romrawin

โปรแกรมฉีดเมโสหน้าใส อันตรายไหม แตกต่างกับฉีดมาเด้อย่างไร

ฉีดเมโสหน้าใส

ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร กี่ครั้งเห็นผล อันตรายไหม ทำให้สิวเห่อหรือไม่
การฉีดเมโสหน้าใส (Meso Bright) เป็นการฉีดสารบำรุงผิว แร่ธาตุ และวิตามิน เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง ทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้น
การฉีดเมโสหน้าใสมีหลายยี่ห้อ สามารถเลือกได้ตามปัญหาผิวของเราหรือให้คุณหมอประเมิณก่อนได้เลยง

รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใส
- ฉีดเมโสหน้าใสคืออะไร มีหลักการอย่างไร
- ปัญหาหน้าหมองคล้ำ มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
- การฉีดเมโสหน้าใสมีข้อดีอะไรบ้าง
- ข้อควรระวังของการฉีดเมโสหน้าใส
- การฉีดเมโสหน้าใสอันตรายหรือไม่
- ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใส
- ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดเมโสหน้าใส
- การฉีดเมโสหน้าใสกับฉีดมาเด้ต่างกันอย่างไร
- การฉีดเมโสหน้าใสมีทั้งหมดกี่แบบ
- การฉีดเมโสหน้าใส 16 จุดดีอย่างไรบ้าง
- การฉีดเมโสหน้าใสมีทั้งหมดกี่สูตร
- เตรียมตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส
- ดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใส
- คำถามยอดฮิตของการฉีดเมโสหน้าใส

ฉีดเมโสหน้าใสคืออะไร มีหลักการอย่างไร
ฉีดเมโสหน้าใส (Meso White / Meso Brightening) เป็นหนึ่งในรูปแบบของ เมโสเทอราปี (Mesotherapy) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการความงาม โดยอาศัยการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ ชั้นผิวระดับกลาง (Mesoderm) ผ่านเข็มขนาดเล็กพิเศษ (ประมาณ 27-30G ซึ่งเล็กกว่าก้านดอกเข็ม) จุดเด่นของการฉีดเมโสหน้าใสคือการนำสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวเข้าสู่ผิวได้โดยตรง แตกต่างจากการทาครีมทั่วไปที่ซึมได้เพียงผิวชั้นนอก

หลักการทำงานของการฉีดเมโสหน้าใส
• การฉีดเมโสหน้าใสจะส่งสารอาหารลึกเข้าสู่ผิว
การทาครีมปกติจะถูกจำกัดที่ผิวชั้นนอก (Epidermis) จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่การฉีดเมโสหน้าใสสามารถนำสารบำรุง เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี รวมถึงกรดอะมิโนและแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ผิวชั้นกลางได้ทันที ทำให้สารสำคัญออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

• การฉีดเมโสหน้าใสจะช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวจากภายใน
วิตามินและสารอาหารที่ฉีดเข้าไป จะช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบของผิว ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวแลดูสดใส สุขภาพดี

• การฉีดเมโสหน้าใสเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างเร็ว
ด้วยการฉีดเมโสหน้าใสตรงเข้าสู่ผิว ทำให้ผลลัพธ์ เช่น ความกระจ่างใส รอยสิวและรอยดำที่ดูจางลง มักเริ่มสังเกตได้ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังการทำ ขึ้นอยู่กับสูตรตัวยาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ปัญหาหน้าหมองคล้ำ มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
ผิวหมองคล้ำไม่ได้เกิดจากแค่ปัจจัยเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายสาเหตุที่กระทบทั้งจากภายนอกและภายในร่างกาย หากเข้าใจที่มาอย่างชัดเจน ก็จะสามารถป้องกันและดูแลได้อย่างถูกวิธี

1.แสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต (UVA/UVB)
รังสีจากดวงอาทิตย์เป็นตัวการหลักที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย โดย UVA สามารถแทรกซึมลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวหยาบกร้านและเกิดริ้วรอย ส่วน UVB ทำลายผิวชั้นนอก ทำให้เกิดการไหม้แดด จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ เมื่อได้รับสะสมต่อเนื่อง ผิวจึงหมองคล้ำและเสื่อมโทรมเร็วขึ้น

2.สภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อผิว
ทั้งอากาศที่หนาวจัดหรือแห้งมาก มักทำให้ความชุ่มชื้นในผิวระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวแห้ง แตก ลอกเป็นขุย และสูญเสียความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ ในระยะยาวจะทำให้ผิวดูหม่นหมองและเกิดรอยพับเล็ก ๆ ได้ง่าย

3.การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว หากพักผ่อนไม่เต็มที่ ผิวจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา สีผิวหมอง และโครงสร้างผิวเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิวและริ้วรอยก่อนวัย

4.ความเครียดและฮอร์โมน
เมื่ออยู่ในภาวะเครียด ร่างกายจะผลิต ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานหนักกว่าปกติ ทำให้ผิวมันง่ายและเกิดการอุดตัน จนพัฒนาเป็นสิวและรอยดำตามมา ความเครียดยังทำให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง จึงเห็นความหมองคล้ำได้ชัดขึ้น

5.การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหรือเครื่องสำอางไม่เหมาะสม
แม้การบำรุงผิวจะสำคัญ แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไป หรือไม่ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธีหลังการแต่งหน้า จะทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน เกิดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และทำให้ผิวหมองคล้ำมากขึ้น

ผิวหมองคล้ำเกิดจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดดและสภาพอากาศ และปัจจัยภายใน เช่น การพักผ่อน ความเครียด หรือพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจึงต้องดูแลแบบรอบด้าน ตั้งแต่ป้องกันผิวจากรังสี UV รักษาสมดุลการพักผ่อน ไปจนถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและทำความสะอาดอย่างถูกวิธี

การฉีดเมโสหน้าใสมีข้อดีอะไรบ้าง
การฉีดเมโสหน้าใสถือเป็นหนึ่งในวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถส่งสารบำรุงเข้าสู่ผิวได้อย่างตรงจุด และช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้ ข้อดีที่สำคัญของการฉีดเมโสหน้าใสมีดังนี้

1.การฉีดเมโสหน้าใสไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ขั้นตอนการฉีดเมโสหน้าใสเป็นเพียงหัตถการที่ใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดตื้น ๆ ลงในชั้นผิวกลาง หลังทำจึงแทบไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปทำกิจวัตร เช่น ทำงาน ออกกำลังกาย หรือแต่งหน้าได้ตามปกติ

2.การฉีดเมโสหน้าใสเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก และต่อเนื่องเมื่อทำซ้ำ
การฉีดเมโสหน้าใสช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจนและคงอยู่ยาวนาน ควรทำต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาแบบเป็นคอร์สจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่

3.การฉีดเมโสหน้าใสทำให้การแต่งหน้าง่ายขึ้น
หลังฉีดเมโสหน้าใส ผิวจะมีความชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น ส่งผลให้การลงรองพื้นหรือแป้งทำได้ง่ายกว่าเดิม เครื่องสำอางติดทน ไม่หลุดลอกง่าย และให้ผิวดูสวยโกลว์

4.การฉีดเมโสหน้าใสเสริมความแข็งแรงให้ผิว
สารบำรุงที่ถูกฉีดเข้าสู่ชั้นผิวกลาง จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูแข็งแรงขึ้นจากภายใน ลดปัญหาผิวแห้งกร้านหรืออ่อนแอ และช่วยให้สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้น

5.การฉีดเมโสหน้าใสเห็นผลเร็วกว่าการทาครีมทั่วไป
การทาครีมจะซึมซับได้เพียงผิวชั้นนอก จึงใช้เวลานานกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่การฉีดเมโสหน้าใสส่งสารอาหารเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้เร็วกว่า และตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลผิว

ข้อควรระวังของการฉีดเมโสหน้าใส
แม้การฉีดเมโสหน้าใสจะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม แต่ก็มีข้อควรระวังในการฉีดเมโสหน้าใสที่ผู้สนใจอยากฉีด ควรทำความเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพสูงสุด

1.ผลลัพธ์ของการฉีดเมโสหน้าใสไม่ได้คงอยู่ถาวร
การฉีดเมโสหน้าใสช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น แต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากร่างกายสามารถสลายสารบำรุงที่ถูกฉีดเข้าไปได้เอง หากต้องการให้ผิวคงความกระจ่างใสและสุขภาพดีต่อเนื่อง ควรฉีดเมโสหน้าใสซ้ำตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ

2.ควรฉีดเมโสหน้าใสกับแพทย์ที่มีประสบการณ์
เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสเป็นสิ่งสำคัญมาก หากแพทย์แทงเข็มลึกเกินไป อาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือแผลเป็นบนผิวหน้าได้ ในทางกลับกัน หากฉีดตื้นเกินไป ตัวยาในการฉีดเมโสหน้าใสอาจไม่สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวที่เหมาะสม ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงและเห็นผลช้ากว่าที่ควร ดังนั้นการเลือกทำกับแพทย์ผู้จึงเป็นสิ่งทีค่อนข้างสำคัญ

3.ความแตกต่างของตัวยาและสูตรที่ใช้
แต่ละคลินิกอาจใช้สูตรตัวยาในการฉีดเมโสหน้าใสที่ต่างกัน ซึ่งมีส่วนผสมและคุณสมบัติไม่เหมือนกัน ผู้เข้ารับบริการควรสอบถามข้อมูลตัวยา และปรึกษาแพทย์ให้แน่ชัดว่าเหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของตนเองหรือไม่

4.การดูแลหลังฉีดเมโสหน้าใส
หลังฉีดเมโสหน้าใส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดนวดใบหน้าแรง ๆ ในช่วงแรก เพื่อป้องกันการระคายเคืองและช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ รวมถึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจน

การฉีดเมโสหน้าใสอันตรายหรือไม่
การฉีดเมโสหน้าใสจัดเป็นหัตถการความงามที่ไม่อันตราย หากทำหัตถการฉีดเมโสหน้าใสโดยแพทย์ และใช้ตัวยาที่ผ่านมาตรฐาน แต่ในทางกลับกัน หากเลือกสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐานหรือใช้ตัวยาที่ไม่มีคุณภาพ การฉีดเมโสหน้าใสก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้เช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้การฉีดเมโสหน้าใสไม่เป็นอันตราย
ทำหัตถการฉีดเมโสหน้าใสโดยแพทย์
เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสเป็นสิ่งสำคัญ หากแพทย์มีความชำนาญ จะสามารถกำหนดตำแหน่งและความลึกของการฉีดได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสเกิดรอยช้ำหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

ฉีดเมโสหน้าใสกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน
คลินิกควรมีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข เครื่องมือสะอาดปลอดเชื้อ และปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจได้ว่าการรักษาไม่เป็นอันตราย

ใช้ตัวยาในการฉีดเมโสหน้าใสที่ได้คุณภาพ
สารบำรุงหรือวิตามินที่ใช้ในการฉีดเมโสหน้าใสต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ไม่ใช่ตัวยาปลอมหรือตัวยาที่ไม่ได้คุณภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของการแพ้ การอักเสบ หรือภาวะแทรกซ้อน

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการฉีดเมโสหน้าใส
อันตรายจากการฉีดเมโสหน้าใสมักเกิดจาก การเลือกใช้บริการที่ผิดพลาด เช่น

- ฉีดเมโสหน้าใสในสถานที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือคลินิกเถื่อน
- ใช้ตัวยาที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่มีการรับรอง
- ผู้ทำหัตถการไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ทางการแพทย์

สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การติดเชื้อ รอยช้ำ แผลเป็น หรือปัญหาผิวที่ยากต่อการแก้ไข

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใสเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาดูสดใสและสุขภาพดีขึ้น โดยเหมาะกับกลุ่มคนดังต่อไปนี้

1.การฉีดเมโสหน้าใสเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น
ผิวที่แห้งเกินไปมักทำให้ใบหน้าดูหม่นหมองและเกิดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ง่าย การฉีดเมโสหน้าใสช่วยเติมสารอาหารและความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยตรง ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและสดใสมากขึ้น

2.การฉีดเมโสหน้าใสเหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องผิวหมองคล้ำและรูขุมขนกว้าง
การฉีดเมโสหน้าใสช่วยปรับสมดุลผิว ลดความหมองคล้ำ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น และมีความกระจ่างใสมากกว่าเดิม

3.การฉีดเมโสหน้าใสเหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีสิวบ่อย
ด้วยการเติมวิตามินและสารบำรุงที่ช่วยลดการอักเสบ การฉีดเมโสหน้าใสจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย หรือมีสิวและผดผื่นเป็นประจำ โดยช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ

4.การฉีดเมโสหน้าใสเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส
สำหรับผู้ที่อยากให้ผิวดูสดใส เปล่งประกาย และสุขภาพผิวดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องสำอางมาก การฉีดเมโสหน้าใสจะช่วยปรับสมดุลผิวและคืนความกระจ่างใสได้

5.การฉีดเมโสหน้าใสเหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัดในการดูแลผิว
คนทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือไม่สะดวกในการทาครีมบำรุงหลายขั้นตอน สามารถเลือกเมโสหน้าใสเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ได้ เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลค่อนข้างเร็ว และช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างชัดเจนในเวลาอันสั้น

ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดเมโสหน้าใส
แม้การฉีดเมโสหน้าใสจะเป็นหัตถการที่ค่อนไม่เป็นอันตราย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใส เนื่องจากบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดเมโสหน้าใส หรือปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำ

1.ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
ในช่วงนี้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก การฉีดเมโสหน้าใสเข้าสู่ผิวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารก แม้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจน แต่แพทย์มักแนะนำให้เลี่ยงไว้ก่อน

2.ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง
เช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การฉีดเมโสหน้าใสสารเข้าสู่ร่างกายอาจกระทบต่อสุขภาพ หรือทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ช้ากว่าปกติ

3.ผู้ที่มีประวัติแพ้ตัวยาหรือสารบำรุง
หากเคยมีอาการแพ้รุนแรงจากวิตามินหรือสารที่ใช้ในการฉีดเมโสหน้าใส ควรแจ้งแพทย์ให้ชัดเจน และอาจต้องหลีกเลี่ยงหัตถการนี้โดยตรง เพราะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ซ้ำ

4.ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือผิวอักเสบในบริเวณที่จะฉีดเมโสหน้าใส
เช่น มีสิวอักเสบรุนแรง มีแผลเปิด หรือมีการติดเชื้อผิวหนัง หากทำการฉีดเมโสหน้าใสในช่วงนี้อาจเพิ่มการระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน

5.ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือมีปัญหาเลือดออกง่าย
การฉีดเมโสหน้าใสอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกใต้ผิวหนังได้มากกว่าปกติ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวจึงควรหลีกเลี่ยง หรืออย่างน้อยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

การฉีดเมโสหน้าใสกับฉีดมาเด้ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจสับสนระหว่าง การฉีดเมโสหน้าใส (Meso Brightening) และ การฉีดมาเด้ (Meso Made) ว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนละวิธีหรือไม่ ความจริงคือ มาเด้ถือเป็นหนึ่งในสูตรยาฉีดชนิดหนึ่งของการทำเมโสหน้าใส เพียงแต่มีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างออกไป

การฉีดเมโสหน้าใส (Meso Brightening)
เป็นการฉีดวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงต่าง ๆ เข้าสู่ชั้นผิวกลาง เพื่อบำรุงผิวให้กระจ่างใส ชุ่มชื้น และแข็งแรงขึ้น

จุดเด่นของการฉีดเมโสหน้าใส
เน้นการฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม ลดความหมองคล้ำ ปรับผิวให้เรียบเนียน ลดเลือนรอยสิวและจุดด่างดำ

ผลลัพธ์ของการฉีดเมโสหน้าใส
ผิวหน้าดูใสขึ้น แต่งหน้าง่ายขึ้น และสุขภาพผิวดีขึ้นเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง

การฉีดมาเด้ (Meso Made)
เป็น “สูตรยาฉีดเฉพาะ” ภายใต้การทำเมโสหน้าใส ไม่ใช่วิธีใหม่ แต่เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่แพทย์ใช้บำรุงผิว ( ฉีดมาเด้คอลลาเจนคืออะไร กี่ครั้งถึงเห็นผล ทำไมต้องฉีด 16 จุด )

จุดเด่นของการฉีดมาเด้
นอกจากช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้ว ยังมีคุณสมบัติเด่นในการ ขับของเสียและสารพิษที่ตกค้างในผิว ช่วยลดการอักเสบ ลดโอกาสเกิดสิว และบรรเทาอาการแพ้หรือผดผื่น ( มาเด้ ช่วยเรื่องอะไร อยู่ได้นานไหม ข้อห้ามหลังฉีดหน้าใส 16 จุด )

ผลลัพธ์ของการฉีดมาเด้
ผิวดูสะอาด แข็งแรง ลดการอุดตัน พร้อมทั้งให้ความใสแบบสุขภาพดี

สรุปความแตกต่างของการฉีดเมโสหน้าใสกับการฉีดมาเด้
การฉีดเมโสหน้าใส คือแนวทางการฉีดวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่ผิว มีหลายสูตร ขึ้นอยู่กับคลินิกและความเหมาะสมของผิวแต่ละคน

การฉีดมาเด้ เป็นหนึ่งในสูตรยาของเมโสหน้าใส ที่เน้นการขับสารพิษ ลดสิวและผดผื่น เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิวง่าย

ดังนั้น หากเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย การฉีดเมโสหน้าใสคือวิธีการ ส่วน มาเด้คือสูตรยาฉีดชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเมโสหน้าใส ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิวของแต่ละคน

การฉีดเมโสหน้าใสมีทั้งหมดกี่แบบ
แม้ว่าการฉีดเมโสหน้าใสจะมีหลายสูตร หลายยี่ห้อ และแต่ละคลินิกอาจปรับเทคนิคหรือส่วนผสมแตกต่างกัน แต่โดยหลักแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ตามคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่ต้องการดังนี้

1.การฉีดเมโสหน้าใสสูตรเน้นผิวขาวกระจ่างใส
ส่วนผสมหลัก วิตามิน A, B, C, E, Transamin และ Glutathione
คุณสมบัติ ช่วยลดความหมองคล้ำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เหมาะกับ ผู้ที่กังวลเรื่องผิวคล้ำไม่สม่ำเสมอ มีจุดด่างดำจากแดดหรือรอยสิว

2.การฉีดเมโสหน้าใสสูตรเน้นเพิ่มความใสและความชุ่มชื้น
ส่วนผสมหลัก คอลลาเจน และโคเอนไซม์ (Coenzyme)
คุณสมบัติ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เติมเต็มผิวให้อิ่มฟู และเสริมสร้างความยืดหยุ่น จึงทำให้รูขุมขนดูกระชับขึ้น
เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ผิวดูโทรม หรือแต่งหน้าไม่ติด

3.การฉีดเมโสหน้าใสสูตรเน้นลดสิวและผดผื่น
ส่วนผสมหลัก ยี่ห้อที่เป็นที่รู้จักคือ มาเด้ คอลลาเจน ซึ่งมีสารที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการขับสารพิษออกจากผิว
คุณสมบัติ ลดความมันส่วนเกิน ควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยให้สิวอักเสบและสิวผดลดลง พร้อมเสริมความแข็งแรงของผิว
เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาสิวเป็นประจำ ผิวอักเสบง่าย หรือมีผื่นแพ้บ่อย

การฉีดเมโสหน้าใส 16 จุดดีอย่างไรบ้าง
การฉีดเมโสหน้าใสมีหลายเทคนิค แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือ เทคนิคการฉีด 16 จุด ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ออกแบบตามหลักกายวิภาคและระบบไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองบนใบหน้า เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด

1.ตัวยากระจายสู่ผิวได้อย่างทั่วถึง
การเลือกฉีดเมโสหน้าใส 16 จุดที่สัมพันธ์กับทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง ช่วยให้ตัวยาไม่กระจุกอยู่แค่บางตำแหน่ง แต่สามารถกระจายตัวเข้าสู่ผิวได้อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

2.เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานกว่า
เมื่อสารบำรุงเข้าสู่ชั้นผิวได้เต็มที่และกระจายทั่วใบหน้า ทำให้การฟื้นฟูผิวมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความชุ่มชื้น ความกระจ่างใส หรือการลดเลือนรอยหมองคล้ำ อีกทั้งยังช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานกว่าการฉีดแบบทั่วไป

3.ลดรอยเข็มและรอยช้ำ
ด้วยจำนวนจุดที่ถูกวางไว้อย่างเหมาะสม การฉีดเมโสหน้าใสใน 16 จุดจึงช่วยให้ใช้ปริมาณเข็มน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการฉีดแบบกระจายทั่วใบหน้า ส่งผลให้รอยเข็มเล็กลง มีรอยช้ำน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว

การฉีดเมโสหน้าใสมีทั้งหมดกี่สูตร
จริง ๆ แล้ว การฉีดเมโสหน้าใสไม่มีสูตรตายตัว เพราะแต่ละคลินิกจะเลือกใช้ “ยี่ห้อ” และ “สูตรตัวยา” ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้ ดังนั้น ก่อนเข้ารับบริการควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมิน เพื่อเลือกสูตรในการฉีดเมโสหน้าใสที่ตรงกับสภาพผิวมากที่สุด

โดยทั่วไปสูตรการฉีดเมโสหน้าใสที่นิยม สามารถแบ่งออกได้ตาม จุดเด่นของตัวยาแต่ละยี่ห้อ ดังนี้

1.มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen)
คุณสมบัติ เน้นการลดสิว ลดผดผื่น และช่วยขับสารพิษที่สะสมอยู่ในผิว
ผลลัพธ์ ผิวแข็งแรงขึ้น ลดการอักเสบ และเหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิวซ้ำ ๆ

Made Collagen คืออะไร กี่ครั้งเห็นผล ฉีดบ่อยแค่ไหน ที่ไหนดี

2.Filorga / Revs
คุณสมบัติ สูตรบำรุงผิวระดับพรีเมียม มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid)
ผลลัพธ์ ช่วยให้ผิวขาวใสขึ้น เติมความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบครบด้าน

3.Tensonez / Depigment
คุณสมบัติ เน้นลดการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เป็นต้นเหตุของฝ้า
ผลลัพธ์ ลดรอยฝ้า กระ และความหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสและสีผิวสม่ำเสมอ

4.Alpha Arbutin
คุณสมบัติ เป็นสารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านการลดฝ้าและจุดด่างดำโดยตรง

เตรียมตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส
• ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดเมโสหน้าใส
ให้แพทย์ตรวจประเมินสภาพผิว ปัญหาที่กังวล และเลือกสูตรเมโสที่เหมาะสมกับผิวของแต่ละบุคคล

• งดการใช้ยาบางชนิด
หลีกเลี่ยงยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด แอสไพริน วิตามินอี หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย อย่างน้อย 3-5 วันก่อนฉีดเมโสหน้าใส

• งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
เพราะมีผลต่อการไหลเวียนของเลือด และอาจเพิ่มโอกาสการเกิดรอยช้ำหลังฉีดเมโศหน้าใส

• พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี และทำให้ผิวตอบสนองต่อการบำรุงได้เต็มที่

• หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ ก่อนฉีดเมโสหน้าใส
เช่น เลเซอร์ ผลัดเซลล์ผิว หรือการกดสิวในช่วง 3-5 วันก่อน เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองหรืออักเสบ

• ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด
ในวันที่เข้ารับการฉีดเมโสหน้าใส ควรล้างหน้าให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เพื่อให้ผิวพร้อมสำหรับการทำหัตถการ

ดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส
เพื่อให้การฉีดเมโสหน้าใสได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยสามารถสรุปแนวทางดูแลได้ดังนี้

1.สังเกตอาการหลังฉีดเมโสหน้าใส
• หลังฉีดเมโสหน้าใสอาจมี ตุ่มตัวยา รอยแดง หรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน
• หากพบอาการผิดปกติรุนแรง เช่น บวมมาก เจ็บผิดปกติ หรือมีผื่นกระจาย ควรรีบติดต่อและปรึกษาแพทย์เจ้าของเคสทันที

2.หลีกเลี่ยงการรบกวนผิวในช่วงแรก
• หลีกเลี่ยงการเกา กด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดแรง ๆ
• งดการทำทรีตเมนต์ เลเซอร์ หรือการนวดหน้าภายใน 3-5 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคือง

3.การบำรุงและปกป้องผิว
• ใช้ครีมบำรุงที่อ่อนโยน เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
• ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการทำลายจากรังสี UV ที่อาจทำให้ผลลัพธ์ลดลงหรือเกิดรอยหมองคล้ำ

4.การต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
• การฉีดเมโสหน้าใสไม่ได้ให้ผลถาวร ควรทำต่อเนื่องตามคอร์สที่แพทย์วางแผนไว้
• หลังจากทำคอร์สครบแล้ว อาจมีการ ฉีดกระตุ้นเป็นระยะ ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อคงผลลัพธ์ให้ผิวกระจ่างใสและสุขภาพผิวดีอย่างต่อเนื่อง

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใสเป็นทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูสดใส สุขภาพดีในเวลาอันสั้น ข้อสำคัญคือการเลือกทำกับแพทย์ คลินิกที่ปลอดภัย และสูตรยาที่เหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตอบโจทย์ปัญหาผิวของเรามากที่สุด และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผิวในระยะยาว

คำถามยอดฮิตของการฉีดเมโสหน้าใส
1.ฉีดเมโสหน้าใสเจ็บหรือไม่
การฉีดเมโสใช้เข็มขนาดเล็กมาก บางคลินิกมีการทายาชาก่อน จึงทำให้เจ็บเพียงเล็กน้อยเหมือนมดกัดหรือรู้สึกตึง ๆ บริเวณที่ฉีด แต่โดยรวม ไม่เจ็บรุนแรงและทนได้

2.ฉีดเมโสหน้าใสทำให้สิวเห่อขึ้นหรือไม่
โดยทั่วไป ไม่ทำให้สิวเห่อ หากใช้ตัวยาที่เหมาะสมและฉีดโดยแพทย์ บางสูตร เช่น มาเด้ คอลลาเจน ยังช่วยลดสิวและการอักเสบ แต่หากตัวยาไม่ได้มาตรฐานหรือผิวมีการอุดตันอยู่แล้ว อาจมีสิวขึ้นบ้างชั่วคราว ซึ่งควรให้แพทย์ประเมินก่อนเสมอ

3.ฉีดเมโสหน้าใสทำให้หน้าบวมกี่วัน
หลังฉีดเมโสหน้าใสอาจมี ตุ่มตัวยา รอยแดง หรือบวมเล็กน้อย โดยทั่วไปจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและเทคนิคการฉีด

4.ฉีดเมโสหน้าใสได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่
สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ผิวเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและสามารถรับการรักษาได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในแต่ละบุคคล

5.ควรฉีดเมโสหน้าใสต้องทำกี่ครั้ง
ไม่ได้เห็นผลชัดเจนจากการทำเพียงครั้งเดียว ควรทำ ต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง (เว้นระยะทุก 1-2 สัปดาห์) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เต็มที่ หลังจากนั้นสามารถฉีด กระตุ้นเดือนละครั้งหรือทุก 2-3 เดือน ตามคำแนะนำแพทย์

6.หลังฉีดเมโสหน้าใสกี่วันถึงเห็นผลลัพธ์
ส่วนใหญ่จะเริ่มสังเกตได้ว่าผิวดูสดใสขึ้นภายใน 3-7 วันแรก ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น ความกระจ่างใส รอยสิวที่จางลง มักเห็นได้ชัดในช่วง 2-4 สัปดาห์ และจะคงอยู่ยาวนานขึ้นเมื่อทำต่อเนื่องครบคอร์ส

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ