ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหน ใช้แล้วหน้าพัง แทนที่จะปังกว่าเดิม ดูอย่างไร
ครีมลดรอยสิว
ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ครีมลดรอยสิว เป็นไอเท็มที่เราใช้หลังจากที่เราเป็นสิว ส่วนใหญ่แล้วครีมลดรอยสิวจะเคลมว่า เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย แต่ยังไงเราก็ต้องดูส่วนผสมก่อนใช้ทุกครั้ง เพราะถ้าเกิดไม่ดูส่วนผสมแทนที่จะใช้แล้วหน้ากลับมาใส สรุปหน้าพังกว่าเดิม เสียเงินรักษาหนักกว่าเดิม
รวมทุกเรื่องของครีมลดรอยสิว
• รอยสิวเกิดจากอะไร
• วิธีอ่านฉลากครีมลดรอยสิวเพื่อเลี่ยงสารอันตราย
• 5 ส่วนผสมในครีมลดรอยสิวที่อาจทำให้เกิดสิวอุดตัน
• ครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอล์ ทำไมอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
• ซิลิโคนในครีมลดรอยสิว ใช้แล้วดีหรือทำให้รูขุมขนอุดตัน
• ซัลเฟตในครีมลดรอยสิว ส่งผลเสียต่อผิวยังไงบ้าง
• ครีมลดรอยสิวที่มีไฮโดรควิโนน อาจทำให้หน้าบางและไวต่อแสง
• ปิโตรลาทัมในครีมลดรอยสิว ตัวการทำให้ผิวมันและอุดตัน
• สารกันเสียในครีมลดรอยสิว อันตรายจริงไหม
• ทำไมบางคนใช้ครีมลดรอยสิวแล้วเกิดสิวเห่อ
• BHA และ AHA ในครีมลดรอยสิว ใช้ยังไงให้ปลอดภัย?
• แนะนำครีมลดรอยสิวที่ไม่มีสารอันตราย ปลอดภัยต่อทุกสภาพผิว
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับครีมลดรอยสิว
รอยสิวเกิดจากอะไร
รอยสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH และ Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE) เกิดจากกระบวนการตอบสนองของผิวหนังต่อการอักเสบที่เกิดจากสิว โดยแบ่งเป็นหลายกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือรอยหลุมสิว ดังนี้

ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล1.การอักเสบของสิวและการตอบสนองของผิวหนัง
เมื่อเกิดสิว การอักเสบภายในรูขุมขนจะไปกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้มาจัดการกับเชื้อแบคทีเรีย (เช่น P.acnes) ซึ่งกระบวนการนี้ส่งผลให้เกิด เอนไซม์และสารอักเสบ เช่น Cytokines และ Prostaglandins ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆ สิวเกิดความเสียหาย
• หากการอักเสบอยู่แค่บริเวณผิวชั้นตื้น มักเกิดเป็น รอยแดง (PIE)
• หากการอักเสบลึกถึงผิวชั้นกลางและล่าง อาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิด รอยดำ (PIH)
2.การผลิตเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ (Hyperpigmentation - PIH)
เมื่อผิวหนังต้องซ่อมแซมตัวเองหลังจากเกิดการอักเสบ เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocytes) จะถูกกระตุ้นให้ผลิตเมลานินมากขึ้น ส่งผลให้เกิดรอยดำหลังสิวหาย ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เม็ดสีผลิตมากผิดปกติ ได้แก่
• การสัมผัสแสงแดด UV กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น
• พันธุกรรม คนที่มีผิวสีเข้มมีแนวโน้มเกิดรอยดำง่ายกว่าคนผิวขาว
• การกดสิว/บีบสิว ทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิด PIH มากขึ้น
3.รอยแดงจากเส้นเลือดฝอยแตก (Post-Inflammatory Erythema - PIE)
รอยแดงที่เกิดขึ้นหลังสิวหาย เกิดจาก เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวผิดปกติ หลังจากการอักเสบ ทำให้ผิวมีสีแดงหรือชมพู และมักเกิดในคนที่มีผิวขาวหรือผิวบาง
ปัจจัยที่ทำให้ PIE หายช้า
• ผิวไวต่อแสงแดด และไม่มีการป้องกันรังสี UV
• ผิวแพ้ง่ายหรือมีภาวะ Rosacea ซึ่งทำให้เส้นเลือดฝอยขยายตัวมากขึ้น
• การบีบสิวหรือกดสิวแรงเกินไป
4.การทำลายคอลลาเจนและการเกิดรอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
เมื่อสิวเกิดขึ้นในระดับที่รุนแรง เช่น สิวหัวช้างหรือสิวอักเสบลึก (Cystic Acne) จะทำให้เกิด การทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ส่งผลให้ผิวหนังไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ จึงเกิดเป็นรอยหลุมสิว (Atrophic Scars) ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
• Ice Pick Scar รอยหลุมแคบแต่ลึก เกิดจากสิวอักเสบที่รุนแรง
• Boxcar Scar รอยหลุมกว้าง ขอบชัดเจน มักเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่
• Rolling Scar รอยหลุมตื้นแต่กว้าง ผิวดูเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน
5.พฤติกรรมที่ทำให้รอยสิวหายช้าหรือรุนแรงขึ้น
• การบีบสิวหรือแกะสิว ทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดแผลเป็น
• การล้างหน้ารุนแรงเกินไป ทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดรอยแดงมากขึ้น
• ไม่ใช้ครีมกันแดด ทำให้รอยดำเข้มขึ้นเนื่องจาก UV กระตุ้นเม็ดสี
• การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน อาจกระตุ้นให้รอยแดงรุนแรงขึ้น
วิธีอ่านฉลากครีมลดรอยสิวเพื่อเลี่ยงสารอันตราย
การเลือก ครีมลดรอยสิว ที่ปลอดภัยและไม่ทำให้ผิวระคายเคือง จำเป็นต้องรู้วิธีอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงสารที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวและทำให้ปัญหาสิวแย่ลง เราขอแนะนำวิธีอ่านฉลากครีมลดรอยสิวที่เข้าใจง่ายและทำตามได้เลย
1.เช็ก "ส่วนประกอบ" (Ingredients) อันดับต้นๆ ในครีมลดรอยสิวก่อนเสมอ
ส่วนประกอบในครีมลดรอยสิวจะถูกเรียงลำดับจากมากไปน้อย ถ้าพบสารอันตรายอยู่ใน 3-5 อันดับแรก ควรหลีกเลี่ยงเพราะหมายความว่าสารนั้นมีปริมาณสูง
สารที่ควรมองหาในครีมลดรอยสิว
• Niacinamide (วิตามิน B3) ช่วยลดรอยดำ ลดการอักเสบ
• Vitamin C (Ascorbic Acid, Sodium Ascorbyl Phosphate) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดจุดด่างดำ
• Centella Asiatica (ใบบัวบก) ช่วยลดรอยแดงและสมานผิว
• AHA/BHA (Glycolic Acid, Salicylic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยสิว
• Hyaluronic Acid ให้ความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง
สารที่ควรหลีกเลี่ยง
• Alcohol (Ethanol, Isopropyl Alcohol, Denatured Alcohol) ทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
• Fragrance (น้ำหอม) อาจทำให้เกิดอาการแพ้และอักเสบ
• Paraben (Methylparaben, Propylparaben, Butylparaben) อาจกระตุ้นการระคายเคือง
• Hydroquinone ทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสง
• Steroid (Betamethasone, Clobetasol, Hydrocortisone) หากใช้ในปริมาณสูงหรือเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวบางและเกิดอาการติดสาร
2.มองหา "ไม่มีสารอันตราย" (Free From...) บนฉลากครีมลดรอยสิว
บางแบรนด์ระบุไว้ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ ปราศจากสารที่อาจเป็นอันตราย เช่น
• Alcohol-Free (ไม่มีแอลกอฮอล์)
• Fragrance-Free (ไม่มีน้ำหอม)
• Paraben-Free (ไม่มีสารกันเสียพาราเบน)
• Oil-Free (ไม่มีน้ำมันที่อาจทำให้อุดตัน)
ถ้าครีมลดรอยสิวที่เลือกมีข้อความเหล่านี้ แสดงว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยขึ้น
3.ตรวจสอบค่า pH ของผลิตภัณฑ์ครีมลดรอยสิว
ครีมลดรอยสิวที่ดีควรมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว ซึ่งอยู่ที่ pH 4.5 - 5.5 เพราะ
• pH สูงเกินไป (>7) อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
• pH ต่ำเกินไป (<4) อาจทำให้ผิวบางและไวต่อการอักเสบ
ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH สมดุลช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
4.ดู "วันหมดอายุ" และ "สัญลักษณ์เปิดใช้" (PAO - Period After Opening) ในครีมลดรอยสิว
• ตรวจสอบวันหมดอายุ (EXP) เพื่อแน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ยังปลอดภัย
• สังเกตสัญลักษณ์กระปุกเปิด (เช่น 6M, 12M) ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานหลังเปิด เช่น 6M หมายถึงใช้ได้ 6 เดือนหลังเปิด
หากใช้เกินระยะเวลาที่กำหนด สารบางอย่างอาจเสื่อมสภาพและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
5.ระวังผลิตภัณฑ์ครีมลดรอยสิวที่ไม่ได้รับการรับรองจาก อย.
ครีมลดรอยสิวที่ปลอดภัยควรมีเลขที่จดแจ้ง อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) สามารถตรวจสอบเลข อย.ได้ที่เว็บไซต์ของ อย.เพื่อเช็กว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการรับรองหรือไม่

ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล5 ส่วนผสมในครีมลดรอยสิวที่อาจทำให้เกิดสิวอุดตัน
สิวอุดตัน (Comedonal Acne) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ครีมลดรอยสิวที่มีส่วนผสมไม่เหมาะสม แม้ว่าครีมลดรอยสิวจะถูกออกแบบมาเพื่อลดรอยสิว แต่บางครั้งอาจมีสารที่กระตุ้นการอุดตันของรูขุมขน ทำให้เกิดสิวซ้ำซ้อน
เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรหลีกเลี่ยง 5 ส่วนผสมต่อไปนี้ในครีมลดรอยสิว ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน
1.ซิลิโคน (Silicone) เช่น Dimethicone, Cyclopentasiloxane
ทำไมซิลิโคนอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน ?
• ซิลิโคนเป็นสารที่ช่วยให้เนื้อครีมเรียบลื่น ซึมเข้าสู่ผิวง่าย และให้สัมผัสที่ดี
• แต่ซิลิโคนบางชนิดสามารถเคลือบผิวชั้นนอก ทำให้รูขุมขนระบายไขมันออกได้ยาก
• หากล้างหน้าไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรก จนนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน
วิธีหลีกเลี่ยง
• เลือกครีมลดรอยสิวที่ระบุว่า "Non-Comedogenic" หรือไม่มีซิลิโคน
• หากต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีซิลิโคน ควรล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง
2.น้ำมันแร่ (Mineral Oil) และน้ำมันธรรมชาติบางชนิด
ทำไมน้ำมันอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน ?
• น้ำมันแร่เป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ช่วยกักเก็บน้ำในผิว แต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ที่อาจปิดกั้นรูขุมขน
• น้ำมันธรรมชาติบางชนิด เช่น Coconut Oil, Olive Oil, Wheat Germ Oil มีค่าความอุดตันสูง (Comedogenic Rating สูง)
• น้ำมันที่อุดตันรูขุมขนอาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวมัน
วิธีหลีกเลี่ยง
• เลือกน้ำมันที่ไม่ก่อให้เกิดสิว เช่น Jojoba Oil, Squalane, Argan Oil
• หลีกเลี่ยงครีมลดรอยสิวที่มี Coconut Oil หรือ Olive Oil หากมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย
3.แลนลิน (Lanolin) และสารให้ความชุ่มชื้นบางชนิด
ทำไมแลนลินอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน?
• แลนลินเป็นไขมันที่ได้จากขนแกะ นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิวแห้ง
• แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อผิวแห้งและแพ้ง่าย แต่ก็สามารถทำให้รูขุมขนอุดตันในบางคน
• สารอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดสิวได้ ได้แก่ Isopropyl Myristate และ Isopropyl Palmitate ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ซึมซาบเร็ว แต่มีค่าความอุดตันสูง
วิธีหลีกเลี่ยง
• หากเป็นคนที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากแลนลิน
• ใช้สารให้ความชุ่มชื้นที่มีน้ำหนักเบา เช่น Hyaluronic Acid หรือ Glycerin
4.สารลดแรงตึงผิว (Sulfates) เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS)
ทำไม SLS อาจทำให้เกิดสิวอุดตัน ?
• SLS เป็นสารทำความสะอาดที่มักพบในโฟมล้างหน้าและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด
• แม้ว่าจะช่วยขจัดความมันส่วนเกิน แต่ก็อาจทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• เมื่อมีน้ำมันสะสมมากเกินไป อาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้
วิธีหลีกเลี่ยง
• เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือครีมลดรอยสิว ที่เป็น Sulfate-Free
• ใช้โฟมล้างหน้าที่มีสารทำความสะอาดอ่อนโยน เช่น Cocamidopropyl Betaine
5.สีสังเคราะห์และน้ำหอม (Fragrance, Artificial Colors)
ทำไมสีและน้ำหอมอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน ?
• น้ำหอมและสีสังเคราะห์เป็นสารที่อาจก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคือง
• ผิวที่ถูกกระตุ้นจากน้ำหอมอาจเกิดการอักเสบ ส่งผลให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น
• โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย น้ำหอมอาจทำให้เกิด สิวอักเสบและสิวอุดตัน ได้ง่ายขึ้น
วิธีหลีกเลี่ยง
• เลือกครีมลดรอยสิวที่ระบุว่า "Fragrance-Free" และ "Dye-Free"
• หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารให้กลิ่นหอม ควรเป็น Essential Oils ที่อ่อนโยน เช่น Chamomile Oil หรือ Lavender Oil
ครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอล์ ทำไมอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
แอลกอฮอล์ (Alcohol) เป็นส่วนผสมที่พบได้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและครีมลดรอยสิวหลายชนิด เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยให้เนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว และช่วยกำจัดความมันบนผิวหน้า อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์บางประเภทอาจทำให้ ผิวแห้ง ระคายเคือง และเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว โดยเฉพาะในคนที่มีผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิวอักเสบ
1.แอลกอฮอล์บางชนิดอาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
แอลกอฮอล์ที่มีผลเสียต่อผิว ได้แก่
• Ethanol
• Isopropyl Alcohol
• Denatured Alcohol
• SD Alcohol 40
แอลกอฮอล์เหล่านี้เป็น แอลกอฮอล์ประเภทระเหยเร็ว (Volatile Alcohols) ซึ่งทำให้ผิวแห้งได้ง่าย เนื่องจากมันช่วยกำจัดน้ำมันบนผิวหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำที่จำเป็นไปด้วย
ผลที่ตามมาถ้าใช้ครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอลล์ผสม
• ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
• เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง
• ผิวแห้งเป็นขุย
• ผิวระคายเคืองง่ายขึ้น
2.ครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอลล์กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดสิว
เมื่อผิวแห้งจากแอลกอฮอล์ ร่างกายจะตอบสนองโดยการ ผลิตน้ำมันออกมาทดแทน ส่งผลให้ผิวหน้ามันขึ้น และเกิด สิวอุดตันและสิวอักเสบ ได้ง่ายขึ้น
ในผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย
• แอลกอฮอล์อาจให้ความรู้สึกผิวสะอาดและลดความมันชั่วคราว
• แต่หลังจากนั้น ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
• ทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำ
3.ครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอลล์ทำให้เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อ่อนแอลง
แอลกอฮอล์ที่ระเหยเร็วอาจทำให้ ชั้นไขมันที่ปกป้องผิวถูกทำลาย ทำให้ผิวบอบบางขึ้นและเกิดการอักเสบง่ายขึ้น
สัญญาณของเกราะป้องกันผิวที่เสียหาย
• ผิวแห้งเป็นขุย
• ผิวไวต่อแสงแดด
• ผิวแดงและมีอาการคัน
• ผิวอักเสบง่าย
4.ครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอลล์อาจทำให้เกิดการอักเสบและอาการแพ้ในระยะยาว
แอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวเกิดอาการ แพ้และระคายเคือง โดยเฉพาะในคนที่มีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) หรือเป็น โรคผิวหนังอักเสบ (Dermatitis, Eczema, Rosacea)
ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากใช้ครีมลดรอยสิวเป็นเวลานาน
• ผิวแดง ระคายเคือง
• มีอาการแสบหรือคัน
• ผิวลอกเป็นขุย
• เกิดผื่นแพ้
5.แอลกอฮอล์อาจทำให้สารบำรุงอื่นๆ ซึมเข้าสู่ผิวเร็วเกินไป
แม้ว่าแอลกอฮอล์จะช่วยให้สารบำรุง เช่น วิตามิน C หรือ Niacinamide ซึมซาบเร็วขึ้น แต่ถ้าใช้มากเกินไป อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายขึ้น เพราะสารบำรุงเข้าสู่ผิวในอัตราที่เร็วเกินไป
วิธีเลือกครีมลดรอยสิวที่ไม่มีแอลกอฮอล์อันตราย
หากต้องการลดรอยสิวโดยไม่ทำร้ายผิว ควรเลือกครีมลดรอยสิวที่ไม่มีแอลกอฮอล์ที่ระเหยเร็ว แต่ให้ความชุ่มชื้นแทน เช่น
1.ส่วนผสมที่ควรมองหา
• Hyaluronic Acid ให้ความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิว
• Niacinamide (Vitamin B3) ช่วยลดรอยแดงและรอยดำ
• Centella Asiatica (ใบบัวบก) ลดการอักเสบและช่วยให้แผลสิวหายเร็ว
• Aloe Vera (ว่านหางจระเข้) บรรเทาการระคายเคืองและให้ความชุ่มชื้น
• Ceramides เสริมเกราะป้องกันผิว
2.หลีกเลี่ยงครีมลดรอยสิวที่มีแอลกอฮอล์เหล่านี้ใน 5 อันดับแรกของส่วนผสม
• Ethanol
• Isopropyl Alcohol
• Denatured Alcohol
• SD Alcohol 40
หากแอลกอฮอล์อยู่ในลำดับท้ายๆ ของฉลาก อาจมีปริมาณน้อยและไม่ส่งผลเสียต่อผิวมากนัก
ซิลิโคนในครีมลดรอยสิว ใช้แล้วดีหรือทำให้รูขุมขนอุดตัน
ซิลิโคน (Silicone) ในครีมลดรอยสิว เป็นส่วนผสมที่พบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว รวมถึง ครีมลดรอยสิว โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เนื้อครีมเรียบลื่น เกลี่ยง่าย และทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันทีหลังใช้
อย่างไรก็ตาม มีข้อถกเถียงกันว่าสารกลุ่มนี้ ช่วยฟื้นฟูผิวหรือเป็นตัวการทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิว แต่เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น มาดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับซิลิโคนกัน
1.ซิลิโคนคืออะไร และพบได้ในผลิตภัณฑ์แบบไหน?
ซิลิโคนเป็นสารสังเคราะห์ในกลุ่ม โพลิเมอร์ (Polymers) ที่มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำ และให้เนื้อสัมผัสที่เรียบเนียน มักพบใน
• ครีมลดรอยสิว และ มอยส์เจอไรเซอร์
• ไพรเมอร์ (Primer) ที่ช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน
• ครีมกันแดด ที่ช่วยให้เนื้อครีมเกลี่ยง่าย
• รองพื้นและเมคอัพ ที่ให้ผิวดูเรียบเนียน
ตัวอย่างซิลิโคนที่พบบ่อยในเครื่องสำอางและสกินแคร์ ได้แก่
• Dimethicone (พบในครีมลดรอยสิวและมอยส์เจอไรเซอร์)
• Cyclopentasiloxane (พบในไพรเมอร์และครีมกันแดด)
• Cyclohexasiloxane
• Phenyl Trimethicone
2.ซิลิโคนมีข้อดีอะไรในการลดรอยสิว?
แม้ว่าจะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการอุดตันรูขุมขน แต่ซิลิโคนก็มีประโยชน์หลายด้าน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดรอยสิว
ข้อดีของซิลิโคนในครีมลดรอยสิว
• ซิลิโคนในครีมลดรอยสิวช่วยให้ผิวเรียบเนียนทันที
ซิลิโคนสามารถเติมเต็มพื้นผิวที่ไม่เรียบ ทำให้รอยสิวและรอยแผลเป็นดูเรียบขึ้นชั่วคราว
• ซิลิโคนในครีมลดรอยสิวช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
ซิลิโคนสร้างชั้นเคลือบบางๆ บนผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้ดี
• ซิลิโคนในครีมลดรอยสิวช่วยลดการเสียดสีของผิว
เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย เพราะช่วยลดการระคายเคืองจากการเสียดสีของผิว
• ซิลิโคนในครีมลดรอยสิวช่วยช่วยให้สารบำรุงซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
เนื่องจากซิลิโคนมีโครงสร้างที่ช่วยให้สารออกฤทธิ์เช่น วิตามินซี, ไนอาซินาไมด์, กรดไฮยาลูโรนิก ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
3.ซิลิโคนทำให้รูขุมขนอุดตันจริงหรือไม่ ?
ซิลิโคนเองไม่ได้ทำให้รูขุมขนอุดตันโดยตรง เนื่องจากมีโครงสร้างเป็นโมเลกุลใหญ่และไม่ซึมลงไปอุดตันรูขุมขน
แต่ปัญหาส่วนใหญ่มาจาก ปัจจัยเสริม เช่น
• การล้างหน้าไม่สะอาด ซิลิโคนอาจกักเก็บสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกิน ทำให้เกิดสิวอุดตัน
• การใช้ร่วมกับส่วนผสมที่อุดตันผิวง่าย เช่น น้ำมันที่มีค่าความอุดตันสูง (Coconut Oil, Olive Oil)
• คนที่มีผิวมันมากหรือเป็นสิวง่าย อาจรู้สึกว่าผิวมีความมันมากขึ้นจากเนื้อฟิล์มของซิลิโคน
ประเภทของสิวที่อาจเกิดขึ้นจากซิลิโคนในครีมลดรอยสิว
หากซิลิโคนทำให้เกิดปัญหาสิว ส่วนใหญ่มักเป็น สิวอุดตันแบบปิด (Closed Comedones) หรือ สิวผด มากกว่าสิวอักเสบ
4.ซิลิโคนปลอดภัยสำหรับครีมลดรอยสิวหรือไม่? ควรเลี่ยงหรือใช้ดี?
กรณีที่ควรใช้ครีมลดรอยสิวที่มีซิลิโคน
• คนที่ต้องการให้ รอยสิวดูเรียบเนียนขึ้นชั่วคราว
• คนที่มี ผิวแห้งหรือขาดน้ำ เพราะซิลิโคนช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
• คนที่ใช้ ครีมลดรอยสิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์แรง เช่น Retinol, AHA, BHA เพราะซิลิโคนช่วยลดการระคายเคือง
กรณีที่ควรเลี่ยงหรือระวังในการใช้ครีมลดรอยสิว
• คนที่มี ผิวมันมากหรือเป็นสิวง่าย ควรใช้ซิลิโคนอย่างระมัดระวัง
• คนที่มีแนวโน้มเป็น สิวอุดตันง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น Non-Comedogenic
• หากรู้สึกว่าซิลิโคนทำให้เกิดสิว ควร ลองหยุดใช้สักระยะ แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิว
5.วิธีใช้ครีมลดรอยสิวที่มีซิลิโคนให้ปลอดภัย ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน
1.เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น "Non-Comedogenic"
คำนี้หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาไม่ให้ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
2.ทำความสะอาดผิวให้ดีทุกวัน
ใช้ คลีนซิ่งที่มีประสิทธิภาพ (Micellar Water, Cleansing Oil) ล้างเครื่องสำอางและครีมที่มีซิลิโคนออกให้หมดก่อนล้างหน้า
3.หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับน้ำมันที่อุดตันผิวง่าย
หากครีมลดรอยสิวมีซิลิโคนแล้ว ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี Coconut Oil, Shea Butter หรือ Lanolin ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสอุดตัน
4.ทดลองใช้ก่อนตัดสินใจ
หากไม่แน่ใจว่าซิลิโคนทำให้เกิดสิวหรือไม่ ลองใช้ครีมลดรอยสิว 2-3 สัปดาห์ และสังเกตว่าผิวมีการอุดตันเพิ่มขึ้นหรือไม่
ซัลเฟตในครีมลดรอยสิว ส่งผลเสียต่อผิวยังไงบ้าง
1.ทำให้ผิวแห้งเกินไป และระคายเคืองง่ายขึ้น
ซัลเฟตเป็นสารทำความสะอาดที่ค่อนข้างแรง ซึ่งอาจทำให้ผิวสูญเสีย น้ำมันตามธรรมชาติ (Natural Lipids) ส่งผลให้
• ผิวแห้งและลอกเป็นขุย
• เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง
• ผิวไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น แสงแดด และมลภาวะ
โดยเฉพาะคนที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีซัลเฟต เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและอาการคันได้
2.กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดสิว
เมื่อผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจากซัลเฟต ร่างกายจะตอบสนองด้วยการผลิตน้ำมันออกมาทดแทน ซึ่งอาจส่งผลให้
• รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น
• เกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบ
• ผิวหน้ามันมากขึ้นในระยะยาว
สำหรับ คนที่มีผิวมัน อาจรู้สึกว่าครีมลดรอยสิวที่มีซัลเฟตช่วยลดความมันได้ชั่วคราว แต่หากใช้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสิวมากขึ้นแทน
3.อาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น
ซัลเฟตในครีมลดรอยสิวอาจทำให้ เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสียหาย ทำให้ผิวระคายเคืองง่ายขึ้นและมีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้น ส่งผลให้
• สิวอักเสบมากขึ้น
• ผิวแดงและไวต่อแสง
• ผิวฟื้นตัวจากรอยสิวช้าลง
คนที่มี สิวอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นสิวผด ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีซัลเฟตเพื่อไม่ให้ผิวอักเสบมากขึ้น
4.ทำให้สารบำรุงผิวซึมเข้าสู่ผิวยากขึ้น
เมื่อซัลเฟตทำให้ผิวแห้งและเกราะป้องกันผิวเสียหาย สารบำรุงผิว เช่น Niacinamide, Vitamin C หรือ Centella Asiatica อาจซึมเข้าสู่ผิวได้ไม่เต็มที่ ทำให้ครีมลดรอยสิวทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ
หากต้องการให้สารบำรุงทำงานได้ดีขึ้น ควรเลือกครีมลดรอยสิวที่ไม่มีซัลเฟต และใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
ใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงครีมลดรอยสิวที่มีซัลเฟต ?
• คนที่มี ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย หรือเป็นสิวอักเสบควรหลีกเลี่ยงครีมลดรอยสิวที่มีซัลเฟต
• คนที่มี สิวเรื้อรัง หรือผิวติดสาร
• คนที่ใช้ ยารักษาสิว เช่น Benzoyl Peroxide, Retinol หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งและไวต่อซัลเฟตมากขึ้น
ครีมลดรอยสิวที่มีไฮโดรควิโนน อาจทำให้หน้าบางและไวต่อแสง
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่ใช้ในครีมลดรอยสิวและครีมลดฝ้าเพื่อช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยทำงานโดย ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยดำจากสิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ
แม้ว่าจะเป็น สารที่มีประสิทธิภาพสูง ในการลดรอยสิว แต่หากใช้ผิดวิธีหรือใช้ในปริมาณมาก อาจส่งผลข้างเคียง เช่น ทำให้ผิวบางลง และทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
1.ไฮโดรควิโนนในครีมลดรอยสิวทำให้ผิวบางลงได้อย่างไร
ไฮโดรควิโนนทำงานโดย ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยผลิตเม็ดสีเมลานินตามธรรมชาติ
หากใช้เป็นเวลานานหรือใช้ในความเข้มข้นสูง (มากกว่า 2%) อาจเกิดผลข้างเคียง ได้แก่
• การลดจำนวนเม็ดสีผิวมากเกินไป ทำให้ผิวอ่อนแอลง
• เกราะป้องกันผิวถูกทำลาย ทำให้ผิวบางและระคายเคืองง่ายขึ้น
• ผิวไวต่อแสงแดด เพราะไม่มีเมลานินมาปกป้องจากรังสี UV
2.ไฮโดรควิโนนทำให้ผิวไวต่อแสงแดดจริงหรือ
ใช่ เพราะเมลานินทำหน้าที่เป็น เกราะป้องกันผิวจากรังสี UV เมื่อใช้ไฮโดรควิโนน เมลานินถูกยับยั้ง ทำให้ผิวไม่มีการป้องกันตามธรรมชาติ ส่งผลให้
• ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
• อาจเกิดรอยดำใหม่ได้ง่ายหากไม่ใช้ครีมกันแดด
• เพิ่มโอกาสเกิดอาการแสบ แดง หรือไหม้แดด
ดังนั้น หากใช้ครีมลดรอยสิวที่มีไฮโดรควิโนน ต้องใช้ครีมกันแดด SPF 30-50 ทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV
3.ใช้ไฮโดรควิโนนอย่างไรให้ปลอดภัย
• ควรใช้ ในความเข้มข้นไม่เกิน 2% สำหรับครีมลดรอยสิวที่ขายทั่วไป
• ใช้ ต่อเนื่องไม่เกิน 3 เดือน เพื่อป้องกันการทำลายเซลล์ผิว
• ทาครีมลดรอยสิวเฉพาะจุดที่มีรอยสิว ไม่ควรทาทั่วหน้า
• หลีกเลี่ยงการใช้ครีมลดรอยสิวร่วมกับ AHA, BHA หรือ Retinol เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น
• ต้องใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อลดความเสี่ยงจากรังสี UV
4.ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ไฮโดรควิโนนในครีมลดรอยสิวผิดวิธี
หากใช้ในปริมาณมากหรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น
• ผิวบางลง และไวต่อการระคายเคือง
• เกิดภาวะ Ochronosis (ผิวคล้ำถาวร) หากใช้ไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน
• ผิวแดง แสบ คัน หรืออักเสบ
5.ควรใช้ครีมลดรอยสิวที่มีอะไรแทนไฮโดรควิโนน?
หากต้องการลดรอยสิวโดยไม่เสี่ยงทำให้ผิวบางหรือไวต่อแสง แนะนำให้ใช้ สารทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เช่น
• Niacinamide (วิตามิน B3) ช่วยลดรอยดำและเสริมเกราะป้องกันผิว
• Vitamin C ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
• Alpha Arbutin มีคุณสมบัติคล้ายไฮโดรควิโนน แต่ปลอดภัยกว่า
• Licorice Extract (สารสกัดจากชะเอมเทศ) ลดการอักเสบและลดรอยสิวอย่างอ่อนโยน
ปิโตรลาทัมในครีมลดรอยสิว ตัวการทำให้ผิวมันและอุดตัน
ข้อดีของปิโตรลาทัม
• กักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำ
• ช่วยลดการระคายเคืองและเสริมการฟื้นฟูผิว
• ไม่ทำให้เกิดสิวอุดตันโดยตรง (ถ้าเป็นปิโตรลาทัมบริสุทธิ์)
ข้อเสียและผลกระทบต่อผิวถ้าใช้ครีมลดรอยสิวที่มีปิโตรลาทัม
• เคลือบผิวไว้ ทำให้ผิวดูมันและเหนอะหนะ
• อาจกักเก็บน้ำมันและสิ่งสกปรก ทำให้เกิดสิวอุดตันในบางคน
• ไม่ซึมเข้าสู่ผิว จึงไม่เหมาะกับผิวมันหรือเป็นสิวง่าย
ใครควรหลีกเลี่ยงครีมลดรอยสิวที่มีปิโตรลาทัม
• คนที่มี ผิวมันหรือเป็นสิวง่าย ถ้าใช้ครีมลดรอยสิวที่มีปิโตรลาทัมอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน
• คนที่มี สิวอุดตันอยู่แล้ว ถ้าใช้ครีมลดรอยสิวที่มีปิโตรลาทัมอาจทำให้สิวแย่ลง
• คนที่แพ้ง่าย การใช้ครีมลดรอยสิวอาจระคายเคืองหากปิโตรลาทัมไม่บริสุทธิ์
สารกันเสียในครีมลดรอยสิว อันตรายจริงไหม
• สารกันเสีย (Preservatives) ใรครีมลดรอยสิวเป็นส่วนผสมที่ช่วยป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย ยีสต์ และเชื้อราในครีม
• ป้องกันการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานของครีมลดรอยสิว เช่น การเปิดฝาและสัมผัสกับมือ
• หากไม่มีสารกันเสีย ผลิตภัณฑ์อาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการระคายเคืองต่อผิว

ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสารกันเสียในครีมลดรอยสิวที่อาจเป็นอันตราย
1.พาราเบน (Parabens) เช่น Methylparaben, Propylparaben
• มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเติบโตของจุลินทรีย์
• อาจรบกวนสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย หากใช้ในครีมลดรอยสิวปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน
• มีรายงานการแพ้ในบางคน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง
2.ฟอร์มัลดีไฮด์และสารที่ปล่อยฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde-Releasing Preservatives)
• พบในครีมลดรอยสิวราคาถูกหรือครีมลดรอยสิวที่ไม่มีมาตรฐาน
• อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองผิว และมีความเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจ
• ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ ได้แก่ DMDM Hydantoin และ Imidazolidinyl Urea
3.เมทิลไอโซไทอะโซลิโนน (Methylisothiazolinone หรือ MIT)
• มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันเชื้อราและแบคทีเรีย
• อาจทำให้เกิดอาการแพ้ และเป็นสาเหตุของผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสในบางคน

ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลทำไมบางคนใช้ครีมลดรอยสิวแล้วเกิดสิวเห่อ
บางคนใช้ครีมลดรอยสิวแล้วกลับทำให้สิวเห่อขึ้นแทนที่จะดีขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การผลัดเซลล์ผิวเร็วเกินไป การแพ้ส่วนผสม หรือการเลือกครีมลดรอยสิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง
1.Purging (การผลัดเซลล์ผิวอย่างรวดเร็ว)
• เกิดจากส่วนผสมที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวในครีมลดรอยสิว เช่น AHA, BHA, Retinol, Niacinamide
• ทำให้สิวอุดตันที่อยู่ใต้ผิวเดิมถูกดันขึ้นมาเร็วขึ้น
• มักเกิดขึ้นชั่วคราวและดีขึ้นใน 4-6 สัปดาห์
2.อาการแพ้ (Irritation หรือ Allergic Reaction)
• เกิดจากการแพ้สารบางชนิดในครีมลดรอยสิว เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน
• อาการที่พบคือ ผื่นแดง แสบ คัน หรือสิวอักเสบ
• หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรหยุดใช้ทันที
3.ครีมลดรอยสิวมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic Ingredients)
• ส่วนผสมของครีมลดรอยสิวบางอย่างอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน เช่น ซิลิโคน น้ำมันแร่ (Mineral Oil) แลนลิน (Lanolin)
• มักทำให้เกิดสิวหัวขาวหรือสิวอุดตันแบบไม่มีหัว
4.ใช้ครีมลดรอยสิวผิดประเภทสำหรับสภาพผิว
• ครีมลดรอยสิวที่มีเนื้อหนักหรือมันเกินไป อาจไม่เหมาะกับ ผิวมันและเป็นสิวง่าย
• ผิวที่แพ้ง่ายอาจระคายเคืองจาก สารผลัดเซลล์ผิวแรงๆ
5.ใช้หลายผลิตภัณฑ์พร้อมกันเกินไป (Overloading the Skin)
• การใช้ AHA, BHA, Retinol, Vitamin C พร้อมกัน อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวเห่อ
• ควรเริ่มใช้ทีละตัว และให้ผิวปรับตัวก่อน
6.การล้างหน้าและการใช้ครีมลดรอยสิวที่ไม่เหมาะสม
• ล้างหน้าไม่สะอาด อาจทำให้ ครีมและสิ่งสกปรกสะสม จนเกิดสิว
• ใช้สครับผิวแรงๆ อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวเห่อได้
7.ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสิว
• ฮอร์โมน ความเครียด อาหาร และพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาจกระตุ้นให้เกิดสิวร่วมกับการใช้ครีม
• หากใช้ครีมแล้วสิวแย่ลงเรื่อยๆ อาจต้องพิจารณา สาเหตุอื่นนอกจากครีม
วิธีแก้ไขเมื่อเกิดสิวเห่อจากครีมลดรอยสิว
• ตรวจสอบส่วนผสมของครีมลดรอยสิว ว่ามีสารกระตุ้นสิวหรือไม่
• ลดการใช้ครีมลดรอยสิวที่มีสารผลัดเซลล์ผิวแรงเกินไป
• เลือกครีมลดรอยสิวที่อ่อนโยน และ Non-Comedogenic (ไม่อุดตันรูขุมขน)
• ใช้ครีมลดรอยสิวทีละตัว และให้ผิวมีเวลาปรับตัว
• หยุดใช้ครีมลดรอยสิวทันทีหากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น คัน แสบ หรือสิวอักเสบเพิ่มขึ้น

ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลBHA และ AHA ในครีมลดรอยสิว ใช้ยังไงให้ปลอดภัย
BHA (Beta Hydroxy Acid) และ AHA (Alpha Hydroxy Acid) เป็นสารผลัดเซลล์ผิวที่นิยมใช้ในครีมลดรอยสิว เพื่อช่วยลดจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่หากใช้ผิดวิธี อาจทำให้ผิวแห้ง แดง ระคายเคือง หรือไวต่อแสงแดดได้
1.BHA และ AHA คืออะไร ถ้าอยู่ในครีมลดรอยสิวจะทำงานอย่างไร ?
BHA (Beta Hydroxy Acid) เช่น Salicylic Acid
• ละลายในไขมัน ทำความสะอาดรูขุมขน ลดสิวอุดตัน และคุมความมัน
• เหมาะสำหรับ ผิวมัน ผิวเป็นสิวง่าย
• ลดการอักเสบของสิว และช่วยให้รูขุมขนสะอาดขึ้น
AHA (Alpha Hydroxy Acid) เช่น Glycolic Acid, Lactic Acid
• ละลายในน้ำ ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ลดรอยดำ รอยสิว และเพิ่มความชุ่มชื้น
• เหมาะสำหรับ ผิวแห้งหรือผิวมีจุดด่างดำ
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน
2.วิธีใช้ BHA และ AHA ใรครีมลดรอยสิวอย่างปลอดภัย
เริ่มต้นใช้ครีมลดรอยสิวที่มี BHA และ AHA อย่างค่อยเป็นค่อยไป
• ใช้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มความถี่เมื่อผิวปรับตัวได้
• ใช้ BHA หรือ AHA ตัวเดียวก่อน เพื่อสังเกตว่าผิวมีอาการแพ้หรือไม่
เลือกความเข้มข้นครีมลดรอยสิวที่มี BHA และ AHAที่เหมาะสม
• BHA ควรเริ่มที่ 1-2% สำหรับผิวแพ้ง่าย และสูงสุดที่ 2% สำหรับการใช้ทั่วไป
• AHA ควรเริ่มที่ 5-10% และไม่เกิน 15% สำหรับการใช้เป็นประจำ
ใช้ครีมลดรอยสิวที่มี BHA และ AHA เฉพาะตอนกลางคืน
• AHA และ BHA ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด จึงควรใช้ เฉพาะตอนกลางคืน
• หากต้องใช้ตอนกลางวัน ต้องทาครีมกันแดด SPF 30-50 ทุกวัน
หลีกเลี่ยงการใช้ครีมลดรอยสิวที่มี BHA และ AHA ร่วมกับสารที่ระคายเคืองผิว
• ไม่ควรใช้ร่วมกับ Retinol, Vitamin C, Benzoyl Peroxide เพราะอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
• หากต้องการใช้ ควร ใช้สลับวันกัน
บำรุงผิวหลังใช้ ครีมลดรอยสิวที่มี BHA และ AHA
หลังใช้ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น Hyaluronic Acid, Ceramides หรือ Centella Asiatica เพื่อช่วยฟื้นฟูผิว
3.อาการข้างเคียงที่ควรระวังหลังใช้ครีมลดรอยสิวที่มี BHA และ AHA
หากใช้ AHA/BHA มากเกินไป อาจทำให้เกิด
• ผิวแห้งและลอก เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวเร็วเกินไป
• ระคายเคือง แสบแดง หรือมีผื่นขึ้น หากใช้ความเข้มข้นสูงเกินไป
• ผิวไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดฝ้าและจุดด่างดำได้ง่าย
หากมีอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้ชั่วคราว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
แนะนำครีมลดรอยสิวที่ไม่มีสารอันตราย ปลอดภัยต่อทุกสภาพผิว
ขอแนะนำครีมลดรอยสิว ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากว่านหางจระเข้ ช่วยปลอบประโลมผิว และมั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยเพราะผลิตโดยคลินิกที่เป็น Specialist ด้านผิวพรรณและความงาม มั่นใจได้เลยว่า Romrawin Cosmetics ปรนนิบัติผิวให้สุขภาพดีด้วยเวชสำอาง ที่คิดค้นโดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนังกว่า 20 ปี

ครีมลดรอยสิว ส่วนผสมไหนใช้แล้วหน้าพังแทนที่จะปังกว่าเดิม
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลROMRAWIN RE-SKIN CREAM - รมย์รวินท์ รี-สกิน ครีม
ครีมลดรอยสิวบำรุงผิว ลดเลือนรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงดูจางลง
ส่วนประกอบสำคัญ
- Allium Fistolusum Bulb Extract สารสกัดจากหัวหอม กระตุ้นการสมานแผล ยับยั้งการอักเสบของแผล
- Aloe Vera Extract สารสกัดจากว่านหางจระเข้ ช่วยปลอบประโลมผิว บรรเทาการระคายเคือง ให้ผิวชุ่มชื่น พร้อมทั้งช่วยสมานผิว รักษาบาดแผล
- Vitamin E บำรุงผิวให้ความชุ่มชื่น พร้อมต้านอนุมูลอิสระ และฟื้นฟูสภาพผิวให้เนียนนุ่ม แลดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
วิธีใช้ครีมลดรอยสิว รี-สกิน
- ใช้ทาตรงที่เป็นแผลเป็น และทั่วหน้าได้ เช้า - เย็น
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับครีมลดรอยสิว
ควรเลือกครีมลดรอยสิวที่มีสารสกัด ที่อ่อนโยนต่อผิว และเลือกครีมลดรอยสิว ที่มีฉลากอย.เพื่อหลีกเลี่ยง ใช้ครีมลดรอยสิวที่ไม่ประสิทธิภาพ แต่ถ้าเกิดใครอยากให้รอยสิวหายทันใจ การใช้ครีมลดรอยสิวอาจทำให้สิวหายช้ากว่าการที่เราเข้าคลินิกทำหัตถการเพื่อลดเลือนรอยสิว ใครที่สนใจผลิตภัณฑ์ หรือหัตภการความงามในการดูแลผิวหน้า สามารถสอบถามเราได้ที่
รมย์รวินท์คลินิก เพื่อเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด