โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ปาก คืออะไร เหมาะกับใคร อยู่ได้นานแค่ไหน
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ปาก , ฉีดโบท็อกซ์ปาก
ฉีดโบท็อกซ์ปาก คืออะไร เหมาะกับใคร อยู่ได้นานแค่ไหน
ฉีดโบท็อกซ์ปาก คืออะไร เหมาะกับใคร อยู่ได้นานแค่ไหน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหา “มุมปากตก” หรือ “ปากคว่ำ” ที่ทำให้ใบหน้าดูบึ้ง เคร่งเครียด หรือดูไม่เป็นมิตรแม้ในเวลาปกติ การฉีดโบท็อกซ์ปากอาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะในยุคที่ความสวยความงามสามารถปรับแต่งได้โดยไม่ต้องผ่าตัด การฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกมุมปากกลายเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะช่วยให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนโยน และเป็นมิตรมากขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที อีกทั้งยังไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น และเห็นผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ปาก ตั้งแต่หลักการทำงาน ข้อดี เทคนิคการฉีด จุดที่ต้องระวัง ใครเหมาะกับการฉีด และเปรียบเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ปากหรือการผ่าตัดปาก เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจที่สุด
ฉีดโบท็อกซ์ปากคืออะไร
การฉีดโบท็อกซ์ปาก หรือที่นิยมเรียกว่า ฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก คือหัตถการทางความงามที่แพทย์จะฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า Depressor Anguli Oris ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ดึงมุมปากให้ตกลง เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไป กล้ามเนื้อมัดนี้จะคลายตัว ไม่มีแรงดึงมุมปากลง ส่งผลให้มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าจึงดูสดใส อ่อนโยน และเป็นมิตรมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ปากคว่ำ หรืออยากปรับโหงวเฮ้งให้ปากดูยกขึ้นเหมือนอมยิ้ม
โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อเฉพาะจุด ให้ผลลัพธ์แบบชั่วคราว โดยมุมปากจะยกขึ้นเพียงเล็กน้อยและต้องฉีดซ้ำเมื่อฤทธิ์ยาหมด (โดยทั่วไปอยู่ได้ 4-6 เดือน) การฉีดโบท็อกซ์ปากเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ เพราะหากฉีดผิดตำแหน่งหรือใช้ปริมาณยาไม่เหมาะสม อาจทำให้ปากเบี้ยวหรือเสียรูปทรงได้
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ปาก
ฉีดโบท็อกซ์ปาก หรือ ฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก มีข้อดีหลายอย่าง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากตกหรือปากคว่ำ ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าดูดุหรือไม่สดใส ข้อดีที่โดดเด่นของการฉีดโบท็อกซ์ปาก ได้แก่
• ฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยยกมุมปากที่ตกให้ดูยกขึ้น แก้ไขปัญหามุมปากตกจากการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้รูปปากดูสดใสและเป็นมิตรมากขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์ปากปรับบุคลิกภาพและเสริมความมั่นใจ หลังฉีดใบหน้าจะดูอ่อนโยน สดใส ดูเด็กลง และมีเสน่ห์มากขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น เป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่มีรอยแผล และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันทีหลังฉีด
• ฉีดโบท็อกซ์ปากเห็นผลภายในระยะเวลาไม่นาน มักจะเริ่มเห็นผลภายใน 7-14 วันหลังฉีด และสามารถอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
• ฉีดโบท็อกซ์ปากราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการผ่าตัด เป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าและลดความเสี่ยงจากการศัลยกรรม
• ฉีดโบท็อกซ์ปากเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโหงวเฮ้งปาก ช่วยเสริมโหงวเฮ้งให้ปากดูยกขึ้นเหมือนอมยิ้ม
• ฉีดโบท็อกซ์ปากลดความหน้าดุ หน้าบึ้ง ช่วยให้ใบหน้าดูเป็นมิตรมากขึ้น
• ฉีดโบท็อกซ์ปากยกกระชับผิวบริเวณมุมปากที่หย่อนคล้อย เหมาะกับผู้ที่อายุมากขึ้นและมีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณมุมปาก
ฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยอะไรบ้าง
การฉีดโบท็อกซ์ปากเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ต้องการปรับรูปปากให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ และลดความรู้สึกเศร้าหมองบนใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ประโยชน์ของการฉีดโบท็อกซ์ปากมีดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
• มุมปากที่ตกจะทำให้ใบหน้าดูเศร้า เหนื่อย หรือหงุดหงิดแม้จะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
• การฉีดโบท็อกซ์ปากเพื่อยกมุมปากจะช่วยให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาและเป็นมิตรขึ้น
2.ฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยแก้ไขมุมปากตกจากอายุที่มากขึ้น
• เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อบางส่วนโดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Depressor Anguli Oris (DAO) ที่ดึงมุมปากลงจะทำงานมากเกินไป
• การฉีดโบท็อกซ์ปากจะช่วยคลายแรงของกล้ามเนื้อนี้ ทำให้มุมปากยกขึ้นในลักษณะธรรมชาติ
3.ฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยให้รูปปากดูสมดุลมากขึ้น
• สำหรับคนที่มีปัญหามุมปากสองข้างไม่เท่ากัน หรือปากเบี้ยวเล็กน้อย
• การฉีดโบท็อกซ์ปากสามารถช่วยปรับให้ริมฝีปากดูสมมาตรขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
4.ฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยลดรอยย่นและริ้วรอยบริเวณมุมปาก
• กล้ามเนื้อบริเวณนี้หากใช้งานบ่อย เช่น ยิ้ม พูด หัวเราะ อาจเกิดรอยย่นตามธรรมชาติ
• การฉีดโบท็อกซ์ปากช่วยให้ผิวเรียบตึงขึ้นและดูเรียบเนียนกว่าก่อนทำ
รูปทรงฉีดโบท็อกซ์ปากที่เหมาะกับคนไทย
รูปทรงฉีดโบท็อกซ์ปากที่เหมาะกับคนไทยมักเน้นให้ดูเป็นธรรมชาติและเข้ากับโครงหน้าของคนเอเชีย ซึ่งมีลักษณะโครงหน้ากลม หน้าหวาน ไม่คมชัดเหมือนชาวตะวันตก โดยรูปทรงปากยอดนิยมและเหมาะสม ได้แก่
• ทรงปากกระจับ เป็นทรงปากที่ได้รับความนิยมมากในไทย มีลักษณะโค้งเว้าตรงกลางริมฝีปากบน ทำให้ปากดูหวานละมุนและมีเสน่ห์ เหมาะกับโครงหน้าคนไทยที่ไม่ต้องการให้ปากดูหนาหรืออวบอิ่มเกินไป และยังสอดคล้องกับโหงวเฮ้งปากที่ดี
• ทรงปากปีกนก เป็นทรงที่มุมปากยกขึ้นคล้ายปีกนก เหมาะกับคนที่มีมุมปากตกหรือปากคว่ำ ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนหวานและเป็นมิตรมากขึ้น เหมาะกับโครงหน้าคนไทยที่ต้องการปรับลุคให้ดูสดใสขึ้น
• ทรงปากอวบอิ่มแบบธรรมชาติ เน้นให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ไม่โดดเด่นเกินไป เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการให้ริมฝีปากดูหนาหรือเจ่อเกินไป
โดยทั่วไป การเลือกทรงปากที่เหมาะสมกับคนไทยควรคำนึงถึงความสมดุลของริมฝีปากบนและล่างในอัตราส่วนประมาณ 1:1.6 และให้ริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบนเล็กน้อย รวมถึงมุมปากควรยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นมิตรและสดใส
รูปทรงปากกระจับและปากปีกนกเป็นทรงที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุด เพราะช่วยให้รูปปากเข้ากับโครงหน้าและดูเป็นธรรมชาติ ไม่โดดเด่นหรือดูไม่สมดุลเหมือนทรงปากสายฝอที่เน้นความอวบอิ่มมากเกินไป ซึ่งมักเหมาะกับโครงหน้าคนตะวันตกมากกว่า
เทคนิคฉีดโบท็อกซ์ปาก
ฉีดโบท็อกซ์ปาก หรือ ฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหามุมปากตกหรือปากคว่ำ ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนโยน สดใส และดูเด็กลง เทคนิคนี้เน้นการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เข้าไปที่กล้ามเนื้อ Depressor Anguli Oris ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ดึงมุมปากลง เมื่อกล้ามเนื้อนี้ถูกคลายตัว มุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อย
ขั้นตอนและเทคนิคสำคัญในการฉีดโบท็อกซ์ปากมีดังนี้
• เลือกตำแหน่งฉีดโบท็อกซ์ปากที่ถูกต้อง ต้องฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อ Depressor Anguli Oris เท่านั้น ไม่ใช่ฉีดที่มุมปากโดยตรง เพราะถ้าฉีดผิดตำแหน่ง เช่น ไปโดนกล้ามเนื้อ Zygomaticus Major อาจทำให้ปากเบี้ยวหรือเสียรูปทรงได้
• ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์ปาก ปริมาณที่ใช้ต้องเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไปใช้ในปริมาณน้อย เพื่อป้องกันการกระจายของตัวยาไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปากเบี้ยว หรือมุมปากไม่เท่ากัน
• เทคนิคการฉีดโบท็อกซ์ปาก แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดตัวยาเข้าไปอย่างแม่นยำที่ตำแหน่งกล้ามเนื้อเป้าหมาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย
• การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก ควรงดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด งดสครับ เลเซอร์ แว็กซ์ผิวหรือนวดหน้า 2-3 วัน และแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว
• การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก หลังฉีดควรงดนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด งดออกกำลังกายหนัก 24 ชั่วโมง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้ที่สนใจฉีดโบท็อกซ์ปากหรือฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจเสมอ
โหงวเฮ้งปากที่ดี - ไม่ดี ดูอย่างไร
ปัจจุบันมีหลายคนต้องการฉีดโบท็อกซ์ปากเพื่อปรับโหงวเฮ้ง ดังนั้นก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก ควรรู้ว่าลักษณะโหงวเฮ้งปากที่ดีและไม่ดีเป็นอย่างไร สามารถสังเกตได้จากลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
ลักษณะโหงวเฮ้งปากที่ดี
• รูปทรง
- มีขอบปากชัดเจน และมีหยัก
- มีขนาดความกว้างของปากที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง
- ริมฝีปากเรียบเนียนไม่มีริ้วรอย
- มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นเล็กน้อย หรือตรง ไม่คว่ำลง
- ปากมีลักษณะอวบอิ่มได้รูป
- ปากมีรูปทรงเป็นกระจับรับกับใบหน้า
• สี ริมฝีปากมีสีชมพูระเรื่อ ดูสุขภาพดี และชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก
• ลักษณะโดยรวม ช่วยเพิ่มเสน่ห์ต่อผู้พบเห็น บ่งบอกถึงการเจรจาดี สื่อสารดี และได้รับการช่วยเหลืออุปถัมภ์
ลักษณะโหงวเฮ้งปากที่ไม่ดี
• รูปทรง
- ปากคว่ำ เป็นคนดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ค่อยฟังใคร มักขัดแย้งกับผู้อื่นได้ง่าย
- มุมปากตก ดูเศร้าหมอง ไม่น่ามอง ไม่น่าคบหา ดูเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่
- ริมฝีปากมีริ้วรอย ทำนายว่าชีวิตต้องเผชิญกับการทำงานหนัก ไม่ค่อยมีคนเคารพ ไม่มีเสน่ห์
• ลักษณะภายนอก ปากแห้ง ดำ บาง หรือหนาเกินไป
โหงวเฮ้งปากที่ดีจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในการสื่อสารเจรจา และเพิ่มความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทั้งนี้ลักษณะโหงวเฮ้งที่ดีนั้นจะต้องอาศัยองค์ประกอบของโครงใบหน้าโดยรวม หรือเรียกว่าโหงวเฮ้งใบหน้าร่วมด้วย
ใครบ้างที่ควรฉีดโบท็อกซ์ปากกระจับ
ผู้ที่ควรฉีดโบท็อกซ์ปากกระจับ หรือฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก ได้แก่
• การฉีดโบท็อกซ์ปากเหมาะกับผู้ที่มีปัญหามุมปากตกหรือปากคว่ำ ทำให้ใบหน้าดูบึ้ง ไม่สดใส ต้องการปรับให้มุมปากยกขึ้น ดูเป็นมิตรและสดชื่นมากขึ้น
• การฉีดโบท็อกซ์ปากเหมาะกับผู้ที่เริ่มมีอายุและมีผิวหนังบริเวณมุมปากหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
• การฉีดโบท็อกซ์ปากเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดยกมุมปาก เพราะกลัวเจ็บหรือไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
• การฉีดโบท็อกซ์ปากเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงปากให้สวยงามขึ้น และเสริมโหงวเฮ้งตามลักษณะทรงปากที่ดี
• การฉีดโบท็อกซ์ปากเหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากไม่เท่ากัน ต้องการปรับสมดุลมุมปากให้ดูเท่ากันมากขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ผ่าตัดปาก
หลายคนอาจยังลังเลว่าระหว่างฉีดโบท็อกซ์หรือผ่าตัดปาก ควรเลือกทำแบบไหนดี ? เมื่อเปรียบเทียบฉีดโบท็อกซ์ปากกับผ่าตัดปาก สามารถสรุปเป็นตารางได้ดังนี้
|
ฉีดโบท็อกซ์ปาก |
ผ่าตัดปาก |
วิธีการ |
ฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซินเข้าไปคลายกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก เพื่อยกมุมปากให้ดูสดใสขึ้น |
ผ่าตัดตัดแต่งเนื้อเยื่อบริเวณริมฝีปากเพื่อปรับรูปทรงปากให้ถาวร |
ระยะเวลาในการทำ |
ใช้เวลาสั้น ไม่เกิน 30 นาที |
ใช้เวลานานกว่า และต้องเตรียมตัวมากขึ้น |
ผลลัพธ์ |
เห็นผลภายในไม่กี่วัน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถาวร อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน |
ผลลัพธ์ถาวร ไม่ต้องฉีดซ้ำ แต่ต้องรอพักฟื้นนานกว่า 7-9 วัน และอาจมีรอยแผลเป็น |
การพักฟื้น |
แทบไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตปกติได้ทันที |
ต้องพักฟื้นนานกว่า อาจมีอาการบวม แผล และต้องดูแลแผลอย่างระมัดระวัง |
ความปลอดภัยและความเสี่ยง |
ปลอดภัยสูง แต่ถ้าแพทย์ไม่มีประสบการณ์ อาจเกิดปากเบี้ยวหรือผลลัพธ์ไม่สมส่วน |
มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ แผลเป็น หรือบวมมาก |
ราคา |
ราคาประมาณ 10,000-14,000 บาทต่อครั้ง (ขึ้นกับคลินิกและปริมาณยา) |
ราคาประมาณ 15,000-25,000 บาท (ขึ้นกับคลินิกและเทคนิคผ่าตัด) |
ความเหมาะสม |
เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปปากแบบชั่วคราว ไม่ต้องการผ่าตัด หรือกลัวการพักฟื้น |
เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร ไม่กลัวการผ่าตัด และพร้อมรับการพักฟื้น |
สรุป ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ผ่าตัดปาก เลือกทำแบบไหนดี
• ฉีดโบท็อกซ์ปาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับมุมปากให้ดูสดใสขึ้นแบบชั่วคราว โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน และต้องการความรวดเร็ว
• ผ่าตัดปาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวรและไม่กังวลเรื่องการพักฟื้นหรือแผลหลังผ่าตัด
อย่างไรก็ตามการเลือกวิธีใดควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการส่วนตัวอย่างละเอียด
ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดโบท็อกซ์ปากและฉีดฟิลเลอร์ปากมีความแตกต่างกันในหลายด้าน ดังนี้
1.กลไกการทำงาน ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ฉีดฟิลเลอร์ปาก
• โบท็อกซ์ (Botox) จะออกฤทธิ์โดยไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดการขยับที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยหรือความตึงเกินไป เช่น ลดกล้ามเนื้อกรามใหญ่เพื่อให้หน้าดูเรียว หรือปรับรูปปากให้ดูบางลงโดยการลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
• ฟิลเลอร์ (Filler) จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรในชั้นผิวหรือใต้ผิวหนัง เช่น เติมริมฝีปากให้ดูอิ่มฟูขึ้น หรือเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ ทำให้ผิวดูเต่งตึงและมีวอลลุ่มมากขึ้น
2.ผลลัพธ์ที่ได้ ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ฉีดฟิลเลอร์ปาก
• โบท็อกซ์ช่วยลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยลดลงและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นได้ แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
• ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ในการเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มและปรับรูปทรงได้ทันที ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นกับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้
3.จุดประสงค์การใช้งาน ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ฉีดฟิลเลอร์ปาก
• โบท็อกซ์เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดกล้ามเนื้อที่ทำให้ปากดูหนาหรือไม่สมส่วน เช่น กล้ามเนื้อบริเวณริมฝีปากที่เกร็งเกินไปหรือกล้ามเนื้อกรามใหญ่
• ฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตรริมฝีปากให้ดูอิ่มฟู หรือปรับรูปทรงปากให้สวยงามและสมดุลมากขึ้น
4.การสลายตัว ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ฉีดฟิลเลอร์ปาก
• ทั้งโบท็อกซ์และฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ 100% โดยโบท็อกซ์จะสลายเร็วกว่า (4-6 เดือน) ส่วนฟิลเลอร์อยู่ได้นานกว่า (6-24 เดือน)
สรุป ฉีดโบท็อกซ์ปาก vs ฉีดฟิลเลอร์ปาก
• หากต้องการลดกล้ามเนื้อบริเวณปากหรือกรามเพื่อให้ปากดูเล็กลงหรือเรียวขึ้น ควรเลือกฉีดโบท็อกซ์ปาก
• หากต้องการเพิ่มความอิ่มฟู เติมเต็มริมฝีปาก หรือปรับรูปทรงปากให้ดูสวยงาม ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ปาก
• ทั้งการฉีดโบท็อกซ์ปากและการฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถทำร่วมกันได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในกรณีที่มีปัญหาหลายอย่างร่วมกัน
ดังนั้นการเลือกฉีดโบท็อกซ์ปากหรือฟิลเลอร์ปากขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
ผ่าตัดทำปากบางมาแล้วบางเกินไป เติมโบท็อกซ์ปากแก้ได้ไหม
กรณีผ่าตัดทำปากบางมาแล้วปากบางเกินไป การฉีดโบท็อกซ์ปากไม่ใช่วิธีแก้ไขที่เหมาะสม เพราะโบท็อกซ์มีหน้าที่หลักในการคลายกล้ามเนื้อเพื่อยกมุมปากให้ดูสดใสขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเพิ่มความอวบอิ่มหรือเติมเต็มริมฝีปากที่บางเกินไป
หากต้องการแก้ไขปากบางเกินไปหลังผ่าตัด ควรพิจารณาฉีดฟิลเลอร์ปาก เพราะการเติมฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) จะเพิ่มมิติและความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก ช่วยปรับรูปทรงปากให้ดูเต็มขึ้นมากกว่า
ทั้งนี้การฉีดโบท็อกซ์ปากอาจช่วยในกรณีที่มีปัญหามุมปากตกหรือปากคว่ำร่วมด้วย โดยจะช่วยยกมุมปากให้ดูสดใสขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความบางของริมฝีปากได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินและแนะนำวิธีเติมเต็มริมฝีปากที่เหมาะสม
ฉีดโบท็อกซ์ปากอันตรายหรือไม่
ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่ใช่เรื่องอันตรายร้ายแรง หากทำโดยแพทย์ ใช้โบท็อกซ์แท้ และคลินิกที่ได้มาตรฐาน แต่ต้องระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดโบท็อกซ์ปาก เช่น
• อาการปากเบี้ยวหรือมุมปากไม่เท่ากัน เกิดจากการฉีดผิดตำแหน่งหรือโบท็อกซ์กระจายตัวไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียง ซึ่งจะทำให้ยิ้มไม่สุดหรือปากดูผิดรูป
• อาการบวม แดง หรือช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้หลังฉีด
• ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ หากฉีดในสถานที่ที่ไม่สะอาด หรือโดยบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาต
• ผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ภาวะโบทูลิซึม (Botulism) ซึ่งพบในกรณีใช้โบท็อกซ์ปลอมหรือฉีดผิดวิธี โดยอาจทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หายใจลำบาก และอาจถึงชีวิตได้
ฉีดโบท็อกซ์ปากครั้งแรก มีขั้นตอนอย่างไร
สำหรับผู้ที่ไม่เคยฉีดโบท็อกซ์ปากมาก่อน ควรรู้ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ปากครั้งแรกไว้เป็นแนวทาง ดังนี้
1.ศึกษาข้อมูลก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์, ยี่ห้อ, และวิธีการตรวจสอบโบท็อกซ์ของแท้
2.เลือกคลินิกและแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก เลือกคลินิกและแพทย์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี
3.ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก พบแพทย์เพื่อประเมินรูปหน้าและสภาพผิว และปรึกษาเกี่ยวกับความต้องการและผลลัพธ์ที่คาดหวัง
4.การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก
• งดยาและวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอี, น้ำมันปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการเสียเลือดมากและอาการฟกช้ำ
• งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
• งดคอร์สเลเซอร์, แว็กซ์ผิว หรือนวดหน้าบริเวณที่จะฉีด 2-3 วันก่อนฉีด เพื่อลดอาการเขียวช้ำ
• แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีปัญหาสุขภาพหรือโรคประจำตัว
• ล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดใบหน้าให้เรียบร้อยก่อนพบแพทย์
5.ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ปาก
• แพทย์จะทำการแกะกล่องใหม่และผสมยาให้ดูต่อหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นโบท็อกซ์แท้4 ในปริมาณที่เต็มโดส
• ทายาชาหรือประคบเย็นบริเวณที่จะฉีด เพื่อลดความเจ็บขณะฉีด
• แพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ในตำแหน่งที่ต้องการรักษาด้วยเข็มขนาดเล็ก
• ระยะเวลาในการฉีดประมาณ 10-15 นาที
6.การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
• พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทุก ๆ 15 นาที ใน 4 ชั่วโมงแรก เพื่อให้โบท็อกซ์กระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
• หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือเอนศีรษะอย่างน้อย 4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อป้องกันโบท็อกซ์ไหลไปยังบริเวณข้างเคียง
• หลังครบ 4 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าและทาครีมบำรุงได้ แต่ให้งดแต่งหน้า 1 วัน
• หลีกเลี่ยงการโดนความร้อน หรือทำเลเซอร์ความร้อนที่ลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด
• หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การอบซาวน่า แช่น้ำอุ่น หรือออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะจะทำให้โบท็อกซ์สลายเร็วขึ้น
• งดการนวดกดจุดบริเวณที่ฉีด 1 เดือน หลังฉีด
7.ติดตามผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก คลินิกจะมีการนัดติดตามผลลัพธ์ โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลหลังฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปากเบี้ยว ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก มีข้อแนะนำสำคัญดังนี้
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากงดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี, น้ำมันปลา, สมุนไพรบางชนิด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการฟกช้ำและเลือดออกง่าย
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เส้นเลือดขยายและเพิ่มความเสี่ยงฟกช้ำ
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากแจ้งประวัติสุขภาพและโรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบ รวมถึงยาที่รับประทานอยู่ เพื่อความปลอดภัย
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากล้างหน้าให้สะอาด ไม่ทาครีมหรือเครื่องสำอางก่อนเข้ารับการฉีด
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดไหลเวียนแรง เช่น ออกกำลังกายหนัก อบซาวน่า หรือโดนความร้อนจัด อย่างน้อย 1-2 วันก่อนฉีด
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากงดสครับ เลเซอร์ แว็กซ์ หรือการนวดหน้า บริเวณที่จะฉีด 2-3 วันก่อนฉีด
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด แจ้งความต้องการและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้แพทย์วางแผนฉีดได้ตรงจุดและปลอดภัย
• ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากเลือกคลินิกและแพทย์ ที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน และใช้โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงผลข้างเคียง ทำให้ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ปากออกมาดี และลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงมากขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์ปาก ควรใช้ยี่ห้อไหน รุ่นไหนดีที่สุด
สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ปากหรือโบท็อกซ์ยกมุมปาก ยี่ห้อที่แนะนำและได้รับความนิยม มีดังนี้
• Allergan (โบท็อกอเมริกา)
เป็นโบท็อกซ์ยี่ห้อแรกของโลกที่ได้รับการยอมรับและมีงานวิจัยรองรับมากกว่า 3,500 งาน คุณสมบัติเด่นคือความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% และการกระจายตัวยาแคบ ทำให้ผลลัพธ์แม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการฉีดในตำแหน่งที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ยกมุมปาก
• Xeomin (โบท็อกเยอรมัน)
มีคุณสมบัติอยู่กึ่งกลางระหว่างโบท็อกอเมริกาและอังกฤษ คือมีความบริสุทธิ์สูงและตัวยาไม่กระจุก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโบท็อกซ์คุณภาพสูงและผลลัพธ์ที่คงที่
• Nabota และ Aestox (โบท็อกเกาหลี)
ทั้งสองยี่ห้อมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% และออกฤทธิ์ไว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ หน้าไม่แข็งเกินไป Nabota ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย Hi-Pure Technology ส่วน Aestox เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลุคหวานแบบสาวเกาหลี
• Dysport (โบท็อกอังกฤษ)
เหมาะสำหรับการฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก ยกกระชับกรอบหน้าและลิฟท์หน้า แต่ไม่ควรฉีดบ่อยเพราะอาจเกิดการดื้อยาได้
ฉีดโบท็อกซ์ปากกระจับ อวบอิ่ม ใช้กี่ยูนิต
การฉีดโบท็อกซ์ปากกระจับเพื่อให้ปากดูอวบอิ่ม แพทย์จะประเมินจากปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อกำหนดจำนวนยูนิตที่เหมาะสม การฉีดโบท็อกซ์บริเวณปากเป็นการปรับรูปทรงโดยคลายกล้ามเนื้อ ไม่ได้เพิ่มปริมาตร หากต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม อาจพิจารณาการฉีดฟิลเลอร์ควบคู่กัน
• โบท็อกซ์ (Botox) โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ 4-6 ยูนิต เพื่อปรับทรงและยกมุมปากเล็กน้อย
• ฟิลเลอร์ (Filler) ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับรูปทรงปากเดิม ในเคสที่ปากบาง อาจใช้ถึง 2-3 CC เพื่อสร้างขอบปาก เติมกระจับ และยกมุมปาก
การฉีดโบท็อกซ์ทั่วหน้าอาจใช้ 100-165 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหาและปริมาณกล้ามเนื้อ โบท็อกซ์ 50 ยูนิต เหมาะกับการฉีดเฉพาะจุด เช่น กราม หรือริ้วรอยทั่วใบหน้า แต่หากต้องการฉีดหลายจุด 100 ยูนิตจะคุ้มค่ากว่า
หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรูปทรงที่ต้องการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ฉีดโบท็อกซ์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีดโบท็อกซ์ปากหรือโบท็อกซ์ยกมุมปาก ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 3-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ภายใน 7-14 วันหลังฉีด โดยโบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ดึงมุมปากให้ตก ทำให้มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดูสดใสและเป็นมิตรมากขึ้น
ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้นั้นโดยทั่วไปจะอยู่ประมาณ 3-4 เดือนสำหรับบริเวณยกมุมปาก แต่บางรายอาจอยู่ได้นานถึง 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้และการดูแลตัวเองหลังฉีด เช่น
• โบท็อกซ์ Allergan อยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน
• โบท็อกซ์ยี่ห้ออื่น เช่น Dysport, Xeomin, Nabota, Aestox อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
สรุปคือ ฉีดโบท็อกซ์ปากจะเห็นผลใน 1-2 สัปดาห์แรก และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นกับหลายปัจจัยทั้งชนิดโบท็อกซ์และการดูแลตัวเองหลังฉีด เช่น งดนวดบริเวณที่ฉีด งดออกกำลังกายหนัก และหลีกเลี่ยงความร้อนจัด จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
จุดสังเกตโบท็อกซ์แท้ยี่ห้อต่าง ๆ
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก ควรรู้จักการสังเกตโบท็อกซ์แท้ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี
• บรรจุภัณฑ์และกล่อง
โบท็อกซ์แท้จะมีซีลป้องกันการเปิด กล่องและขวดมีเลข Lot.ตรงกันทั้งสองจุด (บนกล่องและบนขวด) พร้อมเลขทะเบียน อย.และเอกสารกำกับภาษาไทยครบถ้วน เช่น โบท็อกซ์ Allergan มีซีลข้างกล่องและเลข Lot.ตรงกัน
• แหล่งที่มาและการรับรอง
โบท็อกซ์แท้ต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาที่เชื่อถือได้ เช่น US FDA, Thai FDA หรือ KFDA (เกาหลี) เช่น Nabota ผ่าน US FDA, Aestox ผ่าน KFDA และ Thai FDA
• ความบริสุทธิ์ของตัวยา
โบท็อกซ์แท้จะมีความบริสุทธิ์สูง เช่น Allergan และ Aestox มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% ซึ่งช่วยลดโอกาสดื้อยาและผลข้างเคียง
• ลักษณะตัวยาและการเก็บรักษา
โบท็อกซ์แท้จะต้องเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสตลอดเวลา เพื่อรักษาคุณภาพตัวยา หากพบโบท็อกซ์ที่ไม่ได้เก็บในอุณหภูมินี้หรือไม่มีการควบคุม อาจเป็นของปลอมหรือเสื่อมคุณภาพ
• การซื้อและฉีดจากแพทย์
ควรฉีดกับแพทย์ที่มีใบอนุญาตและประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าใช้โบท็อกซ์แท้และปลอดภัย
• ราคาและแหล่งจำหน่าย
โบท็อกซ์แท้จะมีราคาสูงกว่าของปลอมอย่างชัดเจน หากราคาถูกเกินจริงควรระวัง เพราะอาจเป็นโบท็อกซ์ปลอมหรือโบท็อกซ์ที่ไม่มีมาตรฐาน
หากฉีดโบท็อกซ์ปลอมจะมีอาการอย่างไร
โบท็อกซ์ปลอมอาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน, โบท็อกซ์หิ้วที่นำเข้าอย่างผิดกฎหมาย, หรือยาที่ไม่ได้เก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากฉีดโบท็อกซ์ปลอม ไม่ว่าจะฉีดโบท็อกซ์ปากหรือบริเวณอื่น ๆ อาจมีอาการดังนี้
• ไม่ได้ผลลัพธ์ กรามไม่ลง, ริ้วรอยไม่หาย, หน้าไม่ตึง, หรือตัวยาหมดฤทธิ์เร็ว
• ผลข้างเคียงจากการกระจายตัวของยา หนังตาตก, คิ้วตก, ปากเบี้ยว, หรือใบหน้าผิดรูป
• อาการแพ้และติดเชื้อ ผื่นแดง, คัน, ลมพิษ, ผิวไวต่อแสง, หรือการอักเสบรุนแรง
• ดื้อโบท็อกซ์ ได้ผลดีในครั้งแรก ๆ แต่ครั้งต่อ ๆ ไปไม่ได้ผล หรือต้องฉีดบ่อยขึ้น
• การติดเชื้อ อาจนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง (Mycobacterium abscessus)
• สารตกค้างใต้ผิวหนัง ก่อให้เกิดเชื้อดื้อยา
เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการฉีดโบท็อกซ์ปลอม ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีใบอนุญาตและคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีเลขทะเบียนและเอกสารกำกับภาษาไทยครบถ้วน หากมีอาการผิดปกติหลังฉีด ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับใครบ้าง
การฉีดโบท็อกซ์ปากเป็นหัตถการที่ช่วยลดริ้วรอยและปรับรูปปากให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ต่อไปนี้คือกลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์บริเวณปาก
1.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
• ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาทางการแพทย์ที่เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของโบท็อกซ์ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
• อาจมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์หรือผ่านทางน้ำนมแม่ แม้โอกาสจะน้อยมากก็ตาม
2.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ
• เช่น Myasthenia Gravis, Lambert-Eaton syndrome, หรือ ALS
• โบท็อกซ์อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น หรือกลืนลำบาก
3.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้โปรตีนจากเชื้อโบทูลินัม
• โบท็อกซ์เป็นสารสกัดจาก Botulinum toxin type A หากมีประวัติแพ้อย่างรุนแรง (anaphylaxis) ต้องหลีกเลี่ยงเด็ดขาด
4.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับผู้ที่มีการอักเสบ ผิวหนังติดเชื้อ หรือเป็นแผลบริเวณที่จะฉีด
• การฉีดโบท็อกซ์ลงบนบริเวณที่มีการติดเชื้ออาจทำให้อาการแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อลุกลาม
5.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับผู้ที่มีความคาดหวังไม่สอดคล้องกับผลลัพธ์จริง
• เช่น ต้องการให้ปากเป๊ะเหมือนศัลยกรรม หรือเชื่อว่าโบท็อกซ์จะแก้ไขรูปร่างปากถาวร
• โบท็อกซ์ให้ผลลัพธ์ชั่วคราว (3-6 เดือน) และการเปลี่ยนแปลงที่ได้อาจไม่ตรงตามจินตนาการ
6.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับผู้ที่รับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด
• ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin วิตามิน E หรือ น้ำมันปลา อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดรอยช้ำ
• ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบและปรับการใช้ยาก่อนฉีด
7.ฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์การรักษา
• โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีปัญหาริ้วรอยที่แสดงชัดแล้วเท่านั้น
ฉีดโบท็อกซ์ปาก รีวิว
รีวิว ฉีดโบท็อกซ์ปาก หรือ ฉีดโบท็อกซ์ยกมุมปาก ที่ รมย์รวินท์คลินิก จากผู้ใช้บริการจริง
ฉีดโบท็อกซ์ปาก ที่ไหนดี
การฉีดโบท็อกซ์ปากเพื่อยกมุมปากให้ยิ้มดูเป็นมิตร เป็นหัตถการที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก เพราะบริเวณรอบปากเป็นจุดที่มีกล้ามเนื้อซับซ้อนและเคลื่อนไหวตลอดเวลา หากฉีดผิดจุดหรือใช้เทคนิคไม่ถูกต้อง อาจทำให้ปากแข็ง พูดไม่ชัด หรือยิ้มผิดรูปได้
ดังนั้นการเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ขอแนะนำวิธีเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์ปากอย่างไรให้ปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์ปากที่ไหนดี
1.ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากตรวจสอบว่าแพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ
เลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางผิวหนังหรือศัลยกรรมความงาม ซึ่งสามารถประเมินกล้ามเนื้อรอบปากได้อย่างแม่นยำ และมีประสบการณ์ในการฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้ ควรมีการให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนทำ และสามารถอธิบายตำแหน่งที่ฉีดได้อย่างชัดเจน
• มีชื่อแพทย์ระบุชัดเจน พร้อมเลขใบประกอบวิชาชีพ
• มีรีวิวจากลูกค้าจริง หรือผลงานก่อน-หลังทำที่เชื่อถือได้
2.ใช้ยาโบท็อกซ์แท้ มีใบรับรองชัดเจน
โบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดอาการดื้อยา ไม่เห็นผล หรือเกิดผลข้างเคียงระยะยาว ควรเลือกคลินิกที่ใช้โบท็อกซ์แท้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Allergan (อเมริกา), Nabota (เกาหลี), Xeomin (เยอรมนี) เป็นต้น
สิ่งที่ควรขอก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก
• กล่องยาและขวดจริงก่อนฉีด
• ดูเลขล็อตสินค้า และสติกเกอร์ อย.
• ถ่ายภาพกล่องและขวดไว้ทุกครั้ง
3.มีการประเมินรูปปากก่อนฉีดโบท็อกซ์ปากอย่างละเอียด
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก แพทย์ควรทำการวิเคราะห์รูปหน้า กล้ามเนื้อ และความต้องการของคนไข้ เพื่อเลือกตำแหน่งฉีดที่เหมาะสม ไม่ใช่ฉีดตามสูตรตายตัว เพราะรูปปากของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างที่แพทย์ควรประเมิน
• ตำแหน่งกล้ามเนื้อที่ทำให้ปากตก
• การยิ้มแล้วเห็นเหงือก (Gummy Smile)
• รอยย่นรอบปากจากการพูดหรือแสดงสีหน้า
4.มีการติดตามผลหลังฉีด และบริการหลังการขาย
คลินิกที่ดีควรมีระบบติดตามผลหลังทำ เช่น นัดติดตาม 2 สัปดาห์หลังฉีด ตรวจสอบผลลัพธ์ และดูแลหากมีอาการผิดปกติ รวมถึงมีช่องทางให้ปรึกษาแพทย์ได้อย่างสะดวก
• ควรเลือกคลินิกที่มีนัดติดตามผลหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
• ควรเลือกคลินิกที่ให้บริการแก้ไขกรณีผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์
• ควรเลือกคลินิกที่ติดต่อสอบถามผ่าน LINE โทรศัพท์ หรือช่องทางอื่น ๆ ได้จริง
5.สถานที่สะอาด ได้มาตรฐาน
คลินิกควรมีใบอนุญาตดำเนินกิจการถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุข และดูแลด้านความสะอาด ปลอดเชื้อ มีอุปกรณ์ครบครัน และใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อเท่านั้น
ฉีดโบท็อกซ์ปาก ราคาเท่าไหร่
ราคาการฉีดโบท็อกซ์ปากโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อและจำนวนยูนิตที่ใช้ โดยประมาณมีดังนี้
• โบท็อกซ์ปากใช้จำนวนยูนิตไม่มาก ประมาณ 4-6 ยูนิต
• ราคาต่อยูนิตแตกต่างกันตามยี่ห้อ เช่น
- โบท็อกซ์อเมริกา (Allergan) ราคาประมาณ 10,000 บาทต่อ 50 ยูนิต
- โบท็อกซ์เกาหลี เช่น Nabota, Aestox ราคาประมาณ 6,999 - 9,000 บาทต่อ 100 ยูนิต
• โดยทั่วไปฉีดโบท็อกซ์เฉพาะจุดเล็กๆ เช่น ปาก ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 3,000-5,000 บาท ขึ้นกับคลินิกและยี่ห้อที่เลือกใช้
• หากฉีดหลายจุดหรือฉีดทั่วหน้า ราคาจะสูงขึ้นตามจำนวนยูนิตที่ใช้
เนื่องจากฉีดโบท็อกซ์ปากใช้ยูนิตน้อย ราคาจึงไม่สูงมาก แต่ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปริมาณและยี่ห้อที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไร
หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก มีวิธีการดูแลตัวเองเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีและอยู่ได้นาน ดังนี้
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที เช่น ยิ้ม ขมวดคิ้ว หรือเคี้ยวหมากฝรั่งประมาณ 10-15 ครั้งใน 30 นาทีแรก เพื่อช่วยให้โบท็อกซ์ดูดซึมเข้าสู่เซลล์ประสาทได้ดีขึ้น
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากนั่งตัวตรง หลีกเลี่ยงการนอนราบ หรืองอศีรษะต่ำกว่าระดับหัวใจ อย่างน้อย 4 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อป้องกันโบท็อกซ์ไหลไปยังตำแหน่งอื่น
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากงดนวด กด หรือถูบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายผิดตำแหน่ง
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากงดแต่งหน้าและใช้สกินแคร์ที่มีสารระคายเคือง เช่น กรดวิตามินเอ AHA, BHA ในวันแรกหลังฉีด
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น อาจทำให้โบท็อกซ์สลายเร็วและเพิ่มโอกาสฟกช้ำ
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด เพราะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากงดออกกำลังกายหนักและหลีกเลี่ยงความร้อนจัด เช่น ซาวน่า เลเซอร์ หรืออบไอน้ำ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากประคบเย็นเฉพาะกรณีที่บวมช้ำเล็กน้อย แต่ไม่ควรประคบเย็นทันทีหลังฉีด เพราะอาจขัดขวางการดูดซึมของโบท็อกซ์
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากล้างหน้าและดูแลผิวอย่างอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขัดถูแรง ๆ
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากหากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เช่น ปากเบี้ยว ปวดรุนแรง หรือบวมมาก
ฉีดโบท็อกซ์ปากกี่วันทาลิปได้
หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก ควรรอประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนทาลิปสติกหรือแต่งหน้าบริเวณริมฝีปาก เพื่อป้องกันการรบกวนการกระจายตัวของโบท็อกซ์และลดความเสี่ยงผลข้างเคียง เช่น การไหลของยาไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียงที่ไม่ต้องการ
โดยทั่วไปโบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์และรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีดใน 3-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ภายใน 7-14 วันหลังฉีด ดังนั้นหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก ควรรออย่างน้อย 1 วันก่อนทาลิปสติก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ฉีดโบท็อกซ์ปาก เป็นก้อน เกิดจากอะไร
อาการฉีดโบท็อกซ์ปากเป็นก้อน มักไม่ใช่อาการปกติและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
• ฉีดโบท็อกซ์ปากผิดชั้นหรือผิดตำแหน่ง ทำให้ตัวยาไปกระตุ้นกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการ เกิดการอักเสบหรือก้อนแข็งบริเวณปาก
• ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์ปากมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแรงผิดปกติ และเกิดก้อนแข็งหรือบวม
• เทคนิคการฉีดโบท็อกซ์ปากที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้าแพทย์ขาดประสบการณ์ อาจทำให้ตัวยากระจายไม่สม่ำเสมอ เกิดก้อนหรือความไม่เรียบเนียน
• การติดเชื้อหรืออักเสบหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก อาจเกิดจากการฉีดในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด หรือใช้โบท็อกซ์ปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน
• กล้ามเนื้อบริเวณกรามหรือมุมปากที่แข็งแรงมาก อาจทำให้รู้สึกมีก้อนปูดเมื่อเคี้ยวหรือขยับปาก ซึ่งมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
ข้อแตกต่างกับการเป็นก้อนหลังฉีดฟิลเลอร์ คือ ก้อนหลังฉีดฟิลเลอร์มักเกิดจากเนื้อฟิลเลอร์ที่ยังบวม หรือการจับตัวเป็นก้อนของฟิลเลอร์ ซึ่งต้องแยกจากโบท็อกซ์ที่เป็นสารคลายกล้ามเนื้อ
สรุป ฉีดโบท็อกซ์ปากเป็นก้อนมักเกิดจากการฉีดผิดตำแหน่ง ปริมาณยาไม่เหมาะสม หรือการติดเชื้อ ควรเลือกฉีดกับแพทย์และคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยง และหากพบอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ฉีดโบท็อกซ์ปาก เจ็บไหม
การฉีดโบท็อกซ์ปากจะมีความรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเข็มที่ใช้มีขนาดเล็ก อาจรู้สึกจี๊ด ๆ หรือเหมือนมดกัดในขณะฉีด ซึ่งเป็นความเจ็บที่ทนได้และมักหายเร็ว หากกลัวเจ็บสามารถแจ้งแพทย์เพื่อแปะยาชาหรือประคบน้ำแข็งก่อนฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บได้
หลังฉีดอาจมีอาการตึง ๆ หรือปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงปกติและจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน หากมีอาการเจ็บปวดมาก หรือบวม แดง ร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากการฉีดผิดวิธีหรือใช้โบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
สรุปคือ การฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เจ็บมาก และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมักเป็นเพียงชั่วคราว หากเลือกฉีดกับแพทย์และคลินิกได้มาตรฐานจะช่วยลดความเจ็บและความเสี่ยงได้มาก
ฉีดโบท็อกซ์ปาก กี่วันเข้าที่ บวมกี่วัน
หลังฉีดโบท็อกซ์ปากหรือโบท็อกซ์ยกมุมปาก จะเริ่มเห็นผลใน 3-7 วัน โดยจะรู้สึกตึง ๆ บริเวณที่ฉีด และผลลัพธ์จะชัดเจนเต็มที่ภายใน 14 วัน
ส่วนอาการบวมหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก มักจะเป็นเล็กน้อยและหายได้เองภายใน 1-2 วัน โดยทั่วไปไม่ต้องพักฟื้นและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ปากจะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นกับยี่ห้อ เทคนิคการฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด
คำแนะนำหลังฉีดโบท็อกซ์ปากใน 4 ชั่วโมงแรก เพื่อให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ดีและลดความเสี่ยง
• ขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ปากเบา ๆ เช่น ยิ้ม ขมวดคิ้ว เคี้ยวหมากฝรั่ง (ถ้าเป็นกราม)
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก นั่งตัวตรง หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มหัวต่ำกว่าระดับหัวใจ
• งดนวดหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ปาก
• หลีกเลี่ยงประคบเย็นทันทีหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก เพราะอาจขัดขวางการดูดซึมของยา
สรุปคือ ฉีดโบท็อกซ์ปากจะเริ่มเห็นผลใน 3-7 วัน ผลเต็มที่ใน 14 วัน อาการบวมเล็กน้อยจะหายภายใน 1-2 วัน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
ฉีดโบท็อกซ์ปากแล้วปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด เกิดจากอะไร
การฉีดโบท็อกซ์ปากแล้วเกิดอาการ ปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด หรือยิ้มแข็ง ถือเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ้าง หากการฉีดโบท็อกซ์ปากไม่ได้ทำอย่างแม่นยำ หรือมีปัจจัยบางอย่างที่กระทบต่อการออกฤทธิ์ของยา โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะนี้หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก มีดังต่อไปนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์ปากผิดตำแหน่ง
• หากโบท็อกซ์ถูกฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ควรฉีด เช่น กล้ามเนื้อที่ช่วยยกมุมปาก (Zygomaticus major/minor) หรือกล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก (Orbicularis oris) มากเกินไป
• อาจทำให้เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อไม่สมดุล ส่งผลให้ปากเบี้ยวหรือยิ้มไม่สุด
2.ฉีดโบท็อกซ์ปากใช้ปริมาณโบท็อกซ์มากเกินไป
• ปริมาณโบท็อกซ์ที่มากเกินจำเป็นอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากกว่าที่ต้องการ จนส่งผลต่อการขยับปากหรือการยิ้ม
3.ฉีดโบท็อกซ์ปากยาแพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียง
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก หากผู้ป่วยนอนราบ กด นวด หรือสัมผัสแรง ๆ ที่บริเวณที่ฉีด อาจทำให้โบท็อกซ์เคลื่อนไปยังกระแสเลือดหรือกล้ามเนื้อใกล้เคียง
• เช่น แพร่ไปที่มุมปากอีกด้าน หรือกล้ามเนื้อควบคุมการยิ้ม ทำให้เกิดอาการไม่สมดุลของใบหน้า
4.กล้ามเนื้อแต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกันในการฉีดโบท็อกซ์ปาก
• กล้ามเนื้อของบางคนอาจมีโครงสร้างที่ไม่สมมาตรแต่เดิมอยู่แล้ว
• หากไม่ประเมินอย่างละเอียดก่อนฉีดโบท็อกซ์ปาก อาจเกิดความคลาดเคลื่อน และแสดงอาการชัดเจนหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
5.ฉีดโบท็อกซ์ปากโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์
• การฉีดโบท็อกซ์ปากต้องใช้ความรู้ด้านกายวิภาคของกล้ามเนื้ออย่างละเอียด
• หากฉีดโบท็อกซ์ปากโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ อาจคำนวณจุดฉีดผิดพลาด หรือเลือกเทคนิคฉีดโบท็อกซ์ปากไม่เหมาะกับรูปหน้า
6.หลังฉีดโบท็อกซ์ปากมีกิจกรรมที่กระตุ้นการไหลเวียนเลือดหลังฉีด
• เช่น ออกกำลังกายหนัก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือซาวน่าภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
• ส่งผลให้โบท็อกซ์กระจายตัวมากเกินไปและออกฤทธิ์ผิดตำแหน่ง
ลักษณะอาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
อาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก มักเกิดจากการที่ตัวยาไปยับยั้งกล้ามเนื้อบางมัดมากเกินไป หรือไปยังตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อรอบปากไม่สมดุล ซึ่งสามารถสังเกตอาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อกซ์ปากได้ดังนี้
1.หลังฉีดโบท็อกซ์ปากมีอาการมุมปากข้างหนึ่งตกลง
• มุมปากด้านที่ฉีดอาจดูตกกว่าอีกข้างเมื่ออยู่ในสภาพพัก หรือเวลายิ้ม
• มักสังเกตเห็นชัดเมื่อทำสีหน้าหรือยิ้ม โดยรูปปากจะไม่สมดุลหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
2.หลังฉีดโบท็อกซ์ปากแล้วยิ้มไม่สุด หรือยิ้มแล้วดูผิดธรรมชาติ
• ยิ้มแล้วมุมปากไม่ยกขึ้นเท่ากันหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก
• สีหน้ายิ้มดูแข็ง หรือ “ยิ้มแปลก” โดยเฉพาะหากโบท็อกซ์มีผลต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ยกมุมปาก
3.หลังฉีดโบท็อกซ์ปากแล้วปากเบี้ยวขณะพูดหรือแสดงสีหน้า
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก ขณะพูด ออกเสียงบางคำ หรือทำหน้าทางอารมณ์ อาจเห็นว่ารูปปากเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากในบางรายอาจพูดไม่ชัดเล็กน้อย โดยเฉพาะคำที่ใช้ริมฝีปากมาก เช่น “บ”, “พ”, “ม”
4.หลังฉีดโบท็อกซ์ปากรู้สึกว่าริมฝีปากข้างหนึ่งอ่อนแรง
• คล้ายกับอาการกล้ามเนื้อไม่สามารถควบคุมได้ดี อาจรู้สึกตึง ชา หรือยืดหยุ่นน้อยกว่าปกติ
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปากในบางคนอาจรู้สึกว่าทำปากจู๋หรือขยับริมฝีปากลำบาก
5.หลังฉีดโบท็อกซ์ปากพูดหรือรับประทานอาหารแล้วรู้สึกผิดปกติ
• ในกรณีที่ผลกระทบมากหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก อาจส่งผลให้กินน้ำหรือใช้หลอดดูดลำบาก
• หลังฉีดโบท็อกซ์ปาก ขณะเคี้ยวหรือกลืน อาจรู้สึกไม่ถนัดหรือมีน้ำลายเล็ดทางมุมปาก
ฉีดโบท็อกซ์ปากบริเวณไหนบ้าง ? เสี่ยงต่ออาการปากเบี้ยว
การฉีดโบท็อกซ์ปาก จะฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อดีเพรสเซอร์ แองกูไล ออริส (Depressor anguli oris) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ดึงมุมปากลง เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไป กล้ามเนื้อจะคลายตัว ไม่มีแรงดึงมุมปากลง จึงช่วยให้มุมปากยกขึ้น ดูสดใสและเป็นมิตรมากขึ้น
ตำแหน่งฉีดโบท็อกซ์ปากที่ถูกต้อง
• ต้องฉีดที่กล้ามเนื้อดีเพรสเซอร์ แองกูไล ออริส (Depressor anguli oris) ที่อยู่บริเวณใต้มุมปากเล็กน้อย ไม่ใช่ฉีดตรงที่มุมปากโดยตรง
• หลีกเลี่ยงการฉีดบริเวณกล้ามเนื้อไซโกมาติกัส เมเจอร์ (Zygomaticus major) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยยกมุมปากขึ้น เพราะถ้าฉีดผิดจุดนี้จะทำให้มุมปากตก ดูเหมือนหน้าบึ้ง และทำให้การพูดหรือยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ
ความเสี่ยงต่ออาการปากเบี้ยวจากการฉีดโบท็อกซ์ปาก
• หากฉีดโบท็อกซ์ปากผิดตำแหน่ง หรือใช้ปริมาณมากเกินไป โบท็อกซ์อาจกระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวมุมปาก เช่น กล้ามเนื้อไรซอเรียส (Risorius) หรือไซโกมาติกัส (Zygomaticus) ทำให้มุมปากข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงมากเกินไป เกิดอาการปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด หรือมุมปากไม่เท่ากันได้
• การฉีดโบท็อกซ์ปากโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือใช้โบท็อกซ์ปลอมก็เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงนี้ได้เช่นกัน
ฉีดโบท็อกซ์ปากแล้วปากเบี้ยว หายเองได้ไหม
อาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อกซ์ปาก เกิดจากโบท็อกซ์ไปออกฤทธิ์ยับยั้งกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก เช่น กล้ามเนื้อไรซอเรียส (Risorius) และไซโกมาติก (Zygomatic) ที่มีหน้าที่ยกมุมปากเวลายิ้ม ทำให้มุมปากข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ส่งผลให้ปากดูเบี้ยว ยิ้มไม่สุด หรือมุมปากไม่เท่ากัน
อาการนี้ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงและมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายได้เองเมื่อฤทธิ์ของโบท็อกซ์หมดไป โดยใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน หากไม่อยากรอ สามารถใช้วิธีช่วยเร่งสลายโบท็อกซ์ เช่น การนวดประคบร้อน ทำซาวน่า หรือใช้เครื่องมือทางการแพทย์อย่าง HIFU, Thermage เพื่อช่วยให้โบท็อกซ์สลายเร็วขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินและแก้ไขโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะถ้าอาการปากเบี้ยวส่งผลกระทบต่อการพูดหรือเคี้ยวอาหาร เพราะถ้าปล่อยไว้นานเกิน 1 เดือน โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์เต็มที่และแก้ไขได้ยากขึ้น แพทย์อาจใช้เทคนิคสลายโบท็อกซ์ในบริเวณที่ไม่ต้องการ และแนะนำการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อให้เร็วขึ้น
สรุปคือ อาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อกซ์ปากสามารถหายเองได้ภายใน 3-6 เดือน แต่ควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและแก้ไขอย่างเหมาะสม เพื่อให้กลับมาเป็นปกติเร็วขึ้นและลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
สรุปเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ปาก
สรุปว่า การฉีดโบท็อกซ์ปากเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปปากให้ดูสดใส ยิ้มง่าย และอ่อนโยนขึ้น โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์ปากก็มีข้อควรระวัง เช่น ความเสี่ยงของปากเบี้ยว หากฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้ปริมาณที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ