romrawin

วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด ลดรอยหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวหน้ากลับมากระจ่างใส

รักษาฝ้า

รวมวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด ผิวหน้ากลับมากระจ่างใส
“ฝ้า” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวหน้าที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน เพราะนอกจากจะทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สม่ำเสมอแล้ว ยังรักษาฝ้าได้ยาก และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยเฉพาะเมื่อเจอปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด ฮอร์โมน หรือความเครียด ปัจจุบันเมื่อหน้าเป็นฝ้ามีหลากหลายวิธีในการรักษาฝ้า ไม่ว่าจะเป็นวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน ไปจนถึงวิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่เห็นผลชัดเจน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของฝ้า ประเภทของฝ้า และแนะนำวิธีรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยม พร้อมเปรียบเทียบ วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ กับ วิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการ เลือกแบบไหนดี เพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะกับผิวของตัวเองมากที่สุด

ฝ้าคืออะไร พบบ่อยบริเวณไหน
ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำเป็นปื้นหรือจุดบนผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อย ๆ ฝ้ามักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้มหรือเทา ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของเม็ดสีในผิว
ฝ้ามักพบได้ในบริเวณที่โดนแสงแดดเป็นประจำ เช่น

• ฝ้าที่ใบหน้า เป็นบริเวณที่พบมากที่สุด โดยเฉพาะหน้าผาก โหนกแก้ม จมูก เหนือริมฝีปาก และคาง
• ฝ้าที่ลำคอ โดยเฉพาะผู้ที่ออกแดดบ่อย
• ฝ้าที่แขน หรือ บริเวณของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน

ฝ้าเกิดจากอะไร รู้ถึงต้นตอปัญหา
ฝ้าเกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติในชั้นผิวหนัง ซึ่งมีหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

1.แสงแดด (รังสี UV)
• รังสีอัลตราไวโอเลต (UVA และ UVB) กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น
• การออกแดดเป็นเวลานาน หรือไม่ได้ทาครีมกันแดด จะเพิ่มโอกาสเกิดฝ้า

2.ฮอร์โมน
• พบมากในผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น
• การใช้ยาที่ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ยาคุมกำเนิด อาจทำให้ฝ้าเข้มขึ้น
• วัยหมดประจำเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

3.พันธุกรรม
• หากพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิดเป็นฝ้า โอกาสที่คุณจะเป็นฝ้าก็สูงขึ้น
• คนที่มีผิวคล้ำมีแนวโน้มเป็นฝ้าได้มากกว่าคนผิวขาว

4.การใช้เครื่องสำอางและสารเคมีบางชนิด
• ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารทำให้ผิวบาง หรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
• เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือสารที่ทำให้ผิวไวต่อแสง

5.ความร้อนและมลภาวะ
• นอกจากแสงแดดแล้ว อากาศร้อนยังสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
• ฝุ่น ควัน มลภาวะ ทำให้ผิวอักเสบและเพิ่มโอกาสเกิดฝ้า

6.ความเครียดและการพักผ่อนน้อย
• ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิตเม็ดสี
• การพักผ่อนน้อยส่งผลต่อการซ่อมแซมเซลล์ผิว ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น
7.การขาดสารอาหารบางชนิด
• การขาดวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดฝ้าง่ายขึ้น

ฝ้ามีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร
ฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามระดับความลึกของเม็ดสีที่สะสมในชั้นผิว ได้แก่

1.ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)
ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) ลักษณะดังนี้
• เป็นสี น้ำตาลอ่อน หรือ สีน้ำตาลเข้ม
• มีขอบเขตชัดเจน
• มักพบที่ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
• เกิดจากแสงแดดเป็นหลัก
• สามารถรักษาได้ง่าย และตอบสนองต่อการรักษาด้วยครีมหรือเลเซอร์ได้ดี

2.ฝ้าลึก (Dermal Melasma)
ฝ้าลึก (Dermal Melasma) มีลักษณะดังนี้
• เป็น สีน้ำตาลอมเทา หรือสีม่วงเทา
• ขอบเขตไม่ชัดเจน
• อยู่ลึกลงไปใน ชั้นหนังแท้ (Dermis)
• เกิดจาก ฮอร์โมนและพันธุกรรมเป็นหลัก
• รักษายากกว่าฝ้าตื้น และต้องใช้เวลานานกว่าจะจางลง

3.ฝ้าผสม (Mixed Melasma)
ฝ้าผสม (Mixed Melasma) มีลักษณะดังนี้
• พบได้ทั้งสีเข้มและอ่อนปะปนกัน
• มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกในบริเวณเดียวกัน
• เป็นประเภทที่พบมากที่สุดในผู้ที่เป็นฝ้า

ตารางสรุปความแตกต่างของแต่ละประเภทฝ้า

ประเภทฝ้า

สีของฝ้า

ความลึก

แนวทางการรักษาฝ้า

ฝ้าตื้น

น้ำตาลอ่อน/เข้ม

ชั้นหนังกำพร้า

ครีมบำรุงผลัดเซลล์ผิว เลเซอร์รักษาฝ้า

ฝ้าลึก

น้ำตาลอมเทา/ม่วงเทา

ชั้นหนังแท้

รักษายาก ต้องใช้เลเซอร์ขั้นสูง

ฝ้าผสม

ผสมทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก

ทั้งหนังกำพร้าและหนังแท้

ใช้หลายวิธีร่วมกัน

ฝ้าประเภทไหนรักษายากที่สุด
• ฝ้าลึก เป็นประเภทที่รักษาฝ้าได้ยากที่สุด เพราะเม็ดสีอยู่ลึกในชั้นหนังแท้
• ฝ้าตื้น เป็นประเภทที่รักษาฝ้าได้ง่ายที่สุด และตอบสนองต่อการรักษาได้เร็ว
• ฝ้าผสม เป็นประเภทฝ้าที่ต้องใช้หลายวิธีรักษาฝ้าร่วมกันเพื่อให้ฝ้าจางลง

รักษาฝ้าให้หายขาดเป็นไปได้ไหม
การรักษาฝ้าสามารถรักษาให้หายได้ หากเป็น “ฝ้าตื้น” แต่หากเป็น “ฝ้าลึก” จะไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาด แต่สามารถทำให้ดูจางลงได้มาก โดยมีรายละเอียดดังนี้

• ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เป็นฝ้าที่เม็ดสีสะสมอยู่ใน ชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นบนสุด ทำให้สามารถตอบสนองต่อการรักษาฝ้าได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีมทาเลือนฝ้า การผลัดเซลล์ผิว หรือการทำเลเซอร์ฝ้าบางชนิด โดยส่วนใหญ่สามารถรักษาให้ จางลงจนหายได้ หากดูแลต่อเนื่องและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
• ฝ้าลึก (Dermal Melasma) เกิดจากเม็ดสีที่อยู่ลึกลงไปใน ชั้นหนังแท้ ซึ่งทำให้การรักษาซับซ้อนและใช้เวลานานกว่า แม้ไม่สามารถกำจัดเม็ดสีได้ทั้งหมด แต่สามารถรักษาฝ้าให้ลดเลือน ดูจางลงจนแทบมองไม่เห็น ด้วยการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ระดับลึก เช่น Pico Laser ที่เจาะจงยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี

วิธีรักษาฝ้าให้หายขาดมีอะไรบ้าง
ฝ้าสามารถรักษาให้จางลงจนแทบไม่เห็น และควบคุมไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้ ถ้าดูแลผิวและรักษาฝ้าอย่างถูกวิธี ขอแนะนำวิธีรักษาฝ้าให้ลดเลือน ผิวหน้ากระจ่างใสดูไร้ฝ้า ทั้งวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ และ วิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการความงาม ดังนี้

วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ
สำหรับคนที่อยากรักษาฝ้าแบบอ่อนโยน ไม่พึ่งสารเคมีแรง ๆ การใช้วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ถึงแม้ผลลัพธ์รักษาฝ้าจะใช้เวลานานกว่าการใช้ยา หรือทรีตเมนต์ทางการแพทย์ แต่ก็มีข้อดีคือ ปลอดภัย ผิวไม่ระคายเคือง และยังบำรุงผิวไปในตัว มาดูกันว่ามีสูตรรักษาฝ้าแบบธรรมชาติอะไรบ้างที่ช่วยลดฝ้าได้

1.วิธีรักษาฝ้าด้วยว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)
สูตรรักษาฝ้าด้วยว่านหางจระเข้ได้รับความนิยม เพราะว่านหางจระเข้มีสารชื่อว่าอโลอิน ช่วยลดเม็ดสีเมลานิน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
วิธีใช้
• ล้างว่านหางจระเข้ให้สะอาด แล้วแคะวุ้นใส ๆ ออกมา
• ทาลงบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที
• ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
• ทำวันละ 1-2 ครั้ง

2.วิธีรักษาฝ้าด้วยน้ำมะนาว + น้ำผึ้ง
สูตรรักษาฝ้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้งสามารถช่วยลดฝ้าได้ โดยมะนาวมีกรด AHA จากธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ส่วนน้ำผึ้งช่วยลดการระคายเคือง
วิธีใช้
• ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา กับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
• ทาลงผิวบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที
• ล้างออก และตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
ข้อควรระวัง คนผิวแพ้ง่ายควรทดสอบก่อนใช้ เพราะมะนาวอาจทำให้ผิวแสบหรือแห้งได้

3.วิธีรักษาฝ้าด้วยขมิ้น + นมสด
สูตรรักษาฝ้าด้วยขมิ้นและนมสดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วนลดฝ้า เพราะขมิ้นมีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว นมสดช่วยบำรุงให้ผิวเนียนนุ่ม
วิธีใช้
• ผสมผงขมิ้น 1 ช้อนชา กับนมสดพอประมาณให้เป็นเนื้อครีม
• พอกบริเวณฝ้า ทิ้งไว้ 15 นาที
• ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
• ใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

4.วิธีรักษาฝ้าด้วยมันฝรั่งสด
มันฝรั่งเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ เพราะในมันฝรั่งมีเอนไซม์ช่วยลดจุดด่างดำและรอยฝ้าได้
วิธีใช้
• หั่นมันฝรั่งเป็นแว่นบาง ๆ แล้วถูเบา ๆ บริเวณที่เป็นฝ้า
• ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก
• ทำเป็นประจำทุกวัน

5.วิธีรักษาฝ้าด้วยน้ำแตงกวา + โยเกิร์ต
สูตรรักษาฝ้าด้วยน้ำแตงกวาและโยเกิร์ต ช่วยให้ผิวสดชื่น ลดรอยคล้ำ และเพิ่มความกระจ่างใส
วิธีใช้
• ปั่นแตงกวา 1/2 ลูก แล้วผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ
• พอกหน้าไว้ 15-20 นาที
• ล้างออกด้วยน้ำเย็น

วิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์
การรักษาฝ้าในปัจจุบันไม่ได้มีแค่การทาครีมหรือการใช้สมุนไพรเท่านั้น แต่ยังมี "หัตถการทางการแพทย์" ที่ช่วยเร่งการรักษาฝ้าให้จางลงอย่างปลอดภัยและเห็นผลชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในรายที่ฝ้าลึกหรือรักษาด้วยวิธีทั่วไปไม่ค่อยได้ผล มาดูกันว่าวิธีที่นิยมในคลินิกมีอะไรบ้าง และแต่ละแบบเหมาะกับใคร

1.เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser
Pico Laser เป็นเลเซอร์รักษาฝ้าที่ยิงพลังงานในระดับพิโควินาที (เร็วมาก) เข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ก่อให้เกิดฝ้า โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนมากนัก จึงฟื้นตัวเร็ว แทบไม่ต้องพักหน้า

จุดเด่นของเลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser
• เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser เห็นผลค่อนข้างไว
• เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser ปลอดภัยกับทุกสีผิว
• เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser ช่วยลดรอยดำ รูขุมขน และความหมองคล้ำ

เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser เหมาะกับใคร
• เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser เหมาะกับคนที่มีฝ้าลึก ฝ้าดื้อยา
• เลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน และมีเวลามาดูแลต่อเนื่อง

2.วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling
วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling คือการใช้กรดอ่อน ๆ เช่น AHA, Glycolic acid หรือ Salicylic acid ทาลงบนผิว เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่คล้ำเสียออก และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่

จุดเด่นของ วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling
• วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling ช่วยลดความหมองคล้ำ และรอยฝ้าในระดับตื้น
• วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling ช่วยกระตุ้นการผลัดผิว
• วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling เหมาะกับใคร
• วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling เหมาะกับผู้ที่มีฝ้าตื้น ผิวไม่แพ้ง่าย
• วิธีรักษาฝ้าด้วย Chemical Peeling เหมาะกับคนที่ต้องการผลัดเซลล์แบบอ่อนโยน

ข้อควรรู้ก่อนเลือกทำหัตถการรักษาฝ้า
• ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะกับแต่ละคน
• หลังทำหัตถการรักษาฝ้า ต้องดูแลผิวอย่างเคร่งครัด เช่น งดแดด ทาครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรง ๆ
• การรักษาฝ้าอาจต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง และควบคู่กับการทายา/ครีมบำรุง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สรุปการรักษาฝ้าด้วยหัตถการเช่น Pico Laser, Chemical Peeling เป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพ เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนในระยะเวลาสั้น แต่อย่าลืมว่าฝ้าเป็นปัญหาที่ต้องการการดูแลระยะยาว การป้องกันและดูแลผิวเป็นประจำยังคงเป็นหัวใจหลักของการรักษาอย่างยั่งยืน

แนะนำหัตถการรักษาฝ้า ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
รมย์รวินท์คลินิกมีหัตถการหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อรักษาฝ้าและปัญหาผิวอื่น ๆ โดยแต่ละโปรแกรมรักษาฝ้ามีจุดเด่นดังนี้

1.โปรแกรมรักษาฝ้า NU Pico Laser
โปรแกรมรักษาฝ้า NU Pico Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์จากสหรัฐอเมริกา ที่มีความยาวคลื่น 532 และ 1,064 นาโนเมตร ทำงานด้วยความเร็วสูงในระดับพิโควินาที ทำให้สามารถจัดการกับเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้าตื้น ฝ้าลึก ฝ้าผสม กระแดด และรอยดำจากสิว

2.โปรแกรมรักษาฝ้า Sylfirm X Plus
โปรแกรมรักษาฝ้า Sylfirm X Plus เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ร่วมกับการทำไมโครนีดลิ่ง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย ฝ้า กระ และหลุมสิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสและลดปัญหาผิวหลายประการในครั้งเดียว

3.โปรแกรมรักษาฝ้า Dual Yellow Laser
โปรแกรมรักษาฝ้า Dual Yellow Laser เป็นเลเซอร์ที่ใช้ความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร (สีเหลือง) และ 511 นาโนเมตร (สีเขียว) เพื่อรักษาปัญหาผิวหลายประการ เช่น ฝ้า กระ รอยแดงจากเส้นเลือดฝอย และรอยดำจากสิว โดยเลเซอร์ชนิดนี้มีความอ่อนโยนต่อผิว ลดการเกิดรอยช้ำและไม่ต้องพักฟื้นนาน

4.โปรแกรมรักษาฝ้า Code of White
Code of White เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าที่รวมการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์และทรีตเมนต์บำรุงผิว เพื่อปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำ ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

5.โปรแกรมรักษาฝ้า Melasma Fade
Melasma Fade เป็นโปรแกรมเฉพาะสำหรับการรักษาฝ้า โดยใช้เทคนิคและผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้าและป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้าทั้งตื้นและลึก
*ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

เปรียบเทียบรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ vs หัตถการ
ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการรักษาฝ้า ตั้งแต่สูตรธรรมชาติที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน ไปจนถึงหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้าช่วย หลายคนจึงอาจเกิดคำถามว่าควรเลือกวิธีธรรมชาติที่อ่อนโยน หรือหัตถการที่เห็นผลรวดเร็วดี
ขอเปรียบเทียบทั้งสองแนวทาง เพื่อช่วยให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิว งบประมาณ และความต้องการมากที่สุด

ตารางเปรียบเทียบ รักษาฝ้าแบบธรรมชาติ vs หัตถการทางการแพทย์

 

วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ

วิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์

วิธีการ

ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ ขมิ้น มะนาว

ใช้เทคโนโลยี เช่น เลเซอร์, IPL

ความแรง

อ่อนโยน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย

เจาะลึกถึงเม็ดสีใต้ผิว เห็นผลเร็ว

ผลลัพธ์

เห็นผลช้า ต้องทำต่อเนื่อง 1-2 เดือนขึ้นไป

เห็นผลชัดใน 2-4 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับชนิดฝ้า)

ราคา

ประหยัด ใช้ของจากธรรมชาติในบ้านได้

ราคาสูงกว่า (หลักพัน - หลักหมื่น/ครั้ง)

ความเสี่ยง

แทบไม่มีถ้าทำถูกวิธี

อาจมีรอยแดง ลอก หรือผิวไวชั่วคราว ต้องทำโดยแพทย์

เหมาะกับใคร

ผู้ที่เริ่มเป็นฝ้า ฝ้าไม่ลึก ผิวแพ้ง่าย

ผู้มีฝ้าลึก ฝ้าดื้อยา ต้องการผลลัพธ์ไว

การดูแลหลังทำ

ทาครีมกันแดดและบำรุงผิว

ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดและบำรุงผิวอย่างเคร่งครัด

ข้อจำกัด

ไม่เหมาะกับฝ้าลึก หรือฮอร์โมนกระตุ้น

ต้องทำหลายครั้งจึงเห็นผลชัด (3-6 ครั้งขึ้นไป)

ควรเลือกวิธีรักษาฝ้าแบบไหนดี
เลือกรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ถ้าหากมีปัจจัยดังนี้
• ฝ้าตื้น สีไม่เข้มมาก
• ผิวแพ้ง่าย อยากลองวิธีอ่อนโยนก่อน
• งบน้อย หรืออยากดูแลตัวเองที่บ้าน
• มีเวลาทำต่อเนื่อง และใจเย็นพอที่จะรอผล

เลือกรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์ ถ้าหากมีปัจจัยดังนี้
• ฝ้าลึก ดื้อยา สีเข้ม
• รักษามาหลายวิธีแล้วไม่หาย
• ต้องการเห็นผลไว (เช่น ใกล้งานสำคัญ)
• พร้อมงบประมาณ และดูแลผิวหลังทำได้ดี

เลเซอร์รักษาฝ้าดีไหม ปลอดภัยไหม
การเลเซอร์รักษาฝ้า ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมมาก เพราะให้ผลลัพธ์ไว แต่หลายคนก็ยังมีข้อสงสัยว่า เลเซอร์รักษาฝ้าดีจริงไหม และ เลเซอร์รักษาฝ้าปลอดภัยหรือเปล่า มาพบคำตอบกันที่นี่

เลเซอร์รักษาฝ้าดีไหม ?
เลเซอร์รักษาฝ้ามีข้อดีหลายอย่าง เช่น
• เลเซอร์รักษาฝ้าเห็นผลไว โดยเฉพาะฝ้าตื้นหรือจุดด่างดำ จากการยิงทำลายเม็ดสีเมลานินใต้ผิวโดยตรง
• เลเซอร์รักษาฝ้าช่วยลดฝ้าได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (ที่ครีมทาทั่วไปเข้าไม่ถึง)
• เลเซอร์รักษาฝ้าช่วยให้ผิวหน้าโดยรวมกระจ่างใสขึ้น และกระตุ้นคอลลาเจน
• เลเซอร์รักษาฝ้าช่วยปรับสภาพสีผิวให้เรียบเนียน ลดความหมองคล้ำเฉพาะจุด
• เลเซอร์รักษาฝ้าไม่ต้องพักฟื้นนาน บางเทคนิคทำแล้วกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที

เลเซอร์รักษาฝ้าปลอดภัยไหม ?
เลเซอร์รักษาฝ้ามีความปลอดภัย หากใช้เครื่องเลเซอร์ของแท้ที่มีมาตรฐานและทำโดยแพทย์ นอกจากนี้ก่อนทำเลเซอร์รักษาฝ้าควรพิจารณา 3 ปัจจัย ดังนี้

• ประเภทของเลเซอร์ เช่น
- Q-switched Nd:YAG ช่วยลดเม็ดสีโดยตรง
- Pico laser แรงน้อยกว่าแต่เจาะลึกกว่า ทำลายเม็ดสีโดยไม่ทำร้ายผิวข้างเคียง
- Fractional Laser เน้นซ่อมแซมผิวและกระตุ้นคอลลาเจน
• สภาพผิวของผู้รับการรักษา ผิวบาง ผิวแพ้ง่าย ต้องเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสม
• หลังทำต้องดูแลผิวดีมาก
- หลีกเลี่ยงแดด 1-2 สัปดาห์
- ทาครีมกันแดดเคร่งครัด
- ใช้สกินแคร์อ่อนโยน ลดการอักเสบของผิว

ข้อควรระวัง
• เลเซอร์รักษาฝ้าควรต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้งขึ้นไป
• ฝ้าลึกจากฮอร์โมน อาจจางลงได้แต่ไม่หายขาด ต้องดูแลต่อเนื่อง
• ถ้าทำโดยผู้ไม่มีความรู้ อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ แสบ ลอก หรือฝ้าเข้มขึ้นกว่าเดิม

สรุป เลเซอร์รักษาฝ้าดีและปลอดภัย ถ้าเลือกถูกชนิด ทำกับแพทย์ผิวหนัง และดูแลหลังทำอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่าเลเซอร์ช่วยให้ฝ้าจางเร็ว ไม่ได้ทำให้หายขาดทันที

รักษาฝ้าแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกไหม
คำตอบคือ ฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ หลังจากการรักษาฝ้าแล้ว เพราะถึงแม้คุณจะรักษาฝ้าจนจางลงหรือแทบมองไม่เห็นแล้ว แต่ฝ้าก็สามารถกลับมาอีกได้ถ้าปัจจัยกระตุ้นยังคงอยู่ หรือถ้าหยุดดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจัยที่ทำให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำอีก
เหตุผลที่ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำอีกแม้รักษาฝ้าแล้ว เนื่องจากฝ้าเป็นปัญหาที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น
• แสงแดด (โดยเฉพาะรังสี UVA)
• ฮอร์โมนแปรปรวน (ยาคุม, วัยทอง, ความเครียด)
• พันธุกรรม
• การอักเสบของผิว การระคายเคือง
• ผิวบางเกินไปจากการใช้ครีมแรง ๆ

แม้จะรักษาฝ้าแล้ว แต่หากไม่ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ฝ้าก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น

วิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นฝ้าซ้ำอีก
ฝ้าอาจรักษาให้จางลงได้ แต่ถ้าไม่ดูแลต่อเนื่อง ก็มีโอกาสกลับมาเข้มขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเจอแสงแดด หรือมีความเครียด ฮอร์โมนแปรปรวน ดังนั้นการป้องกันก็สำคัญไม่แพ้การรักษาฝ้า

1.ป้องกันแสงแดดและรังสียูวี
แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นอันดับ 1 ของฝ้า แม้แค่เดินออกไปซื้อของ หรือแสงจากหน้าต่างบ้าน ก็พอให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นได้แล้ว
• ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ PA+++ ทุกวัน แม้ไม่ได้ออกแดด
• เลือกกันแดดที่ป้องกันทั้ง UVA / UVB / Visible Light / Blue light
• ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หากออกแดดหรือเหงื่อออก
• สวม หมวกปีกกว้าง / ร่ม / เสื้อแขนยาว เมื่ออยู่กลางแจ้ง
• หลีกเลี่ยงช่วงแดดแรงจัด 10:00 - 15:00 น.

2.บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการสร้างเม็ดสี
ผิวที่แข็งแรงจะต้านการเกิดเม็ดสีได้ดีกว่า ดังนั้นควรเน้นบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง
แนะนำส่วนผสมที่ควรใช้
• Niacinamide (วิตามิน B3) ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
• Vitamin C / Arbutin / Licorice extract ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ
• Tranexamic acid ลดการอักเสบและยับยั้งกระบวนการเกิดฝ้า
• Ceramide / Hyaluronic acid บำรุงให้เกราะผิวแข็งแรง

3.ดูแลสมดุลฮอร์โมนและลดความเครียด
ฮอร์โมนที่ไม่สมดุล เช่น จากการกินยาคุม / วัยทอง / นอนไม่พอ / เครียดสะสม ล้วนกระตุ้นฝ้าได้
• พักผ่อนให้เพียงพอ (อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง)
• ฝึกผ่อนคลาย เช่น โยคะ สมาธิ เดินช้าๆ หรือฟังเพลง
• หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและน้ำตาลมากเกินไป เพราะมีผลต่อฮอร์โมน
• หากกินยาคุมแล้วฝ้าขึ้น ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเปลี่ยนชนิด

4.บำรุงจากภายใน (อาหาร + วิตามิน)
สิ่งที่รับประทานเข้าไปส่งผลต่อสภาพผิวโดยตรง ขอแนะนำอาหารที่ช่วยป้องกันฝ้า เช่น
• ผักผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ บรอกโคลี
• ถั่วและธัญพืช เช่น งาดำ เมล็ดแฟลกซ์ อัลมอนด์
• ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสีย

5.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดฝ้า
นอกจากแสงแดด ยังมีอีกหลายสิ่งที่กระตุ้นให้ฝ้ากลับมาได้ ควรหลีกเลี่ยงดังนี้
• การอบซาวน่า / ทำอาหารหน้ากระทะร้อนๆ
• การอยู่ในห้องร้อนอบอ้าวเป็นเวลานาน
• ใช้สกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารระคายเคือง
• ขัดหน้า มาสก์กรดแรง ๆ บ่อยเกินไป

6.ตรวจสุขภาพผิวและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
หากคุณเคยเป็นฝ้าแบบลึกหรือฝ้าดื้อยา ควรหมั่นตรวจเช็กกับแพทย์ผิวหนัง เพื่อดูแนวโน้มการกลับมาของฝ้า และปรับการดูแลผิวหรือรักษาฝ้าให้เหมาะสม

สรุปเกี่ยวกับวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด
สรุปได้ว่า แม้ฝ้าจะเป็นปัญหาผิวที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% ในบางกรณี แต่เราสามารถดูแลรักษาไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นได้ หากเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสมและดูแลผิวอย่างถูกวิธี ทั้งการใช้สูตรรักษาฝ้าแบบธรรมชาติที่อ่อนโยน ไปจนถึงหัตถการรักษาฝ้าที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว

อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าการป้องกันมีความสำคัญไม่แพ้การรักษาฝ้า เช่น การทาครีมกันแดดทุกวัน พักผ่อนให้เพียงพอ บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดฝ้า ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมากระจ่างใส และลดโอกาสการกลับมาเป็นฝ้าซ้ำอีกในระยะยาว

สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรมรักษาฝ้า สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ นัดหมายปรึกษาแพทย์ ได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก
*ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ