โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์รักแร้ คืออะไร ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ได้จริงไหม
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์รักแร้ , ฉีดโบท็อกซ์รักแร้
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ คืออะไร ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ได้จริงไหม
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ คืออะไร ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ได้จริงไหม
“เหงื่อออกมาก รักแร้เปียก มีกลิ่นตัว” เป็นปัญหาที่สร้างความไม่มั่นใจให้หลายคนในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสังคม การแต่งกาย หรือแม้กระทั่งการทำงาน แต่ในปัจจุบันมีวิธีช่วยลดเหงื่อและลดกลิ่นตัวอย่างได้ผล นั่นคือ “การฉีดโบท็อกซ์รักแร้” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติหรือมีกลิ่นตัวแรงจากการทำงานของต่อมเหงื่อ
การลดเหงื่อวิธีนี้มีทั้งข้อดี ข้อจำกัด ยี่ห้อไหนดี ราคาเท่าไหร่ ขั้นตอนในการเตรียมตัว และวิธีการดูแลหลังทำที่ควรรู้อะไรบ้าง ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์รักแร้ โดยบทความนี้รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์รักแร้อย่างครอบคลุม
เหงื่อออกมาก รักแร้เปียก มีสาเหตุจากอะไร
ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้ควรรู้ถึงต้นตอปัญหาเพื่อแก้ไขได้ตรงจุด อาการเหงื่อออกมากจนรักแร้เปียกเป็นภาวะที่สร้างความรำคาญและกระทบต่อบุคลิกภาพในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องกลิ่นกายและความมั่นใจ สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้มีหลากหลาย ได้แก่
1.ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
ภาวะนี้เกิดจากต่อมเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
• Primary Hyperhidrosis ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด มักเกิดตั้งแต่วัยรุ่น เหงื่อออกเฉพาะจุด เช่น รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และมีแนวโน้มถ่ายทอดทางพันธุกรรม
• Secondary Hyperhidrosis เกิดจากโรคหรือภาวะอื่น ๆ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ วัยทอง เบาหวาน หรือการใช้ยาบางชนิด มักเหงื่อออกทั่วร่างกาย
2.สภาพแวดล้อมร้อนหรือร่างกายมีอุณหภูมิสูง
เมื่อร่างกายต้องการควบคุมอุณหภูมิให้สมดุล โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน หรือหลังออกกำลังกาย จะมีการขับเหงื่อออกมากขึ้น
3.ความเครียดและอารมณ์
เมื่อเกิดความวิตกกังวล ประหม่า หรือเครียด ร่างกายจะหลั่งสารกระตุ้นระบบประสาท เช่น อะดรีนาลีน ส่งผลให้ต่อมเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้
4.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
มักพบในช่วงวัยรุ่น วัยทอง หรือก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงสามารถกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานมากขึ้นโดยเฉพาะในบางบริเวณ
5.การใช้ผลิตภัณฑ์หรือพฤติกรรมที่กระตุ้นเหงื่อ
การใช้โรลออนหรือสารระงับเหงื่อที่ระคายเคือง การสวมเสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ รวมถึงการถอนขนบ่อยอาจกระตุ้นผิวหนังและทำให้เหงื่อออกมากขึ้นได้
6.โรคประจำตัวบางชนิด
โรคที่ส่งผลต่อระบบประสาทหรือเมตาบอลิซึม เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคเบาหวาน โรคอ้วน ส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อมากกว่าปกติเพื่อควบคุมอุณหภูมิ
7.อาหารและเครื่องดื่มบางประเภท
อาหารรสจัด เผ็ด หรือมีส่วนผสมของคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ สามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อได้ชั่วคราว
ทำไมเหงื่อเยอะ รักแร้เปียก ถึงมีกลิ่นตัวแรง
หลายคนต้องการฉีดโบท็อกซ์รักแร้เพื่อลดเหงื่อและลดกลิ่นตัว แล้วทำไมเหงื่อออกเยอะ รักแร้เปียก จึงทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงได้ เพราะกลิ่นตัวแรงที่เกิดจากรักแร้เปียกและเหงื่อออกมาก เป็นผลจากแบคทีเรียที่ย่อยสลายสารประกอบในเหงื่อ โดยเฉพาะเหงื่อจากต่อม Apocrine ซึ่งยิ่งมีปริมาณมาก ก็ยิ่งเป็นแหล่งอาหารให้แบคทีเรียผลิตกลิ่นได้มากขึ้น ส่งผลให้กลิ่นตัวแรงตามไปด้วย ขออธิบายรายละเอียดดังนี้
1.เหงื่อโดยตัวมันเองไม่มีกลิ่น
เหงื่อที่ร่างกายหลั่งออกมาจากต่อมเหงื่อประเภทต่าง ๆ แทบจะไม่มีกลิ่นเลย ประกอบด้วยน้ำ เกลือแร่ และของเสียเล็กน้อย โดยมีอยู่ 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่
• Eccrine gland - พบทั่วร่างกาย ผลิตเหงื่อเพื่อระบายความร้อน เหงื่อจากต่อมนี้ใสและไม่มีกลิ่น
• Apocrine gland - พบเฉพาะบริเวณที่มีขนหนาแน่น เช่น รักแร้ ขาหนีบ ต่อมนี้ผลิตเหงื่อชนิดที่มีไขมันและโปรตีนผสม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรีย
2.แบคทีเรียคือสาเหตุหลักของกลิ่นตัว
บนผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณรักแร้ มีแบคทีเรียธรรมชาติอาศัยอยู่ เช่น Corynebacterium spp.และ Staphylococcus spp.แบคทีเรียเหล่านี้จะทำหน้าที่ย่อยสลายเหงื่อจากต่อม Apocrine ให้กลายเป็นกรดไขมันและสารประกอบที่ระเหยได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุของกลิ่นตัว
3.ยิ่งเหงื่อเยอะ ยิ่งเกิดกลิ่นง่าย
• เมื่อรักแร้เปียกชื้นตลอดเวลา จะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
• เพิ่มโอกาสในการย่อยสลายเหงื่อมากขึ้น จึงเกิดกลิ่นตัวรุนแรงกว่าในคนทั่วไป
• การที่เหงื่อระเหยไม่ทันหรือซึมผ่านเสื้อผ้า อาจหมักหมมจนเกิดกลิ่นรบกวนชัดเจน
4.สาเหตุอื่นที่ทำให้กลิ่นตัวแรงขึ้น
• การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น กระเทียม หอม เครื่องเทศจัด แอลกอฮอล์
• ความเครียด ทำให้ร่างกายหลั่งเหงื่อจากต่อม Apocrine มากขึ้น
• กรรมพันธุ์ คนบางกลุ่มมีจำนวนหรือขนาดของต่อม Apocrine มากกว่าปกติ
• การดูแลความสะอาดไม่เพียงพอ หรือใส่เสื้อผ้าระบายอากาศไม่ดี
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้คืออะไร
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ คือ การนำสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) มาใช้ฉีดเข้าไปบริเวณต่อมเหงื่อใต้รักแร้ เพื่อยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทที่กระตุ้นต่อมเหงื่อ ส่งผลให้เหงื่อในบริเวณนั้นลดลงชั่วคราว เป็นวิธีรักษาที่ได้รับความนิยมในผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากหรือมีกลิ่นตัวที่เกิดจากเหงื่อ
หลักการทำงานของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• โบท็อกซ์จะยับยั้งการหลั่งของสารสื่อประสาท (Acetylcholine) ที่ส่งสัญญาณให้ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อออกมา
• เมื่อการส่งสัญญาณถูกขัดขวาง ต่อมเหงื่อจะทำงานน้อยลง จึงทำให้บริเวณที่ฉีดเหงื่อออกน้อยลงตามไปด้วย ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ช่วยลดเหงื่อได้อย่างไร
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ คือ การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin type A) เข้าไปในบริเวณรักแร้ โดยจะฉีดเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายทั่วบริเวณรักแร้ประมาณ 20-30 จุด ข้างละ 50-100 ยูนิต เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ โบท็อกซ์จะไปยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท ที่ปลายประสาทซึ่งเชื่อมต่อกับต่อมเหงื่อ ทำให้ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อลดลงอย่างมาก
ส่งผลให้เหงื่อบริเวณรักแร้ลดลงได้ถึง 80-83% เหงื่อจะเริ่มลดลงตั้งแต่ 1-3 วันแรกหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ และเห็นผลฉีดโบท็อกซ์รักแร้เต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ ผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือนต่อการฉีดหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นตัวยาจะสลายไปตามธรรมชาติ หากต้องการผลต่อเนื่องต้องกลับมาฉีดซ้ำ
นอกจากฉีดโบท็อกซ์รักแร้ช่วยลดเหงื่อแล้ว ยังช่วยลดกลิ่นตัว เนื่องจากเหงื่อที่น้อยลงช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่น ช่วยให้ผิวบริเวณรักแร้กระชับขึ้น ลดปัญหารูขุมขนกว้างและตุ่มหนังไก่ การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เป็นวิธีลดเหงื่อเฉพาะจุดที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากหรือกลิ่นตัวรบกวน ซึ่งฉีดโบท็อกซ์รักแร้มีข้อดีและข้อจำกัดบางอย่างที่ควรพิจารณา ดังนี้
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
1.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เห็นผลในเวลาไม่นาน ผลลัพธ์เริ่มชัดเจนภายใน 3-7 วันหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ช่วยลดเหงื่อและกลิ่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่ต้องผ่าตัด เป็นวิธีที่ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีบาดแผล ไม่เจ็บตัวมาก และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ทันที
3.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่อันตรายหากทำโดยแพทย์ โบท็อกซ์ที่ใช้ในทางการแพทย์มีความบริสุทธิ์และผ่านการรับรอง หากฉีดโบท็อกซ์รักแร้อย่างถูกต้องจะมีความเสี่ยงต่ำมาก
4.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ลดกลิ่นตัวได้พร้อมกับการลดเหงื่อ เมื่อเหงื่อลดลง แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นก็ลดลงด้วย ฉีดโบท็อกซ์รักแร้จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวรุนแรง
5.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ช่วยให้รักแร้แห้ง ไม่เปียกเสื้อ ไม่เกิดคราบเหงื่อ ทำให้แต่งตัวได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ข้อเสียและข้อจำกัดของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
1.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ให้ผลลัพธ์ไม่ถาวร โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์อยู่ประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นต้องกลับมาฉีดโบท็อกซ์รักแร้ซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์
2.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ค่าใช้จ่ายต่อครั้งค่อนข้างสูง ราคาการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ต่อครั้งอาจค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณโบท็อกซ์
3.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ หากฉีดถี่เกินไป อาจดื้อยา การฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อยเกินความจำเป็นหรือใช้โบท็อกซ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน ทำให้ผลลัพธ์ลดลงในอนาคต
4.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีผลข้างเคียงบางกรณี เช่น รอยช้ำ บวม แดง หรือระคายเคืองที่ผิวหนัง อาจเกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เองภายในไม่กี่วัน
5.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับบางกลุ่ม ผู้ที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีประวัติแพ้โบท็อกซ์ ควรหลีกเลี่ยงฉีดโบท็อกซ์รักแร้หรือปรึกษาแพทย์ก่อน
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ลดเหงื่อ กี่วันเห็นผล
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เพื่อลดเหงื่อ เป็นหัตถการที่เห็นผลค่อนข้างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลภายในไม่กี่วันหลังฉีด โดยรายละเอียดของระยะเวลาเห็นผลมีดังนี้
1.เริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วันหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• หลังจากแพทย์ฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณต่อมเหงื่อใต้รักแร้ ร่างกายจะค่อย ๆ เริ่มตอบสนองต่อสารโบท็อกซ์
• ประมาณวันที่ 3-4 หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ จะเริ่มสังเกตว่าเหงื่อเริ่มลดลง
• ในบางคนอาจเริ่มรู้สึกแห้งตั้งแต่วันที่ 2 หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ แต่ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สูงสุด
2.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เห็นผลเต็มที่ภายใน 10-14 วัน
• หลังจากครบประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์เต็มที่ในบริเวณที่ฉีด
• หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ เหงื่อบริเวณรักแร้จะลดลงอย่างชัดเจน รู้สึกแห้งสบาย ไม่มีเหงื่อซึมเปียกเสื้ออีกต่อไป
• ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ที่ช่วยลดเหงื่อ ส่งผลให้กลิ่นตัวที่เกิดจากเหงื่อก็จะลดลงควบคู่กันไปด้วย
3.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
• หลังจากฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไปประมาณ 4-6 เดือน ร่างกายจะเริ่มฟื้นการทำงานของปลายประสาทและต่อมเหงื่อ
• เหงื่ออาจเริ่มกลับมามากขึ้น จึงสามารถกลับมาฉีดโบท็อกซ์รักแร้ซ้ำได้ตามคำแนะนำของแพทย์
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ช่วยลดเหงื่อได้ดี และอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นสามารถกลับมาฉีดโบท็อกซ์รักแร้ซ้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย หากเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสมและทำโดยแพทย์ การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้อย่างถูกต้อง ยังช่วยยืดระยะเวลาของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ หากใช้ในปริมาณที่เพียงพอและถูกต้อง ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะอยู่ได้นานกว่า
• ยี่ห้อโบท็อกซ์ โบท็อกซ์ที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์รักแร้แต่ละแบรนด์มีความคงตัวแตกต่างกัน เช่น Allergan (USA), Nabota (Korea), Dysport (UK)
• การตอบสนองของแต่ละบุคคล การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ในบางคนอาจตอบสนองต่อโบท็อกซ์ได้นานถึง 8 เดือน ในขณะที่บางคนอาจอยู่ได้เพียง 3-4 เดือน
• พฤติกรรมส่วนตัวหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ การออกกำลังกายหนัก การอยู่ในที่ร้อนจัด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายผิว อาจกระตุ้นให้โบท็อกซ์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ทำได้บ่อยแค่ไหน
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้สามารถทำได้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี โดยเว้นระยะห่าง 4-6 เดือนต่อครั้ง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัวและลดความเสี่ยงต่อการดื้อยา หากมีความจำเป็นต้องฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อยกว่านั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนเสมอ
1.ระยะเวลาที่แนะนำในการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ซ้ำ
• โดยทั่วไป สามารถฉีดโบท็อกซ์รักแร้ซ้ำได้ทุก 4-6 เดือน
• เมื่อผลของโบท็อกซ์เริ่มหมดฤทธิ์และเหงื่อเริ่มกลับมา อาจนัดฉีดโบท็อกซ์รักแร้ซ้ำได้ตามคำแนะนำของแพทย์
• หากอาการยังคงควบคุมได้ดี อาจเว้นช่วงฉีดโบท็อกซ์รักแร้ให้นานขึ้นได้ เช่น 8 เดือน - 1 ปี
2.ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อยเกินความจำเป็น
• การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ถี่เกินไป เช่น ทุก 1-2 เดือน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะดื้อโบท็อกซ์
• การฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อยมากเกินไป ยังส่งผลให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์น้อยลง หรือไม่ได้ผลในอนาคต
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ลดเหงื่อ ใช้กี่ยูนิต
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เพื่อลดเหงื่อจำเป็นต้องใช้ปริมาณยูนิตที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง โดยปริมาณยูนิตที่ใช้จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของเหงื่อ และการพิจารณาของแพทย์ผู้ทำการรักษา
1.ปริมาณที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์รักแร้โดยทั่วไป
• ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้สำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะอยู่ที่ 50-100 ยูนิตต่อข้าง
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้รวมทั้งสองข้างจะใช้ ประมาณ 100-200 ยูนิตต่อครั้ง
2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนยูนิตฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• ระดับความรุนแรงของเหงื่อ หากเหงื่อออกมากผิดปกติ อาจต้องฉีดโบท็อกซ์รักแร้มากกว่า 50 ยูนิตต่อข้าง
• ขนาดพื้นที่รักแร้ พื้นที่กว้างอาจต้องฉีดโบท็อกซ์รักแร้กระจายจุดมากขึ้น
• ยี่ห้อของโบท็อกซ์ เช่น
- Allergan หนึ่งในยี่ห้อที่นิยมใช้ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ใช้ประมาณ 50 ยูนิตต่อข้าง
- Dysport หรือ Nabota อาจใช้ปริมาณที่นับยูนิตต่างจาก Allergan เนื่องจากความเข้มข้นแตกต่างกัน
• การตอบสนองในครั้งก่อน หากเคยฉีดโบท็อกซ์รักแร้แล้วอยู่ได้นาน อาจลดปริมาณลงในการฉีดครั้งถัดไป
3.การกระจายจุดฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• แพทย์จะแบ่งจุดฉีดโบท็อกซ์รักแร้ออกเป็นหลายตำแหน่งเล็ก ๆ ทั่วบริเวณรักแร้
• เพื่อให้โบท็อกซ์กระจายตัวและออกฤทธิ์ได้อย่างทั่วถึง ไม่เกิดจุดที่เหงื่อยังออกมากอยู่
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ราคาเท่าไหร่ ยี่ห้อไหนดี
ราคาฉีดโบท็อกซ์รักแร้โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7,500-19,990 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณยูนิต และโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก
ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่แนะนำสำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้
โบท็อกซ์ที่แนะนำสำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้เพื่อลดเหงื่อและกลิ่นตัว มีหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและผ่านการรับรองมาตรฐาน ได้แก่
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ยี่ห้อ Allergan (โบท็อกอเมริกา) โบท็อกซ์ต้นตำรับที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ออกฤทธิ์แม่นยำและนานกว่า เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์คงทนนานและคุณภาพสูง
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ยี่ห้อ Xeomin (โบท็อกเยอรมัน) มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้สารบริสุทธิ์สูง ลดโอกาสดื้อยา เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติดื้อโบท็อกซ์
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ยี่ห้อ Dysport (โบท็อกอังกฤษ) ตัวยากระจายตัวกว้าง ออกฤทธิ์เร็ว เหมาะกับการฉีดลดเหงื่อบริเวณรักแร้และจุดกว้าง ๆ
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ยี่ห้อ Nabota (โบท็อกเกาหลี) มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับโบท็อกอเมริกา ราคาย่อมเยา เหมาะกับการฉีดลดเหงื่อและกลิ่นตัว
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ยี่ห้อ Aestox (โบท็อกเกาหลี) มีความบริสุทธิ์สูง โอกาสดื้อยาและผลข้างเคียงน้อย เหมาะสำหรับลดเหงื่อและกลิ่นตัว
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อันตรายไหม
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่ใช่หัตถการที่อันตราย หากดำเนินการอย่างถูกต้องโดยแพทย์ คลินิกที่มีใบอนุญาต และใช้ตัวยาที่ได้มาตรฐาน โดยผลข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่เป็นเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง แต่หากมีอาการผิดปกติหลังฉีด ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ควรใช้โบท็อกซ์แท้ที่มีทะเบียน อย.และแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ควรฉีดโดยแพทย์ด้านผิวหนังหรือเวชกรรมความงาม
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ควรใช้ปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายและพื้นที่ฉีด
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลหลังฉีดอย่างถูกต้อง
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้มีผลข้างเคียงไหม
ผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายได้เอง หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับบริการควรเข้าใจผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย (ไม่รุนแรง และหายได้เอง)
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำบริเวณที่ฉีด มักเกิดจากเข็มที่แทงเข้าสู่ผิว อาการจะหายภายใน 1-3 วัน
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีความรู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณรักแร้ บางรายอาจรู้สึกไม่สบายในช่วงวันแรกหลังฉีด แต่ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิต
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีอาการคันหรือระคายเคืองผิว มักพบในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย และอาการจะดีขึ้นเอง
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีอาการรักแร้แห้งมากเกินไป รู้สึกตึงหรือไม่สบาย เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานน้อยลงชัดเจนกะทันหัน
2.ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย (แต่ควรระวัง)
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจปวดกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง เช่น หัวไหล่หรือแขน อาจเกิดจากการกระจายของโบท็อกซ์ไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณใกล้เคียง พบได้น้อยมาก โดยเฉพาะถ้าฉีดลึกเกินไปหรือแพทย์ไม่มีความชำนาญ
3.ผลข้างเคียงรุนแรง (พบได้ยากมาก)
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีอาการแพ้โบท็อกซ์ เช่น บวมทั่วใบหน้า ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องรีบพบแพทย์
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีการดื้อโบท็อกซ์ หากฉีดบ่อยเกินไปหรือใช้ในปริมาณมากติดต่อกัน ร่างกายอาจสร้างภูมิคุ้มกันต่อโบท็อกซ์ ทำให้ผลลัพธ์ลดลงในอนาคต
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เจ็บไหม
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เจ็บเพียงเล็กน้อย และมักเจ็บเพียงแค่ขณะเข็มเข้าสู่ผิวเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วอยู่ในระดับที่คนส่วนใหญ่สามารถทนได้ และมีเทคนิคหลายอย่างที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ หากทำโดยแพทย์และมีการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม ความรู้สึกไม่สบายจะลดลงอย่างมาก
ระดับความเจ็บของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ความเจ็บจะอยู่ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง คล้ายเข็มจิ้มหรือมดกัดเบา ๆ
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะมีความรู้สึกจะเจ็บตอน “เข็มแทงเข้าสู่ผิว” มากกว่าตัวตัวยา
• ผู้ที่เคยฉีดโบท็อกซ์รักแร้หลายคนให้ความเห็นว่า “เจ็บน้อยกว่าฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดโบท็อกซ์ที่ใบหน้า”
ใครบ้างที่เหมาะสำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องเหงื่อออกมากเกินไปหรือมีกลิ่นตัวที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยสามารถแบ่งกลุ่มคนที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ได้ดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับผู้ที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ
• เหงื่อออกเยอะแม้อยู่ในห้องแอร์ หรือไม่ได้ออกแรง
• มีเหงื่อเปียกซึมเสื้อจนเห็นชัดเจน แม้ในสภาพแวดล้อมปกติ
• เคยพยายามแก้ไขด้วยโรลออนหรือสเปรย์ระงับเหงื่อแล้วไม่ได้ผล
2.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับผู้ที่มีกลิ่นตัวรุนแรงจากเหงื่อ
• แม้จะอาบน้ำหรือใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายเป็นประจำ แต่ยังมีกลิ่นตัว
• มีเหงื่อจากต่อม Apocrine มาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของกลิ่นตัว
3.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับผู้ที่มีความเครียดหรือวิตกกังวลจนทำให้เหงื่อออกง่าย
• อารมณ์ส่งผลให้เหงื่อออกมากโดยเฉพาะบริเวณรักแร้
• เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานพบปะผู้คน เช่น งานบริการ งานขาย งานประชุม
4.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
• คนที่กังวลเรื่องเหงื่อเปียกเสื้อ ไม่กล้าใส่เสื้อสีอ่อน หรือเสื้อผ้ารัดรูป
• คนที่ต้องการแต่งกายอย่างมั่นใจในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงาน งานพรีเซนต์
5.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเลี่ยงการผ่าตัดต่อมเหงื่อ
• ต้องการวิธีแก้ปัญหาเหงื่อออกแบบไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น
• ต้องการผลลัพธ์ระยะสั้นเพื่อประเมินผลก่อนตัดสินใจทำการรักษาอื่น
6.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการระคายเคืองจากโรลออนหรือสเปรย์ระงับเหงื่อ
• ผิวรักแร้ไวต่อสารเคมีหรือแอลกอฮอล์
• มักเกิดผื่นแดงหรือคันจากผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั่วไป
ใครบ้างที่ไม่เหมาะสำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้
แม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะเป็นวิธีลดเหงื่อที่ปลอดภัยและได้ผลดีในคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควร หลีกเลี่ยง หรือ ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ โดยกลุ่มคนที่ไม่เหมาะสำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้ มีดังนี้
1.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
• แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าโบท็อกซ์เป็นอันตรายต่อทารกหรือทารกในครรภ์
• แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้เลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไปก่อน
2.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้โบทูลินัม ท็อกซิน หรือส่วนประกอบของยา
• หากมีประวัติการแพ้โบท็อกซ์มาก่อน เช่น แพ้โปรตีนจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum
• อาจเกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น บวม หายใจลำบาก หรือผื่นลมพิษหลังฉีด
3.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
• เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis), Lambert-Eaton Syndrome, ALS
• โบท็อกซ์มีผลต่อระบบประสาท อาจทำให้อาการของโรคเหล่านี้รุนแรงขึ้น
4.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อระบบประสาทกล้ามเนื้อ
• เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์
• อาจทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์แรงเกินไปหรือมีผลแทรกซ้อนมากขึ้น
5.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อหรือผิวหนังอักเสบบริเวณรักแร้
• หากมีแผล ผื่น หรือการติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน
• การฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณที่มีการอักเสบอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อลุกลาม
6.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่เหมาะกับผู้ที่ดื้อต่อโบท็อกซ์
• หากเคยฉีดโบท็อกซ์บ่อยเกินไปจนร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อตัวยา
• อาจทำให้โบท็อกซ์ไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป หรือได้ผลลดลง
วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การรักษาได้ผลดี และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้ที่เหมาะสมยังช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ขอแนะนำวิธีเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้ดังนี้
1.ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้แจ้งข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
• ประวัติโรคประจำตัว เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคไทรอยด์
• ประวัติการแพ้โบท็อกซ์หรือยาต่าง ๆ
• การตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือวางแผนมีบุตร
• ยาที่ใช้อยู่ประจำ เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาปฏิชีวนะบางชนิด
2.ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ บวม หรือฟกช้ำหลังฉีด
3.ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดการถอนขน โกนขน หรือแว็กซ์รักแร้ล่วงหน้า 3-5 วัน เพื่อลดการระคายเคืองหรือการอักเสบของผิวหนังบริเวณที่ฉีด
4.ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายในวันฉีด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือสารระคายเคือง ควรล้างรักแร้ด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่อ่อน ๆ ให้สะอาดก่อนเข้ารับบริการ
5.ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการฟื้นตัว ร่างกายที่สมดุลจะช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
6.ก่อนฉีดโบท็อกซ์รักแร้เตรียมเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ควรสวมเสื้อที่หลวม ระบายอากาศได้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีที่รักแร้หลังฉีด
วิธีการดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้
การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้อย่างถูกต้องมีความสำคัญมาก เพราะช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง และยืดอายุของผลลัพธ์ให้ได้นานที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ แนวทางดูแลตนเองหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ที่ควรรู้และปฏิบัติตาม มีดังนี้
1.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
• หลีกเลี่ยงการวิ่ง เล่นฟิตเนส หรือทำกิจกรรมหนักอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
• เหงื่อหรือการเคลื่อนไหวมากอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายออกนอกตำแหน่งที่ฉีด
2.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดการสัมผัสความร้อนจัด
• หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า แช่น้ำอุ่น หรืออาบน้ำร้อนเป็นเวลา 2-3 วัน
• ความร้อนอาจเร่งการไหลเวียนโลหิต ทำให้โบท็อกซ์เสื่อมฤทธิ์เร็ว
3.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดใช้โรลออนหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
• อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• สารเคมีและแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออักเสบ
4.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือเกาผิวบริเวณที่ฉีด
• เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
• หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ หากรู้สึกคันหรือไม่สบาย ให้ประคบเย็นแทน
5.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้เลือกสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ และระบายอากาศได้ดี
• เพื่อลดการเสียดสีและความอับชื้นในบริเวณรักแร้
• ช่วยลดโอกาสการอักเสบหรือเกิดผื่น
6.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้งดถอนขนหรือแว็กซ์รักแร้ชั่วคราว
• เว้นช่วงอย่างน้อย 5-7 วัน ก่อนจะกลับไปทำการกำจัดขน
• เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรืออักเสบซ้ำซ้อน
7.หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีด
• เพื่อป้องกันการขยายหลอดเลือดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ที่ไหนดี
ก่อนตัดสินใจเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ควรรู้แนวทางการเลือกคลินิกสำหรับฉีดโบท็อกซ์รักแร้ให้ปลอดภัย เพราะแม้การฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะเป็นหัตถการที่ไม่ซับซ้อน แต่หากทำโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเสี่ยงต่อการดื้อยา ผลข้างเคียง หรือประสิทธิภาพที่ไม่เป็นไปตามคาดได้
1.ก่อนเลือกคลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ตรวจสอบว่ามีแพทย์ดูแล
• คลินิกควรมีแพทย์จริงที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นผู้ทำหัตถการ
• แพทย์ควรมีประสบการณ์ด้านเวชศาสตร์ความงาม หรือผิวหนัง
• ควรสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างละเอียด เช่น ประเมินความเหมาะสม ปริมาณยูนิต และข้อจำกัดเฉพาะบุคคล
2.คลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ควรใช้โบท็อกซ์แท้ มีเลข อย.ชัดเจน
• ควรเลือกคลินิกที่ใช้โบท็อกซ์ที่มี อย.และสามารถแสดงขวดยาก่อนฉีดได้
• ตรวจสอบ ชื่อยี่ห้อ เช่น Allergan, Nabota, Dysport ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์
• บนขวดยาควรมี สติกเกอร์บริษัทนำเข้า หมายเลขล็อต และวันหมดอายุ ชัดเจน
3.คลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้มีการประเมินและให้คำปรึกษาอย่างละเอียด
• ควรมีการซักประวัติสุขภาพอย่างครบถ้วนก่อนฉีด เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ฯลฯ
• แพทย์ควรอธิบายผลลัพธ์ที่คาดหวัง จำนวนยูนิต ระยะเวลาที่เห็นผล และข้อควรระวังหลังฉีด
4.คลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ มีความสะอาดของสถานที่และเครื่องมือ
• คลินิกควรสะอาด มีการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ มีมาตรฐานความปลอดภัย
• ห้องทำหัตถการแยกเป็นสัดส่วน และใช้เข็มใหม่สำหรับแต่ละราย
5.คลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ มีราคาเหมาะสมและโปร่งใส
• ราคาไม่ควรต่ำกว่าท้องตลาดมากผิดปกติ เพราะอาจมีความเสี่ยงใช้โบท็อกซ์ปลอมหรือเจือจาง
• ราคาควรรวมค่าบริการทั้งหมด เช่น ค่ายา ค่าแพทย์ ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
6.คลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
• ดูรีวิวจากลูกค้าเดิม ทั้งในเว็บไซต์คลินิก Facebook หรือ Google Maps
• ดูรีวิวที่แสดงผลลัพธ์หลังฉีด ความประทับใจในการบริการ และความสะอาดของสถานที่
7.คลินิกฉีดโบท็อกซ์รักแร้ มีการติดตามผลหลังการรักษา
• คลินิกที่ดีจะมี บริการติดตามอาการหลังฉีด หรือให้คำปรึกษาหากเกิดอาการผิดปกติ
• หากผลไม่เป็นตามที่ตกลงไว้ ควรสามารถกลับมาตรวจซ้ำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ รีวิว
รีวิว ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ จากผู้ใช้บริการจริง ที่ รมย์รวินท์คลินิก
ข้อดี - ข้อเสีย ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ vs เลเซอร์ vs ผ่าตัด
การรักษาเพื่อลดเหงื่อหรือแก้ปัญหากลิ่นตัวจากรักแร้ มีอยู่หลายวิธีที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ การทำเลเซอร์ลดเหงื่อ และการผ่าตัดต่อมเหงื่อ ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมควรพิจารณาจากงบประมาณ ความรุนแรงของอาการ และความต้องการด้านผลลัพธ์
1.ฉีดโบท็อกซ์รักแร้
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เห็นผลเร็วภายใน 3-7 วัน
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีรอยแผลเป็น
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้เป็นหัตถการที่เจ็บน้อย ใช้เวลาไม่นาน
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่อันตรายเมื่อทำโดยแพทย์ คลินิกได้มาตรฐาน และใช้โบท็อกซ์แท้
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ลดเหงื่อเฉพาะจุดได้แม่นยำ และช่วยลดกลิ่นตัวได้ร่วมด้วย
ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ให้ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ในระดับกลางถึงสูง
• ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อาจเกิดอาการช้ำ บวม หรือแพ้ในบางราย (แต่พบน้อย)
• หากฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อยเกินไป อาจเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์
2.เลเซอร์ลดเหงื่อ
ข้อดีของเลเซอร์ลดเหงื่อ
• เลเซอร์ลดเหงื่อช่วยลดเหงื่อและกลิ่นตัวได้ถาวรหรือกึ่งถาวร
• เลเซอร์ลดเหงื่อไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บหนัก ไม่มีแผลเปิด
• เลเซอร์ลดเหงื่อทำเพียง 1-2 ครั้งก็เห็นผลชัดเจน
ข้อเสียของเลเซอร์ลดเหงื่อ
• เลเซอร์ลดเหงื่อมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง (มักเริ่มต้นที่ 30,000-60,000 บาทต่อครั้ง)
• หลังทำเลเซอร์ลดเหงื่ออาจมีอาการบวม ชา หรือเจ็บบริเวณรักแร้ 1-3 วัน
• เลเซอร์ลดเหงื่อต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและทำโดยแพทย์
• เลเซอร์ลดเหงื่อเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อเฉพาะจุด ไม่เหมาะกับคนที่เหงื่อออกทั้งตัว
3.ผ่าตัดต่อมเหงื่อ
ข้อดีของผ่าตัดต่อมเหงื่อ
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อเป็นวิธีที่ให้ผลถาวร ไม่ต้องรักษาซ้ำ
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อกำจัดต้นเหตุของปัญหาเหงื่อออกและกลิ่นตัวโดยตรง
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะ Hyperhidrosis รุนแรง
ข้อเสียของผ่าตัดต่อมเหงื่อ
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อมีแผล ต้องพักฟื้นอย่างน้อย 5-7 วัน
• ผ่าตัดต่อมเหงื่ออาจเกิดแผลเป็น หรือผิวไม่เรียบหลังผ่าตัด
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือกระทบเส้นประสาทในบางกรณี
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อต้องทำในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน โดยศัลยแพทย์เฉพาะทาง
• ผ่าตัดต่อมเหงื่อมีค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าวิธีอื่น
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้และเลเซอร์กำจัดขน ทำพร้อมกันได้ไหม
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้และการทำเลเซอร์กำจัดขน ไม่แนะนำให้ทำพร้อมกัน เพราะความร้อนจากเลเซอร์จะเร่งการสลายของโบท็อกซ์ที่ฉีดไปแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพของโบท็อกซ์ลดลง โดยหากต้องทำทั้งสองหัตถการ ควรทำเลเซอร์กำจัดขนให้เสร็จสิ้นคอร์สก่อน แล้วจึงเริ่มฉีดโบท็อกซ์รักแร้ หรือถ้าเริ่มฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไปแล้ว ควรรอให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์เต็มที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์กำจัดขน
สรุปคือ การฉีดโบท็อกซ์รักแร้และการทำเลเซอร์กำจัดขน ควรเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ไม่ควรทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน เพื่อรักษาประสิทธิภาพของโบท็อกซ์และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฉีดโบท็อกซ์รักแร้
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อย ๆ กลิ่นตัวจะหายถาวรไหม
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้บ่อย ๆ ไม่สามารถทำให้กลิ่นตัวหายถาวรได้ แต่สามารถช่วยลดกลิ่นตัวได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่องในช่วงที่โบท็อกซ์ยังคงออกฤทธิ์อยู่ โดยกลิ่นตัวจะกลับมาอีกเมื่อฤทธิ์ของโบท็อกซ์หมดลง ซึ่งโดยทั่วไปผลลัพธ์ฉีดโบท็อกซ์รักแร้อยู่ที่ประมาณ 4-6 เดือน
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้แล้วออกกำลังกายได้เมื่อไหร่
หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ควรงดออกกำลังกายหนักอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้โบท็อกซ์กระจายตัวไปยังบริเวณอื่นและช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ หลังจากนั้นสามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงความร้อน เช่น การอบซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ทำให้ร่างกายร้อนจัดในช่วงแรกประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังฉีดโบท็อกซ์รักแร้ เพื่อรักษาประสิทธิภาพของโบท็อกซ์ให้นานที่สุด
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้แล้วขนรักแร้จะร่วงด้วยไหม
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะช่วยลดเหงื่อและกลิ่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ไม่ได้ทำให้ขนรักแร้ร่วงหรือหลุดออกโดยตรง เพราะฤทธิ์ของโบท็อกซ์จะไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อและต่อมกลิ่นเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อรากขนหรือการเจริญเติบโตของเส้นขน
หากต้องการลดขนรักแร้ ควรใช้วิธีอื่น เช่น การเลเซอร์กำจัดขน หรือ เลเซอร์ขนรักแร้ แต่ต้องระวังไม่ทำเลเซอร์กำจัดขนในช่วงที่เพิ่งฉีดโบท็อกซ์ เพราะความร้อนจากเลเซอร์จะทำให้โบท็อกซ์สลายตัวเร็วขึ้นและลดประสิทธิภาพของการรักษา
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้สามารถฉีดได้ที่อายุเท่าไหร่
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตสมบูรณ์และปลอดภัยต่อการใช้สารโบทูลินัม ท็อกซิน สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หากมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจพิจารณาฉีดโบท็อกซ์รักแร้ให้ได้เป็นกรณีเฉพาะ โดยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ มีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครองอย่างชัดเจน และมีผู้ปกครองมาด้วยในวันที่เข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
สรุปเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์รักแร้
สรุปว่า การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เป็นทางเลือกที่ช่วยลดเหงื่อโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก กลิ่นตัวรุนแรง หรือผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน แม้ผลลัพธ์จะไม่ถาวรและต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 เดือน แต่ด้วยประสิทธิภาพในการลดเหงื่อและกลิ่นตัวอย่างชัดเจน รวมถึงความสะดวกและไม่ต้องพักฟื้น จึงเป็นหัตถการที่คุ้มค่าสำหรับหลายคน อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้โบท็อกซ์แท้ และฉีดโดยแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ