ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง
การทำความสะอาดผิวช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ และทำให้แพทย์สามารถประเมินสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าได้อย่างชัดเจน
5.แจ้งประวัติสุขภาพและการแพ้ยา
ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับ
• โรคประจำตัวที่มีอยู่
• ยาที่กำลังใช้อยู่เป็นประจำ ทั้งยากิน ยาทา หรืออาหารเสริม
• ประวัติการแพ้ยา แพ้สารเติมเต็ม หรือแพ้ยาชาเฉพาะที่
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาและเลือกวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละคน
6.หากมีปัญหาผิวหรือการติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน
หากมีสิวอักเสบรุนแรง แผลเปิด หรือการติดเชื้อบนผิวหนังบริเวณที่จะฉีด แนะนำให้รักษาให้หายหรือผิวสงบก่อน
การหลีกเลี่ยงฉีดในบริเวณที่อักเสบจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการลุกลามของการติดเชื้อและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
7.พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากขึ้น
• พยายามนอนพักให้เพียงพอในคืนก่อนวันทำหัตถการ เรเดียส
• ดื่มน้ำให้เหมาะสมตลอดวัน เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและร่างกายพร้อมสำหรับการฟื้นฟู
• เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล มักตอบสนองต่อการรักษาและการฟื้นตัวได้ดีกว่า
การดูแลตัวเองหลังฉีดเรเดียส
หลังการฉีดเรเดียส ผิวจะเริ่มกระบวนการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่ในช่วงหลายสัปดาห์ต่อเนื่อง การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวยและลดโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์ โดยคำแนะนำหลักมีดังนี้
1.ประคบเย็นเพื่อลดบวมและรอยช้ำ
• ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก สามารถประคบเย็นเบา ๆ บริเวณที่ฉีดเรเดียสประมาณ 10-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการบวมแดงและทำให้ผิวรู้สึกสบายขึ้น
• ควรหลีกเลี่ยงการประคบแบบกดทับแรง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดบนบริเวณที่ฉีด
2.หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือจับบริเวณที่ฉีดเรเดียส
• หลังทำประมาณ 1-2 วัน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดผิวบริเวณที่ฉีดโดยไม่จำเป็น
• การกดแรงอาจรบกวนตำแหน่งของตัวยาและทำให้เกิดการระคายเคืองได้
• หากจำเป็นต้องนวด แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำเฉพาะเคสเท่านั้น
3.งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
ควรงดออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนและเหงื่อออกมาก ประมาณ 24-48 ชั่วโมง การออกแรงมากเกินไปอาจทำให้บวมช้ำนานขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงการอักเสบ
4.หลีกเลี่ยงความร้อนจัด
ภายใน 24 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยง
• การอาบน้ำร้อน
• ห้องอบไอน้ำ
• ซาวน่า
• การอยู่ใกล้แหล่งความร้อนจัด
เพราะความร้อนสามารถทำให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้ผิวบวมและระคายเคืองได้ง่ายขึ้น
5.ใช้ครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
หลังการฉีดเรเดียส ผิวอาจไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรใช้ครีมกันแดดค่า SPF เหมาะสมทุกวัน และหลีกเลี่ยงการออกแดดตรง ๆ อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์
แสงแดดจัดอาจเพิ่มโอกาสเกิดรอยดำหลังทำในบางคนได้
6.งดสกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวชั่วคราว
เพื่อให้ผิวได้พักฟื้นเต็มที่ ควรงดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง เช่น
• กรดผลไม้ AHA/BHA
• กรดไกลโคลิก
• เรตินอล หรือวิตามินเอเข้มข้น
โดยงดประมาณ 1 สัปดาห์หลังการฉีดเรเดียส ก่อนกลับมาใช้ได้ตามคำแนะนำของแพทย์
7.ดื่มน้ำให้เพียงพอและเน้นอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิว
การดื่มน้ำมากขึ้นช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยกระบวนการฟื้นฟู ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และแหล่งโปรตีนที่ดี เพื่อให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่
ข้อควรระวังหลังฉีดเรเดียส
หลังฉีดเรเดียส ผิวจะอยู่ในช่วงเริ่มกระบวนการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก การดูแลอย่างถูกต้องและระมัดระวังในช่วงแรกเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยดูสดใสและลดโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์ โดยข้อควรระวังที่สำคัญมีดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือขยับผิวแรง ๆ
• ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ไม่ควรนวด จับ หรือกดบริเวณที่ฉีดเรเดียส
• การกดแรงอาจทำให้ตัวยากระจายผิดตำแหน่งและทำให้เกิดการระคายเคืองได้
• หากจำเป็นต้องนวด แพทย์จะเป็นผู้แนะนำเฉพาะกรณีเท่านั้น
2.ห้ามออกกำลังกายหนักในช่วงวันแรก ๆ
• การออกกำลังกายหนักทำให้เลือดสูบฉีดมากขึ้นและอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มการบวมและรอยช้ำ
• ควรงดกิจกรรมที่มีแรงกระแทกหรือทำให้เหงื่อออกมากประมาณ 24-48 ชั่วโมง
3.หลีกเลี่ยงความร้อนจัดทุกประเภท
• ไม่ควรอาบน้ำร้อน แช่ซาวน่า อบไอน้ำ หรืออยู่ใกล้แหล่งความร้อนจัดในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
• เพราะความร้อนทำให้เส้นเลือดขยายตัวและอาจทำให้ผิวบวมแดงนานขึ้น
4.หลีกเลี่ยงแสงแดดและป้องกันผิวอย่างเหมาะสม
• หลังฉีดเรเดียส ผิวอาจไวต่อแสงมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดตรง ๆ
ใช้ครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันรอยดำหรือการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นในช่วงหลังฉีด
5.งดสกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์หรือระคายเคืองต่อผิว
• ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ เช่น AHA/BHA, กรดไกลโคลิก หรือเรตินอล อาจทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดเกิดการแสบระคายเคืองได้
• แนะนำให้งดใช้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังการฉีดเรเดียส
6.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ช่วงแรก
• ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 24 ชั่วโมงหลังฉีดเรเดียสเนื่องจากแอลกอฮอล์อาจเพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำและทำให้บวมอยู่นานขึ้น
7.ควรสังเกตอาการผิดปกติ
• อาการบวม แดงเล็กน้อย หรือรู้สึกตึงเป็นเรื่องที่พบได้หลังฉีดเรเดียส แต่ถ้ามีอาการปวดมากผิดปกติ ผิวเปลี่ยนสี หรือบวมลุกลาม ควรรีบติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อประเมินเพิ่มเติม
ผลลัพธ์หลังฉีดเรเดียส
หลังฉีดเรเดียส ผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสองระยะ คือผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันที และผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการฟื้นฟูในระยะยาว เนื่องจากเรเดียสเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ทำงานร่วมกับระบบผิวตามกระบวนการของร่างกาย
1.ผลลัพธ์ที่เห็นทันทีหลังฉีดเรเดียส
• ผิวบริเวณที่ฉีดเรเดียส จะดูอิ่มฟูขึ้นทันทีจากเจลอุ้มน้ำที่หุ้มอนุภาค CaHA
• พื้นที่ที่เคยยุบตัว ร่องลึก หรือดูแบน จะดูเต็มเรียบเนียนมากขึ้น
• ผิวสัมผัสจะรู้สึกแน่นขึ้นเล็กน้อยในช่วงแรก เนื่องจากมีการเติมเต็มในชั้นผิว
ผลลัพธ์ช่วงนี้จะค่อย ๆ เข้าที่มากขึ้นในไม่กี่วันถัดมา
2.ผลลัพธ์ในช่วง 2-4 สัปดาห์
เมื่ออนุภาค CaHA เริ่มทำหน้าที่เป็นโครงสร้างเสริมใต้ผิว เซลล์ผิวจะเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ทำให้เกิดผลลัพธ์ดังนี้
• ผิวดูแน่นและกระชับขึ้น
• ความยืดหยุ่นดีขึ้น รู้สึกว่าผิวเด้ง มากกว่าเดิม
• พื้นผิวผิวเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนดูเล็กลงในบางราย
• ริ้วรอยบางจุดเริ่มดูจางลง
นี่คือช่วงที่ผิวเริ่มตอบสนองต่อสารกระตุ้น
3.ผลลัพธ์ชัดเจนในช่วง 8-12 สัปดาห์
เป็นช่วงที่คอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ถูกสร้างขึ้นมากที่สุด และโครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลลัพธ์ที่มักสังเกตได้คือ
• ผิวมีโครงสร้างแน่นขึ้น ดูสุขภาพดี
• ความหย่อนคล้อยลดลง ใบหน้าดูมีมิติ
• ร่องลึกบางจุดดูตื้นขึ้นกว่าก่อนทำ
• ผิวโดยรวมดูเรียบ ชุ่มชื้น และสดใสขึ้น
• กรอบหน้าดูชัดขึ้นในบางเคสที่ต้องการความกระชับ
ระยะนี้ถือเป็นผลลัพธ์ที่พัฒนามาจากระบบการฟื้นฟูของร่างกายเอง ผลลัพธ์จึงดูค่อยเป็นค่อยไป
4.ผลลัพธ์ระยะยาว
เรเดียส ไม่ได้คงตัวอยู่ตลอดไป แต่ผลลัพธ์ของคอลลาเจนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นสามารถอยู่ได้นานหลายเดือน โดยขึ้นอยู่กับ
• อายุ
• สภาพผิว
• การดูแลตัวเอง
• ปริมาณที่ใช้และเทคนิคการฉีดเรเดียส
เมื่อโครงสร้างผิวได้รับการฟื้นฟูแล้ว ผิวจะดูมีคุณภาพดีขึ้นแม้ในช่วงที่สารตัวเจลเริ่มสลายไปตามกระบวนการทำงานของร่างกาย
ฉีดเรเดียส กี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
จำนวนครั้งขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละคน โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินตามเป้าหมายที่ต้องการ เช่น
• หย่อนคล้อยเล็กน้อย - ปานกลาง
อาจฉีด 1 ครั้ง แล้วประเมินผลอีกครั้งที่ 2-3 เดือน
• หย่อนคล้อยมาก ขาดคอลลาเจนมาก หรือผิวบางมาก
อาจต้องทำ 1-2 ครั้งต่อเนื่องห่างกันประมาณ 2-3 เดือน
• ใช้ฟื้นฟูมือหรือคอ
มักต้องใช้มากกว่า 1 ครั้ง ขึ้นกับความบางของผิว
โดยแพทย์จะประเมินจากปริมาณ CaHA ที่จำเป็นและโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคล
ฉีดเรเดียส อยู่ได้นานแค่ไหน
เรเดียส เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Biostimulator) ที่ทำงานร่วมกับระบบการทำงานของผิว จึงให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าสารเติมเต็มแบบทั่วไป ความคงทนของผลลัพธ์ไม่ได้มาจากตัวสารเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากคอลลาเจนใหม่ที่ร่างกายสร้างขึ้นหลังการฉีดเรเดียสด้วย
ผลลัพธ์หลังฉีดเรเดียส อยู่ได้นานแค่ไหน
โดยทั่วไป ผลลัพธ์ของ เรเดียส มักคงอยู่ประมาณ 12 เดือนหรือมากกว่านั้น แต่ช่วงเวลาที่แน่นอนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
• ตำแหน่งที่ฉีด (ใบหน้า มือ หรือบริเวณอื่น)
• คุณภาพผิวเดิมของแต่ละคน
• อายุและระดับการลดลงของคอลลาเจนตามวัย
• ปริมาณ เรเดียส ที่ใช้
• การดูแลผิวหลังฉีดเรเดียส เช่น การพักผ่อน การป้องกันแสงแดด และพฤติกรรมด้านสุขภาพ
ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีการตอบสนองต่อการสร้างคอลลาเจนดี ผลลัพธ์อาจคงอยู่ได้ มากกว่า 12-18 เดือน
ทำไม เรเดียส จึงอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ?
เรเดียส ต่างจากฟิลเลอร์ HA ทั่วไปที่สลายตามการใช้ชีวิตประจำวัน เรเดียสมีส่วนประกอบหลักคืออนุภาค CaHA ซึ่งช่วยเป็นโครงสร้างรองรับให้เซลล์สร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นลึก
ดังนั้น แม้ตัวเจลจะสลายไป แต่ “คอลลาเจนใหม่” ที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นจะยังคงช่วยให้ผิวแน่นขึ้น กระชับขึ้น และดูมีโครงสร้างที่ดีต่อเนื่องในระยะยาว
เปรียบเทียบหัตถการงานผิว เรเดียส กับโปรแกรมงานผิวอื่น ๆ
เรเดียส เป็นหัตถการที่เน้นการ ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก และ “กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน-อิลาสติน จากภายใน จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการผิวแน่นขึ้น กระชับขึ้น และลดความหย่อนคล้อย ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไปแต่ยาวนานกว่าโปรแกรมผิวทั่วไป
1.เรเดียส vs.ฟิลเลอร์ HA
• เรเดียส เน้นสร้างคอลลาเจนใหม่ ฟื้นฟูผิวลึก ผลลัพธ์ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
• ฟิลเลอร์ HA เน้นเติมเต็มทันที เช่น เติมร่อง แก้ส่วนที่ยุบตัว ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว แต่ไม่กระตุ้นคอลลาเจนเท่า เรเดียส
2.เรเดียส vs.เมโสหน้าใส / Skin booster
• เรเดียส เน้นโครงสร้างผิว ความแน่นกระชับ ระยะยาว
• เมโส/สกินบูสเตอร์ เน้นความชุ่มชื้น ผิวใส เนียนละเอียด ผลลัพธ์อยู่ระยะสั้นกว่า
3.เรเดียส vs.HIFU
• เรเดียส กระตุ้นคอลลาเจนลึก ทำให้ผิวมีโครงสร้างดีขึ้นทั่วหน้า
• HIFU ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ยกกระชับ มีผล “ดึง” ผิวมากกว่า แต่ไม่เพิ่มวอลลุ่มหรือคุณภาพผิว
4.เรเดียส vs.Laser ผิวต่าง ๆ
• เรเดียส ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน เห็นผลเรื่องความกระชับและวอลลุ่ม
• Laser เน้นปรับสีผิว ความเรียบเนียน แก้ฝ้า กระ รอยสิว ไม่ได้เพิ่มความแน่นของผิวเท่า เรเดียส
สรุปทุกเรื่องของหัตถการงานผิวเรเดียส
เรเดียส คือหัตถการฟื้นฟูผิวลึกที่ใช้สาร CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้ผิวกลับมาแน่น กระชับ และมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์ไม่ได้เปลี่ยนทันทีทั้งหมด แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายสัปดาห์จนเห็นความชัดเจนมากที่สุดในช่วงประมาณ 2-3 เดือน
เรเดียสเหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ขาดวอลลุ่ม ผิวบาง รูขุมขนกว้าง หรือมีร่องลึกบางตำแหน่ง รวมถึงใช้ฟื้นฟูมือและลำคอได้ด้วย การฉีดแต่ละจุดต้องอาศัยการประเมินโดยแพทย์ เนื่องจากเป็นหัตถการที่ทำงานในชั้นผิวลึกและไม่สามารถสลายด้วยเอนไซม์เหมือนฟิลเลอร์ HA
ผลลัพธ์ของ เรเดียสมักอยู่ได้นาน อย่างน้อย 1 ปี และยาวนานขึ้นได้ในบางรายจากการสร้างคอลลาเจนใหม่ การเตรียมตัวและการดูแลหลังทำมีส่วนสำคัญ เช่น หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ งดความร้อนจัด ไม่กดหรือนวดบริเวณที่ฉีด และปกป้องผิวจากแสงแดด เรเดียสจึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบลึก ให้ผิวมีความแน่น แข็งแรงขึ้นจากคอลลาเจนที่สร้างโดยร่างกายเอง ไม่ต้องพักฟื้นนาน และให้ผลลัพธ์คงทนกว่าโปรแกรมผิวทั่วไปในหลายมิติ
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ