โปรแกรม Sculptra คืออะไร แตกต่างจากโปรแกรมฉีดหน้าใสอื่นอย่างไร
Sculptra
Sculptra คืออะไร อันตรายหรือไม่ เหมาะกับใคร มีข้อดีข้อควรระวังอะไรบ้าง
Sculptra หัตถการที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวของเราดูสดใสเปล่งปลั่ง ผิวดูตึงกระชับมากขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนในร่างกายของเราจะลดลงเรื่อย ๆ คอลลาเจนของเราก็จะค่อย ๆ หายไป ทำให้เราเกิดปัญหา ผิวอ่อนแอ หย่อนคล้อย ไม่ยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย และผิวไม่กระชับ หัตถการ Sculptra ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเผยผิวกระจ่างใสอีกครั้ง
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับหัตถการ Sculptra
- ทำไมคอลลาเจนในผิวเราถึงลดลง
- Sculptra คืออะไรมีหลักการอย่างไรบ้าง
- Sculptra มีจุดเด่นอะไรบ้าง
- Sculptra ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- Sculptra อันตรายหรือไม่
- Sculptra มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
- Sculptra เหมาะกับใคร
- ใครควรหลีกเลี่ยงการทำ Sculptra
- การเตรียมตัวก่อนทำ Sculptra
- การดูแลตัวเองหลังทำ Sculptra
- ผลลัพธ์หลังทำ Sculptra
- โปรแกรม Sculptra VS โปรแกรมผิวตัวอื่น ๆ
- หลังฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Sculptra
- สรุปทุกเรื่องของ Sculptra
ทำไมคอลลาเจนในผิวเราถึงลดลง
คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนสำคัญที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังมากถึงประมาณ 75% ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักที่ช่วยพยุงผิวให้เต่งตึง มีความยืดหยุ่น และช่วยซ่อมแซมผิวเมื่อเกิดการบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพตามช่วงเวลา เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป กระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกายจะเริ่มช้าลงปีละประมาณ 1-1.5% ทำให้ผิวที่เคยแน่นกระชับเริ่มบางลง เห็นริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยได้ชัดเจนขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนลดลงเร็วกว่าปกติ
ไม่ใช่แค่เรื่องอายุเท่านั้นที่ส่งผลต่อการลดลงของคอลลาเจน แต่ยังมีหลายปัจจัยที่เราพบได้ในชีวิตประจำวัน เช่น
1.รังสี UV จากแสงแดด
รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายเส้นใยคอลลาเจนในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยก่อนวัย
2.การพักผ่อนไม่เพียงพอ
เวลานอนหลับคือช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนใหม่ หากนอนไม่พอหรือหลับไม่สนิท ผิวจะฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่
3.พฤติกรรมการบริโภค
การรับประทานน้ำตาลสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ จะเพิ่มกระบวนการออกซิเดชันและกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำลายเส้นใยคอลลาเจน
4.มลภาวะและความเครียด
ทั้งฝุ่น ควัน และความเครียดเรื้อรัง ล้วนส่งผลให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวอ่อนแอและสูญเสียคอลลาเจนได้ง่าย
ทำไมคอลลาเจนถึงสำคัญกับผิวของเรา
คอลลาเจนคือองค์ประกอบหลักที่คอยยึดโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ผิวที่มีคอลลาเจนเพียงพอจะดูเรียบเนียน อิ่มฟู และยืดหยุ่นดี แต่เมื่อคอลลาเจนลดลง โครงสร้างผิวจะอ่อนแอ ทำให้เกิดสัญญาณแห่งวัย เช่น
- ริ้วรอยและร่องลึกบริเวณรอบดวงตาและมุมปาก
- ผิวไม่กระชับ แก้มและแนวกรอบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย
- สีผิวไม่สม่ำเสมอ และดูหมองคล้ำ
Sculptra คืออะไรมีหลักการอย่างไรบ้าง
Sculptra คือสารในกลุ่ม Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวตามกระบวนการทำงานของร่างกาย ได้แบบไม่เป็นอันตราย เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามายาวนาน
สาร PLLA ใน Sculptra จะไม่ทำหน้าที่ “เติมเต็ม” เหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป แต่จะไป กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ด้วยตัวเอง ช่วยให้ผิวค่อย ๆ กลับมามีความยืดหยุ่น แน่นกระชับ และดูสดใสขึ้น
หลักการทำงานของ Sculptra
เมื่อแพทย์ฉีด Sculptra เข้าไปในผิวชั้นลึก (ชั้น Subcutaneous) สาร PLLA จะกระจายตัวในเนื้อเยื่อผิว โดยขั้นตอนการทำงานของมันสามารถแบ่งได้เป็นลำดับ ดังนี้
ระยะเริ่มต้น (ช่วง 2-3 วันแรกหลังฉีด)
ผิวจะดูอิ่มฟูขึ้นทันทีเนื่องจากมีน้ำ (Sterile Water) ที่ใช้ผสมกับตัวยา แต่ผลลัพธ์ในช่วงนี้เป็นเพียงการบวมน้ำชั่วคราว ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อร่างกายดูดซึมน้ำกลับไป
ระยะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (ประมาณสัปดาห์ที่ 2-4)
เมื่อสาร PLLA เข้าสู่ผิว มันจะทำหน้าที่คล้าย “ตัวกระตุ้น” ให้ระบบภูมิคุ้มกันเรียกเซลล์ชนิดหนึ่งชื่อว่า Macrophages เข้ามาล้อมรอบอนุภาคของ Sculptra จากนั้นร่างกายจะส่งสัญญาณให้ Fibroblast หรือเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น
ระยะฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่ (ภายใน 1-3 เดือน)
ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนใหม่จากเซลล์ของตัวเอง ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดค่อย ๆ แข็งแรง กระชับ และแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระยะผลลัพธ์ยาวนาน
เมื่อเวลาผ่านไป สาร PLLA จะค่อย ๆ สลายไปตามกระบวนการทำงาน ของร่างกายเหลือไว้เพียง “เส้นใยคอลลาเจนใหม่” ที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือโครงสร้างผิวที่แข็งแรงขึ้น ผิวดูอิ่มฟูและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปสามารถคงผลลัพธ์ได้ประมาณ 2 ปี
Sculptra มีจุดเด่นอะไรบ้าง
Sculptra แตกต่างจากแบรนด์หัตถการงานผิวอื่นตรงที่เน้น การฟื้นฟูผิวจากภายในมากกว่าการเติมเต็มชั่วคราว ผลลัพธ์ผิวดูสดใสขึ้น ผิวแน่นและอิ่มฟูขึ้นจริงจากการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้แข็งแรง
1.Sculptra กระตุ้นคอลลาเจนได้ลึกและยาวนานกว่า
Sculptra ใช้สาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่จากภายใน ไม่ได้เติมเต็มทันทีแบบฟิลเลอร์ทั่วไป ผลลัพธ์จึงค่อย ๆ เห็นชัดขึ้น และคงอยู่ได้ยาวนานประมาณ 1.5-2 ปี
2.Sculptra ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากชั้นลึก
Sculptra ทำงานในระดับโครงสร้างผิวชั้นลึก (Subcutaneous Layer) ซึ่งเป็นบริเวณที่เส้นใยคอลลาเจนเสื่อมลงตามวัย การกระตุ้นในระดับนี้ช่วยให้ผิวแน่น แข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น จึงไม่เพียงแค่เติมเต็ม แต่เป็นการฟื้นฟูผิวอย่างแท้จริง
3.Sculptra ไม่เปลี่ยนรูปหน้าผลลัพธ์ไม่แข็งตึง
ผลลัพธ์ของ Sculptra จะค่อย ๆ ปรากฏในช่วง 1-3 เดือนหลังการรักษา ผิวดูอิ่มฟูขึ้นโดยไม่บวม ไม่แข็ง และยังคงลักษณะของใบหน้าเดิมไว้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูละมุนขึ้น
4.Sculptra ช่วยปรับคุณภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้น
นอกจากช่วยให้ผิวกระชับขึ้นแล้ว Sculptra ยังช่วยให้ผิวโดยรวมดูเรียบเนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ และมีความชุ่มชื้นมากขึ้นจากการที่คอลลาเจนใหม่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของผิว ผิวจึงดูสุขภาพดีจากภายใน เหมือนผิวได้รับการฟื้นฟูจริง
5.Sculptra เหมาะกับการดูแลในหลายบริเวณ ไม่จำกัดเฉพาะใบหน้า
Sculptra สามารถใช้ฟื้นฟูคอลลาเจนได้ในหลายบริเวณ เช่น แก้ม ขมับ แนวกรอบหน้า รวมถึงผิวคอ เนินอก หรือบริเวณแขน ต้นขา ที่เริ่มมีความหย่อนคล้อย ช่วยปรับความแน่นของผิวให้สม่ำเสมอ
Sculptra ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Sculptra เป็นนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูผิวจากภายใน ผ่านกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามกระบวนการทำงานของร่างกาย จึงช่วยปรับสมดุลและเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างผิวชั้นลึก ผลลัพธ์ไม่ได้เกิดจากการเติมสารให้ผิวตึงในทันที แต่เกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่สูญเสียไป
Sculptra จึงสามารถช่วยปรับสภาพผิวและแก้ปัญหาหลัก ๆ ได้หลายด้านดังนี้
1.Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวที่หย่อนคล้อยและขาดความยืดหยุ่น
เมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวจะเสื่อมลง ทำให้ผิวเริ่มหย่อนและดูไม่กระชับ Sculptra จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ทำให้ผิวค่อย ๆ กลับมาแน่นขึ้น เต่งตึง และยืดหยุ่นดีขึ้น
2.Sculptra ช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
การสร้างคอลลาเจนใหม่ช่วยให้โครงสร้างผิวโดยรวมแข็งแรงขึ้น ผิวจึงถูกยกกระชับขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแก้มล่างหรือกระเปาะแก้มที่มักเกิดจากการหย่อนตัวของผิว ผลลัพธ์คือใบหน้าดูได้รูปขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการเติมสารปริมาณมาก
3.Sculptra ช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก
คอลลาเจนที่เกิดขึ้นใหม่จะเข้าไปเสริมชั้นผิวที่บางลงจากอายุ ทำให้ร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก หรือริ้วรอยรอบดวงตา ค่อย ๆ ดูเรียบเนียนขึ้น เมื่อโครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น ผิวก็จะดูเนียนแน่นและดูสดใสกว่าเดิม
4.Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำและอ่อนล้า
เมื่อผิวขาดคอลลาเจน เซลล์ผิวจะหมุนเวียนช้าลง ทำให้ผิวดูหมองและไม่สดใส การกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนใหม่ด้วย Sculptra จะช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเป็นไปตามกระบวนการทำงานของร่างกาย ผิวจึงดูสดชื่นขึ้น มีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง และกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
5.Sculptra เสริมความแข็งแรงของโครงสร้างผิวจากภายใน
Sculptra ไม่ได้ดูแลเฉพาะผิวชั้นนอก แต่ช่วยฟื้นฟู “ฐานผิว” ที่อยู่ลึกลงไปในระดับที่เป็นต้นเหตุของความหย่อนคล้อย เมื่อโครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น ผิวโดยรวมจะดูแน่นขึ้นและมีความทนทานต่อการเสื่อมสภาพจากอายุหรือสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น
Sculptra อันตรายหรือไม่
Sculptra เป็นสารในกลุ่ม Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ที่ใช้ในเวชปฏิบิติมายาวนาน จุดเด่นของ Sculptra คือทำหน้าที่ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง ไม่ได้เติมเต็มผิวโดยตรงเหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป
ทำไม Sculptra ไม่อันตราต่อผิว
- วัสดุย่อยสลายได้ (biodegradable) PLLA จะแตกตัวเป็นกรดแลคติกและค่อย ๆ ถูกกำจัดออกจากร่างกาย จึงไม่สะสมเป็นสารตกค้างถาวร
- ประสบการณ์ใช้งานยาวนาน มีการใช้ในคลินิกความงามมานานกว่า 20 ปี และมีงานศึกษาทางคลินิกจำนวนมากรองรับ
- มาตรฐานการผลิต มีขั้นตอนการผลิตที่ควบคุมคุณภาพเพื่อให้อนุภาคสม่ำเสมอ เหมาะสมต่อการฉีดในชั้นผิว
Sculptra มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
แม้ว่า Sculptra จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
1.ผลลัพธ์ไม่ได้เห็นทันทีหลังฉีด Sculptra
ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ให้ผลทันที Sculptra จะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน จึงต้องใช้เวลา ประมาณ 4-12 สัปดาห์ กว่าผิวจะเริ่มแน่นและอิ่มฟูขึ้นอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจว่าการฟื้นฟูผิวต้องใช้เวลา ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงฉับพลัน
2.ต้องทำต่อเนื่องมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้ฉีด Sculptra 2-3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เต็มประสิทธิภาพ หากทำเพียงครั้งเดียว ผลลัพธ์อาจไม่เด่นชัดเท่าที่ควร จึงควรวางแผนต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
3.ต้องฉีด Sculptra ด้วยแพทย์เท่านั้น
เทคนิคการผสมยา ปริมาณน้ำ และความลึกของการฉีด ล้วนมีผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย หากฉีดในชั้นผิวไม่ถูกต้องหรือปริมาณไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น คลำเจอก้อนเล็ก ๆ หรือความไม่สม่ำเสมอของผิวได้ ดังนั้นควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่ผ่านการอบรมโดยตรงและมีประสบการณ์กับ Sculptra โดยเฉพาะ
4.ต้องมีการดูแลหลังทำอย่างเคร่งครัด
หลังฉีด Sculptra ควรนวดผิวบริเวณที่ฉีดวันละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน เพื่อช่วยให้ตัวยากระจายตัวสม่ำเสมอและลดโอกาสเกิดก้อนใต้ผิว รวมถึงควรหลีกเลี่ยงความร้อน แสงแดดจัด หรือกิจกรรมที่กระทบบริเวณใบหน้าในช่วงแรก หากละเลยขั้นตอนเหล่านี้อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอได้
5.Sculptra ไม่เหมาะกับทุกคน
Sculptra อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังในบริเวณที่จะฉีด ผู้ที่มีประวัติคีลอยด์ หรือหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วนในระยะสั้น เพราะการทำงานของ Sculptra ต้องอาศัยเวลาและการตอบสนองของร่างกายแต่ละคน
Sculptra เหมาะกับใคร
Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ฟื้นฟูผิวจากภายในมากกว่าการแก้ไขภายนอก เพราะกลไกของ Sculptra จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวแข็งแรงขึ้น กระชับขึ้น Sculptra เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เปลี่ยนรูปหน้า
1.Sculptra เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณแห่งวัย
ตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มสร้างคอลลาเจนลดลง ผิวจึงเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นและความแน่นฟู Sculptra เหมาะกับผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นว่า
- ผิวดูหย่อนคล้อย
- มีร่องแก้ม ร่องมุมปาก หรือริ้วรอยบาง ๆ
- ผิวเริ่มไม่เรียบ ไม่แน่นเหมือนเดิม
การกระตุ้นคอลลาเจนในช่วงนี้จะช่วยให้หน้าดูละมุนขึ้น
2.Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากอายุหรือการลดน้ำหนัก
เมื่ออายุมากขึ้นหรือหลังลดน้ำหนักมาก ๆ ผิวมักสูญเสียความแน่นฟูและโครงสร้างผิวบางลง Sculptra จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึก ทำให้ผิวกลับมาดูเต็มขึ้น ลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มล่างและแนวกรอบหน้าได้อย่างกลมกลืน
3.Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม
ไม่เพียงช่วยยกกระชับ แต่ Sculptra ยังช่วยปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าผิวหมองคล้ำ อ่อนล้า หรือขาดความชุ่มชื้น
เมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น ผิวจะดูเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนละเอียดขึ้น และมีความเปล่งปลั่งสุขภาพดี
4.Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว
Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใบหน้าที่เปลี่ยนทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ เพราะผลลัพธ์ของ Sculptra จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1.5-2 ปี
5.Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลายบริเวณ
นอกจากใบหน้า Sculptra ยังสามารถใช้ฟื้นฟูคอลลาเจนในบริเวณอื่น ๆ ได้ เช่น
- ผิวบริเวณคอหรือเนินอกที่เริ่มบางและหย่อน
- ผิวแขนหรือขาที่เริ่มหย่อนคล้อยจากอายุ
- ผิวใต้ตาหรือขมับที่ยุบตัวจากคอลลาเจนลดลง
จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวทั่วร่างกายในเชิงฟื้นฟูมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะบริเวณ
6.Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูดีขึ้นโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
Sculptra ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ จึงเหมาะสำหรับคนทำงานหรือคนที่มีเวลาจำกัด แต่อยากให้ผิวดูสดใสขึ้น
ใครควรหลีกเลี่ยงการทำ Sculptra
แม้ว่า Sculptra จะเป็นนวัตกรรมที่มั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตราย แต่ก็มีบางกลุ่มบุคคลที่ ไม่เหมาะสม หรือ ควรเลื่อนการทำหัตถการ Sculptra ออกไปก่อน เพื่อความไม่เป็นอันตรายและเพื่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
1.ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบในบริเวณที่จะฉีด Sculptra
หากมีภาวะผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ มีสิวอักเสบรุนแรง หรือมีบาดแผลในบริเวณที่ต้องฉีด ควรรักษาให้หายก่อน เพราะการฉีด Sculptra อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น หรือทำให้ตัวยากระจายไม่สม่ำเสมอในชั้นผิว
2.ผู้ที่มีประวัติเป็นคีลอยด์หรือแผลนูนง่าย
เนื่องจาก Sculptra กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ จึงอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดคีลอยด์หรือแผลนูน เพราะร่างกายของบุคคลกลุ่มนี้มีการตอบสนองต่อการสร้างคอลลาเจนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดในชั้นผิว
3.หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
แม้ยังไม่มีหลักฐานว่าการฉีด Sculptra ส่งผลเสียโดยตรงต่อทารก แต่ในทางการแพทย์ ไม่แนะนำให้ทำหัตถการใด ๆ ที่ไม่จำเป็นในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทั้งคุณแม่และลูก
4.ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดหรือใช้ยากลุ่มเฉพาะ
ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคเลือดออกง่าย, กำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ Sculptra เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำหรืออาการอักเสบหลังฉีดได้
5.ผู้ที่มีประวัติแพ้สารในกลุ่ม Poly-L-Lactic Acid
แม้จะพบได้น้อยมาก แต่หากเคยมีอาการแพ้สารในกลุ่มนี้ เช่น เคยแพ้ไหมละลายหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทำจาก PLLA ควรแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่า
การเตรียมตัวก่อนทำ Sculptra
ก่อนเข้ารับการฉีด Sculptra การเตรียมตัวอย่างถูกวิธีถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะช่วยให้ผลการรักษาออกมาดีที่สุด ลดโอกาสเกิดอาการข้างเคียง และช่วยให้ผิวตอบสนองต่อการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางการเตรียมตัวดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่นก่อน - หลังฉีด Sculptra อย่างน้อย 4 สัปดาห์
เพื่อป้องกันการรบกวนกระบวนการสร้างคอลลาเจนในผิว ควรงดเว้นการทำหัตถการความงามอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบทูลินัมท็อกซิน เลเซอร์ หรืออัลตราซาวด์ยกกระชับ อย่างน้อย 4 สัปดาห์ทั้งก่อนและหลังฉีด เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นตัวและปรับตัวต่อ Sculptra ได้
2.ตรวจสอบสุขภาพทั่วไปและภาวะร่างกาย
ผู้ที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีโรคผิวหนังอักเสบในบริเวณที่จะฉีด ควรเลื่อนการทำออกไปก่อน
การทำ Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีภาวะติดเชื้อ หรือปัญหาทางผิวหนังที่อาจกระทบต่อกระบวนการฟื้นฟู
3.พักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันเข้ารับบริการ
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดี และผิวอยู่ในสภาวะพร้อมรับการรักษา ส่งผลให้ลดอาการฟกช้ำหรือบวมหลังฉีดได้ดีขึ้น
4.งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-3 วันก่อนฉีด Sculptra
แอลกอฮอล์มีผลต่อการขยายหลอดเลือดและการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการบวมและช้ำหลังฉีด Sculptra การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล่วงหน้า 1-3 วัน จะช่วยให้ร่างกายพร้อมต่อการรักษามากขึ้น
5.ทำความสะอาดผิวหน้าก่อนเข้ารับบริการ
ในวันที่เข้ารับบริการ ควรล้างหน้าให้สะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง ครีมกันแดด หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขนและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระหว่างการฉีด Sculptra
6.หยุดยาหรืออาหารเสริมบางชนิดที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
หากรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางประเภท เช่น แอสไพริน, วิตามินอี, น้ำมันปลา, โสม หรือกระเทียมสกัด ควรหยุดอย่างน้อย ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด Sculptra(ภายใต้คำแนะนำของแพทย์) เพราะสารเหล่านี้อาจทำให้เลือดหยุดไหลช้ากว่าปกติ เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำหรือบวมหลังทำได้มากขึ้น
การดูแลตัวเองหลังทำ Sculptra
หลังจากเข้ารับการฉีด Sculptra แล้ว การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดก้อนใต้ผิว และช่วยให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
1.ประคบเย็นในช่วง 24 ชั่วโมงแรก หลังฉีด Sculptra
หลังฉีด Sculptra อาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงเล็กน้อย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของผิว การประคบด้วย เจลเย็นหรือผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก จะช่วยลดการอักเสบและอาการบวมได้ดี โดยควรประคบเบา ๆ ไม่กดแรง
2.นวดหน้าตามหลัก “Triple 5”
เพื่อให้สาร Sculptra กระจายตัวสม่ำเสมอในชั้นผิวและลดโอกาสการเกิดก้อนใต้ผิว ควรนวดบริเวณที่ฉีดตามเทคนิค Triple 5 คือ
- นวด วันละ 5 ครั้ง
- ครั้งละ 5 นาที
- ติดต่อกัน 5 วันหลังทำ Sculptra
การนวดควรใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ เป็นวงกลมทั่วบริเวณที่ได้รับการฉีด หากไม่แน่ใจในเทคนิค ควรให้แพทย์หรือเจ้าหน้าที่แนะนำวิธีที่ถูกต้องก่อนกลับบ้าน
3.งดแต่งหน้าและครีมบำรุงใน 24 ชั่วโมงแรก
หลังทำ Sculptra ควรให้ผิวได้พักฟื้น โดย หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า การทาครีมบำรุง หรือครีมกันแดด ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อลดโอกาสการระคายเคืองและการอุดตันของรูขุมขนในจุดที่มีรอยเข็ม
4.หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่กระทบต่อผิว
ในช่วง 3-5 วันหลังทำ Sculptra ควรงดกิจกรรมที่ทำให้ผิวร้อนหรือเหงื่อออกมาก เช่น
- อบซาวน่า อบไอน้ำ
- ทำเลเซอร์ หรือหัตถการที่ใช้พลังงานความร้อน (เช่น Thermage, Ultherapy, Ultraformer III) รวมถึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดหรือรังสี UV จนกว่าอาการบวมแดงจะหาย เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิว
5.งดจับ แกะ หรือเกาบริเวณที่ฉีด Sculptra
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือบีบบริเวณที่มีรอยเข็ม เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการกระจายตัวยาไม่สม่ำเสมอ หากมีรอยช้ำ สามารถรับประทานยา ลดรอยช้ำ ได้ตามคำแนะนำของแพทย์
6.เว้นระยะก่อนทำหัตถการอื่น ๆ
หากต้องการทำหัตถการเพิ่มเติม เช่น ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรือวิตามินหน้าใส ควรเว้นระยะ อย่างน้อย 7-14 วัน หรือรอจนกว่าอาการบวมแดงจะหายสนิท ทั้งนี้ระยะเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล
ผลลัพธ์หลังทำ Sculptra
หลังจากเข้ารับการฉีด Sculptra ผิวจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเหมือนกับการฉีดสารเติมเต็มทั่วไป เพราะตัวยาจะค่อย ๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ตามธรรมชาติ ผลลัพธ์จึงค่อยเป็นค่อยไป แต่ให้ความเปลี่ยนแปลงที่มั่นคงและยาวนาน
ระยะเริ่มต้น (ภายใน 1-3 วันแรก)
หลังฉีด Sculptra อาจเห็นผิวดูอิ่มฟูขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากน้ำที่ใช้ผสมกับตัวยาในระหว่างการฉีด แต่ผลลัพธ์นี้จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อร่างกายดูดซึมน้ำกลับไป อาการบวมเล็กน้อย แดง หรือช้ำอาจเกิดขึ้นได้ในบางราย ซึ่งจะหายได้เองภายในไม่กี่วัน
ระยะกระตุ้นคอลลาเจน (ช่วง 2-4 สัปดาห์หลังทำ)
ในช่วงนี้ สาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) จะเริ่มออกฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่ เซลล์ Fibroblast ในผิวจะทำงานมากขึ้น ทำให้ผิวค่อย ๆ แน่นขึ้น เนียนขึ้น และดูมีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม
ระยะฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง (ภายใน 1-3 เดือน)
ผิวจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เห็นความกระชับและความอิ่มฟูชัดขึ้น โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน ทำให้ริ้วรอยตื้นลง ผิวดูเรียบเนียนและสดใสมากขึ้นโดยไม่ต้องเติมสารซ้ำบ่อย ๆ
ผลลัพธ์ระยะยาว
เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่จนเต็มที่ ผลลัพธ์ของ Sculptra จะคงอยู่ได้นานโดยเฉลี่ย ประมาณ 1.5-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละคน ผลที่ได้คือผิวที่ดูแน่นขึ้น กระชับขึ้น และมีสุขภาพดีจากภายในโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้า
โปรแกรม Sculptra VS โปรแกรมผิวตัวอื่น ๆ
ในปัจจุบันมีโปรแกรมฟื้นฟูผิวให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบเติมเต็มทันทีและแบบ กระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งแต่ละวิธีมีหลักการทำงานแตกต่างกัน จุดเด่นของ Sculptra คือการ “กระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน” จึงให้ผลลัพธ์ที่ดูละมุนและยาวนานกว่าโปรแกรมผิวทั่วไป
1.Sculptra กระตุ้นคอลลาเจนจากร่างกาย
ใช้สาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก ผลลัพธ์เกิดจากคอลลาเจนของตัวเอง จึงดูละมุน
- ฟื้นฟูผิวจากต้นเหตุของความหย่อนคล้อย
- ให้ผลลัพธ์ยาวนานโดยเฉลี่ย 1.5-2 ปี
- ผิวแน่น อิ่มฟู เรียบเนียนขึ้นจากภายใน
- ไม่เปลี่ยนรูปหน้า และไม่แข็งตึง
ต้องใช้เวลาให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน (เห็นผลชัดภายใน 1-3 เดือน) และมักต้องฉีดต่อเนื่อง 2-3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์
2.ฟิลเลอร์ (Filler) เติมเต็มทันที
ฉีดสารไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปในชั้นผิวเพื่อเพิ่มปริมาตร เติมเต็มร่องลึก หรือปรับรูปหน้า
- เห็นผลทันทีหลังทำ
- เหมาะสำหรับการแก้ไขรูปหน้าเฉพาะจุด เช่น ร่องแก้ม คาง หรือใต้ตา
- ไม่ต้องรอระยะเวลาการสร้างคอลลาเจน
3.เมโสหน้าใส / Skin Booster เติมความชุ่มชื้นและความกระจ่างใส
ฉีดสารบำรุงที่มีส่วนผสมของวิตามิน เปปไทด์ หรือกรดไฮยาลูรอนิก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวชั้นตื้น
- ช่วยให้ผิวดูเนียนใสและชุ่มชื้นขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือผิวหมองจากมลภาวะ
- สามารถทำได้บ่อย ๆ
4.Rejuran ซ่อมแซมผิวระดับเซลล์
ใช้สารสกัดจาก Polynucleotide (PN) ซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระดับหนึ่ง
- ฟื้นฟูผิวที่มีรอยแดง หลุมสิว หรือผิวเสียจากแสงแดด
- ช่วยให้ผิวดูเรียบและแข็งแรงขึ้น
5.โปรแกรมยกกระชับด้วยพลังงาน (เช่น Ultherapy, Thermage, Ultraformer III)
ใช้พลังงานคลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุส่งผ่านลงสู่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องฉีด
- เห็นผลค่อยเป็นค่อยไป และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
หลังฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม
โดยทั่วไป ผลลัพธ์ของ Sculptra จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นภายใน 6-12 สัปดาห์หลังทำ
เมื่อกระบวนการสร้างคอลลาเจนสมบูรณ์เต็มที่ ผิวจะดูแน่นและยืดหยุ่นมากขึ้น
ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานโดยเฉลี่ย ประมาณ 1.5-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- อายุและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- จำนวนครั้งที่ฉีดและระยะห่างในการรักษา
- พฤติกรรมการดูแลผิว เช่น การนอนพักผ่อน การป้องกันแสงแดด และการสูบบุหรี่
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Sculptra
แม้ว่า Sculptra จะเป็นหัตถการที่ไม่เป็นอันตราย แต่เช่นเดียวกับการฉีดสารเข้าสู่ผิวทุกประเภท ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด ผลข้างเคียงชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองเมื่อดูแลอย่างเหมาะสม
1.อาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด Sculptra
หลังทำ Sculptra ในช่วง 1-3 วันแรก อาจพบอาการบวมเล็กน้อย แดง หรือรู้สึกตึงผิวในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดจากกระบวนการอักเสบของผิวและการกระจายตัวของสาร PLLA
แนวทางดูแล
สามารถประคบเย็นใน 24 ชั่วโมงแรกเพื่อลดอาการบวม และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณนั้น
2.อาการช้ำหรือมีรอยเข็ม
เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปหลังการฉีดสารเข้าสู่ผิว เนื่องจากเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ อาจแตกจากการสอดเข็ม
แนวทางดูแล
รอยช้ำจะค่อย ๆ จางลงภายใน 5-7 วัน และสามารถใช้ยา หรือครีมลดรอยช้ำตามคำแนะนำของแพทย์
3.คลำพบก้อนเล็กใต้ผิวในบางบริเวณ
เกิดจากการที่สาร Sculptra กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ หรือผู้ทำไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการนวดหลังฉีด Sculptra
แนวทางดูแล
ควรนวดหน้าตามหลัก Triple 5 (5 นาที วันละ 5 ครั้ง ต่อเนื่อง 5 วัน) เพื่อให้สารกระจายทั่วบริเวณอย่างสม่ำเสมอ หากก้อนยังไม่หายควรกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินเพิ่มเติม
4.อาการคันหรือระคายเคืองเล็กน้อย
ในบางรายอาจมีอาการคันหรือรู้สึกระคายเคืองชั่วคราวหลังทำ ซึ่งมักเกิดจากการตอบสนองของผิวต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจน
แนวทางดูแล
หลีกเลี่ยงการเกาและควรรักษาความสะอาดของผิว ไม่ควรทาครีมหรือแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Sculptra
5.การเกิดก้อนแข็งหรือพังผืดใต้ผิว (พบได้น้อยมาก)
ในกรณีที่เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้ปฏิบัติตามการนวดหลังทำ อาจเกิดก้อนแข็งใต้ผิวในบางจุด ซึ่งพบได้ไม่บ่อยและมักไม่เป็นอันตราย
แนวทางดูแล
ควรทำการรักษากับแพทย์ที่เคยอบรมฉีด Sculptra และปฏิบัติตามคำแนะนำหลังทำอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงในส่วนนี้
6.การติดเชื้อ (พบได้ยากมาก)
เป็นภาวะที่พบได้ในทุกหัตถการที่มีการฉีดสารเข้าสู่ผิว แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองและทำโดยแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
แนวทางดูแล
ควรรักษาความสะอาดของใบหน้า งดแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก และหากมีอาการบวมแดงรุนแรงหรือเจ็บมากผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที
สรุปทุกเรื่องของ Sculptra
Sculptra คือโปรแกรมฟื้นฟูผิวที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่จากภายใน แตกต่างจากการฉีดสารเติมเต็มทั่วไปที่ให้ผลลัพธ์แบบชั่วคราว สารสำคัญของ Sculptra คือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งไม่อันตรายและสามารถย่อยสลายได้เองตามกระบวนการย่อยสลายของร่างกาย
หลังฉีดSculptra ผิวจะค่อย ๆ ฟื้นฟูจากภายใน เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดขึ้นภายใน 1-3 เดือน ผิวจะดูแน่น กระชับ และยืดหยุ่นขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้เฉลี่ย 1.5-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณผิวหย่อนคล้อย ผิวบาง หรือมีริ้วรอยจากอายุ รวมถึงผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบล้ำลึกโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้า
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ