romrawin

ระวังคอเลสเตอรอลสูง วูบได้ไม่รู้ตัว มีวิธีดูแลอย่างไร ควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง

คอเลสเตอรอล , คอเลสเตอรอลสูง

ระวังคอเลสเตอรอลสูง วูบได้ไม่รู้ตัว
คอเลสเตอรอลสูง เป็นโรคที่หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นอยู่ เพราะคนที่เป็นคอเลสเตอรอลสูงจะไม่แสดงอาการเบื้องต้นให้เห็นแบบชัดเจน เราจะรู้ว่าเป็นแน่ๆ ก็ต่อเมื่อเราไปตรวจร่างกายและมีการเจาะเลือด

รวมหัวข้อที่ต้องรู้เกี่ยวกับคอเลสเตอรอล
• คอเลสเตอรอลคืออะไร
• ประเภทของคอเลสเตอรอลในเลือด
• หน้าที่สำคัญของคอเลสเตอรอลในร่างกาย
• ค่าคอเลสเตอรอลที่เหมาะสม
• สาเหตุของคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
• สัญญาณเตือนเมื่อคอเลสเตอรอลสูงเกินไป
• ผลกระทบของคอเลสเตอรอลสูงที่มีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
• ผลกระทบจากคอเลสเตอรอลสูงต่อสมองและความจำ
• การตรวจคอเลสเตอรอลควรตรวจบ่อยแค่ไหน
• การกินยาและการดูแลตัวเองถ้ามีคอเลสเตอรอลสูง
• วิธีลดคอเลสเตอรอลอย่างยั่งยืน
• อาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลอย่างเห็นผล
• อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดคอเลสเตอรอลในเลือด
• ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล
• การดื่มน้ำมันปลาช่วยลดคอเลสเตอรอลได้จริงไหม
• สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอลคืออะไร
คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราผลิตขึ้น และยังได้รับจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป เป็นสารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ หากไม่มีคอเลสเตอรอล ร่างกายจะไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกายได้ เช่น ฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน) หรือฮอร์โมนที่ช่วยจัดการความเครียด (คอร์ติซอล) และสร้างน้ำดีที่ช่วยในกระบวนการย่อยไขมันได้

คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย
• คอเลสเตอรอล เป็นสารไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อใช้ในกระบวนการสำคัญ เช่น สร้างเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ และฮอร์โมนบางชนิด
• คอเลสเตอรอล มีบทบาทในการช่วยร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K

แหล่งอ้างอิง
- American Heart Association.(n.d.). What is cholesterol ? Retrieved January 15, 2025, from https://www.heart.org

ประเภทของคอเลสเตอรอลในเลือด
ประเภทของคอเลสเตอรอลในเลือดหลักๆ แล้วแบ่งออกเป็น 3 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีบทบาทและผลกระทบต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน ดังนี้

1.LDL (Low-Density Lipoprotein) "ไขมันเลว"
• LDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดที่มีความหนาแน่นต่ำ ทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลจากตับไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย
• ผลกระทบ
- หากมีระดับ LDL ในเลือดสูงเกินไป จะเกิดการสะสมในผนังหลอดเลือด
- การสะสมนี้อาจก่อตัวเป็นคราบพลัค (Plaque) ซึ่งทำให้หลอดเลือดตีบหรืออุดตัน
- เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดสมองตีบ

2.HDL (High-Density Lipoprotein)  "ไขมันดี"
• HDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดที่มีความหนาแน่นสูง มีบทบาทสำคัญในการปกป้องหลอดเลือด
• ผลกระทบ
- ช่วยขจัด LDL ส่วนเกินออกจากหลอดเลือด และลำเลียงกลับไปที่ตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย
- ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

3.Triglycerides  "ไขมันในเลือด"
• Triglycerides ไม่ใช่คอเลสเตอรอลโดยตรง แต่เป็นไขมันในเลือดชนิดหนึ่งที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่เรากินเกินความจำเป็น
• ผลกระทบ
- ระดับ Triglycerides สูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะเมื่อมี LDL สูงและ HDL ต่ำร่วมด้วย
- มีความเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานและโรคอ้วน

สรุปความสัมพันธ์ของคอเลสเตอรอลในเลือดทั้ง 3 ประเภท
• LDL เปรียบเสมือน "ผู้ร้าย" ที่สร้างปัญหาให้หลอดเลือด
• HDL ทำหน้าที่เป็น "ผู้ช่วย" ที่ปกป้องร่างกาย
• Triglycerides เป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติมถึงภาวะไขมันในเลือดที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

การรักษาสมดุลของคอเลสเตอรอลทั้ง 3 ชนิดนี้ผ่านการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หน้าที่สำคัญของคอเลสเตอรอลในร่างกาย
คอเลสเตอรอลไม่ได้เป็นเพียงไขมันในเลือดที่คนส่วนใหญ่มักจะกังวลเกี่ยวกับระดับของคอเลสเตอรอลที่สูงเกินไป แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีบทบาทต่อร่างกายเราอย่างมาก ดังนี้

สร้างและเสริมความแข็งแรงของเยื่อหุ้มเซลล์
• คอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยให้เซลล์มีความยืดหยุ่นและแข็งแรง
• คอเลสเตอรอล ควบคุมการผ่านเข้า-ออกของสารอาหารและของเสียในเซลล์

ช่วยในการผลิตฮอร์โมนสำคัญ
• คอเลสเตอรอล เป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ เช่น
- ฮอร์โมนเพศ เอสโตรเจนในผู้หญิงและเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย
- ฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่ช่วยจัดการความเครียดและลดการอักเสบ

เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตน้ำดี
• คอเลสเตอรอลถูกใช้ในตับเพื่อผลิตน้ำดี ซึ่งช่วยย่อยไขมันในอาหาร
• น้ำดีช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E, และ K

ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์วิตามินดี
• เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสี UV จากแสงแดด คอเลสเตอรอลจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินดี
• คอเลสเตอรอล วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก

คอเลสเตอรอลรักษาสมดุลในร่างกาย (Homeostasis)
• มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับไขมันในเลือดและสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกาย

สนับสนุนการผลิตพลังงานทางอ้อม
• แม้คอเลสเตอรอลจะไม่ได้เป็นแหล่งพลังงานโดยตรง แต่ก็มีส่วนช่วยในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงาน

ช่วยลดความเสียหายจากสารอนุมูลอิสระ
• ในบางกรณี คอเลสเตอรอลช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

สนับสนุนการสร้างเซลล์ประสาทในสมอง
• คอเลสเตอรอลเป็นองค์ประกอบของปลอกไมอีลิน (Myelin Sheath) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาท

คอเลสเตอรอลเป็นสารที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ แต่การรักษาสมดุลของคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะการควบคุมระดับ LDL (ไขมันเลว) และเพิ่ม HDL (ไขมันดี) เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ค่าคอเลสเตอรอลที่เหมาะสม
จริงๆแล้วเราควรมีคอเลสเตอรอล ในร่างกายของเราแต่ควรจำกัดให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

การวัดค่าคอเลสเตอรอลในเลือดมักแบ่งออกเป็น 3 ค่าใหญ่ๆ ได้แก่ คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol), LDL (Low-Density Lipoprotein), HDL (High-Density Lipoprotein) และ Triglycerides แต่ละค่าจะมีเกณฑ์ดังนี้

1.คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol)
• เหมาะสม น้อยกว่า 200 mg/dL
• ค่าระดับสูงเล็กน้อย 200–239 mg/dL
• ค่าระดับสูง (เสี่ยงต่อสุขภาพ) มากกว่า 240 mg/dL

2.LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันเลว"
• เหมาะสมที่สุด น้อยกว่า 100 mg/dL
• ค่าค่อนข้างสูง 100–129 mg/dL
• ค่าระดับสูงเล็กน้อย 130–159 mg/dL
• ค่าระดับสูง (เสี่ยงต่อสุขภาพ) 160–189 mg/dL
• ค่าระดับอันตรายมาก มากกว่า 190 mg/dL

3.HDL (High-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันดี"
• เหมาะสม (สำหรับผู้ชาย) มากกว่า 40 mg/dL
• เหมาะสม (สำหรับผู้หญิง) มากกว่า 50 mg/dL
• ค่าต่ำ (เสี่ยงต่อโรคหัวใจ) น้อยกว่า 40 mg/dL

4.Triglycerides (ไขมันไตรกลีเซอไรด์)
• เหมาะสม น้อยกว่า 150 mg/dL
• ค่าค่อนข้างสูง 150–199 mg/dL
• ค่าระดับสูง 200–499 mg/dL
• ค่าระดับอันตราย มากกว่า 500 mg/dL

สาเหตุของคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
คอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและปัจจัยทางพันธุกรรม

1.การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม
• อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ไขมันจากนม เนย และผลิตภัณฑ์เบเกอรี

• อาหารที่มีไขมันทรานส์
เช่น อาหารทอด ขนมขบเคี้ยว และมาการีน

• บริโภคอาหารแคลอรีสูงเกินไป
การบริโภคเกินความจำเป็นส่งผลให้ไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกาย

2.การขาดการออกกำลังกาย
• การไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้
• ระดับ HDL (ไขมันดี) ลดลง ขณะที่ LDL (ไขมันเลว) เพิ่มขึ้น คอเลสเตอรอล จะเพิ่มขึ้น

3.น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
• โรคอ้วนโดยเฉพาะการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง (Visceral Fat) เชื่อมโยงกับระดับ LDL และ Triglycerides ที่เพิ่มขึ้น
• คนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงเสี่ยงต่อภาวะคอเลสเตอรอลสูงมากขึ้น

4.การสูบบุหรี่
• สารพิษในบุหรี่ทำให้ HDL (ไขมันดี) ลดลง
• การสูบบุหรี่ยังส่งเสริมการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด

5.การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
• การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเพิ่มระดับ Triglycerides และ LDL
• ยังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะตับไขมัน (Fatty Liver) ซึ่งส่งผลต่อการจัดการคอเลสเตอรอลในร่างกาย

6.พันธุกรรม
• บางคนมีพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายผลิต LDL มากเกินไป หรือกำจัดออกได้ยาก
• ภาวะทางพันธุกรรม เช่น Familial Hypercholesterolemia (FH) เป็นภาวะที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงผิดปกติตั้งแต่อายุยังน้อย

7.โรคและภาวะสุขภาพบางอย่าง
• โรคเบาหวาน ส่งผลให้ LDL เพิ่มและ HDL ลดลง
• โรคไตเรื้อรัง ทำให้ร่างกายจัดการไขมันได้ไม่ดี
• ภาวะไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) ทำให้ระดับ LDL เพิ่มขึ้น
• ตับอ่อนอักเสบ อาจเกี่ยวข้องกับระดับ Triglycerides ที่สูงมาก

8.อายุและฮอร์โมน
• อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ตับมีประสิทธิภาพลดลงในการกำจัด LDL
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในวัยหมดประจำเดือน ระดับ LDL อาจเพิ่มขึ้น

9.ยาบางชนิด
ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์ หรือยาที่ใช้รักษาความดันโลหิต อาจเพิ่มระดับ LDL และลด HDL ทำให้ระดับ คอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

สัญญาณเตือนเมื่อคอเลสเตอรอลสูงเกินไป
คอเลสเตอรอลสูงมักถูกเรียกว่า "ภัยเงียบ" เนื่องจากในระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจนที่บอกได้ว่าเราคอเลสเตอรอลสูงแล้ว แล้วถ้าเกิดระดับคอเลสเตอรอลสูงเป็นเวลานาน จะทำให้ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังนี้

1.อาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย
• การสะสมของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดอาจทำให้เลือดไหลเวียนได้ยาก
• ส่งผลให้เซลล์และอวัยวะต่างๆ ขาดออกซิเจนและสารอาหาร

2.เจ็บหรือแน่นหน้าอก (Angina)
• เกิดจากการไหลเวียนเลือดไปยังหัวใจลดลงเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ
• อาการนี้เป็นสัญญาณสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจ

3.หลอดเลือดตีบที่ขาและแขน (Peripheral Artery Disease)
• รู้สึกปวดหรือเป็นตะคริวที่ขาเมื่อเดินหรือออกกำลังกาย
• ผิวหนังบริเวณขาอาจซีดหรือเย็น

4.ภาวะเอกซิม่าไขมันสะสมรอบตา (Xanthelasma)
• มีลักษณะเป็นก้อนนูนสีเหลืองอ่อนรอบดวงตา
• มักเกิดในผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงผิดปกติ

5.ภาวะเส้นเลือดสมองตีบ (Stroke)
• เกิดจากคราบพลัคในหลอดเลือดสมองที่อุดกั้นการไหลเวียนของเลือด
• อาจแสดงอาการเช่น ชาครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดลำบาก หรือเสียการทรงตัว

6.อาการหัวใจวาย (Heart Attack)
• เกิดจากหลอดเลือดหัวใจอุดตันอย่างเฉียบพลัน
• สัญญาณอาจรวมถึงแน่นหน้าอก ปวดร้าวไปแขนซ้ายหรือกราม และเหงื่อออกมากช

7.อาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด
• หลอดเลือดแข็งตัวทำให้ผิวหนังบริเวณปลายมือหรือเท้าดูซีดหรือเปลี่ยนสี
• แผลที่ปลายเท้าหรือขาหายช้า เนื่องจากเลือดไหลเวียนไม่ดี

สาเหตุที่อาจทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนในระยะแรก
• ร่างกายสามารถปรับตัวให้รับมือกับระดับคอเลสเตอรอลที่สูงในระยะเริ่มต้น
• คราบพลัคในหลอดเลือดอาจก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ จนกว่าหลอดเลือดจะตีบแคบหรืออุดตัน

ผลกระทบของคอเลสเตอรอลสูงที่มีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
คอเลสเตอรอลสูงโดยเฉพาะ LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันเลว" สามารถสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากส่งผลให้หลอดเลือดอุดตันและเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ดังนี้

1.การสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด (Atherosclerosis)
• LDL ที่มีระดับสูงจะสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดคราบพลัค (Plaque)
• คราบพลัคทำให้หลอดเลือดตีบแคบและสูญเสียความยืดหยุ่น
• เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ

2.คอเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease)
• เมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบแคบจากคราบพลัค หัวใจจะได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ
• อาจเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก (Angina) หรือหัวใจวาย (Heart Attack)

3.คอเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดโรคหัวใจวาย (Heart Attack)
• หากคราบพลัคแตกออก (Plaque Rupture) จะกระตุ้นการสร้างลิ่มเลือดที่อุดกั้นหลอดเลือด
• เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายหรือหยุดทำงาน

4.คอเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ (Stroke)
• เมื่อคราบพลัคหรือก้อนลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดในสมอง
• ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองเสียหาย

5.คอเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง (Hypertension)
• หลอดเลือดที่ตีบแคบจากคราบพลัคทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดแรงขึ้น
• เพิ่มความดันโลหิตและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

6.คอเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)
• หากหลอดเลือดหัวใจอุดตันเรื้อรัง หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือด
• ส่งผลให้หัวใจอ่อนแรงและไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ

ผลกระทบจากคอเลสเตอรอลสูงที่มีต่อสมองและความจำ
• ลดการไหลเวียนเลือดไปสมอง
คอเลสเตอรอลสูงทำให้หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น

• เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
คราบพลัคในหลอดเลือดอาจแตกและก่อตัวเป็นลิ่มเลือดที่อุดกั้นหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด

• กระทบต่อการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท
คอเลสเตอรอลที่ไม่สมดุลส่งผลต่อปลอกไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์สมอง

• ลดประสิทธิภาพของการสร้างความจำ
การไหลเวียนเลือดที่ลดลงส่งผลให้สมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเก็บความจำ ทำงานได้ไม่เต็มที่

• เพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
การอุดตันของหลอดเลือดในสมองเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์

• กระตุ้นการอักเสบในสมอง
ระดับคอเลสเตอรอลที่ผิดปกติอาจเพิ่มการอักเสบในสมอง ทำให้เนื้อเยื่อสมองเสียหายและส่งผลต่อการทำงานด้านความคิด

การตรวจคอเลสเตอรอลควรตรวจบ่อยแค่ไหน
สำหรับผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี
• ควรตรวจระดับคอเลสเตอรอลทุก 4-6 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
• เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ, เป็นเบาหวาน, มีความดันโลหิตสูง หรือมีน้ำหนักเกิน
• ควรตรวจระดับคอเลสเตอรอลอย่างน้อยทุก 1-2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์

สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าคอเลสเตอรอลสูง
• ควรตรวจระดับคอเลสเตอรอลเป็นประจำทุก 3-6 เดือน เพื่อประเมินผลการรักษาและการปรับพฤติกรรม

ผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 40 ปี)
• ควรตรวจทุก 1-2 ปี เพราะความเสี่ยงของคอเลสเตอรอลสูงและโรคหัวใจเพิ่มขึ้นตามอายุ

ผู้ที่รับประทานยาลดคอเลสเตอรอล
ควรตรวจระดับคอเลสเตอรอลตามตารางที่แพทย์กำหนด ซึ่งมักเป็นทุก 3-6 เดือน เพื่อติดตามผลของยา

การกินยาและการดูแลตัวเองถ้ามีคอเลสเตอรอลสูง
การกินยาและการดูแลตัวเองที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ควรปรึกษาแพทย์โดยตรงเพื่อให้ระดับคอเลสเตอรอลกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เรามีอาหารเสริมและวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลมาแนะนำดังนี้

การกินยาและการดูแลตัวเองเพื่อควบคุมคอเลสเตอรอล
• อาหารเสริม Omega-3 หรือ Niacin
ช่วยลด Triglycerides และเพิ่ม HDL

• ปรับพฤติกรรมการกิน
- เลือกอาหารที่มีไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก ถั่ว และปลาที่มีโอเมก้า-3
- ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เช่น ขนมอบ เนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารทอด
- เพิ่มไฟเบอร์ในอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่ว

• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง หรือปั่นจักรยาน
- การออกกำลังกายช่วยเพิ่มระดับ HDL และลด LDL ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลอยู่ในเกณฑ์ปกติ
• ควบคุมน้ำหนัก
- ลดน้ำหนักส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันบริเวณหน้าท้อง
- น้ำหนักที่เหมาะสมช่วยปรับสมดุลของคอเลสเตอรอลในร่างกาย
• เลิกสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ลดระดับ HDL และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
• ลดการดื่มแอลกอฮอล์
หากดื่ม ควรจำกัดปริมาณ เช่น ไม่เกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 แก้วสำหรับผู้ชาย
• จัดการความเครียด
- ความเครียดอาจเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
- ฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ

วิธีลดคอเลสเตอรอลอย่างยั่งยืน
การลดคอเลสเตอรอลต้องทำอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน จะทำให้สามารถลดคอเลสเตอรอลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มวันด้วยอาหารไฟเบอร์สูง
ทานข้าวโอ๊ตหรือซีเรียลธัญพืชที่มีไฟเบอร์ ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้

เปลี่ยนของว่าง
กินถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัท ซึ่งมีไขมันดีแทนขนมขบเคี้ยว

ลดปริมาณไขมันสัตว์
เลือกเนื้อไก่หรือปลาแทนเนื้อแดง และตัดไขมันออกก่อนปรุงอาหาร

หลีกเลี่ยงการทอด
เปลี่ยนเป็นอบ ต้ม หรือนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ควบคุม ระดับคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัว

เพิ่มผักในทุกมื้อ
กินผักใบเขียวหรือผักหลากสีเพื่อช่วยลด LDL ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ

ดื่มชาเขียว
ช่วยลด LDL ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน

อาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลอย่างเห็นผล
ข้าวโอ๊ตและธัญพืชเต็มเมล็ด
อุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ (Soluble Fiber) ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้

ถั่วเปลือกแข็ง (Nuts)
เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เฮเซลนัท ที่มีกรดไขมันดี (Omega-3) ช่วยลด LDL และเพิ่ม HDL

อะโวคาโด
แหล่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยไม่ลด HDL

น้ำมันมะกอก
มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ช่วยลดระดับระดับคอเลสเตอรอลและมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อหัวใจ

ปลาไขมันสูง
เช่น แซลมอน แมคเคอเรล หรือทูน่า อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ช่วยลด Triglycerides และป้องกันการอักเสบ

ผักใบเขียว
เช่น ปวยเล้ง คะน้า และผักโขม มีสารลูทีน (Lutein) และไฟเบอร์ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล

ผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง
เช่น แอปเปิ้ล เบอร์รี่ ส้ม และมะละกอ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และเพิ่มสุขภาพหลอดเลือด

ถั่วและเมล็ดพืช (Legumes)
เช่น ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง ถั่วแดง และถั่วเลนทิล ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ดีเมื่อแทนที่เนื้อสัตว์

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดคอเลสเตอรอลในเลือด
เรามีตัวอย่างอาหาร 5 ประเภท ที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายของเรา

1.มันฝรั่งทอด
มักผ่านการทอดในน้ำมันที่มีไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มระดับ LDL (ไขมันเลว)

2.ไส้กรอกและเบคอน
อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ อีกทั้งยังมีเกลือสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ

3.เค้กและขนมอบ
มีไขมันทรานส์จากเนยเทียมและน้ำตาลสูง ซึ่งเพิ่มทั้งคอเลสเตอรอลในเลือดและระดับ Triglycerides

4.เนื้อสัตว์ติดมัน
เช่น เนื้อวัวติดมัน หมูสามชั้น หรือหนังไก่ มีไขมันอิ่มตัวสูงที่ทำให้ LDL เพิ่มขึ้น

5.ตับและเครื่องในสัตว์
มีคอเลสเตอรอลสูงโดยธรรมชาติ ควรจำกัดการบริโภคโดยเฉพาะในผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงอยู่แล้ว

ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล
คอเลสเตอรอลทั้งหมดเป็นสิ่งไม่ดี
• ความจริง คอเลสเตอรอลเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ใช้ในการสร้างเซลล์ ฮอร์โมน และวิตามินดี แต่การมีคอเลสเตอรอลสูงเกินไปโดยเฉพาะ LDL (ไขมันเลว) จึงเป็นปัญหา

คนผอมไม่มีปัญหาคอเลสเตอรอลสูง
• ความจริง คนทุกขนาดร่างกายสามารถมีคอเลสเตอรอลสูงได้ โดยเฉพาะหากมีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม

อาหารที่ไม่มีไขมันช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เสมอ
• ความจริง อาหารบางชนิดที่ติดป้ายว่า "ไขมันต่ำ" อาจมีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งเพิ่ม Triglycerides และส่งผลเสียต่อคอเลสเตอรอล

กินไข่ไม่ได้ถ้ามีคอเลสเตอรอลสูง
• ความจริง ไข่มีคอเลสเตอรอล แต่การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม (1 ฟองต่อวัน) มักไม่ส่งผลเสียต่อคนทั่วไป เพราะไขมันอิ่มตัวในอาหารมีผลต่อคอเลสเตอรอลมากกว่า

ยาเพียงอย่างเดียวช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ทั้งหมด
• ความจริง ยาช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ แต่ต้องควบคู่กับการปรับพฤติกรรม เช่น การกินอาหารสุขภาพและออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

คอเลสเตอรอลสูงต้องมีอาการชัดเจน
• ความจริง คอเลสเตอรอลสูงมักไม่มีอาการในระยะแรก เป็น "ภัยเงียบ" ที่อาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด

เฉพาะคนสูงอายุเท่านั้นที่มีคอเลสเตอรอลสูง
• ความจริง คนอายุน้อยสามารถมีคอเลสเตอรอลสูงได้ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

การดื่มน้ำมันปลาช่วยลดคอเลสเตอรอลได้จริงไหม
การดื่มน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยลด คอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) โดยตรง แต่น้ำมันปลามีประโยชน์ต่อระดับไขมันในเลือดด้านอื่นๆ ดังนี้

ประโยชน์ของน้ำมันปลาต่อไขมันในเลือด
1.ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
น้ำมันปลาอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 (EPA และ DHA) ซึ่งช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ

2.เพิ่มระดับไขมันดี (HDL)
โอเมก้า-3 ช่วยเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันดีที่ช่วยขจัด LDL ส่วนเกินในหลอดเลือด

3.ลดการอักเสบ
น้ำมันปลามีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดความเสียหายของหลอดเลือดที่อาจเกิดจากการสะสมของคอเลสเตอรอล

ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับน้ำมันปลา
• น้ำมันปลาไม่ได้ลด LDL (ไขมันเลว) คอเลสเตอรอลโดยตรง และในบางกรณีอาจเพิ่ม LDL เล็กน้อย
• ควรเลือกน้ำมันปลาคุณภาพสูงที่มีความบริสุทธิ์และปราศจากสารปนเปื้อน เช่น ปรอท

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล
คอเลสเตอรอลนั้น จริงๆ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากแต่ควรควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่พอดี ไม่ควรมีมากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ การที่ระดับคอเลสเตอรอลสูงนั้นจะไม่มีอาการบ่งบอกแบบชัดเจนจึงควรตรวจสุขภาพ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อที่เราจะได้รู้สุขภาพของเราเพื่อที่จะได้ปรับวิธีการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การออกกำลังกาย เพื่อให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงได้ในระยะยาว

เรื่อง บทความน่ารู้ ที่คุณอาจสนใจ