ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร วิธีตรวจสอบมีอะไรบ้าง
ไตรกลีเซอไรด์
ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจาก คอเลสเตอรอล อย่างไร
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบได้ในกระแสเลือด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม หากระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเกินไป อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ตับอ่อนอักเสบ และไขมันพอกตับได้
ปัจจัยที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกิน เช่น การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน รวมถึงโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับไตรกลีเซอไรด์ รวมถึงวิธีการควบคุมระดับให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาว
บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับไตรกลีเซอไรด์ในด้านต่าง ๆ ทั้งสาเหตุ อันตรายที่อาจเกิดขึ้น วิธีป้องกัน และแนวทางในการดูแลสุขภาพ เพื่อให้สามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว
ไตรกลีเซอไรด์คืออะไร
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบได้ในเลือดและเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ไตรกลีเซอไรด์เกิดจากการรวมตัวของ กลีเซอรอล (glycerol) กับ กรดไขมัน (fatty acids) สามโมเลกุล และสามารถมาจากอาหารที่เรารับประทาน โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง
บทบาทของไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย
• เป็นแหล่งพลังงานสำรอง เมื่อร่างกายต้องการพลังงาน ไตรกลีเซอไรด์จะถูกสลายเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอลเพื่อนำไปใช้
• ไตรกลีเซอไรด์เป็นส่วนประกอบของเซลล์ไขมันและช่วยให้ร่างกายมีฉนวนกันความร้อน
แหล่งที่มาของไตรกลีเซอไรด์
• อาหาร - พบในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น น้ำมันพืช เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารทอด อาหารแปรรูป และขนมที่มีน้ำตาลสูง
• การสังเคราะห์ในร่างกาย - เมื่อร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะจากน้ำตาลและแป้ง ส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และเก็บสะสมไว้ในเซลล์ไขมัน
ไตรกลีเซอไรด์เกิดจากอะไร
ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายและสามารถได้รับจากอาหารที่เรากินเข้าไป โดยมีแหล่งกำเนิดหลัก 2 ทาง คือ
1.ไตรกลีเซอไรด์จากอาหารที่รับประทาน
เมื่อเรารับประทานอาหาร ไตรกลีเซอไรด์สามารถมาจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่
• อาหารที่มีไขมันสูง เช่น น้ำมันพืช เนื้อสัตว์ติดมัน นม เนย ชีส และอาหารทอด
• อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน น้ำตาล และน้ำอัดลม (คาร์โบไฮเดรตที่เหลือใช้จะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และเก็บสะสมไว้)
• แอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น
2.ไตรกลีเซอไรด์ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง
ร่างกายสามารถสร้างไตรกลีเซอไรด์ขึ้นเองได้ โดยเฉพาะที่ตับ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสังเคราะห์ไขมัน กระบวนการเกิดขึ้นจาก
• เมื่อร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตส่วนเกิน ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสไปเป็นไตรกลีเซอไรด์และเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน
• หากร่างกายต้องการพลังงาน ไตรกลีเซอไรด์เหล่านี้จะถูกสลายเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอลเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน
ไตรกลีเซอไรด์ ไม่ควรเกินเท่าไหร่
ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 150 mg/dL เพื่อสุขภาพที่ดี หากเกินกว่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่าระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides Levels) และความหมาย
ระดับไตรกลีเซอไรด์ (mg/dL) |
ความหมาย |
---|---|
ต่ำกว่า 150 |
ปกติ |
150 - 199 |
ค่อนข้างสูง (เริ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจ) |
200 - 499 |
สูง (เสี่ยงโรคหัวใจและตับอ่อนอักเสบ) |
500 ขึ้นไป |
สูงมาก (เสี่ยงอันตรายอย่างรุนแรง) |

ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากอะไร
ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากการสะสมของไขมันชนิดนี้ในเลือดมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต หรือโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงมีดังนี้
1.ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม
• กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ติดมัน
• บริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เช่น ข้าวขัดสี ขนมหวาน น้ำอัดลม
• ดื่มแอลกอฮอล์ มากเกินไป ซึ่งกระตุ้นให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์เพิ่ม
2.ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากการขาดการออกกำลังกาย
การไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายไม่เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ไตรกลีเซอไรด์จึงถูกเก็บสะสม
3.ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
ภาวะอ้วนทำให้ร่างกายมีไขมันสะสมมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว ส่งผลต่อระดับไตรกลีเซอไรด์
4.ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากโรคบางชนิดที่มีผลต่อการเผาผลาญไขมัน
• เบาหวานชนิดที่ 2 (โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน)
• ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง
• โรคไตเรื้อรัง ส่งผลต่อการกำจัดของเสียรวมถึงไขมัน
• ไขมันพอกตับ (Fatty liver disease) ทำให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์เพิ่ม
5.ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากยาบางชนิดที่ส่งผลต่อระดับไขมัน
• ยาขับปัสสาวะบางชนิด
• ยาสเตียรอยด์
• ยาคุมกำเนิด
• ยาลดความดันโลหิตบางประเภท
6.ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากกรรมพันธุ์และปัจจัยทางพันธุกรรม
บางคนมีพันธุกรรมที่ทำให้มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงตั้งแต่กำเนิด (Familial hypertriglyceridemia)
อาหารอะไรบ้างที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง
ไตรกลีเซอไรด์สูงมักเกิดจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาลมาก หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกินมากขึ้น โดยอาหารที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงมีดังนี้
1.อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง
ของทอดและอาหารแปรรูป เช่น
• ไก่ทอด หมูทอด กล้วยทอด เฟรนช์ฟรายส์
• แคบหมู หนังไก่ทอด มันฝรั่งทอด
เนื้อสัตว์ติดมันและเครื่องใน เช่น
• หมูสามชั้น เนื้อวัวติดมัน
• เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ หัวใจ ไต
อาหารแปรรูป เช่น
• ไส้กรอก แฮม เบคอน หมูยอ
• เนื้อสัตว์แปรรูป
ไขมันทรานส์ เช่น
• มาร์การีน ครีมเทียม วิปครีม
• เบเกอรี่ เช่น เค้ก คุกกี้ โดนัท ครัวซองต์
• อาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น พิซซ่า เบอร์เกอร์
2.อาหารที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตขัดสี
น้ำตาลและขนมหวาน เช่น
• น้ำอัดลม น้ำหวาน ชานมไข่มุก
• ขนมปังขาว เค้ก คุกกี้ โดนัท
• ไอศกรีม ลูกอม
อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตขัดสีสูง เช่น
• ข้าวขาว ขนมปังขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว
• ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด พาสต้า
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น
• น้ำผลไม้กล่อง กาแฟเย็นใส่น้ำตาล
• น้ำหวาน น้ำปั่น เครื่องดื่มชูกำลัง
3.แอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่กระตุ้นการสร้างไตรกลีเซอไรด์
• เบียร์ ไวน์ วิสกี้ สุรา
• ค็อกเทลและเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
• น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง
เหตุผลเพราะแอลกอฮอล์กระตุ้นให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น และทำให้ไขมันพอกตับ
4.อาหารที่มีไขมันโอเมก้า-6 สูงเกินไป
• น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง
• อาหารที่ใช้ไขมันพืชผ่านกระบวนการ เช่น ขนมขบเคี้ยว
เหตุผลเพราะไขมันโอเมก้า-6 หากได้รับมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและเพิ่มไตรกลีเซอไรด์
ไตรกลีเซอไรด์สูงมีอาการอย่างไร
โดยทั่วไปไตรกลีเซอไรด์สูงมักไม่มีอาการที่ชัดเจน และมักถูกตรวจพบจากการตรวจเลือดประจำปี อย่างไรก็ตาม หากระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมาก (โดยเฉพาะ มากกว่า 500 mg/dL) อาจเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
1.หากไตรกลีเซอไรด์สูงระดับปานกลาง (150 - 499 mg/dL)
• มักไม่มีอาการที่ชัดเจน
• อาจเริ่มมีภาวะไขมันพอกตับโดยไม่มีอาการ
2.หากไตรกลีเซอไรด์สูงมาก (500 mg/dL ขึ้นไป)
ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
• ปวดท้องรุนแรง (มักปวดที่กลางท้องหรือด้านซ้ายบน)
• คลื่นไส้ อาเจียน
• เบื่ออาหาร
ไข้สูง
ไขมันพอกตับ
• อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
• เจ็บชายโครงขวา (ตำแหน่งของตับ)
• หากรุนแรง อาจมีภาวะตับแข็งตามมา
เริ่มมีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
• แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก
• เวียนศีรษะ หน้ามืด
• หายใจไม่สะดวก
มีภาวะ Xanthomas (ก้อนไขมันใต้ผิวหนัง)
• เป็นตุ่มไขมันสีเหลืองๆ ตามข้อศอก เข่า ฝ่ามือ หรือเปลือกตา
• เกิดจากการสะสมของไขมัน
3.หากไตรกลีเซอไรด์สูงมากกว่า 1,000 mg/dL ขึ้นไป (ระดับอันตรายมาก)
• เสี่ยงสูงต่อการเกิดตับอ่อนอักเสบรุนแรง
• เสี่ยงภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
• อาจเกิดภาวะสมองขาดเลือด (Stroke)

ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลไตรกลีเซอไรด์สูง อันตรายอย่างไรบ้าง
ไตรกลีเซอไรด์สูง (Hypertriglyceridemia) เป็นภาวะที่มีไขมันชนิดนี้สะสมในเลือดมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหัวใจ หลอดเลือด และระบบเผาผลาญของร่างกาย โดยไตรกลีเซอไรด์สูงส่งผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ดังนี้
1.ไตรกลีเซอไรด์ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
• ไตรกลีเซอไรด์สูงทำให้ หลอดเลือดอุดตัน
• เพิ่มความเสี่ยงของ โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย
• เพิ่มโอกาส เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก (Stroke)
• หากระดับสูงร่วมกับ คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) สูง ยิ่งอันตรายขึ้น
2.ไตรกลีเซอไรด์ทำให้เสี่ยงตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
• หากไตรกลีเซอไรด์สูงเกิน 500 mg/dL ตับอ่อนอาจอักเสบ
• อาการ ปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ไข้สูง
• หากรุนแรงอาจเกิด ตับอ่อนล้มเหลว และเป็นอันตรายถึงชีวิต
3.ไตรกลีเซอไรด์ทำให้เสี่ยงไขมันพอกตับ
• ไตรกลีเซอไรด์สูงทำให้ไขมันสะสมในตับ
• อาจนำไปสู่ ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ
• ไม่มีอาการในระยะแรก แต่ระยะยาวอาจทำให้ อ่อนเพลีย และเจ็บชายโครงขวา
4.ไตรกลีเซอไรด์ทำให้เสี่ยงภาวะดื้อต่ออินซูลินและเบาหวาน
• ไตรกลีเซอไรด์สูงมักสัมพันธ์กับ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
• เพิ่มโอกาสเกิด เบาหวานชนิดที่ 2
• มักเกิดร่วมกับ อ้วนลงพุง ความดันสูง และไขมันในเลือดผิดปกติ
5.ไตรกลีเซอไรด์ทำให้เสี่ยงภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือดที่ตา
• อาจทำให้ ตาพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็น
• เกิดจากไขมันอุดตันหลอดเลือดในดวงตา
6.ไตรกลีเซอไรด์อาจทำให้เกิด Xanthomas ก้อนไขมันใต้ผิวหนัง
• เป็นตุ่มไขมันสีเหลืองที่ ข้อศอก เข่า เปลือกตา ฝ่ามือ
• เป็นสัญญาณเตือนว่าระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติ
สรุป ไตรกลีเซอไรด์สูง เป็นภัยเงียบที่อันตรายมาก
• หากต่ำกว่า 150 mg/dL ถือว่าปกติ
• หากเกิน 200 mg/dL เสี่ยงโรคหัวใจ หลอดเลือด ตับอ่อนอักเสบ
• หากเกิน 500 mg/dL อันตรายร้ายแรง ต้องรีบปรึกษาแพทย์
ไตรกลีเซอไรด์ ต่างกับ คอเลสเตอรอล อย่างไร
แม้ว่า ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) และ คอเลสเตอรอล (Cholesterol) จะเป็นไขมันที่พบในเลือดเหมือนกัน แต่ทั้งสองมีหน้าที่และผลกระทบต่อสุขภาพต่างกัน

ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลความแตกต่างระหว่าง ไตรกลีเซอไรด์ และ คอเลสเตอรอล
คุณสมบัติ |
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) |
คอเลสเตอรอล (Cholesterol) |
---|---|---|
หน้าที่หลัก |
เป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย |
เป็นส่วนประกอบของเซลล์และฮอร์โมน |
เกิดจาก |
อาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตสูง |
ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง + อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว |
ประเภทของไขมัน |
ไขมันชนิดหนึ่งที่สะสมพลังงาน |
ไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์และฮอร์โมน |
อันตรายเมื่อสูงเกินไป |
เสี่ยง ตับอ่อนอักเสบ หัวใจวาย ไขมันพอกตับ |
เสี่ยง เส้นเลือดอุดตัน หัวใจวาย อัมพฤกษ์ อัมพาต |
ระดับปกติในเลือด |
<150 mg/dL |
LDL < 100 mg/dL, HDL > 40 mg/dL |
ไตรกลีเซอไรด์ ทำหน้าที่อะไร
• เป็นพลังงานสำรองของร่างกาย
• หากกินอาหารมากกว่าที่ใช้ ส่วนเกินจะถูกเก็บเป็นไตรกลีเซอไรด์
• หากสะสมมากเกินไป อาจทำให้ ไขมันพอกตับ ตับอ่อนอักเสบ และโรคหัวใจ
ไตรกลีเซอไรด์สูง มักมาจากการกินอาหารที่มีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตสูงเกินไป
คอเลสเตอรอล ทำหน้าที่อะไร
• เป็น ส่วนประกอบของเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ และฮอร์โมนต่างๆ เช่น ฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน)
• ช่วยร่างกายสร้างวิตามินดีและน้ำดีที่ใช้ย่อยไขมัน
• มีทั้ง คอเลสเตอรอลดี (HDL) และ คอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL)
คอเลสเตอรอลสูง มักมาจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
ไตรกลีเซอไรด์ และ คอเลสเตอรอล อะไรอันตรายกว่ากัน
• ถ้าไตรกลีเซอไรด์สูง > เสี่ยง ไขมันพอกตับ ตับอ่อนอักเสบ และเป็นสัญญาณว่าร่างกายมีพลังงานส่วนเกินมากเกินไป
• ถ้าคอเลสเตอรอลสูง > เสี่ยง เส้นเลือดอุดตัน หัวใจขาดเลือด และอัมพาต โดยเฉพาะถ้า LDL สูง + HDL ต่ำ
หากทั้งไตรกลีเซอไรด์ และ คอเลสเตอรอล มีระดับสูงพร้อมกัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้นไปอีก
วิธีลดไตรกลีเซอไรด์ และ คอเลสเตอรอลพร้อมกัน
• หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอด น้ำตาล และแป้งขัดสี
• กินไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน อะโวคาโด
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที/วัน
• งดแอลกอฮอล์และอาหารแปรรูป
• หากสูงมาก ควรปรึกษาแพทย์ อาจต้องใช้ยา
ไตรกลีเซอไรด์ กับ LDL ต่างกันอย่างไร
แม้ว่า ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) จะเป็นไขมันในเลือดเหมือนกัน แต่หน้าที่และผลกระทบต่อสุขภาพแตกต่างกันมาก
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ไตรกลีเซอไรด์ กับ LDL
คุณสมบัติ |
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) |
LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) |
---|---|---|
หน้าที่หลัก |
เป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย |
ขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ต่างๆ |
เกิดจาก |
น้ำตาล แป้ง ไขมันจากอาหารที่กินมากเกินไป |
อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง |
อันตรายเมื่อสูงเกินไป |
เสี่ยงไขมันพอกตับ ตับอ่อนอักเสบ โรคหัวใจ |
เสี่ยงเส้นเลือดอุดตัน หัวใจวาย อัมพาต |
ระดับปกติในเลือด |
<150 mg/dL |
<100 mg/dL (ยิ่งต่ำยิ่งดี) |
ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร
• เป็นไขมันสะสมที่ร่างกายใช้เป็นพลังงานสำรอง
• หากกินอาหารมากเกินไป (โดยเฉพาะแป้ง น้ำตาล ไขมัน) พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน
• หากสะสมมากไป อาจทำให้ ไขมันพอกตับ ตับอ่อนอักเสบ และโรคหัวใจ
• ไตรกลีเซอไรด์สูง มักเกิดจากการกินแป้ง น้ำตาล และของหวานมากเกินไป
LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) คืออะไร
• เป็น ไขมันที่ขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ต่างๆ
• หากมีมากเกินไป LDL จะไปสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว
• เป็นปัจจัยหลักของ โรคหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดสมองตีบ
• LDL สูง มักเกิดจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ของทอด อาหารแปรรูป
ไตรกลีเซอไรด์ กับ LDL อะไรอันตรายกว่ากัน
• ไตรกลีเซอไรด์สูง > เสี่ยงโรคไขมันพอกตับ ตับอ่อนอักเสบ และเป็นสัญญาณว่าร่างกายมีพลังงานส่วนเกินมากเกินไป
• LDL สูง > เสี่ยงหลอดเลือดอุดตัน หัวใจขาดเลือด และอัมพาต
• ถ้าทั้ง ไตรกลีเซอไรด์ กับ LDL มีระดับสูงพร้อมกันจะอันตรายมากขึ้น เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างรุนแรง
วิธีลดไตรกลีเซอไรด์ และ LDL พร้อมกัน
• ลดน้ำตาล แป้งขัดสี และของทอด
• กินไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน ถั่วต่างๆ
• เพิ่มไฟเบอร์จากผัก ผลไม้ ธัญพืช ช่วยลด LDL
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที/วัน
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารแปรรูป
• หากระดับสูงเกินไป ควรปรึกษาแพทย์

ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร แตกต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลวิธีลดไตรกลีเซอไรด์สูง มีอะไรบ้าง
หากมีระดับ ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิน 150 mg/dL ควรเริ่มปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเพื่อป้องกันโรคหัวใจ ตับอ่อนอักเสบ และไขมันพอกตับ
1.ปรับอาหาร ลดของมันและน้ำตาล
ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี
• หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำอัดลม ชานม ขนมปังขาว ข้าวขัดสี
• เปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง โฮลวีต ธัญพืชแทน
หลีกเลี่ยงของทอดและไขมันอิ่มตัว
• งดหมูสามชั้น หนังไก่ อาหารทอด อาหารแปรรูป (ไส้กรอก เบคอน)
• ใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันรำข้าวแทนน้ำมันปาล์ม
กินไขมันดีแทน
• อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดเจีย
• กินปลาไขมันดี เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล (มีโอเมก้า-3 ช่วยลดไขมัน)
เพิ่มไฟเบอร์จากผักผลไม้
• ช่วยลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาลในเลือด
• ผักใบเขียว ฝรั่ง แอปเปิล ข้าวโอ๊ต ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ดี
ลดแอลกอฮอล์
• แอลกอฮอล์ทำให้ตับสร้างไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น
• หลีกเลี่ยงเบียร์ เหล้า ค็อกเทล
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
คาร์ดิโอ (Cardio) อย่างน้อย 30-45 นาที/วัน
• วิ่ง เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
• ช่วยเผาผลาญไขมันและลดไตรกลีเซอไรด์ได้เร็วขึ้น
เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ลดไขมันสะสม
ทำกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น
เดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์ เดินหลังอาหาร ขยับร่างกายบ่อย ๆ
3.ควบคุมน้ำหนัก ลดพุง
ลดน้ำหนักหากมีภาวะอ้วน
• น้ำหนักเกินส่งผลให้ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น
• ลด 5-10% ของน้ำหนักตัว สามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้มาก
หลีกเลี่ยงการกินเกินพลังงานที่ร่างกายต้องการ
คำนวณแคลอรี่ที่เหมาะสมกับร่างกาย
4.นอนหลับให้เพียงพอและลดความเครียด
นอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง/คืน
การอดนอนทำให้ฮอร์โมนผิดปกติและไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น
ฝึกการผ่อนคลายความเครียด
การทำสมาธิ โยคะ หรือฟังเพลงช่วยลดฮอร์โมนเครียดที่ส่งผลต่อระดับไขมัน
5.กินอาหารเสริมช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ (ถ้าจำเป็น)
น้ำมันปลา (Fish Oil, Omega-3)
ลดไตรกลีเซอไรด์ได้ดี ควรได้รับ 2-4 กรัม/วัน
ไฟเบอร์เสริม เช่น Psyllium Husk
ช่วยลดการดูดซึมไขมันจากอาหาร
วิตามิน B3 (Niacin)
มีผลช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ แต่อาจมีผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
6.ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
• เช็กระดับไตรกลีเซอไรด์ทุก 6 เดือน - 1 ปี
• ถ้าไตรกลีเซอไรด์สูงมาก (>500 mg/dL) ควรพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันไม่ให้ไตรกลีเซอไรด์สูง
ไตรกลีเซอไรด์สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของ โรคหัวใจ ตับอ่อนอักเสบ และไขมันพอกตับ ดังนั้นการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สุขภาพดีและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
1.ควบคุมอาหาร เลือกกินให้ถูกต้อง
ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี
• หลีกเลี่ยง น้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมปังขาว ข้าวขัดสี
• เลือกแทนที่ด้วย ข้าวกล้อง โฮลวีต ขนมปังธัญพืช
หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว
• หลีกเลี่ยง ของทอด ฟาสต์ฟู้ด ไส้กรอก เบคอน
• เลือกแทนที่ด้วย อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่ว
กินไขมันดี (ไขมันไม่อิ่มตัว)
อาหารแนะนำ ปลาแซลมอน ทูน่า น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์
เพิ่มไฟเบอร์จากผักและผลไม้
ผักใบเขียว แอปเปิล ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์
งดหรือจำกัดแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์กระตุ้นให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• คาร์ดิโอ 30-45 นาที/วัน เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
• เวทเทรนนิ่ง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ การมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นช่วยเผาผลาญไขมันดีขึ้น
• ขยับตัวให้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน เดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์ ขยับตัวทุก 1 ชั่วโมง
3.ควบคุมน้ำหนัก ลดพุง
• ลดน้ำหนักหากมีภาวะอ้วน การลด 5-10% ของน้ำหนักตัวช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ดี
• วางแผนการกินให้สมดุล คำนวณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการ
4.นอนหลับให้เพียงพอและลดความเครียด
• นอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพราะนอนน้อยทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ
• ลดความเครียดด้วยการออกกำลังกาย หรือทำสมาธิ
5.ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
• ตรวจระดับไตรกลีเซอไรด์ทุกปี
• หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดันสูง ควรตรวจถี่ขึ้น
ไตรกลีเซอไรด์สูง ทำยกกระชับสลายไขมันได้ไหม
การทำหัตถการเพื่อยกกระชับและสลายไขมัน เช่น Ultherapy, RF (Radio Frequency), HIFU, CoolSculpting หรือการดูดไขมัน เป็นทางเลือกที่หลายคนใช้เพื่อลดไขมันเฉพาะจุด แต่สำหรับผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจทำ
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนทำ
1.ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงแค่ไหน
• หากอยู่ในระดับปานกลาง (150-499 mg/dL) → อาจสามารถทำได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
• หากสูงมาก (>500 mg/dL) → ควรควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ก่อน เพราะเสี่ยงต่อภาวะตับอ่อนอักเสบ
2.มีภาวะไขมันพอกตับหรือไม่
หากเป็น ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) ควรเน้นปรับพฤติกรรมก่อน เพราะหัตถการเหล่านี้ไม่ได้ช่วยลดไขมันในเลือด แต่เน้นลดไขมันเฉพาะจุด
3.การทำหัตถการมีผลต่อระบบเผาผลาญหรือไม่
• หัตถการบางอย่าง เช่น CoolSculpting (เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น Cryolipolysis) ช่วยกำจัดเซลล์ไขมัน แต่ไม่ลดระดับไตรกลีเซอไรด์โดยตรง
• RF, HIFU, Ultherapy กระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว ไม่ได้มีผลต่อไตรกลีเซอไรด์
4.อยู่ระหว่างการใช้ยาลดไขมันหรือไม่
หากใช้ยาเช่น Fibrate, Statins, Omega-3 high dose ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะบางหัตถการอาจกระทบต่อระบบเผาผลาญไขมัน
5.สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดเป็นอย่างไร
ไตรกลีเซอไรด์สูงมักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ หากมีภาวะหัวใจหรือเส้นเลือดอุดตัน ควรระมัดระวังการทำหัตถการที่กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต
แนะนำแนวทางที่ปลอดภัย
• ปรึกษาแพทย์ก่อน หากไตรกลีเซอไรด์สูง ควรตรวจสุขภาพก่อนทำ
• ควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ก่อน โดยปรับอาหาร ออกกำลังกาย และอาจใช้ยาตามแพทย์แนะนำ
• เลือกหัตถการที่ปลอดภัย เช่น RF หรือ HIFU ที่ไม่ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต
• ไม่ใช้การดูดไขมันเป็นทางแก้ปัญหาหลัก เพราะไม่ได้ช่วยลดไขมันในเลือด
สรุปเกี่ยวกับไตรกลีเซอไรด์
ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันในเลือดที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรอง แต่หากมีระดับสูงเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ ตับอ่อนอักเสบ และไขมันพอกตับได้
การควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ให้เหมาะสมสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการกิน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียด นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้สามารถป้องกันและจัดการภาวะไขมันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในระยะยาว หากสามารถรักษาสมดุลของอาหารและการออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม ระดับไตรกลีเซอไรด์ก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ และช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด