สครับผิว คืออะไร อันตรายไหม ข้อดีข้อเสีย มีข้อห้ามอย่างไรบ้าง
สครับผิว
สครับผิวคืออะไร อันตรายหรือไม่ ถ้าใช้ทุกวันจะทำให้ผิวแห้งไหม
สครับผิว เป็นตัวช่วยที่เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวของเรา เพราะการใช้ สครับผิวจะเป็นการลดระยะเวลาการผลัดเซลล์ผิวของเราให้สั้นลง เซลล์ผิวเก่าก็จะผลัดออกไปเร็วขึ้น
เรามาดูส่วนผสม และความเหมาะสมในการใช้สครับผิว จากบทความนี้กัน
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการสครับผิว
- สครับผิวคืออะไร
- ทำไมต้องมีการผลัดเซลล์ผิว
- การสครับผิวสำคัญอย่างไร
- สครับผิวส่งผลอย่างไรกับชั้นผิว
- สครับผิวมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
- เลือกสครับผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิวของเรา
- สครับผิวหน้าได้หรือไม่
- สครับผิวทุกวันได้หรือไม่
- ควรสครับผิวก่อนหรือถูสบู่ก่อน
- ข้อดีของการสครับผิวมีอะไรบ้าง
- ข้อควรระวังในการสครับผิว
- การเตรียมตัวก่อนการสครับผิว
- วิธีการสครับผิวอย่างถูกวิธี
- สิ่งที่ห้ามทำหลังการสครับผิว
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการสครับผิว
สครับผิวคืออะไร
การสครับผิว (Exfoliation) คือกระบวนการกำจัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพหรือเซลล์ผิวที่หมดอายุการทำงานออกจากชั้นผิวด้านบน ซึ่งปกติแล้วร่างกายของเราจะมีการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น มลภาวะสะสม หรือการใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ อัตราการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลง ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวเก่า จนผิวดูหมองคล้ำ หยาบกร้าน หรือเกิดการอุดตันตามรูขุมขน
การสครับผิวจึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยกระตุ้นให้วงจรการผลัดเซลล์ผิวกลับมาเป็นปกติ โดยการใช้เม็ดสครับหรือสารผลัดผิวที่อ่อนโยนเพื่อขจัดสิ่งที่ตกค้างบนผิว เช่น คราบเหงื่อ ฝุ่นละออง คราบไขมัน รวมถึงสิ่งที่เรามักเรียกรวมกันว่า “ขี้ไคล” ออกไปอย่างอ่อนโยน
เมื่อผิวชั้นเก่าถูกกำจัดออกไปแล้ว จะเปิดทางให้ผิวใหม่ที่สดใสและเรียบเนียนกว่าปรากฏขึ้นมา ทำให้ผิวแลดูสุขภาพดีขึ้น และยังช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การสครับผิวไม่ใช่แค่การทำความสะอาด แต่เป็นการรีเฟรชผิวเพื่อคืนความสดใสและความสมดุลให้กับผิว
ทำไมต้องมีการผลัดเซลล์ผิว
ผิวหนังของคนเรามีกลไกตามธรรมชาติที่เรียกว่า Skin Cell Turnover หรือการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งเป็นกระบวนการที่เซลล์ผิวเก่าซึ่งหมดอายุการทำงานจะค่อย ๆ หลุดลอกออกไป และถูกแทนที่ด้วยเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่า กระบวนการนี้เปรียบเสมือนการ “รีเซ็ตผิว” ที่ช่วยให้ผิวคงความสดใสและทำงานได้อย่างสมดุล
โดยทั่วไป วงจรของการผลัดเซลล์ผิวจะใช้เวลาประมาณ 28 วัน หรือราวหนึ่งเดือน แต่ระยะเวลานี้อาจแตกต่างออกไปตามปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพผิว และสิ่งแวดล้อม เมื่ออายุมากขึ้น กลไกการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติจะทำงานช้าลง ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน และเกิดการสะสมของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
กลไกของการผลัดเซลล์ผิว
1.การสร้างเซลล์ผิวใหม่
เซลล์ใหม่จะเกิดขึ้นในชั้นใต้ผิว และค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาที่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
2.การเสื่อมสภาพของเซลล์เก่า
เมื่อเซลล์ผิวถึงอายุขัย จะสูญเสียความแข็งแรงและเริ่มแห้งกร้าน
3.การหลุดลอก
โครงสร้างเล็ก ๆ ที่เชื่อมเซลล์ผิวให้เกาะกัน จะถูกเอนไซม์ธรรมชาติย่อยสลาย ทำให้เซลล์เก่าหลุดออก เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนกว่า
เหตุผลที่ควรกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวโดยการสครับผิว
แม้ร่างกายจะมีกลไกนี้อยู่แล้ว แต่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น มลภาวะ ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้กระบวนการนี้ไม่สมบูรณ์ การสครับผิวหรือการผลัดเซลล์ด้วยวิธีที่อ่อนโยน จึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้วงจรผลัดผิวทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลลัพธ์หลังการสครับผิวคือ ผิวสะอาด ลดการสะสมของสิ่งสกปรก และพร้อมสำหรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเสริมกลไกตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อผิว
ผลัดเซลล์ผิวเกี่ยวข้องยังไงกับการสครับผิว
การผลัดเซลล์ผิว (Skin Cell Turnover) เป็นกลไกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง บางครั้งเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพไม่ได้หลุดออกหมด ทำให้เกิดการสะสมอยู่บนผิว ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ รูขุมขนอุดตัน และลดทอนประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เราใช้
การสครับผิว จึงทำหน้าที่เป็น “ตัวช่วยเสริม” ที่เข้ามากระตุ้นให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสครับผิวจะช่วย
1.การสครับผิวช่วยเร่งการขจัดเซลล์เก่า
ช่วยให้ผิวที่หมดอายุการทำงานหลุดออกง่ายขึ้น ไม่สะสมจนกลายเป็นความหมองคล้ำหรือสิ่งอุดตัน
2.การสครับผิวทำให้เผยผิวใหม่ที่สดใสกว่า
เมื่อผิวเก่าถูกกำจัดออกไป ผิวใหม่ที่แข็งแรงและเรียบเนียนก็จะแสดงออกมาแทนที่
3.การสครับผิวช่วยให้การบำรุงได้ผลดีขึ้น
ผิวที่สะอาดและปราศจากเซลล์เก่าจะสามารถดูดซึมสารบำรุงจากครีมหรือเซรั่มได้ดีกว่า
ดังนั้น การสครับผิวไม่ได้ทำแทนกลไกตามธรรมชาติ แต่เป็นเพียงการ เสริมกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวของเราดูสุขภาพดีขึ้นและพร้อมรับการบำรุง
การสครับผิวสำคัญอย่างไร
ผิวของเรามีกลไกการผลัดเซลล์ผิวตามปกติของร่างกายอยู่แล้ว แต่เมื่อร่างกายเผชิญกับมลภาวะ แสงแดด อายุที่เพิ่มขึ้น หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ วงจรนี้อาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์ผิวเก่าที่หมดอายุยังคงสะสมอยู่บนผิว ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ขาดความเรียบเนียน และสูญเสียความชุ่มชื้น
การสครับผิวจึงเข้ามาช่วยเสริมกระบวนการผลัดเซลล์ผิว โดยมีความสำคัญในหลายด้าน ได้แก่
1.สครับผิวช่วยช่วยขจัดสิ่งสะสมบนผิว
การสครับผิวช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงสิ่งสกปรกและคราบต่าง ๆ ที่อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน
2.สครับผิวช่วยส่งเสริมให้ผิวดูสม่ำเสมอและสดใสขึ้น
เมื่อเซลล์เก่าถูกกำจัดออกไป ผิวใหม่ที่เรียบเนียนและกระจ่างใสก็จะเผยออกมาแทนที่
3.สครับผิวช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวและปัญหาผิวอุดตัน
เพราะรูขุมขนสะอาดขึ้น ไม่เกิดการสะสมของคราบมันหรือสิ่งสกปรก
4.สครับผิวช่วยชวยเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงผิว
ผิวที่ปราศจากชั้นเซลล์เก่าจะดูดซึมสารบำรุงได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ครีมหรือ เซรั่มที่ใช้เห็นผลได้ชัดเจนกว่าเดิม
สครับผิวส่งผลอย่างไรกับชั้นผิว
ผิวของคนเราประกอบด้วยหลายชั้น โดยชั้นที่เห็นและสัมผัสได้คือ หนังกำพร้า (Epidermis) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ชั้นนี้เองที่เซลล์ผิวเก่ามักสะสมและก่อให้เกิดความหมองคล้ำหรือผิวไม่เรียบเนียน
การสครับผิวจึงส่งผลโดยตรงต่อ ชั้นหนังกำพร้า โดยมีผลลัพธ์สำคัญดังนี้
1.การขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
• เมื่อใช้สครับผิว เนื้อสครับผิวจะช่วย “ผลัด” เซลล์เก่าที่อยู่บนผิวชั้นนอกให้หลุดออก
• ทำให้พื้นผิวดูเรียบเนียนขึ้น ไม่หยาบกร้าน
2.การกระตุ้นการผลัดเซลล์ตามปกติของร่างกาย
• การสครับผิว ไม่ใช่การไปเปลี่ยนโครงสร้างผิว แต่เป็นการ “ช่วยเร่ง” กลไกที่ร่างกายมีอยู่แล้ว
• เมื่อผิวเก่าหลุดออก จะเปิดทางให้เซลล์ใหม่จากด้านล่างเคลื่อนขึ้นมาทำหน้าที่แทน
3.การช่วยให้โครงสร้างผิวทำงานสมดุล
• ชั้นหนังกำพร้ามีหน้าที่ควบคุมความชุ่มชื้นของผิว
• หากมีเซลล์เก่าสะสมมากเกินไป จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำและดูแห้งกร้าน
• การสครับผิวที่เหมาะสมจึงช่วยให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
4.การเตรียมผิวให้พร้อมต่อการบำรุง
• ผิวที่สะอาดและปราศจากชั้นเซลล์เก่าจะซึมซับสารบำรุงได้ง่ายและเต็มประสิทธิภาพกว่าเดิม
• ทำให้สกินแคร์ที่ใช้บำรุงได้อย่างล้ำลึก
สครับผิวมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
โดยทั่วไป สครับผิว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามแหล่งที่มาของส่วนประกอบที่ใช้ในการขัดเซลล์ผิว ได้แก่
1.สครับผิวแบบสังเคราะห์ (Synthetic Scrub)
• เป็นสครับผิวที่ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบทางเคมีหรือโพลีเมอร์ เช่น เม็ดบีดพลาสติกหรือเม็ดบีดเคลือบ
• ข้อดีของการสครับผิวแบบสังเคราะห์ คือ สามารถควบคุม ขนาดและความเรียบเนียนของเม็ดสครับ ให้สม่ำเสมอ ทำให้แรงเสียดทานที่สัมผัสกับผิวมีความเสถียร
• ปัจจุบันมีการลดการใช้เม็ดบีดพลาสติก เนื่องจากข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม หลายแบรนด์จึงปรับมาใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้แทน
2.สครับผิวจากธรรมชาติ (Natural Scrub)
• เป็นสครับผิวที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น เกลือ, น้ำตาล, กากกาแฟ, ข้าวโอ๊ต, กากธัญพืช, สมุนไพร, ชาเขียว หรือชาโคล
2.1.สครับผิวจากเกลือ (Salt Scrub)
ลักษณะ เม็ดเกลือค่อนข้างหยาบ เหมาะกับการขัดผิวกาย
ประโยชน์ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่แข็งและหนา โดยเฉพาะข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า พร้อมลดการสะสมของสิ่งสกปรก
เหมาะกับผิว ผิวปกติถึงผิวมัน ไม่แนะนำสำหรับผิวหน้า
2.2.สครับผิวจากน้ำตาล (Sugar Scrub)
ลักษณะ เม็ดละเอียด เนื้อสัมผัสอ่อนโยนกว่าสครับเกลือ
ประโยชน์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใส พร้อมรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว
เหมาะกับผิว ผิวแห้งหรือผิวบอบบาง สามารถใช้ได้ทั้งผิวกายและผิวหน้า
2.3.สครับผิวจากกาแฟ (Coffee Scrub)
ลักษณะ ทำจากเมล็ดกาแฟบด มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
ประโยชน์ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดการสะสมของเซลลูไลต์ ช่วยให้ผิวดูกระชับและเรียบเนียน
เหมาะกับผิว ใช้ได้กับทุกสภาพผิว ทั้งผิวหน้าและผิวกาย
• ข้อดีของสครับผิวจากธรรมชาติคือ เม็ดสครับมีลักษณะหลากหลาย ขนาดไม่เท่ากัน จึงให้สัมผัสการขัดที่ “เป็นธรรมชาติ” และช่วยกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพได้ทั่วถึง
• สครับผิวธรรมชาติมักนิยมผสมกับสารบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น น้ำมันมะพร้าว, โจโจบาออยล์, เชีย บัตเตอร์ (Shea Butter), โคโคนัท บัตเตอร์ (Coconut Butter) เพื่อให้ขัดผิวได้ง่ายขึ้นและไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
การเลือกใช้สครับผิวแต่ละประเภท
• สครับผิวสังเคราะห์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการสัมผัสเม็ดละเอียดสม่ำเสมอ ไม่บาดผิว
• สครับผิวธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่ชอบการบำรุงควบคู่ไปกับการขัดผิว และต้องการความใกล้ชิดกับวัตถุดิบธรรมชาติ
เลือกสครับผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิวของเรา
การสครับผิวไม่ใช่ว่าแบบไหนก็ใช้ได้กับทุกคน เพราะผิวแต่ละประเภทมีความต้องการและข้อควรระวังที่ต่างกัน การเลือกสครับผิวที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมา
1.ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย
• ควรเลือก สครับผิวเนื้อละเอียด อ่อนโยนต่อผิว เช่น สครับน้ำตาลหรือน้ำนมผสมเม็ดบีดเล็ก
• เหตุผลในการสครับผิว ช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวเก่าโดยไม่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
• ข้อควรระวังในการสครับผิว หลีกเลี่ยงการขัดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและกระตุ้นให้สิวเพิ่มมากขึ้น
2.ผิวคล้ำหรือผิวที่ไวต่อการเกิดรอยด่างดำ
• ควรเลือก สครับผิวที่มีเม็ดละเอียด และผสมสารบำรุงให้ความชุ่มชื้น เช่น น้ำมันโจโจบา หรือเชียบัตเตอร์
• เหตุผลในการสครับผิว ช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างนุ่มนวล ไม่เสี่ยงต่อการอักเสบที่อาจทำให้เกิดรอยคล้ำหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ
• ข้อควรระวังในการสครับผิว ไม่ควรสครับผิวบ่อยเกินไป และต้องใช้ครีมกันแดดเป็นประจำหลังการสครับผิว
3.ผิวบอบบาง แพ้ง่าย
• ควรเลือก สครับผิวสูตรอ่อนโยน ปราศจากเม็ดสครับหยาบ หรือเลือกใช้วิธีผลัดเซลล์ผิวแบบเอนไซม์ผลไม้ (Enzyme Exfoliation) แทน
• เหตุผลในการสครับผิว ลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแดง แสบ คัน หรือการลอกเป็นขุย
• ข้อควรระวังในการสครับผิว ควรสครับผิวเพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง และทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้งหลังสครับผิว เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้ผิว
สครับผิวหน้าได้หรือไม่
สามารถสครับผิวหน้าได้ แต่ต้องเลือกวิธีและผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความบอบบางของผิวหน้า
ผิวหน้ามีความแตกต่างจากผิวกายอย่างมาก เนื่องจากบางกว่าและไวต่อการระคายเคือง การใช้สครับผิวที่มีเม็ดหยาบหรือขัดแรงเกินไป อาจทำให้เกิดรอยแดง แสบ ระคายเคือง หรือแม้กระทั่งกระตุ้นให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นได้
แนวทางที่ปลอดภัยในการสครับผิวหน้า
1.เลือกสครับผิวเนื้อละเอียดมาก
เช่น สครับผิวน้ำตาลเม็ดเล็ก หรือสครับที่มีส่วนผสมของเอนไซม์ผลไม้ (Enzyme) และกรดผลไม้ความเข้มข้นต่ำ (AHA, BHA) ที่ออกแบบมาสำหรับผิวหน้าโดยเฉพาะ
2.ความถี่ที่เหมาะสมในการสครับผิว
โดยทั่วไปควรสครับผิวหน้า ไม่เกิน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อลดการระคายเคืองและยังให้ผิวมีเวลาฟื้นฟู
3.ดูแลหลังสครับผิว
ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังการสครับผิว เพื่อเติมความชุ่มชื้นและช่วยให้เกราะป้องกันผิวกลับมาสมดุล
การสครับผิวหน้าเหมาะกับใคร ?
• การสครับผิวหน้าเหมาะกับ ผู้ที่มีผิวมัน รูขุมขนอุดตันง่าย หรือผิวหมองคล้ำ
• ควรระวังในการสครับผิวหน้า ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวแห้งมาก หรือมีสิวอักเสบรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการสครับผิวหน้า และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหากจำเป็น
สครับผิวทุกวันได้หรือไม่
ไม่แนะนำให้สครับผิวทุกวัน เนื่องจากผิวของเรามีกลไกการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว การสครับผิวมีหน้าที่ช่วย “เร่ง” กระบวนการนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากทำบ่อยเกินไป กลับอาจส่งผลเสียต่อผิวแทน
เหตุผลที่ไม่ควรสครับผิวทุกวัน
1.ผิวสูญเสียเกราะป้องกันธรรมชาติ
การสครับผิวที่ถี่เกินไปจะทำให้ผิวบางลง สูญเสียความชุ่มชื้น และไวต่อการระคายเคืองจากแสงแดดหรือมลภาวะ
2.เสี่ยงต่อการอักเสบ
ผิวที่ถูกขัดแรงหรือบ่อยเกินไปในการสครับผิว อาจเกิดรอยแดง แสบ คัน หรือแม้กระทั่งกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้น
3.เสียสมดุลผิว
การกำจัดน้ำมันบนผิวมากเกินไปทำให้ผิวแห้ง แต่ในบางคนร่างกายจะตอบสนองด้วยการผลิตน้ำมันเพิ่ม ส่งผลให้หน้ามันง่ายกว่าเดิม
ความถี่ที่เหมาะสมในการสครับผิว
• ผิวหน้า ควรสครับผิวเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
• ผิวกาย สามารถสครับผิวได้ 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความหยาบกร้านในแต่ละจุด
ควรสครับผิวก่อนหรือถูสบู่ก่อน
หลายคนมักสงสัยว่าขั้นตอนการดูแลผิวที่ถูกต้อง ควร สครับผิวก่อนแล้วค่อยถูสบู่ หรือ ถูสบู่ก่อนแล้วค่อยสครับ คำตอบคือ ควรถูสบู่ก่อน แล้วจึงสครับผิว
เหตุผลที่ต้องถูสบู่ก่อนการสครับผิว
1.การถูสบู่ช่วยทำความสะอาดผิวเบื้องต้น
สบู่จะชะล้างสิ่งสกปรก เหงื่อ และความมันส่วนเกินออกจากผิว ทำให้ผิวสะอาดและพร้อมสำหรับการสครับ
2.สครับผิวทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อผิวปราศจากคราบสกปรกแล้ว เม็ดสครับผิวจะสัมผัสกับผิวโดยตรง ทำให้การผลัดเซลล์ผิวเก่าทำได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพกว่า
3.ลดความเสี่ยงการระคายเคือง
หากสครับผิวก่อนถูสบู่ ผิวอาจยังมีคราบเหงื่อหรือสิ่งสกปรกตกค้าง เม็ดสครับที่เสียดสีกับคราบเหล่านั้นอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบได้ง่าย
ขั้นตอนที่แนะนำในการสครับผิว
1.อาบน้ำด้วยสบู่หรือเจลอาบน้ำเพื่อทำความสะอาดผิว
2.ล้างคราบฟองออกให้หมด
3.ใช้สครับผิวขัดผิวอย่างเบามือ โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวหนาและหยาบกร้าน เช่น ข้อศอก หัวเข่า หรือส้นเท้า
4.ล้างออกและตามด้วยการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ทันที
ข้อดีของการสครับผิวมีอะไรบ้าง
การสครับผิวเป็นหนึ่งในวิธีดูแลผิวที่ช่วยเสริมการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ หากทำอย่างถูกวิธีและเลือกสครับที่เหมาะสม จะส่งผลดีต่อผิวหลายด้าน ดังนี้
1.การสครับผิวช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่สะสม
การสครับผิวช่วยขจัดเซลล์ที่หมดอายุการทำงานออกไป เผยให้เห็นผิวใหม่ที่เรียบเนียนและดูสุขภาพดีกว่าเดิม
2.การสครับผิวช่วยทำให้ผิวดูสดใสและมีชีวิตชีวา
เมื่อผิวเก่าหลุดออก ความหมองคล้ำจะลดลง ทำให้ผิวดูสว่างและสม่ำเสมอมากขึ้น
3.การสครับผิวช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
คราบเหงื่อ ฝุ่น และสิ่งสกปรกที่ติดค้างบนผิวจะถูกกำจัดออกไป ช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหรือผดผื่น
4.การสครับผิวช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
การนวดสครับผิวเบา ๆ ขณะขัดผิวช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดี
5.เพิ่มประสิทธิภาพของการบำรุงผิว
หลังการสครับผิว ผิวจะดูดซึมสารบำรุงจากโลชั่นหรือเซรั่มได้ดีกว่า เพราะไม่มีชั้นเซลล์เก่ามาขวางกั้น
6.ช่วยให้ผิวสัมผัสนุ่มและเรียบเนียน
ผิวจะรู้สึกนุ่มลื่นขึ้นทันทีหลังการสครับผิว โดยเฉพาะบริเวณที่มักหยาบกร้าน เช่น ข้อศอก หัวเข่า หรือส้นเท้า
ข้อควรระวังในการสครับผิว
แม้การสครับผิวจะมีประโยชน์ต่อการผลัดเซลล์ผิว แต่หากทำไม่ถูกวิธี ก็อาจก่อให้เกิดปัญหากับผิวได้ ดังนั้น ควรใส่ใจข้อควรระวังเหล่านี้
1.เลือกช่วงเวลาสครับผิวให้เหมาะสม
• ควรสครับผิวในขณะที่ผิวเปียกหรือหลังอาบน้ำอุ่นเล็กน้อย เพราะผิวที่นุ่มจะช่วยลดแรงเสียดสี ไม่ทำให้เกิดรอยหรือการระคายเคือง
• หลีกเลี่ยงการสครับผิวบนผิวแห้งสนิท เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือแผลเล็ก ๆ ได้ง่าย
2.ความแรงในการขัด
• ใช้แรงมืออย่างพอเหมาะ ไม่ควรถูแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบ แสบแดง หรือเกิดรอยด่างดำตามมาได้
3.การสังเกตอาการผิดปกติ
• อาการทั่วไปที่อาจพบหลังการสครับผิว เช่น คันเล็กน้อย แสบผิว หรือระคายเคือง ซึ่งมักหายได้เอง
• แต่หากมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น ผิวไหม้ เป็นผื่นลมพิษ บวม คันมาก หรือหายใจติดขัด ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันทีและรีบพบแพทย์
4.ความเหมาะสมกับสภาพผิว
• ผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรง ผิวติดเชื้อจากโรคเริม หูด หรือโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรซาเซีย (Rosacea) ไม่ควรสครับผิว เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบลุกลามและเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย
• หากมีโรคผิวหนังหรือปัญหาผิวเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
5.การดูแลหลังการสครับผิว
• ควรทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวเพื่อเติมความชุ่มชื้นทุกครั้งหลังสครับ
• หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดทันทีหลังสครับผิว เพราะผิวจะไวต่อแสงมากกว่าปกติ
การเตรียมตัวก่อนการสครับผิว
การสครับผิวให้ได้ผลดีและปลอดภัย ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ตัวสครับผิวที่ใช้ แต่ยังขึ้นกับการ “เตรียมผิว” ก่อนลงมือด้วย หากเตรียมผิวถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงการระคายเคือง และทำให้การผลัดเซลล์ผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.ทำความสะอาดผิวก่อนการสครับผิว
อาบน้ำหรือใช้สบู่ล้างสิ่งสกปรกและคราบเหงื่อออกก่อน เพื่อให้ผิวสะอาด ลดสิ่งที่อาจเสียดสีกับเม็ดสครับและทำให้ผิวระคายเคือง
2.ทำให้ผิวเปียกชุ่ม
ควรสครับผิวขณะผิวมีความชุ่มชื้น เช่น หลังอาบน้ำอุ่นเล็กน้อย เพราะความชื้นจะช่วยให้เม็ดสครับเคลื่อนไปบนผิวได้ง่าย ลดแรงเสียดสีและโอกาสเกิดบาดแผลเล็ก ๆ
3.เลือกสครับผิวให้เหมาะกับสภาพผิว
• ผิวมัน ใช้สครับผิวที่มีเม็ดหยาบกว่าเล็กน้อย
• ผิวแห้งหรือแพ้ง่าย ใช้สครับผิวเนื้อละเอียดหรือสูตรที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น
4.ทดสอบการแพ้ผลิตภัณฑ์
หากเป็นสครับผิวสูตรใหม่ ควรทดสอบที่ผิวบริเวณเล็ก ๆ ก่อน (เช่น ข้อพับแขน) เพื่อเช็กว่ามีอาการแพ้ ระคายเคือง หรือไม่
5.เตรียมบำรุงหลังสครับผิว
หลังการสครับผิว ควรมีมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือโลชั่นพร้อมใช้ เพื่อเติมความชุ่มชื้นทันที เพราะผิวหลังสครับจะไวต่อการสูญเสียน้ำมากขึ้น
วิธีการสครับผิวอย่างถูกวิธี
การสครับผิวเป็นขั้นตอนดูแลผิวที่ช่วยให้ผิวสะอาดและพร้อมรับการบำรุงมากขึ้น แต่หากทำไม่ถูกวิธีอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้นควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้
1.เลือกสครับผิวที่เหมาะกับสภาพผิว
ผิวหน้า ควรใช้สครับที่มีเนื้อละเอียดและอ่อนโยนต่อผิว เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีที่รุนแรง
ผิวกาย สามารถเลือกสครับที่มีเม็ดหยาบกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะสำหรับบริเวณที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอกหรือส้นเท้า
2.ใช้แรงที่พอเหมาะ
• สครับผิวเบา ๆ เป็นวงกลม ไม่ควรถูแรงจนผิวแดงหรือแสบ เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบและเสียสมดุลได้
3.เติมความชุ่มชื้นหลังสครับผิว
• หลังการสครับผิว ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทันที เพื่อช่วยกักเก็บน้ำในผิว ลดความแห้งตึง และทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
4.ปกป้องผิวจากแสงแดด
หลังสครับผิว ผิวจะไวต่อการสูญเสียน้ำและแสง UV มากขึ้น ควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกกลางแจ้ง เพื่อป้องกันผิวหมองคล้ำและการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
สิ่งที่ห้ามทำหลังการสครับผิว
หลังการสครับผิว ผิวของเราจะมีความบอบบางและไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ เพราะเกราะป้องกันผิวถูกเปิดทางให้เซลล์ผิวใหม่เผยออกมา หากดูแลไม่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
1.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดทันที
หลังสครับผิว ผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น การออกแดดโดยไม่ปกป้องอาจทำให้ผิวคล้ำเร็ว เกิดรอยแดง หรือเสี่ยงต่อการไหม้แดดได้
2.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคืองสูง
เช่น สกินแคร์ที่มีกรดผลไม้ (AHA, BHA) หรือเรตินอลในปริมาณสูง เพราะอาจทำให้ผิวแสบ แดง หรือระคายเคืองได้ง่าย
3.หลีกเลี่ยงการขัดหรือเกาเพิ่ม
ผิวหลังสครับจะอ่อนไหว หากไปถูแรง ๆ เกา หรือขัดซ้ำ จะยิ่งทำให้เกิดแผลหรือการอักเสบได้
4.ไม่ควรปล่อยให้ผิวแห้งโดยไม่บำรุง
หลังสครับผิว ผิวมีแนวโน้มสูญเสียน้ำได้ง่าย หากไม่รีบทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ ผิวอาจแห้ง ตึง และเกิดการลอกเป็นขุย
5.งดกิจกรรมที่ทำให้ผิวเสียดสีรุนแรง
เช่น การใส่เสื้อผ้าที่แน่นเกินไป การออกกำลังกายหนัก ๆ ทันทีหลังสครับผิว เพราะเหงื่อและแรงเสียดสีอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการสครับผิว
การสครับผิว ไม่เป็นอันตรายถ้าเกิดเราใช้แบบถูกต้อง และเลือกสครับผิวในสูตรที่เหมาะกับผิวของเรา จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ทำให้ผิวของเรากระจ่างใสมากขึ้น และการสครับผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีการดูแลผิวที่เราไม่ควรขาด เพราะชีวิตประจำวันของเรา ไม่อาจหลีกเลี่ยงสารเคมีและมลภาวะที่ทำร้ายผิวของเราได้ ผลที่ตามมาคือผิวของเราจะดูหมองคล้ำขึ้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็จะเสื่อมลง การสครับผิวจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้ผิวของเรามีสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ