โปรแกรมฉีดแฟต คืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก่อนฉีดต้องรู้
ฉีดแฟต
ฉีดแฟตคืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอะไร ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง
ฉีดแฟต หัตถการยอดฮิตสำหรับคนที่สนใจอยากจะลดไขมันส่วนเกินไม่ว่าจะเป็นบริเวณ แก้ม เหนียง คางสองชั้น หรือบริเวณร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ต้นแขน หรือ ต้นขา
แต่ใครหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ฉีดแฟต จริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ และเหมาะกับใครบ้าง อันตรายหรือไม่ บทความนี้จะมาอธิบายขยายความให้เข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดแฟต
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการฉีดแฟต
- ฉีดแฟตคืออะไร
- ทำไมร่างกายของเรามีไขมันส่วนเกิน
- ฉีดแฟตมีหลักการทำงานอย่างไร
- ข้อดีของการฉีดแฟต
- ข้อควรระวังของการฉีดแฟต
- ฉีดแฟตอันตรายหรือไม่
- ฉีดแฟตตรงไหนได้บ้าง
- ใครเหมาะกับการฉีดแฟต
- ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต
- การเตรียมตัวก่อนฉีดแฟต
- การดูแลตัวเองหลังฉีดแฟต
- ฉีดแฟตกี่วันเห็นผล ต้องทำซ้ำหรือไม่
- ฉีดแฟตบวมกี่วันถึงจะหายดี
- ฉีดแฟตเจ็บหรือไม่
- ฉีดแฟตกับดูดไขมันต่างกันอย่างไร
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดแฟต
- Q and A ยอดฮิตของการฉีดแฟต
ฉีดแฟตคืออะไร
Meso Fat หรือที่เรียกทั่วไปว่า การฉีดแฟต คือเทคนิคที่ใช้การฉีดสารสูตรเฉพาะเข้าสู่บริเวณชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เป้าหมายหลักคือเพื่อช่วยให้ไขมันเฉพาะจุดค่อย ๆ ลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเน้นในบริเวณที่มีการสะสมของไขมันส่วนเกินซึ่งมักลดยากด้วยวิธีปกติ เช่น การควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย
ทำไมร่างกายของเรามีไขมันส่วนเกิน
ไขมันในร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของมนุษย์ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรอง ป้องกันอวัยวะภายใน และช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K อย่างไรก็ตาม เมื่อมีไขมันสะสมมากเกินความจำเป็น ร่างกายจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “ไขมันส่วนเกิน”
โปรแกรมฉีดแฟต คืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก่อนฉีดต้องรู้
โปรแกรมฉีดแฟต ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสาเหตุหลักของไขมันส่วนเกินมีหลายปัจจัย ดังนี้
1.พลังงานที่ได้รับมากกว่าที่ใช้ไป
หากร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากกว่าที่เผาผลาญออกในแต่ละวัน พลังงานส่วนเกินจะถูกสะสมไว้ในรูปของไขมัน เช่น การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงบ่อย ๆ โดยไม่ออกกำลังกายหรือไม่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ
2.ฮอร์โมนและระบบเผาผลาญ
ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน อินซูลิน คอร์ติซอล และฮอร์โมนเพศ ล้วนมีผลต่อการจัดเก็บและใช้พลังงานของร่างกาย หากสมดุลของฮอร์โมนเหล่านี้เปลี่ยนแปลง เช่น ในวัยหมดประจำเดือน ภาวะเครียดเรื้อรัง หรือภาวะดื้ออินซูลิน ก็อาจทำให้เกิดไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น
3.พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์
การนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียดสะสม การไม่ออกกำลังกาย หรือการใช้ชีวิตแบบนั่งทำงานทั้งวัน ล้วนมีผลต่อระบบเผาผลาญและการสะสมไขมัน นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ไขมันอิ่มตัวสูง หรืออาหารแปรรูปเป็นประจำ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ไขมันสะสมได้ง่าย
4.พันธุกรรมและโครงสร้างร่างกาย
ลักษณะทางพันธุกรรมสามารถมีอิทธิพลต่อการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย บางคนอาจมีแนวโน้มสะสมไขมันที่หน้าท้อง สะโพก หรือต้นแขนได้ง่ายกว่าคนอื่น แม้จะมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่คล้ายกัน
5.อายุและกระบวนการเสื่อมตามวัย
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายจะช้าลง และมวลกล้ามเนื้ออาจลดลง ส่งผลให้ไขมันถูกสะสมได้มากขึ้น แม้จะรับประทานอาหารในปริมาณใกล้เคียงกับช่วงวัยหนุ่มสาว
ฉีดแฟตมีหลักการทำงานอย่างไร
การฉีดแฟต หรือที่เรียกว่า เมโสแฟต (Meso Fat Therapy) เป็นแนวทางหนึ่งในการดูแลรูปร่าง โดยหลักการทำงานของการฉีดแฟต จะเข้าไปช่วย ลดปริมาณไขมันเฉพาะจุด ด้วยการฉีดสารสูตรเฉพาะเข้าไปที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการดูแล เช่น แก้ม คาง เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน เป็นต้น
โปรแกรมฉีดแฟต คืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก่อนฉีดต้องรู้
โปรแกรมฉีดแฟต ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลฉีดแฟตตัวยาทำงานอย่างไร
เมื่อฉีดแฟตเข้าสู่บริเวณที่มีไขมันสะสม สารในตัวยาจะทำงานร่วมกันในกระบวนการทางชีวภาพของร่างกาย โดยมีจุดประสงค์หลักคือ
กระตุ้นให้ไขมันสลายตัว แล้วร่างกายค่อย ๆ ขับออกตามระบบขับถ่ายตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นทางน้ำเหลือง เหงื่อ หรือปัสสาวะ
สารประกอบที่พบได้บ่อยในการฉีดแฟต และหน้าที่ของแต่ละตัว
แม้สูตรยาในการฉีดแฟตจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ แต่โดยทั่วไปจะมี สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ร่วมกัน ดังนี้
1.Artichoke Extract (สารสกัดจากอาร์ติโช้ค)
• เป็นสารสกัดจากพืชธรรมชาติที่มีบทบาทในการส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย
• กระตุ้นการทำงานของโคเอนไซม์ในระบบเมตาบอลิซึมของไขมัน
• ช่วยลดการกักเก็บไขมันใหม่และส่งเสริมการสลายไขมันเดิม
ตัวอย่าง หากฉีดแฟตบริเวณแก้มที่มีไขมันสะสม สารนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ไขมันเกิดการแตกตัว แล้วร่างกายจะค่อย ๆ ขับออกผ่านระบบน้ำเหลือง
2.Mesostabyl (Phosphatidylcholine)
• เป็นสารในกลุ่มไขมันฟอสโฟลิปิด ที่มีบทบาทในการแทรกตัวเข้าไปในเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน
• ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน เช่น Lipase
• ลดการสะสมของไขมันไตรกลีเซอไรด์ และยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในเนื้อเยื่อ
ตัวอย่าง หากมีไขมันสะสมบริเวณใต้คางหรือเหนียง การฉีดแฟตนี้จะช่วยลดโอกาสการสะสมซ้ำของไขมันใหม่
3.L-Carnitine
• เป็นสารที่ช่วยลำเลียงกรดไขมันเข้าสู่ไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์
• ช่วยเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้
• ส่งเสริมกระบวนการดึงไขมันเก่ามาใช้มากขึ้น
ตัวอย่าง การฉีดแฟตในบริเวณหน้าท้องหรือแขน อาจช่วยให้จุดที่มีไขมันดื้อสามารถเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญได้ดีขึ้น
หลังจากฉีดแฟตแล้วไขมันหายไปไหน
หลังจากเซลล์ไขมันเกิดการแตกตัวและสลาย สารที่หลงเหลือจากกระบวนการจะถูก
• ขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลือง
• บางส่วนอาจเปลี่ยนเป็นพลังงานหากร่างกายมีการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย
• กระบวนการนี้จะใช้เวลาแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับสูตรของตัวยา พื้นฐานร่างกาย และพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม
โปรแกรมฉีดแฟต คืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก่อนฉีดต้องรู้
โปรแกรมฉีดแฟต ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลข้อควรรู้เพิ่มเติมหลังจากฉีดแฟต
• การฉีดแฟตเป็นเพียงหนึ่งในวิธีช่วยดูแลรูปร่างแบบเฉพาะจุด ไม่สามารถทดแทนการดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย
• ตัวยาที่ใช้ในการฉีดแฟตควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัย และอยู่ภายใต้การดูแลโดยแพทย์เท่านั้น
• แต่ละบุคคลอาจตอบสนองต่อการรักษาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและไลฟ์สไตล์
ข้อดีของการฉีดแฟต
การฉีดแฟต หรือ Meso Fat เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่างหรือปรับรูปหน้าแบบเฉพาะจุด โดยไม่ต้องใช้วิธีผ่าตัด ด้วยลักษณะของการรักษาที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน จึงมีข้อดีหลายอย่างในการฉีดแฟต ดังนี้
1.ฉีดแฟตไม่ต้องพักฟื้น
หลังฉีดแฟตสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องนอนพักหรือหยุดงาน เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัดและไม่สะดวกในการเข้ารับการรักษารูปแบบอื่นที่ใช้เวลานาน
2.ฉีดแฟตจะมีอาการบวมช้ำน้อย
อาจมีอาการบวมบริเวณที่ฉีดแฟตเล็กน้อยในช่วง 3-4 ชั่วโมงแรก อันเนื่องมาจากปริมาณตัวยาที่เข้าสู่ชั้นไขมัน ซึ่งถือเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย และมักค่อย ๆ ดีขึ้นภายในระยะเวลาสั้น
3.ฉีดแฟตใช้เวลาทำไม่นาน
ขั้นตอนการฉีดแฟตใช้เวลาเพียงไม่นาน โดยทั่วไปอยู่ในช่วงประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและจำนวนจุดที่ต้องการดูแล จึงสามารถทำในช่วงพักกลางวันหรือช่วงเวลาสั้น ๆ ได้
4.ฉีดแฟตเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด
การฉีดแฟตไม่ใช้มีด ไม่เปิดแผล และไม่เกี่ยวข้องกับการศัลยกรรม จึงเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แต่ต้องการดูแลไขมันส่วนเกินบางจุด เช่น แก้ม คาง เหนียง หน้าท้อง หรือแขน
5.การฉีดแฟตเป็นทางเลือกที่มีต้นทุนไม่สูง
เมื่อเทียบกับวิธีการดูแลรูปร่างอื่น ๆ เช่น ศัลยกรรมดูดไขมันหรือเทคโนโลยีบางประเภท การฉีดแฟตมักมีค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า และสามารถเลือกทำเฉพาะจุดได้ตามงบประมาณ
6.การฉีดแฟตภาพรวมไม่อันตราย
หากเลือกใช้บริการจากสถานพยาบาล หรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน และได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ ความเสี่ยงจากการฉีดแฟตจะอยู่ในระดับต่ำ และอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้
ข้อควรระวังของการฉีดแฟต
แม้ว่าการฉีดแฟตจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรูปร่างแบบไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็มีข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำหัตถการฉีดแฟต เนื่องจากเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง และมีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ ดังนี้
1.ไม่เห็นผลทันทีหลังฉีดแฟต
การฉีดแฟตต่างจากการดูดไขมันที่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ เนื่องจากกระบวนการของเมโสแฟตอาศัยการสลายตัวของไขมันตามธรรมชาติ ซึ่งมักต้องใช้เวลา ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้
2.อาจต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งในการฉีดแฟต
ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันสะสมในปริมาณมาก การฉีดแฟตเพียงครั้งเดียวอาจยังไม่เพียงพอให้เห็นผลชัดเจน โดยแพทย์อาจแนะนำให้ทำต่อเนื่อง ประมาณ 4-5 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามความคาดหวัง
3.การฉีดแฟตไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินในระดับมาก
การฉีดแฟต เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดในปริมาณไม่มาก เช่น แก้ม คาง หรือไขมันเล็กน้อยบริเวณร่างกาย แต่สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมมาก การฉีดแฟตอาจให้ผลลัพธ์ที่จำกัด หรือใช้เวลานานกว่า ทั้งนี้ ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนเริ่มทำ เพื่อความเหมาะสมและไม่เป็นตรายต่อร่างกายในระยะยาว
4.ความน่าเชื่อถือของตัวยาในการฉีดแฟตเป็นสิ่งสำคัญ
แม้ชื่อเรียก “เมโสแฟต” หรือการฉีดแฟตจะคล้ายกัน แต่ตัวยาที่ใช้ในการฉีดมีหลากหลายสูตรและหลากหลายยี่ห้อ ซึ่ง บางชนิดยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย และยังไม่มีผลวิจัยรับรองทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันแน่ชัดว่าสามารถสลายไขมันได้จริงในคน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการ ควร
• เลือกใช้บริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน
• ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวยาที่ใช้ผ่านการรับรองจาก อย.
• ปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการในการฉีดแฟต
ฉีดแฟตอันตรายหรือไม่
การฉีดแฟต (Meso Fat) เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลรูปร่างหรือปรับรูปหน้าแบบไม่ผ่าตัด ด้วยกระบวนการที่ดูไม่ซับซ้อน หลายคนจึงสงสัยว่า “การฉีดแฟตนั้นอันตรายหรือไม่ ?” หรือ “มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ?”
คำตอบคือ “การฉีดแฟตไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย” แต่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้องและเหมาะสม
ปัจจัยที่ทำให้การฉีดแฟตไม่เป็นอันตราย
1.ต้องทำโดยแพทย์ผู้มีใบประกอบวิชาชีพ
• การประเมินสภาพผิว ปริมาณไขมัน และการเลือกจุดฉีดควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้เหมาะสมกับร่างกายแต่ละบุคคล และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
2.ใช้ตัวยาที่ผ่านการรับรองจาก อย.
• ตัวยาที่ใช้ในการฉีดแฟตควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียนและได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของสารที่นำเข้าสู่ร่างกาย
3.คลินิกต้องได้มาตรฐาน
• ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง มีความสะอาด ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อ และมีระบบติดตามดูแลหลังทำ
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการฉีดแฟต (ถ้าไม่ระมัดระวัง)
แม้การฉีดแฟตจะถือว่าเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อทำอย่างถูกวิธี แต่หากไม่ได้รับการดูแลโดยหมอ หรือใช้ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดความเสี่ยง เช่น
• การอักเสบ บวม หรือช้ำมากกว่าปกติ
• การแพ้ตัวยา
• การติดเชื้อจากอุปกรณ์หรือขั้นตอนที่ไม่สะอาด
• การฉีดแฟตผิดตำแหน่งที่อาจกระทบต่อเส้นเลือดหรือเส้นประสาท
ความผิดพลาดเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากทำโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตราย
ฉีดแฟตตรงไหนได้บ้าง
การฉีดแฟต (Meso Fat) เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปร่างหรือรูปหน้าในบริเวณที่มีไขมันสะสมเรื้อรัง ซึ่งอาจลดยากด้วยวิธีทั่วไป เช่น การควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย
บริเวณที่สามารถฉีดแฟตได้
1.ฉีดแฟตใบหน้า (Facial Areas)
• แก้ม (Cheeks) เหมาะสำหรับผู้ที่มีแก้มเต็ม หน้าดูกลมจากไขมันสะสม
• ใต้คางหรือเหนียง (Double Chin) จุดที่ไขมันมักสะสมได้ง่าย และส่งผลต่อความชัดของกรอบหน้า
• กรอบหน้าโดยรวม เมื่อไขมันบริเวณแก้มและคางลดลง อาจช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นตามโครงสร้างที่แท้จริงของแต่ละคน
2.ฉีดแฟตร่างกายส่วนอื่น ๆ (Body Areas)
• หน้าท้อง (Abdomen) จุดที่หลายคนมีไขมันสะสมจากการใช้ชีวิตประจำวัน
• ต้นแขนและต้นขา เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันเฉพาะจุด ไม่ได้สะสมในระดับมาก
• น่องและสะโพก อาจใช้ร่วมในกรณีที่ต้องการดูแลรูปร่างโดยไม่ใช้วิธีผ่าตัด
ฉีดแฟตสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่ ?
ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ผู้รับบริการ ฉีดแฟตร่วมกับการฉีดโบทูลินัมท็อกซิน (โบท็อก) โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการลดทั้งไขมันและลดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น กรอบหน้า เพื่อให้โครงหน้าแลดูกระชับขึ้น แต่ทั้งนี้ควรเป็นการประเมินและวางแผนโดยแพทย์เป็นรายบุคคล
ข้อควรระวังในการฉีดแฟต
• การเลือกบริเวณที่จะฉีดแฟตควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์เท่านั้น
• ปริมาณไขมัน โครงสร้างผิว และความหนาของชั้นไขมันในแต่ละจุด มีผลต่อผลลัพธ์และจำนวนครั้งที่ต้องรับบริการ
• ไม่ควรฉีดแฟตในบริเวณที่มีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีโรคผิวหนังประจำตัวที่ควรหลีกเลี่ยง
โปรแกรมฉีดแฟต คืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก่อนฉีดต้องรู้
โปรแกรมฉีดแฟต ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลใครเหมาะกับการฉีดแฟต
การฉีดแฟต (Meso Fat) เป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรูปร่างและรูปหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องฉีดแฟต และผลลัพธ์ก็อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ดังนั้นการพิจารณาว่าใคร “เหมาะสมกับการฉีดแฟต” จึงควรดูจากปัจจัยเหล่านี้เป็นหลัก
1.ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด
การฉีดแฟตเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมในปริมาณไม่มาก เช่น แก้ม คาง เหนียง หน้าท้อง หรือต้นแขน ที่ต้องการดูแลให้ดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น โดยเฉพาะในจุดที่ลดยากแม้พยายามควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายแล้ว
2.ผู้ที่ออกกำลังกายอยู่แล้วแต่ยังมีจุดที่ลดยาก
บางคนแม้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมอาหารแล้ว แต่ยังคงมีไขมันเฉพาะจุดหลงเหลืออยู่ การฉีดแฟตอาจเป็นทางเลือกเสริมที่ช่วยจัดการจุดเล็ก ๆ เหล่านั้นให้ดีขึ้น ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
3.ผู้ที่ต้องการลดไขมันโดยไม่ผ่าตัด
การฉีดแฟตเหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกใจในการเข้ารับการศัลยกรรม เช่น ดูดไขมัน หรือกลัวผลข้างเคียงจากการผ่าตัด การฉีดแฟตจึงเป็นวิธีที่ไม่ต้องเปิดแผล ไม่ใช้มีด และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังฉีดแฟตแล้ว
4.ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
เมื่อเทียบกับวิธีดูแลรูปร่างอื่น ๆ กับการฉีดแฟต เช่น ศัลยกรรมหรือเทคโนโลยีระดับสูง การฉีดแฟตมักมีต้นทุนที่ไม่สูงนัก และสามารถเลือกทำเฉพาะจุดตามงบประมาณที่วางแผนไว้ได้
5.ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะเวลาอันใกล้
แม้จะไม่ได้เห็นผลทันที แต่การฉีดแฟตโดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 1-2 สัปดาห์ จึงอาจเหมาะกับผู้ที่มีความต้องการดูแลรูปร่างในช่วงเวลาจำกัด เช่น ก่อนออกงานสำคัญ หรือช่วงที่ต้องใช้ความมั่นใจ
ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต
แม้ว่าการฉีดแฟต (Meso Fat) จะเป็นหัตถการที่สามารถทำได้ในคนทั่วไปจำนวนมาก และได้รับความนิยมเนื่องจากไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็มีบางกลุ่มคน ที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต หรือ ชะลอการฉีดแฟตไปก่อน จนกว่าจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือร่างกายอยู่ในภาวะที่เหมาะสม
1.หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต
กลุ่มนี้ควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของตัวยาฉีดแฟตต่อทารกในครรภ์หรือเด็กที่กำลังได้รับน้ำนมแม่ ถึงแม้ว่าตัวยาบางชนิดจะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ แต่ความปลอดภัยในกลุ่มนี้ยังไม่สามารถรับรองได้อย่างชัดเจน จึงควรรอให้พ้นช่วงให้นมก่อนค่อยเข้ารับบริการจะปลอดภัยกว่า
2.ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังในบริเวณที่จะฉีดแฟต
• หากมี ผิวหนังอักเสบ
• มี สิวอักเสบขนาดใหญ่หรือรุนแรง
• หรือ มีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา บริเวณผิวหนังที่ต้องการฉีดแฟต
ควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟตในช่วงเวลานั้น เพราะอาจเสี่ยงต่อการกระจายเชื้อ ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น หรือทำให้ผิวบริเวณนั้นหายช้ากว่าปกติ แนะนำให้รักษาให้หายดีก่อน แล้วค่อยพิจารณาฉีดแฟตในภายหลัง
3.ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต
แม้ว่าโดยทั่วไปการฉีดแฟตจะเป็นหัตถการที่ไม่กระทบต่อระบบในร่างกายโดยตรง แต่ผู้ที่มีโรคบางอย่าง เช่น
• โรคตับหรือไตในระยะที่ต้องควบคุม
• โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune disease)
• หรือกำลังใช้ยาที่มีผลต่อระบบเลือด
ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าให้ละเอียด เพราะตัวยาฉีดแฟตบางสูตรอาจมีผลต่อระบบเผาผลาญหรือเกี่ยวข้องกับการทำงานของอวัยวะภายในบางระบบ การตรวจสอบและประเมินล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ
4.ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของตัวยาควรหลีกเลี่ยงการฉีดแฟต
หากเคยมีประวัติแพ้สารในกลุ่มฟอสฟาติดิลโคลีน, แอลคาร์นิทีน, สารสกัดจากพืช หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อยู่ในตัวยา ควรแจ้งแพทย์ให้ชัดเจนก่อนทำหัตถการ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการฉีดเพื่อป้องกันการแพ้รุนแรง
การเตรียมตัวก่อนฉีดแฟต
การฉีดแฟต (Meso Fat) เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการเตรียมตัวที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามเป้าหมาย และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ การเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการฉีดแฟตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีข้อควรปฏิบัติที่แนะนำดังนี้
1.ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาที่จะฉีด
ควรทราบว่าสูตรในการฉีดแฟตมีหลากหลายยี่ห้อ และส่วนผสมของแต่ละสูตรอาจแตกต่างกัน เช่น บางสูตรเน้นสลายไขมัน บางสูตรช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ หรือเสริมด้วยสารสกัดธรรมชาติเพื่อลดการอักเสบ
จึงควร ศึกษาคุณสมบัติ จุดเด่น และมาตรฐานความปลอดภัย ของแต่ละสูตร โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก อย.เท่านั้น
2.เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และใบประกอบวิชาชีพ
ควรเข้ารับบริการกับแพทย์ที่มี ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง และมีประสบการณ์ในการฉีดแฟตจริง ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลของแพทย์ได้จากเว็บไซต์ของแพทยสภา เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ได้มาตรฐาน
3.แจ้งประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียดก่อนฉีดแฟต
เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการฉีดได้เหมาะสม ควรแจ้งข้อมูลสำคัญดังนี้
• ประวัติการฉีดสารเติมเต็ม การฉีดโบทูลินัมท็อกซิน หรือการทำศัลยกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริเวณที่จะฉีดแฟต
• โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
• การแพ้ยา หรือสารบางชนิดในอดีต
• ยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ รวมถึงวิตามินและอาหารเสริม
• ภาวะการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (หากมี) เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าสามารถเข้ารับการฉีดแฟตได้หรือไม่
4.สื่อสารความต้องการให้ชัดเจนก่อนฉีดแฟต
ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึง เป้าหมายของผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น อยากลดแก้มให้ดูเรียวลง ปรับรูปหน้าบริเวณเหนียงให้กระชับ หรือดูแลรูปร่างในจุดใดเป็นพิเศษ เพื่อให้แพทย์ออกแบบแผนการรักษาให้ตรงกับความคาดหวัง และเหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายของแต่ละบุคคล
5.หลีกเลี่ยงวิตามินบางชนิดก่อนฉีดแฟต
ควร หลีกเลี่ยงการทานวิตามินหรืออาหารเสริมบางชนิด ที่มีผลต่อการไหลเวียนโลหิต เช่น วิตามินซี, น้ำมันปลา, ใบแปะก๊วย ฯลฯ อย่างน้อย 14 วันก่อนการฉีดแฟต เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรืออาการบวมหลังฉีดแฟต
6.การวางแผนหัตถการอื่นร่วมด้วยในการฉีดแฟต
หากมีการวางแผนทำหัตถการอื่นร่วมกัน เช่น เลเซอร์ Ultraformer III, HIFU หรือการนวดหน้า
แนะนำให้ทำหัตถการเหล่านั้นให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงฉีดแฟตเป็นลำดับสุดท้าย เพื่อไม่ให้ตัวยาถูกกระทบจากความร้อนหรือแรงนวดที่อาจลดประสิทธิภาพของสารที่ฉีดแฟตเข้าไป
การดูแลตัวเองหลังฉีดแฟต
หลังการฉีดแฟต ร่างกายจะเริ่มกระบวนการตอบสนองต่อสารที่ถูกฉีดเข้าไป ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ไขมันบริเวณนั้นค่อย ๆ สลายตัวและขับออกผ่านระบบขับถ่ายตามปกติ เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างเหมาะสม และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือสัมผัสแรงในบริเวณที่ฉีดแฟต
• หลังฉีดแฟตอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือเกิดตุ่มนูน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย
• ไม่ควรนวด กด หรือบีบบริเวณที่ฉีดแฟต เนื่องจากอาจรบกวนการกระจายตัวของตัวยา
• ตุ่มนูนหรืออาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลงเองในระยะเวลาไม่กี่วัน
2.งดทาครีมและแต่งหน้าในช่วง 4-6 ชั่วโมงแรกของการฉีดแฟต
• เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือการอักเสบของผิวหนังบริเวณที่เพิ่งฉีดแฟต
• ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น ครีมบำรุง เครื่องสำอาง หรือสารใด ๆ ที่อาจอุดตันผิว
• หลังจากนั้นสามารถกลับมาดูแลผิวได้ตามปกติเมื่ออาการบวมยุบลงแล้ว
3.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 1-2 วันแรกหลังฉีดแฟต
แม้ว่าการออกกำลังกายโดยทั่วไปดีต่อระบบเผาผลาญ แต่ ในช่วง 1-2 วันหลังฉีดแฟต ควรงดกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนจัดหรือเคลื่อนไหวหนัก เช่น คาร์ดิโอ HIIT ยกน้ำหนัก
เพราะจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและอาจทำให้บริเวณที่ฉีดแฟตบวม หรือช้ำนานกว่าปกติ
4.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารเสริมบางประเภทหลังการฉีดแฟต
หากต้องการลดโอกาสเกิดรอยช้ำ ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 4-5 วันแรก
• เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
• วิตามินซี, วิตามินอี, น้ำมันปลา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลต่อระบบเลือด
เนื่องจากสารเหล่านี้อาจทำให้เส้นเลือดขยายตัว เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำหรือบวมนานขึ้น
5.หากมีอาการช้ำหรือบวม ถือเป็นเรื่องปกติ
หลังฉีดแฟตบางคนอาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย
อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 7-14 วัน โดยไม่ต้องกังวล
หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาคลินิกหรือแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง
6.หลีกเลี่ยงความร้อนสูงในช่วง 14 วันแรกหลังการฉีดแฟต
เพื่อป้องกันการระคายเคืองและรบกวนกระบวนการทำงานของตัวยา ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือสถานที่ที่มีความร้อนสูง เช่น
• ซาวน่า
• อบไอน้ำ
• การอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน
7.ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
การดื่มน้ำช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนในร่างกาย และช่วยให้ของเสีย ( including ไขมันที่สลายตัว) ถูกขับออกได้ดีขึ้น
แนะนำให้ จิบน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอดวัน (ไม่จำเป็นต้องดื่มในปริมาณมากเกินจำเป็น) เพื่อช่วยเสริมกระบวนการขับของเสียให้ราบรื่น
ฉีดแฟตกี่วันเห็นผล ต้องทำซ้ำหรือไม่
ผลลัพธ์ของการฉีดแฟต ไม่ได้เห็นผลทันทีหลังทำ แต่จะค่อย ๆ แสดงการเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการในร่างกาย ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณไขมันของแต่ละคน ระบบเผาผลาญของร่างกาย และพฤติกรรมหลังฉีด
ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลจากการฉีดแฟต
หลังจากฉีดแฟตเข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิว ตัวยาจะเริ่มกระตุ้นกระบวนการสลายไขมันและขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลือง
โดยทั่วไปการเปลี่ยนแปลงในการฉีดแฟต
• เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 5-7 วัน หลังการฉีดแฟต
• การสลายของไขมันจะเกิดขึ้นทีละน้อย โดยเฉลี่ย ประมาณ 20-30% ต่อครั้ง (ของปริมาณไขมันเฉพาะจุดที่ฉีดแฟต)
• อาการบวมอาจมีในช่วง 1-3 วันแรก แล้วค่อย ๆ ยุบลงพร้อมกับการเริ่มสลายของไขมัน
จำเป็นต้องฉีดแฟตซ้ำหรือไม่
ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันสะสมในบริเวณนั้น ๆ
• หากมีไขมันในปริมาณไม่มาก บางรายอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนตั้งแต่ 1-2 ครั้งแรก
• สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมมาก อาจต้องฉีดแฟตต่อเนื่อง ประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน
โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ เว้นระยะห่างระหว่างการฉีดแฟตแต่ละครั้งประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาตอบสนอง และเพื่อให้เห็นพัฒนาการของผลลัพธ์ในแต่ละรอบได้อย่างชัดเจน
ผลลัพธ์หลังฉีดแฟตคงอยู่นานแค่ไหน
การฉีดแฟตไม่ได้หยุดยั้งการเกิดไขมันใหม่ แต่ช่วยลดปริมาณไขมันเฉพาะจุดที่สะสมอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ
ผลลัพธ์หลังฉีดแฟตจะอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมหลังฉีด
• หากมีการดูแลน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไขมันจะมีโอกาสกลับมาสะสมช้าลง
• หากไม่ควบคุมการรับประทานอาหาร หรือมีพฤติกรรมที่ทำให้พลังงานสะสมมากเกินไป ไขมันอาจกลับมาในจุดเดิมได้อีก
โปรแกรมฉีดแฟต คืออะไร อันตรายไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก่อนฉีดต้องรู้
โปรแกรมฉีดแฟต ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลฉีดแฟตบวมกี่วันถึงจะหายดี
หลังจากฉีดแฟต (Meso Fat) เข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง บางคนอาจรู้สึกกังวลเมื่อพบว่า บริเวณที่ฉีดแฟตมีอาการบวม หรือนูนขึ้นเล็กน้อย ซึ่งจริง ๆ แล้วถือเป็น ปฏิกิริปกติของร่างกาย ที่เกิดขึ้นจากตัวยาที่ถูกฉีดเข้าไปเพื่อกระตุ้นการสลายไขมัน
อาการบวมหลังฉีดแฟต เป็นเรื่องปกติ
• ช่วง 3-6 ชั่วโมงแรก หลังฉีดแฟต อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือตุ่มนูนบริเวณที่ฉีดแฟต ซึ่งเกิดจากปริมาณของเหลวที่ถูกฉีดเข้าสู่ชั้นไขมันโดยตรง
• ใน 1-3 วันถัดมา อาการบวมจะยังคงอยู่ในบางคนหลังการฉีดแฟต โดยเฉพาะหากผิวบอบบาง หรือมีการตอบสนองของร่างกายชัดเจน
• โดยทั่วไปอาการบวมหลังการฉีดแฟตจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 3-7 วัน โดยไม่จำเป็นต้องกดหรือนวด
ทั้งนี้ อาการบวมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ไขมันเพิ่มขึ้น แต่เป็นอาการชั่วคราวที่ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับสมดุลและดูดซึมตัวยาเข้าสู่กระบวนการทำงานตามปกติ
ปัจจัยที่อาจทำให้บวมนานกว่าปกติหลังการฉีดแฟต
• พฤติกรรมหลังฉีดแฟต เช่น การออกกำลังกายหนักภายใน 1-2 วันแรก
• การรับประทานอาหารเสริม วิตามินซี น้ำมันปลา หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ช้ำหรือบวมนาน
• การแพ้เล็กน้อยต่อส่วนประกอบในตัวยา ซึ่งอาจทำให้มีอาการบวมช้ำนานขึ้น (แต่ไม่ถือว่าอันตราย หากไม่มีอาการอื่นร่วม)
วิธีดูแลหลังการฉีดแฟตเพื่อลดอาการบวม
• ประคบเย็นในช่วง 6-12 ชั่วโมงแรก
• งดการสัมผัส นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดแฟต
• ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้ดี
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ อาหารเค็มจัด และการอยู่ในที่ร้อน เช่น ซาวน่า หรืออบไอน้ำ ในช่วง 5-7 วันแรก
ฉีดแฟตเจ็บหรือไม่
โดยทั่วไป การฉีดแฟตไม่ได้เจ็บมาก และอยู่ในระดับที่ผู้รับบริการส่วนใหญ่สามารถทนได้ เพราะแพทย์มักใช้เข็มขนาดเล็กและอาจทายาชาหรือประคบเย็นก่อนฉีดแฟตเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย
บางคนอาจรู้สึกตึง ๆ หรือแสบเล็กน้อยขณะตัวยาเข้าสู่ชั้นไขมัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และมักหายไปภายในไม่กี่นาที
ฉีดแฟตกับดูดไขมันต่างกันอย่างไร
การฉีดแฟต (Meso Fat) และ การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นวิธีลดไขมันเฉพาะจุด แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของวิธีการ ผลลัพธ์ ระยะเวลาเห็นผล และการฟื้นตัว ดังนี้
1.วิธีการทำ
ฉีดแฟต
ใช้วิธีฉีดสารสูตรเฉพาะเข้าไปที่ชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นให้ไขมันค่อย ๆ แตกตัวและถูกขับออกทางระบบน้ำเหลืองหรือขับถ่าย ไม่มีแผล ไม่มีการเปิดผิว ไม่ต้องผ่าตัด
ดูดไขมัน
ใช้เครื่องมือทางการแพทย์เจาะเปิดผิวและดูดไขมันออกโดยตรงจากบริเวณที่ต้องการ เป็นการผ่าตัดเล็ก ต้องใช้ยาชาเฉพาะจุดหรือยาสลบ ขึ้นอยู่กับบริเวณและปริมาณไขมัน
2.ปริมาณไขมันที่ลดได้
ฉีดแฟต
ลดได้ทีละน้อย เหมาะกับจุดเล็ก ๆ เช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน หน้าท้องบางส่วน ถ้ามีไขมันมาก อาจต้องทำหลายครั้งต่อเนื่อง
ดูดไขมัน
สามารถนำไขมันออกได้ในปริมาณมากและเห็นผลชัดเจน เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมเยอะ และต้องการปรับรูปร่างรวดเร็ว
3.ระยะเวลาการเห็นผล
ฉีดแฟต
เริ่มเห็นผลภายใน 5-7 วัน และค่อย ๆ ชัดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ เห็นผลช้า แต่ไม่มีช่วงพักฟื้น
ดูดไขมัน
เห็นผลชัดเจนหลังทำทันที แต่จะมีบวมช้ำในช่วงแรก และใช้เวลาฟื้นตัวหลายวันถึงเป็นสัปดติ์ ต้องใส่ผ้ารัดกระชับหลังทำ และดูแลแผลผ่าตัด
4.ความเจ็บและการพักฟื้น
ฉีดแฟต
เจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ทำเสร็จสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
ดูดไขมัน
เจ็บมากกว่า บวมช้ำชัดเจน ต้องใช้เวลาพักฟื้น และดูแลแผลอย่างต่อเนื่อง
5.ความเหมาะสม
ฉีดแฟต
เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมไม่มาก ต้องการลดเฉพาะจุดแบบไม่ผ่าตัด เช่น ลดแก้ม ลดเหนียง และไม่มีเวลาพักฟื้น
ดูดไขมัน
เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็ว มีไขมันปริมาณมาก และยอมรับได้กับกระบวนการผ่าตัดและการดูแลหลังทำ
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดแฟต
การฉีดแฟตไม่อันตรายอย่างที่คิดถ้าทำโดยสถานพยาบาล หรือคลินิกที่ได้รับการรับรอง และทำโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพฉีดตัวยาแท้ จะทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ อีกทั้งต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดแฟตด้วย เพื่อให้ไขมันลดลงในระยะยาว ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้เรามีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นและร่างกายที่แข็งแรงไปพร้อมๆกัน
Q and A ยอดฮิตของการฉีดแฟต
Q1 ฉีดแฟตแล้วไขมันหายถาวรไหม ?
A ไขมันที่ถูกสลายจากการฉีดแฟตจะลดลงเฉพาะจุด แต่ไม่สามารถป้องกันการสะสมใหม่ได้ถาวร หากไม่มีการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย ไขมันสามารถกลับมาสะสมใหม่ได้ ดังนั้นผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่าหากผู้รับบริการมีวินัยในการดูแลสุขภาพควบคู่กันไป
Q2 ฉีดแฟตกี่ครั้งถึงจะเห็นผลชัด?
A โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลในช่วง 5-7 วันหลังฉีดแฟตครั้งแรก แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสัดส่วนลดลงมากขึ้น อาจต้องฉีดต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 สัปดาห์ จำนวนครั้งที่แนะนำขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเฉพาะจุดและการประเมินของแพทย์
Q3 ฉีดแฟตทำให้หน้ายุบหรือหน้าตอบเกินไปไหม?
A หากได้รับการประเมินและฉีดในปริมาณที่เหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โอกาสที่ใบหน้าจะยุบเกินไปหรือดูโทรมจะน้อยมาก
ปัญหานี้มักเกิดเมื่อฉีดแฟตบ่อยเกินไป หรือทำโดยไม่ได้รับการวางแผนอย่างเหมาะสม จึงควรเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีความชำนาญเพื่อให้ผลลัพธ์ปลอดภัยและสมดุลกับรูปหน้าจริงของแต่ละคน
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ