ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ไฮยาลูรอน
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท ข้อดีข้อเสียอย่างไร
ไฮยาลูรอน คืออะไรดียังไงต่อผิวของเรา อันตรายหรือไม่
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) นับว่าเป็นสารที่สำคัญมากสำหรับใครหลายคนที่มองหาสกินแคร์บำรุงผิว เพราะด้วยคุณสมบัติที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทั้งผิวหน้าและผิวกาย แก้ปัญหาริ้วรอยต่างๆ แถมยังช่วยให้ผิวอิ่มฟูดูกระชับ
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับไฮยาลูรอน
- ไฮยาลูรอนคืออะไร
- ร่างกายของเราสามารถผลิตไฮยาลูรอนได้เองไหม
- กรดไฮยาลูรอนมีกี่ประเภท
- ไฮยาลูรอน ช่วยอะไรในผิวของเราบ้าง
- ผิวแบบไหนต้องใช้ ไฮยาลูรอน
- ข้อดีของการใช้ ไฮยาลูรอน
- ข้อควรระวังของการใช้ ไฮยาลูรอน
- ไฮยาลูรอน ห้ามใช้กับอะไรบ้าง
- ไฮยาลูรอน สามารถกินได้ไหม
- เซรั่มที่มีไฮยาลูรอนกับสารเติมเต็มที่มีไฮยาลูรอนต่างกันยังไง
- สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน มีผลข้างเคียงหรือไม่
- ก่อนฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนควรรู้อะไรบ้าง
- ฉีดไฮยาลูรอนแล้วไม่เห็นผลเกิดจากอะไร
- ฉีดไฮยาลูรอนใต้ตา ได้หรือไม่
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับ ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
โปรแกรมฉีดไฮยาลูรอน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ไฮยาลูรอนคืออะไร
Hyaluronic Acid (HA) หรือ ไฮยาลูรอน เป็นสารชีวโมเลกุลที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นได้เองอยู่ในกลุ่ม Polysaccharide หรือโมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือสามารถกักเก็บน้ำได้มากกว่าหลายเท่าของน้ำหนักตัวเอง ไฮยาลูรอน จึงมักถูกเรียกว่า “ตัวล็อกความชุ่มชื้นของผิว”
ในร่างกาย ไฮยาลูรอนพบมากกว่า 80% ในชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างผิวที่มีคอลลาเจนและอีลาสติน ไฮยาลูรอนจะทำหน้าที่เชื่อมโยงเส้นใยเหล่านี้ให้คงความยืดหยุ่นไว้ พร้อมช่วยให้ผิวแลดูอิ่มฟูและมีความยืดหยุ่น
ไฮยาลูรอนมีบทบาทสำคัญอย่างไร
ไฮยาลูรอนกักเก็บความชุ่มชื้น
ไฮยาลูรอนสามารถดึงและกักเก็บน้ำไว้ในชั้นผิวได้อย่างดี ทำให้ผิวไม่แห้งตึง คงความเนียนนุ่ม และช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิว
ไฮยาลูรอนเสริมการทำงานของคอลลาเจนและอีลาสติน
ไฮยาลูรอนช่วยเป็นโครงสร้างยึดเหนี่ยวระหว่างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความกระชับและยืดหยุ่น
ไฮยาลูรอนฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว
มีส่วนช่วยในการสมานแผล กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และลดการอักเสบของผิว
ไฮยาลูรอนคงความอ่อนโยนของผิว
เมื่อผิวได้รับความชุ่มชื้นและมีคอลลาเจนที่แข็งแรง ผิวก็จะดูเรียบเนียน ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
ร่างกายของเราสามารถผลิตไฮยาลูรอนได้เองไหม
ร่างกายของมนุษย์สามารถผลิตไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid: HA) ได้เอง โดยสาร ไฮยาลูรอน ชนิดนี้เป็น Polysaccharide หรือโมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้นและเป็นโครงสร้างสำคัญของผิวหนัง ข้อต่อ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ไฮยาลูรอนที่ร่างกายผลิตเองอยู่ตรงไหนบ้าง
• ผิวหนัง - มากกว่า 50% ของไฮยาลูรอนทั้งหมดในร่างกายถูกเก็บไว้ที่ผิว โดยเฉพาะชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น
• ข้อต่อและน้ำหล่อเลี้ยงข้อ - ไฮยาลูรอนช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น ลดการเสียดสี
• เนื้อเยื่อและดวงตา - ไฮยาลูรอนทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นและรักษาสมดุลของน้ำ
ทำไมเมื่ออายุมากขึ้น ไฮยาลูรอนจึงลดลง
แม้ร่างกายจะสร้างไฮยาลูรอนเองได้ แต่กระบวนการผลิตนี้จะ ค่อย ๆ ชะลอลงตั้งแต่ช่วงวัย 20 ปีขึ้นไป ปัจจัยที่ทำให้ลดลง ได้แก่
• อายุที่มากขึ้น ทำให้เซลล์สร้างสารได้น้อยลง
• แสงแดดและรังสี UV ที่ทำลายโครงสร้างผิว
• มลภาวะและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ สูบบุหรี่ หรือรับประทานอาหารไม่สมดุล
• ผลที่ตามมาคือผิวเริ่มแห้ง ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
กรดไฮยาลูรอนมีกี่ประเภท
กรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid: HA) ที่นำมาใช้ในเวชสำอางและการแพทย์สมัยใหม่ มักถูกสังเคราะห์ออกมาให้มี “ขนาดโมเลกุล” ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับการทำงานในแต่ละชั้นผิว โดยหลัก ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.ไฮยาลูรอนโมเลกุลขนาดใหญ่ (High Molecular Hyaluron : H-HA)
ขนาดโมเลกุล ประมาณ 2,000 kDa
คุณสมบัติเด่น โมเลกุลมีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถซึมลึกลงไปได้มาก แต่จะทำงานเหมือน “ฟิล์มเคลือบผิว” ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้บนผิวชั้นบนสุด
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ ผิวดูเรียบเนียน อิ่มฟู ริ้วรอยตื้น ๆ เช่น รอยย่นเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตาหรือมุมปากดูจางลง
2.ไฮยาลูรอนโมเลกุลขนาดกลาง (Medium Molecular Hyaluron : M-HA)
ขนาดโมเลกุล ประมาณ 1,000 - 1,400 kDa
คุณสมบัติเด่น ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังชั้นกำพร้าได้ดีกว่าขนาดใหญ่ ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในระดับลึกกว่าและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ ผิวมีความชุ่มชื้นยาวนานขึ้น ริ้วรอยระดับกลางค่อย ๆ ดูจางลง ผิวดูสุขภาพดีจากภายในมากขึ้น
3.ไฮยาลูรอนโมเลกุลขนาดเล็ก (Low Molecular Hyaluron : L-HA)
ขนาดโมเลกุล ประมาณ 52 kDa ซึ่งถือว่าเล็กที่สุด
คุณสมบัติเด่น ซึมลึกได้ถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นจากภายใน กระตุ้นการสร้างไฮยาลูรอนของผิวเอง และมีบทบาทในการซ่อมแซมเซลล์
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ ผิวดูกระชับ เต่งตึง ริ้วรอยลึกค่อย ๆ ลดลง และช่วยเสริมการฟื้นฟูโครงสร้างผิว
เปรียบเทียบประเภทของ ไฮยาลูรอนให้เห็นภาพง่าย ๆ
H-HA ทำงานบนผิวชั้นบน ให้ความชุ่มชื้นทันที เหมือนการเคลือบผิวไว้
M-HA ซึมได้ลึกขึ้น คงความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่น
L-HA ซึมถึงชั้นลึก ฟื้นฟูผิวจากภายใน ลดริ้วรอยลึก
ผิวของเรามีหลายชั้น และปัญหาผิวก็เกิดได้ทั้งจากความแห้งกร้านที่ผิวชั้นนอก ไปจนถึงการสูญเสียความยืดหยุ่นในชั้นลึก การพัฒนาไฮยาลูรอนให้มีหลายขนาดโมเลกุลจึงทำให้สามารถดูแลปัญหาผิวได้รอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ครีมบำรุง เซรั่มไฮยาลูรอน หรือการใช้ใน ทางการแพทย์เพื่อเติมเต็มริ้วรอย

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
โปรแกรมฉีดไฮยาลูรอน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ไฮยาลูรอน ช่วยอะไรในผิวของเราบ้าง
เมื่อพูดถึง Hyaluronic Acid (HA) หรือ ไฮยาลูรอน หลายคนมักนึกถึงสารบำรุงผิวที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอ่อนโยน แต่ในความเป็นจริง ไฮยาลูรอนไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องความงามเท่านั้น แต่ไฮยาลูรอนยังมีบทบาทสำคัญทางการแพทย์ในด้านการดูแลสุขภาพด้วย จึงนับว่าเป็นสารที่มีคุณค่ารอบด้านทั้งต่อผิวพรรณและการทำงานของร่างกาย
ประโยชน์ของไฮยาลูรอนต่อผิวพรรณ
คุณสมบัติที่โดดเด่นของ HA ไฮยาลูรอนคือความสามารถในการกักเก็บน้ำได้มากกว่าน้ำหนักตัวเองหลายร้อยถึงพันเท่า จึงทำหน้าที่เป็นเหมือน “ตัวกักเก็บความชุ่มชื้น” ของผิว
• ไฮยาลูรอนเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน
• ไฮยาลูรอนลดและชะลอการเกิดริ้วรอย ผิวที่อิ่มน้ำจะเรียบเนียนและยืดหยุ่น
• ไฮยาลูรอนช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส มีชีวิตชีวา
• ไฮยาลูรอนทำให้ผิวสัมผัสเรียบเนียนขึ้น
ประโยชน์ของไฮยาลูรอนในทางการแพทย์
นอกจากด้านความสวยงามแล้ว ไฮยาลูรอนยังถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ และได้รับการรับรองว่าสามารถใช้ได้อย่างไม่เป็ฯอันตรายในหลายกรณี เช่น
การใช้ไฮยาลูรอนในรูปแบบยาฉีด
• ไฮยาลูรอน รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยทำหน้าที่เสริมการหล่อลื่น ลดอาการฝืดและปวด
• ไฮยาลูรอนลดการอักเสบรอบข้อ เช่น ข้อไหล่
• ไฮยาลูรอนป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก และบรรเทาอาการปวดข้อ
การใช้ไฮยาลูรอนในรูปแบบยาภายนอก
• เจลสำหรับแผลในปาก ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดการระคายเคือง
• เจลหรือครีมสำหรับแผลไฟไหม้ ลดอาการอักเสบและช่วยสมานผิว
• ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน ใช้บรรเทาอาการตาแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
ผิวแบบไหนต้องใช้ ไฮยาลูรอน
ไฮยาลูรอน เป็นสารสำคัญที่มีอยู่แล้วในโครงสร้างผิว ทำหน้าที่หลักคือกักเก็บน้ำและคงความชุ่มชื้น หากผิวมีปริมาณไฮยาลูรอนลดลง จะส่งผลโดยตรงให้ผิวขาดสมดุล สูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดปัญหาผิวตามมาได้ง่าย ดังนั้นการเสริมไฮยาลูรอนผ่านสกินแคร์หรือการรักษาทางการแพทย์ ไฮยาลูรอนจึงเหมาะกับผิวที่มีภาวะดังต่อไปนี้
1.ไฮยาลูรอนเหมาะกับผิวแห้ง ขาดน้ำ
หากผิวแตกลอกเป็นขุย รู้สึกตึง หรือไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้นาน มักเป็นสัญญาณว่าผิวขาดไฮยาลูรอน การเติม HA จะช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดีขึ้นและรู้สึกนุ่มฟู
2.ไฮยาลูรอนเหมาะกับผิวหมองคล้ำ ขาดความสดใส
เมื่อผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวมักดูหม่น ไม่เปล่งปลั่ง ไฮยาลูรอนช่วยเติมน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและสะท้อนแสงได้ดีขึ้น
3.ไฮยาลูรอนเหมาะกับผิวที่เริ่มมีริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อย
ปริมาณ HA ในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย โดยเฉพาะหลังอายุ 20 ปีขึ้นไป หากเริ่มเห็นริ้วรอยเล็ก ๆ หรือผิวไม่กระชับเหมือนเดิม ไฮยาลูรอนจะช่วยให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
4.ไฮยาลูรอนเหมาะกับผิวที่บำรุงแล้วไม่ค่อยเห็นผล
บางครั้งแม้จะใช้ครีมบำรุงหรือเซรั่ม แต่รู้สึกว่าซึมไม่ดีหรือไม่เห็นผล อาจเพราะผิวขาดความชุ่มชื้นจากภายใน เมื่อเติมไฮยาลูรอน ผิวจะสามารถรับและกักเก็บสารบำรุงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อดีของการใช้ ไฮยาลูรอน
การเสริมไฮยาลูรอนจึงมีข้อดีหลายข้อที่ช่วยดูแลทั้งผิวพรรณและสุขภาพ
1.ข้อดีของการเสริมไฮยาลูรอนเพื่อเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น
ไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติพิเศษในการกักเก็บน้ำได้มากกว่าน้ำหนักตัวเองหลายร้อยถึงพันเท่า เมื่ออยู่ในผิวจึงช่วยเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มฟู ไม่แห้งกร้าน
2.ข้อดีของการเสริมไฮยาลูรอนเพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียนและยืดหยุ่น
เมื่อผิวมีน้ำเพียงพอจากไฮยาลูรอน เซลล์ผิวจะทำงานได้อย่างสมดุล ทำให้ผิวสัมผัสเรียบเนียน ลดความหยาบกร้าน และดูมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
3.ข้อดีของการเสริมไฮยาลูรอนเพื่อช่วยให้ลดเลือนและชะลอการเกิดริ้วรอย
ผิวที่มีความชุ่มชื้นเพียงพอจะดูตึงกระชับขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดริ้วรอยใหม่จากการสูญเสียน้ำในผิว
4.ข้อดีของการเสริมไฮยาลูรอนเพื่อช่วยให้ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและกระจ่างใส
ความชุ่มชื้นที่สมดุลทำให้ผิวสะท้อนแสงได้ดีขึ้น จึงทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ
5.ข้อดีของการเสริมไฮยาลูรอนเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพของการบำรุงผิว
เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นในระดับที่เหมาะสม สารบำรุงอื่น ๆ จากครีมหรือเซรั่มจะซึมซาบและทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ข้อดีของการใช้ไฮยาลูรอนอยู่ที่การช่วยเติมเต็มและกักเก็บน้ำในผิว ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น เรียบเนียน ยืดหยุ่น และดูอ่อนโยนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของสกินแคร์อื่น ๆ ให้เห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
โปรแกรมฉีดไฮยาลูรอน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ข้อควรระวังของการใช้ ไฮยาลูรอน
การใช้ ไฮยาลูรอนก็ยังมีข้อควรระวังที่ควรรู้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสเกิดปัญหากับผิว
1.ระวังการเลือกผลิตภัณฑ์
ไฮยาลูรอนมีหลายรูปแบบ ทั้งในสกินแคร์และการรักษาทางการแพทย์ ผู้ใช้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย
หากเป็นการฉีดสารที่มีไฮยาลูรอนหรือใช้ในเชิงการแพทย์ ควรทำโดยแพทย์ผู้เท่านั้น
2.การใช้ไฮยาลูรอนกับผิวแพ้ง่าย
ไฮยาลูรอนโดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอื่น ๆ เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสีย อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง ควรทดสอบการแพ้ (Patch test) ก่อนใช้จริงเสมอ
3.ปริมาณและความถี่ในการใช้
การใช้ไฮยาลูรอนมากเกินไปไม่ได้ช่วยให้ผิวดีขึ้นอย่างทวีคูณ หากผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจน
ควรใช้ตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์ หรือปรึกษาแพทย์หากต้องการใช้ในรูปแบบการฉีดหรือการรักษา
4.สภาพผิวและสิ่งแวดล้อม
หากใช้ไฮยาลูรอนในพื้นที่อากาศแห้งมาก ๆ โดยไม่มีการทาครีมปิดล็อกความชุ่มชื้น (Moisturizer) ไฮยาลูรอนอาจดึงน้ำออกจากผิวแทนที่จะกักเก็บ ทำให้ผิวยิ่งแห้งได้
การใช้ ไฮยาลูรอนร่วมกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือครีมบำรุงที่ช่วยเคลือบผิว จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า
5.การใช้ ไฮยาลูรอนในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว
ผู้ที่มีโรคผิวหนังบางชนิด หรือมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ไฮยาลูรอนในรูปแบบฉีด
ไฮยาลูรอน ห้ามใช้กับอะไรบ้าง
หลายคนอาจสงสัยว่า Hyaluronic Acid (HA) หรือ ไฮยาลูรอน มีข้อห้ามใช้ร่วมกับสกินแคร์หรือหัตถการอื่น ๆ หรือไม่ เนื่องจากเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย โดยเฉพาะในผิวหนัง ข้อดีของไฮยาลูรอนคือ ไม่ก่อให้เกิดการต้านกันกับสารบำรุงผิวอื่น ๆ ดังนั้นจึงสามารถใช้ ไฮยาลูรอน ร่วมกับสกินแคร์และหัตถการได้เกือบทั้งหมด
การใช้ไฮยาลูรอนร่วมกับสกินแคร์
• ไม่มีข้อห้าม ไฮยาลูรอนสามารถใช้คู่กับสารบำรุงผิวได้ทุกชนิด และยังช่วยเสริมการทำงานของสารอื่นให้เห็นผลชัดเจนขึ้นด้วย
• ตัวอย่างการใ้ช้ไฮยาลูรอน คู่กับอะไรแล้วได้ผลดี
- ไฮยาลูรอน ใช้คู่กับ Vitamin C ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ไฮยาลูรอน ใช้คู่กับ Retinol ลดการระคายเคือง เติมความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวปรับตัวต่อสารผลัดเซลล์ผิวได้ดีขึ้น
การใช้ไฮยาลูรอนร่วมกับหัตถการ
ไฮยาลูรอนในรูปแบบ ฟิลเลอร์หรือสกินบูสเตอร์ สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ แต่ต้องจัดลำดับขั้นตอนและเว้นระยะเวลาอย่างเหมาะสม
1.โปรแกรมโบท็อกซ์ (Botulinum toxin)
• สามารถทำควบคู่กับฟิลเลอร์ได้ - โบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า ส่วนไฮยาลูรอนช่วยเติมเต็มร่องลึก
• เมื่อใช้ร่วมกัน จะช่วยลดทั้งริ้วรอยแบบ Dynamic line และ Static line ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen biostimulator) เช่น Sculptra, Radiesse, Gouri หรือ Exosome
• สามารถทำร่วมกันได้ แต่ ไม่ควรทำในวันเดียวกัน
• ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้การกระตุ้นคอลลาเจนและการเติมเต็มทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
3.เครื่องยกกระชับผิว เช่น HIFU, Ulthera, Thermage
• ทำได้ร่วมกัน แต่ควรทำ เครื่องยกกระชับก่อน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แล้วจึงเติมฟิลเลอร์หรือสกินบูสเตอร์ภายหลัง
• หากทำเครื่องยกกระชับหลังฉีดฟิลเลอร์ทันที ความร้อนอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น ควรเว้นช่วง ประมาณ 2-4 สัปดาห์
ไฮยาลูรอน สามารถกินได้ไหม
หลายคนคุ้นเคยกับ Hyaluronic Acid (HA) หรือ ไฮยาลูรอน ในรูปแบบครีม เซรั่ม หรือการฉีดฟิลเลอร์ แต่ความจริงแล้ว ไฮยาลูรอนยังถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบ “อาหารเสริม” สำหรับการรับประทานได้เช่นกัน โดยมักอยู่ในลักษณะเม็ดหรือแคปซูล
ไฮยาลูรอนในรูปแบบอาหารเสริมเพื่อผิวพรรณ
มีงานวิจัยพบว่า การรับประทานไฮยาลูรอนในปริมาณประมาณ 120-240 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวดูนุ่มขึ้น และลดความแห้งกร้านได้ โดยออกฤทธิ์เสริมจากการที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างผิว
ไฮยาลูรอนในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพข้อ
นอกจากด้านความงาม ไฮยาลูรอนยังถูกใช้ในเชิงการแพทย์ เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม บางงานวิจัยแนะนำการรับประทานในปริมาณ 80-200 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อลดอาการปวดและช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ในลักษณะนี้ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและการปรับปริมาณที่เหมาะสม
เซรั่มที่มีไฮยาลูรอนกับสารเติมเต็มที่มีไฮยาลูรอนต่างกันยังไง
แม้จะมี Hyaluronic Acid (HA) เป็นส่วนประกอบเหมือนกัน แต่ “เซรั่มไฮยาลูรอน” และ “สารเติมเต็มไฮยาลูรอน ” มีวัตถุประสงค์และการทำงานที่ต่างกัน
เซรั่มไฮยาลูรอน
• เป็นสกินแคร์ใช้ทาภายนอก
• มีโมเลกุลหลายขนาด ช่วยกักเก็บและเติมน้ำให้ผิว
• เหมาะกับการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้าน และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน
• ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ต่อเนื่อง
สารเติมเต็มไฮยาลูรอน
• เป็นหัตถการทางการแพทย์ ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
• อยู่ในรูปแบบเจลฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหรือใต้ผิว
• ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือเพิ่มวอลุ่มให้ใบหน้า
• เห็นผลทันทีหลังทำ แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งและต้องฉีดซ้ำตามความเหมาะสม
สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน มีผลข้างเคียงหรือไม่
การฉีดสารเติมเต็ม ไฮยาลูรอน Hyaluronic Acid (HA) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ฟิลเลอร์” ถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมและมีข้อมูลวิจัยรองรับว่าไม่เป็นอันตราย แต่ต้องขึ้นอยู่กับ คุณภาพของผลิตภัณฑ์และแพทย์ ที่ทำการรักษา
ความปลอดภัยของฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน
• ฟิลเลอร์ชนิดนี้ผลิตจากสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับไฮยาลูรอนในร่างกาย จึงสามารถสลายตัวได้เองตามกระบวนการทำงาานของร่างกาย
• หากเลือก ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรอง และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงถือว่าต่ำมาก
• ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น บวม แดง หรือช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด มักหายได้เองภายในไม่กี่วัน
สิ่งที่ควรระวัง
• หากใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
• การเก็บรักษาฟิลเลอร์ก็มีความสำคัญ หากไม่ได้เก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม อาจทำให้คุณภาพของตัวยาลดลง

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
โปรแกรมฉีดไฮยาลูรอน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ก่อนฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนควรรู้อะไรบ้าง
การฉีด Hyaluronic Acid (HA) หรือ ฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะถือว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ก็ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอน
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
- ฉีดโดยแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงและได้ผลลัพธ์ที่ดูละมุน
- ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนสลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง และสามารถฉีดสลายออกได้หากไม่พอใจผลลัพธ์
- ผลลัพธ์เห็นทันที แต่ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำตามระยะเวลา
การดูแลหลังฉีด
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด และดูแลผิวให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วและอยู่ได้นานขึ้น

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
โปรแกรมฉีดไฮยาลูรอน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ฉีดไฮยาลูรอนแล้วไม่เห็นผลเกิดจากอะไร
การฉีด Hyaluronic Acid (HA) หรือ ฟิลเลอร์ ปกติจะเห็นผลทันทีหลังทำ แต่หากบางคนรู้สึกว่า “ไม่เห็นผล” หรือผลลัพธ์ไม่ชัดเจน อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของฟิลเลอร์ เทคนิคการฉีด และสภาพผิวของแต่ละคน
สาเหตุที่ทำให้ฉีดไฮยาลูรอนแล้วไม่เห็นผล
ใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
หากเป็นฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว หรือไม่ได้รับการรับรอง อาจทำให้ตัวยาไม่ได้ผล หรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
เทคนิคการฉีดไม่เหมาะสม
การฉีดในตำแหน่งที่ไม่ตรงกับปัญหา หรือฉีดปริมาณไม่เพียงพอ จะทำให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน
สภาพผิวและปัญหาของคนไข้แตกต่างกัน
ผู้ที่มีริ้วรอยลึกมากหรือผิวเสื่อมสภาพมาก อาจต้องใช้ฟิลเลอร์หลายครั้งหรือหลายตำแหน่งจึงจะเห็นผล
การดูแลหลังฉีดไม่ถูกต้อง
เช่น กดนวดบริเวณที่ฉีด ดื่มแอลกอฮอล์ หรือทำหัตถการอื่นที่กระทบกับฟิลเลอร์เร็วเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายหรือกระจายตัวเร็วกว่าปกติ
ฉีดไฮยาลูรอนใต้ตา ได้หรือไม่
การฉีด Hyaluronic Acid (HA) หรือ ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน สามารถทำได้ในหลายตำแหน่งบนใบหน้า รวมถึงบริเวณใต้ตา ซึ่งมักใช้เพื่อแก้ปัญหาใต้ตาลึก ร่องน้ำตา หรือความหมองคล้ำที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นวิธีที่นิยม เพราะช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและดูเด็ก
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ทำได้ แต่ต้องระมัดระวังสูง เพราะผิวใต้ตาบางและมีเส้นเลือดจำนวนมาก หากฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดรอยบวม ฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือสีผิวใต้ตาเปลี่ยนได้
- ควรเลือกฟิลเลอร์ชนิดที่เหมาะสม ซึ่งมักเป็นฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนที่เนื้อบางเบาและออกแบบมาสำหรับฉีดบริเวณใต้ตาโดยเฉพาะ
- ต้องทำโดยแพทย์ ที่มีประสบการณ์ด้านกายวิภาคของใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูละมุน
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร โดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดฟิลเลอร์และการดูแลหลังทำ
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับ ไฮยาลูรอน
ไฮยาลูรอน มีคุณสมบัติพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ผิวเราดูชุ่มชื้นเต่งตึง เป็นต้น แต่ในการใช้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีด การทาครีม หรือการรับประทาน จะต้องเลือกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของเราในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ