romrawin

โปรแกรมฉีดหน้าใส คืออะไร มีอะไรบ้าง เลือกทำแบบไหนดี หน้าเนียนใส

ฉีดหน้าใส

613

ฉีดหน้าใส คืออะไร มีอะไรบ้าง เลือกทำแบบไหนดี หน้าเนียนใส
การดูแลผิวให้กระจ่างใส ผิวอิ่มน้ำดูสุขภาพดี เป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส หน้าแห้งลอก ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำจากสิว รวมถึงในกลุ่มคนที่เตรียมตัวออกงานสำคัญ ต้องการผิวหน้ากระจ่างใสในเวลาไม่นาน หัตถการฉีดหน้าใสจึงได้รับความนิยม บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดหน้าใสคืออะไร ช่วยอะไรบ้าง ข้อควรระวัง วิธีการเตรียมตัวและดูแลตัวเองหลังทำ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ฉีดหน้าใส คืออะไร ดีจริงไหม
ฉีดหน้าใส คือ การบำรุงผิวด้วยการฉีดวิตามินหรือสารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน คอลลาเจน กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น ลดความหมองคล้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูฉ่ำวาวอิ่มน้ำ การฉีดหน้าใสกลายเป็นหนึ่งในหัตถการด้านความงามยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูสดใสและสุขภาพดี โดยไม่ต้องรอนานเหมือนการใช้สกินแคร์ทั่วไป

การฉีดหน้าใสช่วยอะไรบ้าง
การฉีดหน้าใสเป็นหัตถการด้านความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างเห็นผลและตรงจุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระจ่างใสขึ้นในเวลาไม่นาน โดยประโยชน์ของการฉีดหน้าใสมีหลากหลาย ดังนี้

1.การฉีดหน้าใสช่วยผิวกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ
การฉีดวิตามินและสารบำรุงลงสู่ชั้นผิวโดยตรง ช่วยให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใสจากภายใน ลดปัญหาผิวโทรม หมองคล้ำจากแสงแดด มลภาวะ หรือการพักผ่อนน้อย

2.การฉีดหน้าใสช่วยลดรอยดำ รอยสิว จุดด่างดำ
วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยลดเม็ดสีเมลานินที่ทำให้เกิดรอยดำหรือจุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น

3.การฉีดหน้าใสช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
การฉีดสารบำรุงผิวอย่าง Hyaluronic Acid หรือวิตามิน B5 ช่วยเติมน้ำให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการผิวแห้งกร้าน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี

4.การฉีดหน้าใสช่วยผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
การฉีดหน้าใสช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูเซลล์ผิวและการกระตุ้นการผลัดเซลล์ใหม่ ทำให้พื้นผิวเรียบเนียนขึ้น ลดความหยาบกร้าน และรูขุมขนดูเล็กลง

5.การฉีดหน้าใสช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
สารบำรุงผิวที่ใช้ฉีดหน้าใสหลายชนิดมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ผิวดูเด้ง เต่งตึง และอ่อนเยาว์ขึ้นในระยะยาว

6.การฉีดหน้าใสช่วยลดการอักเสบของผิวและสิว
วิตามินบางชนิดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดการระคายเคือง ทำให้ผิวที่เป็นสิวอักเสบหรือระคายเคืองสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

7.การฉีดหน้าใสช่วยฟื้นฟูผิวหน้าในเวลาไม่นาน
การฉีดหน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูดีในระยะเวลาอันสั้น เช่น เตรียมตัวออกงาน รับปริญญา ถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง หรือโอกาสพิเศษอื่น ๆ

8.การฉีดหน้าใสช่วยให้แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
เมื่อผิวเรียบเนียน กระจ่างใส ผิวชุ่มชื้น ผิวฟูดูอิ่มน้ำ ลดปัญหาหน้าแห้งลอก จะช่วยให้แต่งหน้าได้ง่ายและมีความติดทนมากขึ้น

ฉีดหน้าใสเหมาะกับใครบ้าง
การฉีดหน้าใสเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนในระยะสั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส โดยเฉพาะในยุคที่ชีวิตเร่งรีบ ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง การฉีดหน้าใสจึงเป็นตัวช่วยยอดนิยม และเหมาะกับกลุ่มคนต่อไปนี้

1.ฉีดหน้าใสเหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
เหมาะสำหรับผู้ที่เผชิญกับปัญหาผิวโทรมจากการพักผ่อนน้อย เจอมลภาวะ หรือโดนแดดจัดเป็นประจำ การฉีดวิตามินเข้าผิวจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น

2.ฉีดหน้าใสเหมาะกับคนที่มีรอยสิว จุดด่างดำ รอยแดงจากสิว
การฉีดวิตามิน เช่น วิตามินซี หรือกลูต้าไธโอน จะช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดง และกระตุ้นการฟื้นฟูของผิว ทำให้รอยต่าง ๆ ดูจางลง ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น

3.ฉีดหน้าใสเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ แต่งหน้าไม่ติด
คนที่รู้สึกว่าผิวแห้ง ลอกเป็นขุย หรือรู้สึกว่าแต่งหน้าไม่ติด รองพื้นเป็นคราบ การฉีดสารเติมความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA) จะช่วยเติมน้ำให้ผิว ช่วยให้ผิวดูฟู อิ่มน้ำ และแต่งหน้าได้เรียบเนียนขึ้น

4.ฉีดหน้าใสเหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าในเวลาไม่นาน
เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย แต่อยากมีผิวสวยในเวลาที่เร็วกว่าการใช้ครีมทั่วไป เช่น ก่อนออกงานสำคัญถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง งานรับปริญญา งานแต่งงาน หรือออกเดต

5.ฉีดหน้าใสเหมาะกับคนที่อายุ 20 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีปัญหาผิวสะสม
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น เซลล์ผิวจะผลัดตัวช้าลง การฉีดหน้าใสจะช่วยเร่งการฟื้นฟูเซลล์ผิวใหม่ ชะลอความเสื่อมของผิว และทำให้ผิวแลดูสดใสกว่าวัย

6.ฉีดหน้าใสเหมาะกับคนที่เครียด พักผ่อนน้อย ใช้ชีวิตหนัก
เหมาะสำหรับคนทำงานกลางคืน ทำงานดึก หรือต้องเจอภาวะเครียดเป็นประจำ ผิวมักจะขาดน้ำและอ่อนแอ การฉีดหน้าใสจะช่วยให้ผิวดูสดใสอิ่มฟูได้ดีกว่าการใช้ครีมทั่วไป

ฉีดหน้าใส มีอะไรบ้าง ช่วยผิวหน้าเนียนใส
หัตถการฉีดหน้าใสคือหนึ่งในวิธีบำรุงผิวที่เห็นผลในเวลาไม่นาน โดยใช้เทคนิคฉีดสารบำรุงเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ชุ่มชื้น ลดความหมองคล้ำ และเสริมสร้างคอลลาเจนจากภายใน ปัจจุบันการฉีดหน้าใสมีหลายหัตถการให้เลือก โดยแต่ละหัตถการมีจุดเด่นและตอบโจทย์ปัญหาผิวแตกต่างกัน

1.Rejuran
Rejuran คือสาร Polynucleotide (PN) สกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังอย่างล้ำลึก โดยเน้นฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ ลดรอยแผลเป็น ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว นอกจากนี้ Rejuran ยังช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูสุขภาพดีเปล่งปลั่ง

2.REVIVE
REVIVE คือสูตรเมโสหน้าใสที่เน้นการเพิ่มความกระจ่างใส และลดขนาดรูขุมขน พร้อมลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และรอยจุดด่างดำจากสิวหรือแสงแดด สารที่ใช้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนกระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำหรือหยาบกร้าน ให้ผิวดูสว่างสดใสและมีสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจนภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์

3.SkinVive
SkinVive เป็น Skin Booster ที่เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นแบบลึกถึงผิวชั้นกลาง เพื่อทำให้ผิวหน้าดูฉ่ำวาว ดูอิ่มฟู มีการกระตุ้นคอลลาเจนและเสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวที่ขาดน้ำ และต้องการผิวเนียนนุ่ม เรียบเนียน และดูสุขภาพดี

4.Glass Glow Skin
โปรแกรม Glass Glow Skin จะเน้นการฉีดสารบำรุงผิวและไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) โมเลกุลขนาดเล็กที่ซึมลึกได้ดี ทำให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นเต็มที่จนเกิดเอฟเฟ็กต์ผิวใสเป็นกระจก ผิวจะดูใส เรียบเนียน เปล่งประกายแบบผิวโกลว์ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวเปล่งประกายและความชุ่มชื้นในเวลาไม่นาน

5.Radiesse
Radiesse คือฟิลเลอร์ชนิด Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่ทำหน้าที่ยกกระชับและเติมเต็มริ้วรอยลึก โดยนอกจากจะช่วยเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มปริมาตรแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวในระยะยาว ทำให้ผิวแน่นและกระชับขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบยกกระชับและลดริ้วรอยลึกอย่างชัดเจนในระยะยาว

6.Sculptra
ฟิลเลอร์ชนิด Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเน้นกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่นขึ้น ฟื้นฟูโครงสร้างผิวและลดเลือนริ้วรอยลึก ผลลัพธ์จะชัดเจนหลังทำไปแล้วประมาณ 2-3 สัปดาห์และอยู่ได้นานหลายเดือนถึง 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูแบบยกกระชับระยะยาว โดยไม่เน้นเติมเต็มรูปหน้าแบบทันที

7.ULTRACOL
ULTRACOL คือคอลลาเจนชนิดฉีดที่ช่วยเพิ่มความกระชับและเติมเต็มผิว มีหน้าที่กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่และซ่อมแซมผิวที่เสียหาย ช่วยลดริ้วรอยเหนือผิวและฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8.PLURYAL
PLURYAL เป็น Skin Booster ที่เน้นเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านและริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ดี พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวดูเนียนนุ่ม สดใส และมีสุขภาพดี เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวและแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านหรือหยาบกร้าน

9.Profhilo
Profhilo เป็นสารไฮยาลูโรนิกแอซิดบริสุทธิ์ความเข้มข้นสูง ที่ช่วยให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินอย่างเต็มประสิทธิภาพ เน้นการฟื้นฟูผิวแบบทั่วใบหน้า ทำให้ผิวตึงกระชับ ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับพร้อมบำรุงผิว

10.KARISMA
KARISMA เป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปพร้อมกับการเติมเต็มและยกกระชับผิว ใช้ในกรณีที่ต้องการปรับรูปหน้า ให้ผิวเรียบเนียนและดูสดใสขึ้น พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าพร้อมบำรุงผิวในขั้นตอนเดียว

ขั้นตอนการฉีดหน้าใสที่คนทำครั้งแรกควรรู้
หากคุณกำลังวางแผนจะฉีดหน้าใสเป็นครั้งแรก การเตรียมตัวและทำความเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ ถือว่าสำคัญมาก เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและลดความกังวลก่อนทำ คำแนะนำในการฉีดหน้าใสที่คนทำครั้งแรกควรรู้ มีดังนี้

1.ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว
ก่อนฉีดหน้าใสควรพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพผิวหน้า เช่น ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย มีสิวอักเสบ หรือมีรอยดำ เลือกสูตรวิตามินหรือสารบำรุงที่เหมาะกับผิวแต่ละประเภท และตรวจสอบประวัติการแพ้ยา/สารบำรุง

2.ทำความสะอาดผิวหน้า
ก่อนฉีดหน้าใส แพทย์จะทำความสะอาดผิวเพื่อขจัดคราบเมคอัพ ฝุ่น และสิ่งสกปรก ลดความเสี่ยงการติดเชื้อหลังฉีด

3.แปะยาชาหรือใช้เครื่องทำเย็น (Cooling)
สำหรับผู้ที่กลัวเข็มหรือไม่เคยฉีดมาก่อน แพทย์มักใช้ยาชาแบบแปะทิ้งไว้ 20-30 นาที เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด โดยบางคลินิกอาจใช้เครื่องเป่าลมเย็นแทนยาชา (ขึ้นอยู่กับสูตรที่ใช้และระดับความรู้สึกเจ็บของแต่ละคน)

4.แพทย์ฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิว
โดยใช้เข็มขนาดเล็กมาก ฉีดในระดับตื้นของผิว (ชั้นหนังแท้) ในลักษณะหลายจุดทั่วใบหน้า หรือ ฉีดเป็นจุดเฉพาะ ขึ้นอยู่กับเทคนิคและสูตรที่ใช้ ความรู้สึกขณะฉีดอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือจิ๊ด ๆ ตามเข็ม แต่สามารถทนได้ (โดยเฉพาะถ้าแปะยาชาก่อน)

5.หลังฉีดแพทย์จะประคบเย็นเพื่อลดบวมแดง
ทันทีหลังฉีดหน้าใสอาจมีรอยปูดเล็ก ๆ คล้ายตุ่มยุงกัด (จะยุบภายใน 1-2 วัน) อาการแดงเล็กน้อย บางรายอาจมีรอยเข็มเล็ก ๆ แพทย์หรือพนักงานจะประคบเย็นและทาครีมลดการระคายเคืองให้

6.คำแนะนำหลังทำหัตถการ
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง คนที่ฉีดหน้าใสครั้งแรกควรระวังเรื่องเหล่านี้

• หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า 24 ชั่วโมงแรก ก่อนและหลังฉีดหน้าใส
• งดโดนแดดแรง ซาวน่า หรือว่ายน้ำ 3 วัน ก่อนและหลังฉีดหน้าใส
• ดื่มน้ำเยอะ ๆ (1.5-2 ลิตรต่อวัน) เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็ว ก่อนและหลังฉีดหน้าใส
• ทาครีมบำรุงและกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งก่อนและหลังฉีดหน้าใส
• หากมีอาการผิดปกติหลังฉีดหน้าใส เช่น ผิวบวมมากหรือมีตุ่มแดงนานเกิน 3 วัน ควรรีบกลับมาพบแพทย์

คำแนะนำการเตรียมตัวก่อนฉีดหน้าใส
การเตรียมตัวก่อนการฉีดหน้าใส เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง และเห็นผลได้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำครั้งแรก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

1.ก่อนฉีดหน้าใสหลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ที่ระคายเคืองก่อนวันฉีด 2-3 วัน
• ก่อนฉีดหน้าใสงดการใช้กรดผลไม้ (AHA, BHA), Retinol, Vitamin A หรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ
• ก่อนฉีดหน้าใสงดการขัดหน้า มาส์กหน้าที่มีฤทธิ์ร้อน หรือคลินซิ่งแรง ๆ

2.ก่อนฉีดหน้าใสงดแต่งหน้าก่อนเข้ารับบริการในวันทำหัตถการ
ก่อนฉีดหน้าใสควรล้างหน้าให้สะอาด และไม่ทาเมคอัพ ครีมกันแดด หรือโลชั่นใด ๆ ลดโอกาสการอุดตันของรูขุมขน และการติดเชื้อในขณะฉีด

3.ก่อนฉีดหน้าใสพักผ่อนให้เพียงพอ 1-2 คืนก่อนทำ
ก่อนฉีดหน้าใสพยายามนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง ผิวที่อ่อนเพลียหรือโทรมจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้ผลการรักษาออกมาไม่ชัดเจน

4.ก่อนฉีดหน้าใสดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อย 1.5-2 ลิตร ก่อนวันฉีด
ก่อนฉีดหน้าใสเริ่มดื่มน้ำตั้งแต่ 1-2 วันล่วงหน้า และต่อเนื่องในวันฉีด ผิวที่ชุ่มชื้นจะดูดซึมสารบำรุงได้ดีกว่า และช่วยให้ผิวอิ่มน้ำหลังทำเร็วขึ้น

5.ก่อนฉีดหน้าใสงดแอลกอฮอล์และของหมักดอง 24 ชั่วโมงก่อนทำ
เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ และของหมักดองต่าง ๆ ป้องกันเลือดออกหรือช้ำง่ายหลังฉีดหน้าใส และลดการอักเสบของผิว

6.ก่อนฉีดหน้าใสแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาใดอยู่
เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด ยาแก้อักเสบ ยาคุม ยาฮอร์โมน หรือยาภูมิแพ้ หากเคยแพ้ยา หรือสารใด ๆ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า ก่อนฉีดหน้าใส

7.ก่อนฉีดหน้าใสหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หรือหัตถการอื่นบนใบหน้า 5-7 วันก่อนทำ
เช่น เลเซอร์หน้าใส, IPL, RF หรือทรีตเมนต์เข้มข้น เพื่อให้ผิวมีเวลาในการฟื้นตัวก่อนทำการฉีดหน้าใส และลดการระคายเคืองซ้ำซ้อน

8.ก่อนฉีดหน้าใสเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์เป็นผู้ดำเนินการ
• ตรวจสอบใบอนุญาตของสถานพยาบาลก่อนฉีดหน้าใส
• แพทย์ต้องเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำก่อนการฉีดหน้าใส

คำแนะนำการดูแลตัวเองหลังฉีดหน้าใส
หลังจากฉีดหน้าใสเสร็จเรียบร้อยแล้ว การดูแลผิวอย่างถูกวิธีถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาชัดเจน ผิวฟื้นตัวได้เร็ว ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง และยืดอายุผลลัพธ์ให้นานขึ้น โดยมีคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดหน้าใส ดังนี้

1.หลังฉีดหน้าใสงดแต่งหน้าและล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์แรง ๆ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
หลังฉีดหน้าใสใช้น้ำเปล่าหรือคลีนซิ่งสูตรอ่อนโยนเท่านั้นในวันแรก งดใช้โฟมล้างหน้าที่มีกรดผลัดเซลล์ (AHA/BHA) หรือแอลกอฮอล์ เพราะผิวหลังฉีดอาจมีรอยเข็มหรือรอยปูดเล็ก ๆ จึงควรหลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรงที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง

2.หลังฉีดหน้าใสหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและทาครีมกันแดดทุกวัน
ควรใช้กันแดด SPF 50 PA+++ ขึ้นไป ใส่หมวกหรือกางร่มเมื่อออกแดด เพราะแสงแดดอาจทำให้เม็ดสีผิวทำงานมากขึ้นและทำให้ผิวคล้ำลง ซึ่งขัดกับผลลัพธ์ที่ต้องการจากการฉีดหน้าใส

3.หลังฉีดหน้าใสงดออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง
งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น วิ่ง ฟิตเนส โยคะร้อน เพราะเหงื่อที่ออกมามากอาจทำให้รูขุมขนอุดตัน หรือสารบางอย่างบนผิวซึมย้อนกลับเข้าร่างกายได้

4.หลังฉีดหน้าใสหลีกเลี่ยงการนวดหน้า ขัดหน้า หรือทำทรีตเมนต์อื่น ๆ ประมาณ 5-7 วัน
รวมถึงการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์แรง ๆ หรือกดสิว เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนผิวที่ยังไม่สมานดีจากรอยเข็ม

5.หลังฉีดหน้าใสควรดื่มน้ำมาก ๆ และทานอาหารที่มีประโยชน์
หลังฉีดหน้าใสควรดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร เน้นผัก ผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารหวานจัดหรือเค็มจัด เพราะผิวต้องการน้ำเพื่อช่วยดูดซึมสารบำรุงได้ดีมากขึ้น

6.หลังฉีดหน้าใสใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น
เช่น เซรั่มไฮยาลูรอน ครีมบำรุงสูตรอ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม ช่วยลดความแห้งตึงหลังฉีด และช่วยให้ผิวฟื้นตัวไว

7.หลังฉีดหน้าใสงดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 1-3 วัน
แอลกอฮอล์และบุหรี่จะลดประสิทธิภาพของการฟื้นฟูผิว ทำให้ตัวยาทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้

8.สังเกตอาการผิดปกติหลังฉีดหน้าใส
หากพบว่ามีรอยแดงมากผิดปกติ ปวด บวม ตุ่มหนอง หรือคันยาวนาน มีผื่นแพ้หรืออาการคล้ายลมพิษ ควรติดต่อแพทย์ทันที เพื่อประเมินอาการและรักษาโดยเร็ว

ฉีดหน้าใสกี่ครั้งจึงเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีดหน้าใสโดยทั่วไปควรทำประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อเห็นผลชัดเจนและได้ผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกแนะนำให้ฉีดต่อเนื่องทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวยาทำงานอย่างเต็มที่และฟื้นฟูผิวอย่างสม่ำเสมอ หลังจากได้ผลลัพธ์แล้ว ควรกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผิวทุก 2-3 สัปดาห์ หรือทุก 1-2 เดือนตามคำแนะนำของแพทย์

การเห็นผลจากการฉีดหน้าใส
• จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 3 วันแรก หลังฉีดหน้าใส เช่น ผิวหน้าชุ่มชื้น สุขภาพผิวดีขึ้น
• ผลลัพธ์จะชัดเจนเต็มที่ภายใน 7-14 วัน หลังฉีดหน้าใส
• สำหรับคนที่มีปัญหาผิวน้อยถึงปานกลาง จะเห็นผลตั้งแต่ 1-2 ครั้งแรกหลังฉีดหน้าใส
• คนที่มีปัญหาผิวมาก จุดด่างดำหรือฝ้าจางลงชัดเจนต้องฉีดหน้าใสต่อเนื่อง 3-5 ครั้งขึ้นไป

ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้
• หากฉีดหน้าใสครั้งเดียว ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน แต่จะไม่คงที่และอาจลดลงตามสภาพผิวและพฤติกรรมการดูแลตัวเอง
• หากฉีดหน้าใสครบคอร์สแบบต่อเนื่อง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือนขึ้นไป โดยการฉีดซ้ำตามรอบที่แพทย์นัดหมายจะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานและชัดเจนยิ่งขึ้น
• ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ขึ้นอยู่กับสูตรตัวยาฉีดหน้าใสแต่ละหัตถการและสุขภาพผิวของแต่ละคน

ข้อควรระวังและผลข้างเคียงในการฉีดหน้าใส
แม้ว่าการฉีดหน้าใสจะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น แต่ก็ยังมีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากทำในคลินิกที่ไม่มีมาตรฐาน หรือดูแลตัวเองไม่เหมาะสมหลังทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเตรียมตัวได้อย่างมั่นใจ มีข้อควรรู้ในการฉีดหน้าใส ทั้งข้อควรระวังและผลข้างเคียง ดังนี้

ข้อควรระวังในการฉีดหน้าใส
1.เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีใบอนุญาตถูกต้อง
การฉีดหน้าใสควรทำโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเท่านั้น ตรวจสอบแหล่งที่มาของตัวยา ว่ามี อย.และเป็นของแท้หรือไม่

2.ไม่ควรฉีดขณะมีการติดเชื้อหรือผิวอักเสบ
เช่น มีสิวอักเสบ ผิวระคายเคือง แผลเปิด หรือกำลังมีผื่นแพ้ เพราะอาจทำให้เชื้อกระจายและทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น

3.ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ถึงแม้จะไม่มีสารอันตราย แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเวลาดังกล่าว

4.แจ้งโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ให้แพทย์ทราบก่อนทำ
เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาสเตียรอยด์ ยาต้านภูมิแพ้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกง่ายหรือบวมช้ำมาก

5.ควรเว้นระยะห่างจากหัตถการอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ หรือ RF
อย่างน้อย 5-7 วัน ก่อนหรือหลังการฉีดหน้าใส เพื่อป้องกันการระคายเคืองซ้ำซ้อน

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดหน้าใส
1.หลังฉีดหน้าใสอาจมีรอยแดง รอยเข็ม หรือรอยปูดนูนเล็กน้อย
มักเกิดในบริเวณที่ฉีด ลักษณะเหมือนตุ่มยุงกัด จะค่อย ๆ ยุบลงใน 1-3 วันโดยไม่ต้องกังวล

2.หลังฉีดหน้าใสอาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย
เกิดจากเข็มกระทบเส้นเลือดฝอยใต้ผิว มักพบในคนที่ผิวบาง หรือผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด ควรประคบเย็นและหลีกเลี่ยงการกดหรือขัดหน้าแรง ๆ

3.หลังฉีดหน้าใสอาจผิวแห้งหรือลอกเล็กน้อย
อาจเกิดจากการตอบสนองของผิวที่ไว หรือแห้งอยู่แล้ว สามารถบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์อ่อนโยน

4.หลังฉีดหน้าใสอาจเกิดอาการแพ้ (พบได้น้อยมาก)
เช่น คัน ผื่นแดง ตุ่มนูน หรือแสบผิว ควรแจ้งแพทย์ทันทีหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน

ฉีดหน้าใส กับ เลเซอร์หน้าใส ต่างกันอย่างไร
การฉีดหน้าใสและเลเซอร์หน้าใสเป็นสองวิธีการดูแลผิวที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น แต่ทั้งสองวิธีใช้หลักการต่างกันโดยสิ้นเชิง และมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล

ฉีดหน้าใส
ฉีดหน้าใส เป็นการนำสารบำรุงต่าง ๆ เช่น วิตามินรวม กลูต้าไธโอน หรือกรดไฮยาลูโรนิก ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อเติมสารอาหารให้ผิว ฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ สดใส และเรียบเนียนยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวโทรม หรือขาดความชุ่มชื้น การฉีดหน้าใสจะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วันหลังฉีด และหากทำต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง ก็จะเห็นผลชัดเจนขึ้น

• ข้อดีของฉีดหน้าใส คือสามารถบำรุงผิวได้ลึกถึงระดับเซลล์ เติมน้ำให้ผิวได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน เช่น ก่อนออกงานสำคัญ อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือขาดน้ำอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู ฉ่ำวาว
• ข้อเสียของการฉีดหน้าใส คืออาจมีอาการบวมแดงหรือรอยเข็มเล็กน้อยหลังทำ โดยเฉพาะผู้ที่ผิวบาง นอกจากนี้ หากตัวยาที่ใช้ไม่มีมาตรฐาน หรือผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ อาจเกิดการแพ้หรืออักเสบได้ จึงควรทำกับคลินิกที่มีแพทย์และได้รับอนุญาตเท่านั้น

เลเซอร์หน้าใส
เลเซอร์หน้าใส เป็นการใช้พลังงานแสงหรือคลื่นความถี่เฉพาะ ยิงลงสู่ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดการทำงานของเม็ดสีเมลานิน ช่วยลดฝ้า กระ รอยดำจากสิว รวมถึงกระชับรูขุมขน และปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรอยสิว สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือผิวมีจุดด่างดำสะสม

• ข้อดีของเลเซอร์หน้าใส คือสามารถลดเม็ดสีผิวได้ตรงจุด เห็นผลได้ชัดในเรื่องรอยดำ รอยแดง และรูขุมขนกว้าง อีกทั้งยังไม่มีสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับสารแปลกปลอมหรือกลัวเข็ม และส่วนใหญ่ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
• ข้อเสียของเลเซอร์หน้าใส คือบางคนอาจมีอาการระคายเคืองหรือผิวแห้งลอกหลังทำได้ โดยเฉพาะผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือมีความไวต่อแสง อีกทั้งยังต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดหลังทำอย่างเคร่งครัด และอาจต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน

กล่าวโดยสรุป หากคุณต้องการให้ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ และฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายใน การฉีดหน้าใสอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่หากต้องการลดรอยดำ ฝ้า กระ และรูขุมขนกว้างอย่างตรงจุด การเลือกทำเลเซอร์หน้าใสจะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า ทั้งนี้ในหลายกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำทั้งสองอย่างร่วมกันแบบเว้นระยะ เพื่อให้ผลลัพธ์ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดหน้าใส (FAQ)
1.ฉีดหน้าใสแล้วแสบไหม เจ็บมากไหม
คำตอบ โดยทั่วไปการฉีดหน้าใสจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยขณะเข็มสัมผัสผิว แต่เป็นระดับที่คนส่วนใหญ่สามารถทนได้ หากเป็นคนที่กลัวเข็มหรือไม่เคยทำมาก่อน ทางคลินิกมักมีการแปะยาชาก่อนฉีดประมาณ 20-30 นาที เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ ในบางหัตถการฉีดหน้าใส เช่น SkinVive หรือ Rejuran อาจรู้สึกตึงหรือแสบเล็กน้อยหลังฉีดประมาณ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นปฏิกิริชาปกติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในวันเดียว โดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น

2.ฉีดหน้าใสทำได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่
คำตอบ การฉีดหน้าใสสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปแพทย์จะพิจารณาจากสุขภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน

• ผู้ที่อายุตั้งแต่ 20-30 ปี มักมีปัญหาผิวโทรม หมองคล้ำจากการนอนดึก ทำงานหนัก หรือมีรอยสิว จึงนิยมฉีดหน้าใสเพื่อฟื้นฟูความสดใสให้ผิว
• ผู้ที่มีอายุมากขึ้น ตั้งแต่ 30-40 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีปัญหาความหย่อนคล้อยหรือผิวแห้งมาก การฉีดหน้าใสจึงช่วยเติมเต็มและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น
• ไม่แนะนำให้ฉีดหน้าใสในผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรือในวัยรุ่นที่ผิวยังแข็งแรงดีอยู่ เว้นแต่มีปัญหาผิวชัดเจนและได้รับคำแนะนำจากแพทย์

3.ฉีดหน้าใสช่วงไหนของเดือนดีที่สุด
คำตอบ สามารถฉีดหน้าใสได้ตลอดทั้งเดือน ไม่มีข้อห้ามเรื่องช่วงเวลาโดยตรง แต่หากต้องการให้เห็นผลชัดเจนและลดความไม่สบายตัว ควรหลีกเลี่ยงช่วงมีประจำเดือน หรือวันที่ฮอร์โมนแปรปรวน เช่น ก่อนมีรอบเดือน 1-3 วัน เหตุผลเพราะ
• ช่วงมีประจำเดือน ผิวอาจไวต่อการสัมผัส ทำให้รู้สึกเจ็บหรือบวมง่ายกว่าปกติ
• บางคนอาจมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือผิวแพ้ง่ายขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ดังนั้นหากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรู้สึกสบายตัวขณะฉีดหน้าใส ควรเลือกช่วงที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีความเครียดหรือพักผ่อนน้อย

สรุปเกี่ยวกับการฉีดหน้าใส
สรุปได้ว่า การฉีดหน้าใสเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลผิวที่ตอบโจทย์ สำหรับผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้น ลดความหมองคล้ำ และเพิ่มความเปล่งปลั่งให้กับผิวในเวลาไม่นาน ซึ่งหัตถการฉีดหน้าใสมีหลากหลายที่เหมาะกับแต่ละปัญหาผิว แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดหน้าใสแบบใด ควรพิจารณาให้เหมาะกับสภาพผิว ความต้องการ และเป้าหมายในการดูแลตัวเอง เพื่อให้ผิวของคุณไม่เพียงแต่ดูดีในระยะสั้น แต่ยังกระจ่างใส ดูสดใส ฉ่ำวาว อิ่มฟู และสุขภาพดีในระยะยาวอีกด้วย

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
โปรโมชั่นต่างๆ
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ