romrawin

โปรแกรมฉีดเมโส คืออะไร กี่ครั้งเห็นผล อันตรายไหม หน้าบวมกี่วันหาย

ฉีดเมโส

631

โปรแกรม ฉีดเมโส คืออะไร ดีไหม กี่ครั้งเห็นผล อันตรายไหม
เพราะใคร ๆ ก็อยากมีผิวหน้าสดใส สุขภาพดีแบบไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด การฉีดเมโส หรือ Mesotherapy กลายเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่ตอบโจทย์คนรักผิวได้อย่างตรงจุด เพราะสามารถบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ฟื้นฟูผิวหมองคล้ำ ลดสิว ฝ้า กระ เติมความชุ่มชื้น ไปจนถึงการลดไขมันเฉพาะจุดได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดเมโส ไม่ว่าจะเป็นประเภทของเมโสที่นิยม ข้อดี ข้อควรระวัง วิธีดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีด และเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ๆ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

รู้จักโปรแกรม ฉีดเมโส คืออะไร
ฉีดเมโส (Mesotherapy) คือ หัตถการความงามที่ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารบำรุงต่างๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน หรือสารสกัดที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เพื่อช่วยในการบำรุง ฟื้นฟู และแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้า ริ้วรอย หรือสิว รวมถึงช่วยลดไขมันเฉพาะจุด เช่น เหนียง

การฉีดเมโสมีหลากหลายรูปแบบ สำหรับการฉีดเมโสที่ได้รับความนิยมมาก คือ การฉีดเมโสหน้าใส เพราะทำให้สารบำรุงซึมลึกถึงชั้นผิวที่ครีมทาแล้วซึมไม่ถึง จึงเห็นผลในระยะเวลาไม่นานกว่าการใช้ครีมทั่วไป โดยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง ผิวดูขาวกระจ่างใส และเรียบเนียนขึ้น

ประเภทของการฉีดเมโสที่นิยม
เมโสเธอราปี หรือการฉีดเมโส เป็นหัตถการที่มีการพัฒนาสูตรและเทคนิค เพื่อแก้ไขแต่ละปัญหาผิวและความงาม โดยปัจจุบันมีการฉีดเมโสหลายประเภทที่ได้รับความนิยมในคลินิกความงาม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ดังนี้

1.เมโสหน้าใส (Meso Brightening)
การฉีดเมโสหน้าใสเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้ดูกระจ่างใส โดยสูตรเมโสชนิดนี้มักประกอบด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงฟื้นฟูสุขภาพผิว

จุดเด่น
• ลดความหมองคล้ำจากแสงแดด
• ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
• ผิวดูเปล่งปลั่ง สดชื่น มีออร่า

เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีผิวหน้าหมองคล้ำ ผิวแห้งขาดน้ำ
• ผู้ที่พักผ่อนน้อย หรือมีผิวอ่อนล้า

2.เมโสลดฝ้า กระ จุดด่างดำ (Meso Melasma)
การฉีดเมโสลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ออกแบบมาเพื่อลดเลือนปัญหาผิวหน้าเหล่านี้ให้จางลงโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่เผชิญปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่ทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส

จุดเด่น
• ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
• ปรับสีผิวให้ดูเรียบเนียน
• ลดฝ้าเรื้อรังและจุดด่างดำอย่างตรงจุด

เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีฝ้า กระ และรอยสิวสะสม
• ผู้ที่เคยใช้ครีมแรง ๆ แล้วผิวบาง

3.เมโสลดสิว (Meso Acne)
การฉีดเมโสลดสิวช่วยลดการอักเสบ ควบคุมความมัน และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว รวมถึงฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง โดยไม่ต้องพึ่งการกินยาลดสิว

จุดเด่น
• สิวยุบเร็วขึ้น
• ลดการเกิดสิวใหม่
• กระชับรูขุมขน ลดความมัน

เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตัน สิวอักเสบเรื้อรัง
• ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย และไม่ต้องการใช้ยาแรง

4.เมโสลดไขมันเฉพาะจุด (Meso Fat)
การฉีดเมโสแฟตช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณเฉพาะจุด เช่น แก้ม เหนียง แขน ขา โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน หรือไม่ต้องพึ่งวิธีการดูดไขมันที่เจ็บตัวมากกว่า

จุดเด่น
• ใบหน้าเรียวกระชับขึ้น
• รูปร่างดูเข้ารูป ลดเซลลูไลท์
• ไม่ต้องพักฟื้น

เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด ลดยาก
• ผู้ที่ต้องการลดแก้ม เหนียง หรือต้นแขน

5.เมโสผม (Meso Hair)
การฉีดเมโสผมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือรากผมอ่อนแอ โดยจะช่วยกระตุ้นรากผมและเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะ

จุดเด่น
• ลดการหลุดร่วงของเส้นผม
• กระตุ้นการงอกของเส้นผมใหม่
• หนังศีรษะแข็งแรงขึ้น

เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่ผมบางจากพันธุกรรมหรือฮอร์โมน
• ผู้ที่ผมร่วงมากผิดปกติหลังคลอดหรือเครียดสะสม

ข้อดีของการฉีดเมโส ช่วยอะไรบ้าง
1.การฉีดเมโสช่วยฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส
การฉีดเมโสหน้าใสที่มีสารสำคัญอย่างวิตามินซี กลูต้าไธโอน และเปปไทด์ จะช่วยลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้าให้กลับมากระจ่างใส ผิวดูสุขภาพดี

2.การฉีดเมโสช่วยลดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
การฉีดเมโสลดฝ้ากระจะยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือน ฝ้า กระแดด จุดด่างดำ และรอยสิวให้จางลง พร้อมปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

3.การฉีดเมโสช่วยลดสิวและควบคุมความมัน
การฉีดเมโสลดสิวจะมีสารต้านการอักเสบและควบคุมความมันบนใบหน้า ช่วยให้สิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบลดลง พร้อมกระชับรูขุมขนและฟื้นฟูผิวที่เคยระคายเคือง

4.การฉีดเมโสช่วยลดไขมันเฉพาะจุด
การฉีดเมโสแฟตสามารถลดไขมันส่วนเกินบริเวณที่ลดยาก เช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน หน้าท้อง ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยให้รูปร่างกระชับ หน้าเรียวได้รูปมากขึ้น

5.การฉีดเมโสช่วยลดผมร่วง กระตุ้นการงอกใหม่
การฉีดเมโสผมมีสารที่ช่วยกระตุ้นรากผม บำรุงหนังศีรษะ และลดการอักเสบของรูขุมขน ทำให้ลดผมร่วง ผมบาง และกระตุ้นผมงอกใหม่ เหมาะสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

6.การฉีดเมโสช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
การฉีดเมโสบำรุงผิวช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ผิวดูเนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน พร้อมต้านมลภาวะและแสงแดดได้ดีขึ้น

7.การฉีดเมโสช่วยเสริมการบำรุงได้ลึกกว่าครีมทั่วไป
การทาครีมจะซึมได้แค่ผิวชั้นบน แต่การฉีดเมโสจะช่วยให้สารบำรุง เข้าถึงชั้นผิวลึก และออกฤทธิ์ตรงจุดได้ดีกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ดูแลผิวอยู่แล้วแต่ยังต้องการเห็นผลให้มากขึ้น

ฉีดเมโสบริเวณไหนได้บ้าง
การฉีดเมโสสามารถทำได้ในหลายบริเวณของร่างกาย ไม่ได้จำกัดแค่บริเวณใบหน้าเท่านั้น โดยแพทย์จะเลือกสูตรและเทคนิคเฉพาะให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งบริเวณที่นิยมฉีดเมโสได้ ดังนี้

1.ฉีดเมโสใบหน้า
เป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในการฉีดเมโส เพื่อฟื้นฟูผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใส ลดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และเพิ่มความชุ่มชื้น บริเวณที่ฉีดเมโสได้ เช่น แก้ม หน้าผาก คาง ใต้ตา รอบปาก

2.ฉีดเมโสเหนียงและคาง
การฉีดเมโสแฟตสามารถฉีดเพื่อลดไขมันสะสมบริเวณใต้คาง ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น ลดอาการหน้ากลมและเหนียงหย่อนคล้อย

3.ฉีดเมโสแก้ม
สำหรับการฉีดเมโสแฟตแก้ม จะช่วยลดไขมันบริเวณแก้ม ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็ก และได้สัดส่วนมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อมวลกล้ามเนื้อ

4.ฉีดเมโสใต้ตา
เมโสบำรุงใต้ตาจะช่วยลดความหมองคล้ำ ลดรอยเหี่ยวย่น ลดรอยตีนกา และเพิ่มความชุ่มชื้น ให้บริเวณใต้ตาดูสดใสขึ้น

5.ฉีดเมโสหนังศีรษะ
การฉีดเมโสผมจะทำบริเวณหนังศีรษะ เพื่อบำรุงรากผม กระตุ้นการงอกของเส้นผม และลดการหลุดร่วงของเส้นผม

6.ฉีดเมโสต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง
เมโสแฟตสามารถฉีดเพื่อลดไขมันเฉพาะจุดในร่างกาย เช่น ต้นแขนที่หย่อนคล้อย หน้าท้องลดยาก ต้นขาและสะโพกที่มีเซลลูไลท์

7.ฉีดเมโสบริเวณหลังมือ
ในบางกรณีสามารถฉีดเมโสบำรุงหลังมือเพื่อลดความแห้งเหี่ยว เพิ่มความเต่งตึงให้ผิวมือ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุและมือดูโทรม

ฉีดเมโสเหมาะกับใครบ้าง
การฉีดเมโสเป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า หรือแก้ปัญหาเฉพาะจุดแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีปัญหาหนักก่อนจึงจะเริ่มทำ ซึ่งกลุ่มคนที่เหมาะกับการฉีดเมโสมีดังนี้

1.การฉีดเมโสเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ
• ผิวหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส
• มีจุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ
• เป็นสิวอักเสบ สิวผด หรือสิวอุดตันเรื้อรัง
• รูขุมขนกว้าง ผิวขาดน้ำและดูแห้งกร้าน
• ผิวหน้าโทรมจากพักผ่อนน้อย หรือเจอมลภาวะสะสม

2.การฉีดเมโสเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด
• มีแก้มป่อง เหนียงชัด หรือใบหน้าดูบวมกลม
• ไขมันสะสมบริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ลดยาก
• อยากหน้าเรียว รูปร่างกระชับโดยไม่ต้องศัลยกรรม

3.การฉีดเมโสเหมาะกับผู้ที่มีผมร่วง ผมบาง หนังศีรษะไม่แข็งแรง
• มีผมร่วงมากผิดปกติ
• เริ่มมีปัญหาผมบางหรือล้านจากกรรมพันธุ์
• หนังศีรษะมัน อักเสบ หรือมีรังแค

4.การฉีดเมโสเหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกผ่าตัดหรือพักฟื้น
• ต้องการแก้ปัญหาผิวหรือลดไขมันเฉพาะจุด
• โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น

5.การฉีดเมโสเหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวระยะยาวและป้องกันปัญหา
• เริ่มเข้าสู่วัยที่ผิวมีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป
• ต้องการดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์และฟื้นฟูสุขภาพผิว
• ต้องการบำรุงผิวเชิงป้องกันก่อนปัญหาผิวจะเกิดขึ้น

ฉีดเมโสไม่เหมาะกับใครบ้าง
แม้ว่าการฉีดเมโสจะเป็นหัตถการที่มีผลข้างเคียงน้อยเมื่อทำโดยแพทย์และใช้ของแท้ แต่ก็มีบางกลุ่มบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดเมโส หรือ ต้องปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดก่อนทำ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนได้ ซึ่งได้แก่

1.การฉีดเมโสไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
สารบางชนิดในเมโสอาจดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือเด็กที่กำลังให้นม แม้ไม่มีการพิสูจน์ว่ามีอันตรายแน่ชัด แต่เพื่อความปลอดภัย แพทย์มักไม่แนะนำให้ทำ

2.การฉีดเมโสไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้สารบางชนิดในเมโส
ผู้ที่มีประวัติแพ้กลูต้าไธโอน วิตามิน หรือสารกันเสียบางประเภท ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง อาจเกิดอาการแพ้เฉียบพลัน เช่น บวม แดง ผื่น หรือหายใจลำบากได้

3.การฉีดเมโสไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังบางประเภท
โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ระบบตับ ไต และหลอดเลือด เช่น

• โรคตับหรือโรคไตเรื้อรัง ที่อยู่ระหว่างการรักษา
• โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
• โรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูงรุนแรง
• โรคแพ้ภูมิตนเอง (SLE, RA)

หากจำเป็นต้องทำ ต้องให้แพทย์ประเมินเป็นกรณีรายบุคคล

4.การฉีดเมโสไม่เหมาะกับผู้ที่มีบาดแผลหรือผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ฉีด
หากผิวหนังบริเวณนั้นมีสิวอักเสบมาก แผลเปิด หรือติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดเมโสในจุดนั้น เพราะอาจทำให้เชื้อกระจายหรือลุกลาม

5.การฉีดเมโสไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
เช่น คนที่รับประทานยาวาร์ฟาริน แอสไพริน หรือยาต้านเกล็ดเลือด เสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำหรือเลือดคั่งหลังฉีด

6.การฉีดเมโสไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งผ่านการทำเลเซอร์หรือหัตถการอื่น ๆ
หากเพิ่งทำเลเซอร์, HIFU, RF, หรือศัลยกรรมใบหน้า ควรเว้นช่วงให้ผิวฟื้นตัวก่อน 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือผลแทรกซ้อน

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโส
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง ผู้เข้ารับการฉีดเมโสควรเตรียมตัวล่วงหน้าตามคำแนะนำดังนี้

1.ก่อนฉีดเมโสหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
ควรงดยาในกลุ่มที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวยากอย่างน้อย 3-7 วันก่อนฉีด เช่น Aspirin วิตามิน E น้ำมันปลา โสม เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำหรือเลือดคั่งบริเวณที่ฉีด

2.ก่อนฉีดเมโสงดดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนก่อนทำ
ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเข้ารับบริการ เนื่องจากอาจทำให้หลอดเลือดขยายตัว และเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟกช้ำ

3.ก่อนฉีดเมโสควรพักผ่อนให้เพียงพอ
นอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงในคืนก่อนหน้า เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวดี ผิวไม่อ่อนล้า และลดโอกาสผิวบวมหรือระคายเคืองหลังฉีด

4.ก่อนฉีดเมโสควรดื่มน้ำมาก ๆ
ดื่มน้ำให้เพียงพอในวันก่อนฉีดและในวันฉีด เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และให้สารเมโสทำงานได้ดีขึ้นภายในเซลล์ผิว

5.ก่อนฉีดเมโสควรงดแต่งหน้าในวันที่ทำหัตถการ (กรณีฉีดบนใบหน้า)
ควรมาที่คลินิกด้วยใบหน้าสะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ

6.ก่อนฉีดเมโสแจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่
หากมีประวัติแพ้กลูต้าไธโอน วิตามิน หรือสารบางชนิด ควรแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หรือโรคภูมิแพ้ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อประเมินความเสี่ยง

7.ก่อนฉีดเมโสงดหัตถการอื่น ๆ บริเวณเดียวกันก่อนฉีดเมโส
เช่น เลเซอร์ HIFU RF หรือการผลัดเซลล์ผิวอย่างแรง ควรเว้นระยะอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนฉีดเมโส เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นตัว

8.ก่อนฉีดเมโสแนะนำเตรียมใจให้ผ่อนคลาย
แม้การฉีดเมโสจะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่การเตรียมใจให้พร้อมจะช่วยให้ร่างกายตอบสนองดี ลดความตึงเครียด และรับสารบำรุงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การดูแลตัวเองหลังฉีดเมโส
หลังการฉีดเมโส ผิวจะมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และต้องการการดูแลเป็นพิเศษในช่วงแรก ดังนั้นการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น ผิวฟื้นตัวดี และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหรือผลข้างเคียงต่าง ๆ ได้

1.หลังฉีดเมโสประคบเย็นใน 24 ชั่วโมงแรก
หากมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงผิวในจุดที่ฉีด ควรประคบเย็นเบา ๆ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคือง

2.หลังฉีดเมโสควรดื่มน้ำมาก ๆ
ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยให้ตัวยากระจายเข้าสู่เซลล์ผิวได้ดี และขับของเสียออกจากร่างกายเร็วขึ้น

3.หลังฉีดเมโสควรพักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวดี และให้เซลล์ผิวซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่

4.หลังฉีดเมโสใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน
เลือกใช้สกินแคร์ที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือกรดผลไม้ (AHA/BHA) เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองเพิ่มเติม

5.หลังฉีดเมโสอย่าแตะ แกะ หรือเกาบริเวณที่ฉีด
ไม่ควรสัมผัสบริเวณที่ฉีดเมโส เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือทิ้งรอยดำตามมา

6.หลังฉีดเมโสงดแต่งหน้า 24-48 ชั่วโมงแรก
การลงรองพื้นหรือแป้งอาจอุดตันรูขุมขนและเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ โดยเฉพาะบริเวณที่มีรอยเข็ม

7.หลังฉีดเมโสหลีกเลี่ยงแดดจัดและความร้อน
เช่น การเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือออกแดดแรง ๆ เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบและรอยแดงให้เด่นชัดขึ้น

8.หลังฉีดเมโสงดออกกำลังกายหนักหรือว่ายน้ำใน 1-2 วันแรก
เหงื่อและสิ่งสกปรกอาจเข้าไปในรูเข็ม ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการอักเสบ

9.หลังฉีดเมโสงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
เพราะจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานผิดปกติ และลดประสิทธิภาพของสารที่ฉีดเข้าไป

ฉีดเมโสกี่ครั้งจึงจะเห็นผล
การฉีดเมโสจะเห็นผลชัดเจนมากน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิวหรือปัญหาที่ต้องการรักษา สูตรเมโสที่ใช้ รวมถึงการดูแลตนเองหลังการฉีด โดยทั่วไปแล้วการเห็นผลหลังฉีดเมโส จะประมาณช่วงระยะเวลาได้ดังนี้

เห็นผลเบื้องต้น
• ภายใน 3-7 วันหลังฉีดครั้งแรก ผู้รับบริการส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้สึกว่าผิวดูชุ่มชื้นขึ้น ผิวเนียนละเอียด รู้สึกสดใสขึ้น
• สำหรับเมโสหน้าใสหรือเมโสลดสิว บางคนอาจเห็นสิวยุบเร็วหรือผิวดูฟูขึ้นในไม่กี่วัน

เห็นผลชัดเจน
• เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง แนะนำให้ฉีดติดต่อกันประมาณ 3-5 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะห่างระหว่างครั้งประมาณ 7-14 วัน

ฉีดเมโสอยู่ได้นานแค่ไหน
โดยเฉลี่ยแล้วฉีดเมโสหน้าใสจะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน หลังครบคอร์ส แนะนำว่าควรฉีดต่อเนื่องหรือนัดฉีดซ้ำตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้น ทั้งนี้ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคนตามการดูแลตนเองหลังการฉีด

ความแตกต่าง ฉีดเมโสแท้ vs ฉีดเมโสปลอม
การฉีดเมโสได้รับความนิยมมากขึ้น แต่สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดคือเมโสปลอม เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวและสุขภาพได้อย่างรุนแรง มาดูกันว่าเมโสแท้กับเมโสปลอมต่างกันอย่างไร

 

เมโสแท้

เมโสปลอม

แหล่งที่มา/การรับรอง

ผ่านการรับรองจาก อย. มีบริษัทนำเข้าและกระบวนการขนส่งถูกต้อง ตรวจสอบย้อนกลับได้

ไม่ผ่าน อย. แหล่งที่มาและกระบวนการผลิตไม่แน่นอน มักพบในออนไลน์หรือราคาถูกผิดปกติ

ส่วนผสม/คุณภาพ

เป็นวิตามินหรือสารอาหารสำหรับผิวที่ปลอดภัย สูตรที่ใช้ชัดเจน มักระบุล็อต เลข อย. ชัดเจน

มักมีส่วนผสมแปลกปลอม เช่น สเตียรอยด์หรือฮอร์โมน เพื่อให้เห็นผลเร็วแต่เสี่ยงอันตราย

ผลลัพธ์ระยะสั้น

ฟื้นฟูผิวตามประสิทธิภาพจริงของตัวยา เห็นผลต่อเนื่องตามระยะเวลาที่ควรเป็น

เห็นผลเร็วกว่าปกติ เช่น ผิวขาวเนียนนุ่มผิดปกติในช่วงแรก

ผลลัพธ์ระยะยาว/ความเสี่ยง

ไม่ทำให้ผิวบาง ผิวไวต่อแดด ไม่สะสมสารอันตราย สามารถออกแดดได้หากทาครีมกันแดด

ผิวบางลง ผิวไวต่อแสง เกิดฝ้า ริ้วรอย ผิวอักเสบเรื้อรัง เสี่ยงติดเชื้อ ถึงขั้นมะเร็งผิวหนังในที่สุด

การตรวจสอบ

มีวิธีตรวจสอบเฉพาะเช่น บาร์โค้ด, QR code, เลขล็อต และซีลของแท้

มักปลอมแปลงบรรจุภัณฑ์เหมือนของแท้ แม้แพทย์ยังตรวจสอบยาก มีแต่บริษัทนำเข้าที่ถูกกฎหมายเท่านั้นที่เช็กได้แน่ชัด

ราคา

ราคาสมเหตุสมผล ใกล้เคียงกันในคลินิกมาตรฐาน

ราคาถูกมากผิดปกติ มักหาซื้อเฉพาะทางออนไลน์ หรือรับฉีดนอกสถานที่

สิ่งที่ควรระวังและวิธีป้องกันฉีดเมโสปลอม ควรขอให้แพทย์หรือคลินิกเปิดขวดใหม่ต่อหน้าทุกครั้ง และตรวจสอบเลขรุ่น QR code หรือบาร์โค้ด เพื่อเช็กว่าเป็นของแท้ อย่าฉีดเมโสเองหรือรับบริการนอกสถานที่ รวมถึงไม่ซื้อเมโสจากออนไลน์ที่ไม่มีใบรับรอง เลือกคลินิกและแพทย์ที่มีใบอนุญาตเพื่อความปลอดภัย

อันตรายจากการฉีดเมโสปลอม
อันตรายจากการฉีดเมโสปลอม ส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพในทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้

• การฉีดเมโสปลอมทำให้เกิดอาการแพ้และการอักเสบ
เมโสปลอมมักมีส่วนผสมของสารที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สเตียรอยด์ ฮอร์โมน หรือสารปลอมปน ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้รุนแรง ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ หรือบวมแดงทันที บางรายอาจมีการอักเสบเรื้อรังที่รักษายาก

• การฉีดเมโสปลอมทำให้ผิวบาง ไวต่อแสงแดด และปัญหาผิวเรื้อรัง
สเตียรอยด์ในยาเมโสปลอมจะทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดง่าย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำหรือริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย

• การฉีดเมโสปลอมทำให้เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง
หากฉีดเมโสปลอมต่อเนื่องนาน ๆ ผิวจะถูกทำลายลึกจนเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง

• การฉีดเมโสปลอมทำให้สิวเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิวลดลง
สเตียรอยด์และสารปลอมปนยังส่งผลทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดสิวอักเสบหรือสิวอุดตันเรื้อรัง

• การฉีดเมโสปลอมทำให้ติดเชื้อรุนแรง
การฉีดในสถานที่ไม่สะอาด หรือโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือ หมอกระเป๋า เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย รา หรือเชื้ออันตรายที่อาจลุกลามในชั้นผิวหน้า

• การฉีดเมโสปลอมทำให้เกิดอาการผิดปกติอื่น ๆ
เช่น หน้าบวม ผื่นขึ้น สภาพผิวทรุดโทรม และผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่ต้องการ เสียเงินและต้องรักษาเพิ่มเติมในภายหลัง

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดเมโส
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดเมโสที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ มีดังนี้

• หลังฉีดเมโสอาจเกิดรอยแดง รอยเข็ม รอยช้ำเล็กน้อย เป็นผลข้างเคียงปกติที่เกิดจากการใช้เข็มฉีด จะหายเองภายใน 1-3 วัน
• หลังฉีดเมโสอาจบวม แดง ระคายเคือง หรือผื่นแดง อาจเกิดขึ้นได้ โดยปกติจะเป็นชั่วคราว แต่ถ้าเกิดบวมแดงเกิน 24 ชั่วโมงหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์
• หลังฉีดเมโสอาจเกิดอาการแพ้ยาเมโสหรือยาชา เช่น ผื่นขึ้นทั่วหรือบวมแดงมาก บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นหายใจไม่ออกหรือช็อก ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน
• หลังฉีดเมโสอาจเกิดการอักเสบติดเชื้อ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าอุปกรณ์หรือสถานที่ฉีดไม่สะอาด อาจทำให้เกิดอาการบวม ร้อน ปวด บางกรณีอาจต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อหรือผ่าตัด
• หลังฉีดเมโสอาจเกิดตุ่มหรือแผลที่ผิวหนัง เกิดจากการใช้สารที่ไม่เหมาะสมหรือฉีดในปริมาณผิด อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น หรือผิวหนังตายในบริเวณที่ฉีด
• หลังฉีดเมโสอาจผิวไวต่อแสง บางลง เกิดฝ้า หรือเกิดริ้วรอยก่อนวัย โดยเฉพาะในกรณีใช้สารปลอมที่มีสเตียรอยด์หรือฮอร์โมนผสม

เปรียบเทียบฉีดเมโสกับหัตถการอื่น ๆ
ฉีดเมโส vs ฉีดโบท็อกซ์
จุดประสงค์
• เมโส บำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส ลดสิว ฝ้า กระ และฟื้นฟูผิวโดยรวม
• โบท็อกซ์ ลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า และลดกล้ามเนื้อบริเวณที่ไม่ต้องการ เช่น กรามหรือหน้าผาก

กลไกการทำงาน
• เมโส ฉีดวิตามินหรือสารบำรุงเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิว
• โบท็อกซ์ ฉีดสาร Botulinum Toxin เข้าสู่กล้ามเนื้อเพื่อลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น

ผลลัพธ์
• เมโสให้ผิวใส สุขภาพดี แต่ไม่ยกกระชับทันที
• โบท็อกซ์เห็นผลชัดเรื่องริ้วรอยและรูปหน้าเรียวขึ้น

อยู่ได้นาน
• เมโสอยู่ได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หากไม่ทำต่อเนื่อง
• โบท็อกซ์อยู่ได้ 3-6 เดือน ขึ้นกับบริเวณที่ฉีด

ฉีดเมโส vs ฉีดฟิลเลอร์
จุดประสงค์
• เมโส บำรุงผิวทั่วใบหน้า
• ฟิลเลอร์ เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือปรับรูปหน้า เช่น คาง จมูก ใต้ตา

กลไกการทำงาน
• เมโส เติมสารบำรุงเพื่อฟื้นฟูผิวจากภายใน
• ฟิลเลอร์ เติมสารไฮยาลูรอนิคแอซิด (HA) เข้าไปใต้ผิว เพื่อเพิ่มวอลุ่มหรือความเต่งตึง

ผลลัพธ์
• เมโสให้ผิวดูฉ่ำน้ำ ใส สุขภาพดี
• ฟิลเลอร์ให้ผลชัดเจนด้านการปรับรูปหน้าและลดร่องลึกทันที

อยู่ได้นาน
• เมโส เห็นผลชั่วคราว ต้องฉีดต่อเนื่อง
• ฟิลเลอร์ อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี (ขึ้นกับชนิดของฟิลเลอร์)

ฉีดเมโส vs ทำเลเซอร์
จุดประสงค์
• เมโส ฟื้นฟู บำรุง เติมความชุ่มชื้น ลดปัญหาสิว ผิวหมอง
• เลเซอร์ แก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ฝ้า กระ รอยดำ รูขุมขนกว้าง รอยแดงสิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

กลไกการทำงาน
• เมโส ใช้เข็มฉีดสารเข้าชั้นผิว
• เลเซอร์ ใช้พลังงานแสงยิงลงผิว เพื่อกระตุ้นหรือทำลายเม็ดสีหรือเส้นเลือดผิดปกติ

ผลลัพธ์
• เมโสให้ผิวใส ผิวเนียนนุ่ม ดูสุขภาพดีทั่วใบหน้า
• เลเซอร์เหมาะกับการลดรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ อย่างจำเพาะ

อยู่ได้นาน
• เมโส ต้องทำต่อเนื่องเพื่อคงผล
• เลเซอร์ ผลลัพธ์ชัดเจน แต่อาจต้องทำซ้ำเป็นคอร์สเช่นกัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฉีดเมโส (FAQ)
1.ฉีดเมโสเจ็บไหม แสบหรือเปล่า
คำตอบ โดยทั่วไปการฉีดเมโสจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเหมือนโดนเข็มจิ้มเบา ๆ ซึ่งทนได้ ไม่ถึงกับปวดรุนแรง และในบางกรณีแพทย์จะทายาชาก่อนทำ ทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น ส่วนอาการแสบอาจเกิดขึ้นได้บ้างช่วงฉีด โดยเฉพาะหากสูตรเมโสมีวิตามินซีหรือสารเข้มข้น แต่จะหายได้ภายในไม่กี่นาที

2.ฉีดเมโสใช้เวลานานไหมกว่าจะเห็นผล
คำตอบ ผลลัพธ์เบื้องต้น เช่น ผิวดูใสขึ้น ชุ่มชื้น หรือสิวเริ่มแห้ง มักจะเริ่มเห็นได้ใน 3-7 วัน หลังการฉีดครั้งแรก แต่หากต้องการผลที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ควรฉีดต่อเนื่อง ประมาณ 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้สารบำรุงสะสมและฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่

3.หลังฉีดเมโสสามารถแต่งหน้าได้หรือไม่
คำตอบ หลังฉีดเมโสควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัว ลดโอกาสการระคายเคืองหรือการติดเชื้อจากเครื่องสำอาง หลังจากนั้นหากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงหรือระคายเคืองมาก ก็สามารถแต่งหน้าและดูแลผิวได้ตามปกติ

สรุปเกี่ยวกับการฉีดเมโส
สรุปว่า การฉีดเมโสเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า แก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด หรือแม้แต่ลดไขมันส่วนเกินแบบไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เมโสของแท้ และมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทั้งก่อนและหลังฉีดอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
โปรโมชั่นต่างๆ
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ