โปรแกรมฟิลเลอร์ปาก คืออะไร ทรงปากแบบไหนดี ฉีดกี่ CC บวมกี่วัน
ฟิลเลอร์ปาก
ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร ทรงปากแบบไหนดี ฉีดกี่ CC บวมกี่วัน
ริมฝีปากคือหนึ่งในจุดเด่นที่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับใบหน้าได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรูปปากกระจับ ปากอวบอิ่ม หรือริมฝีปากได้รูปสวยสมส่วน ล้วนแล้วแต่สร้างบุคลิกภาพที่น่าประทับใจได้ โดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรมถาวร หนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันคือ การฉีดฟิลเลอร์ปาก ซึ่งเป็นหัตถการที่สามารถปรับรูปทรงได้ตามต้องการ โดยแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคและปริมาณฟิลเลอร์อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเข้ากับสัดส่วนใบหน้าอย่างลงตัว
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับฟิลเลอร์ปากในทุกแง่มุม ตั้งแต่ฟิลเลอร์ปากคืออะไร เทคนิคที่นิยมใช้ ข้อดี ข้อควรระวัง ตลอดจนวิธีดูแลตัวเองก่อนและหลังทำ เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ในการฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อปรับรูปปากให้ได้ทรงที่ต้องการ
ฟิลเลอร์ปากคืออะไร
ฟิลเลอร์ปาก คือ การฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปยังบริเวณริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม เติมเต็มรูปปากให้ได้รูปสวย ช่วยแก้ปัญหารูปปากไม่เท่ากัน ริมฝีปากบาง แห้งหรือมีริ้วรอย ซึ่งเป็นการเสริมความงามแบบไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
สัดส่วนปาก รูปทรงฟิลเลอร์ปากที่เหมาะกับคนไทย
การฉีดฟิลเลอร์ปากให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเหมาะกับรูปหน้าของคนไทยนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงสัดส่วนทองคำของริมฝีปาก (Golden Ratio) รวมถึงโครงหน้าโดยรวม ลักษณะริมฝีปากเดิม และเทรนด์ความงามที่เหมาะสมกับคนไทย ซึ่งเน้นความละมุน ดูธรรมชาติ ไม่เว่อร์จนเกินไป
สัดส่วนปากที่เหมาะสม
สัดส่วนริมฝีปากที่ถือว่าสมส่วนหรือดูสวยงาม โดยทั่วไปมีดังนี้
1.อัตราส่วนปากบน:ปากล่าง = 1:1.6
• ริมฝีปากล่างควรมีความหนามากกว่าปากบนเล็กน้อย
• เป็นสัดส่วนที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ไม่ดูแข็งหรือน่าเกลียด
2.ความยาวของปากเทียบกับใบหน้า
• ริมฝีปากควรอยู่ประมาณ 1/3 ของความกว้างใบหน้า
• มุมปากควรอยู่ในแนวเดียวกับกึ่งกลางตาดำหรือตาดำเล็กน้อย
3.ลักษณะความโค้งของปาก
• ควรมีรูปทรงชัดเจน โค้งเว้าสวยงามบริเวณกึ่งกลางของปากบน
• จุดนี้มักเป็นบริเวณที่แพทย์ใช้เทคนิคเพิ่มความละมุนและดูเป็นธรรมชาติ
รูปทรงฟิลเลอร์ปากยอดนิยมในคนไทย
แม้การฉีดฟิลเลอร์ปากจะสามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ แต่สำหรับคนไทยซึ่งมีโครงหน้าเล็กกว่าชาวตะวันตก มักนิยมทรงปากที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใหญ่หรือหนาเกินไป เช่น
1.ทรงปากกระจับ
• เป็นที่นิยมมากที่สุดในไทย
• ปากบนจะมีลักษณะเว้าเป็นรูปกระจับ และปากล่างจะอิ่มแต่ไม่หนา
• เหมาะสำหรับผู้ที่อยากได้ลุคหวาน อ่อนโยน ละมุนแบบเกาหลี
2.ทรงปากปกติอวบอิ่ม
• เพิ่มความอวบอิ่มเล็กน้อยให้ปากดูมีน้ำมีนวล
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีปากแห้ง บาง หรือต้องการลุคสวยธรรมชาติ
3.ทรงปากยิ้ม หรือ ยกมุมปาก
• เหมาะกับผู้ที่มุมปากตก ทำให้หน้าดูเศร้าหรือไม่สดใส
• การเติมฟิลเลอร์เฉพาะมุมปากช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
โหงวเฮ้งปากที่ดี-ไม่ดี ดูอย่างไร
อีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้คนนิยมฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ โหงวเฮ้งปาก ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์ของการพิจารณาลักษณะใบหน้า ที่เกี่ยวข้องกับดวงชะตา โชคลาภ บุคลิกภาพ และความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคล การมีริมฝีปากที่ดีและสวยงาม เชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมให้มีโชคดี มีวาจาเป็นทรัพย์ และประสบความสำเร็จในชีวิต
ลักษณะโหงวเฮ้งปากที่ดี
1.ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป
• สื่อถึงคนที่มีวาสนาดี มีโชคลาภด้านการเงิน และความอุดมสมบูรณ์
• มีเสน่ห์ทางคำพูด พูดจาน่าฟัง มีคนเชื่อถือ
2.ปากบนและปากล่างสมดุลกัน
• แสดงถึงความสมดุลในชีวิต รู้จักรับรู้และให้
• ผู้หญิงมักหมายถึงคนที่รักครอบครัว มีวาจาอ่อนหวาน
• ผู้ชายมักสื่อถึงคนที่รักษาคำพูด และมีความจริงใจ
3.มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย
• บ่งบอกถึงคนมองโลกในแง่ดี มีพลังชีวิต ร่าเริง
• ส่งเสริมด้านความสัมพันธ์ ความรัก และบริวาร
4.ขอบปากชัด ปากไม่แห้งหรือแตก
• เป็นคนสุขภาพดี มีพลังงานดี
• พูดแล้วคนเชื่อถือ มีเครดิต และเก็บเงินอยู่
5.สีริมฝีปากชมพูธรรมชาติ
• แสดงถึงระบบไหลเวียนเลือดดี มีสุขภาพแข็งแรง
• เสริมเสน่ห์ให้ใบหน้า ดูสดใส ไม่หมองหม่น
ลักษณะโหงวเฮ้งปากที่ไม่ดี
1.ปากบางเกินไป
• มักสื่อถึงคนที่เก็บเงินไม่อยู่ ชีวิตติดขัด
• ในด้านบุคลิกภาพอาจเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก หรือขาดความเมตตา
2.ปากเบี้ยว ไม่สมดุล
• อาจหมายถึงอุปสรรคในชีวิต การเงินขาดความมั่นคง
• มักมีปัญหาด้านการสื่อสารหรือขัดแย้งกับผู้อื่น
3.มุมปากตก
• บ่งบอกถึงคนที่มีความกังวลใจ หรือคิดลบ
• เชื่อว่าอาจส่งผลให้ชีวิตติดขัด มีปัญหาความสัมพันธ์
4.ริมฝีปากดำคล้ำ แตกเป็นขุย
• สื่อถึงสุขภาพไม่ดี หรือมีพลังชีวิตต่ำ
• ในทางจิตวิทยาอาจแสดงถึงความเครียดและความไม่มั่นใจในตนเอง
5.ปากใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป
• ปากใหญ่เกินอาจหมายถึงพูดมากแต่ขาดสาระ หรือใช้วาจาในทางลบ
• ปากเล็กเกินไปมักสื่อถึงคนเก็บตัว พูดยาก ไม่เปิดใจ
เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปาก มีอะไรบ้าง
การฉีดฟิลเลอร์ปากในปัจจุบันมีเทคนิคหลากหลายรูปแบบ โดยแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับ โครงหน้า สภาพปากเดิม ความต้องการของคนไข้ และเทรนด์ความงาม ซึ่งเทคนิคแต่ละแบบจะมีข้อดี-ข้อจำกัดต่างกัน โดยเน้นให้ผลลัพธ์สัดส่วนสวยงาม
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ปากยอดนิยม
1.เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปากทรงรัสเซีย
• ลักษณะ ปากจะดูอวบอิ่มตั้งแต่ตรงกลางแล้วค่อย ๆ ลาดลงด้านข้าง มีความโดดเด่นของ ปากกระจับชัดเจน
• จุดเด่น ให้ริมฝีปากดูเซ็กซี่ มีวอลลุ่มตรงกลาง ปากดูยกขึ้น
• เหมาะกับ คนที่ต้องการลุคเปรี้ยว ปากดูชัดแบบสายฝอ หรือดารายุโรป
2.เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปากทรงเกาหลี
• ลักษณะ ปากอวบอิ่มเล็กน้อย ดูเรียบเนียน สวยธรรมชาติ
• จุดเด่น ปากดูละมุน สุภาพ ใส ๆ แบบเกาหลี
• เหมาะกับ คนที่ต้องการลุคหวาน ละมุนแบบสาวเกาหลี ไม่ชอบความเป๊ะเว่อร์
3.เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปากทรงกระจับ
• ลักษณะ ยกขอบปากบนให้เป็นรูปหัวใจชัดเจน โดยเน้นเสริมตรงกลางและมุมปาก
• จุดเด่น เพิ่มเสน่ห์ให้กับริมฝีปาก ดูเย้ายวนมากขึ้น
• เหมาะกับ ผู้ที่มีขอบปากบนไม่ชัด หรือปากบนบาง
4.เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปาก Lip Tenting
• ลักษณะ ใช้เข็มฉีดในแนวตั้งจากภายในริมฝีปาก เพื่อยกเนื้อปากขึ้นโดยไม่ฉีดจากด้านนอก
• จุดเด่น ให้ปากตั้งขึ้นแบบมีมิติ ไม่ดูหนาแบน
• เหมาะกับ ผู้ที่มีปากบางหรือไม่มีวอลลุ่มเลย
5.เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก
• ลักษณะ เติมฟิลเลอร์บริเวณมุมปากให้ดูยกขึ้น
• จุดเด่น ทำให้ใบหน้าดูยิ้มละมุน ลดความรู้สึกหน้าบึ้งหรือเศร้า
• เหมาะกับ คนที่มีมุมปากตก หรืออยากได้ลุคสาวยิ้มเก่ง
6.เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปาก Lip Rejuvenation
• ลักษณะ เติมฟิลเลอร์เพื่อฟื้นฟูแก้ไขปากที่เหี่ยว มีริ้วรอย ขาดน้ำ หรือดูไม่สดชื่น
• จุดเด่น คืนความชุ่มชื้น ความอิ่มน้ำให้ริมฝีปาก
• เหมาะกับ คนที่มีอายุมากหรือมีปัญหาริมฝีปากแห้งคล้ำ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปากได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการเสริมเสน่ห์ให้กับใบหน้า ปรับรูปปากให้ดูละมุน และเสริมโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น โดยการฉีดฟิลเลอร์ปากมีข้อดีดังนี้
1.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความอวบอิ่ม มีวอลลุ่มให้กับริมฝีปาก
สำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง หรือปากแห้งไม่มีน้ำมีนวล ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มให้ปากดูสุขภาพดี ชุ่มชื้น และอิ่มน้ำ
2.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยปรับรูปปากให้ได้สัดส่วนสมดุล
สามารถปรับให้ริมฝีปากบนและล่างสมดุล (1:1.6) หรือยกมุมปาก ลดความเบี้ยว แก้ปัญหารูปปากไม่เท่ากัน
3.เสริมบุคลิกภาพให้ดูน่ารัก สดใส หรือเซ็กซี่ได้ตามต้องการ
การมีริมฝีปากที่สวยงามช่วยเพิ่มความมั่นใจ เสริมเสน่ห์ในการพูดและการสื่อสาร
4.ฉีดฟิลเลอร์ปากเห็นผลทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น
เป็นหัตถการที่ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันที และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
5.ฉีดฟิลเลอร์ปากไม่ต้องผ่าตัด ไม่ทิ้งรอยแผล
เป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้นนาน ต่างจากการศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปาก
6.ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถเลือกเทคนิคและทรงปากได้หลากหลาย
เช่น ปากกระจับ ปากอวบอิ่มแบบธรรมชาติ หรือปากทรงเกาหลี และปรับตามโหงวเฮ้งได้ด้วย
7.ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ คือ Hyaluronic Acid จะสลายได้ภายใน 6-12 เดือน โดยไม่ตกค้างในร่างกาย หากไม่พอใจผลลัพธ์ ยังสามารถฉีดสลายหรือปรับรูปทรงได้
8.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยฟื้นฟูริมฝีปากให้ดูอ่อนเยาว์
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากแห้ง มีริ้วรอย หรือขาดความชุ่มชื้น ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มและให้ความชุ่มชื้นจากภายใน
9.ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถใช้ฟิลเลอร์เสริมโหงวเฮ้ง
เช่น เติมเนื้อปากให้อิ่ม ยกมุมปากให้ดูสดใส ส่งเสริมด้านการเงิน การพูดเจรจา และความรัก ตามศาสตร์โหงวเฮ้ง
ฉีดฟิลเลอร์ปากแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
การฉีดฟิลเลอร์ปากไม่เพียงแต่เป็นหัตถการเสริมความงามเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหารูปร่างและสุขภาพของริมฝีปากได้ เมื่อทำโดยแพทย์และใช้ฟิลเลอร์คุณภาพสูง เช่น Hyaluronic Acid (HA) โดยปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีดังนี้
1.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ริมฝีปากบางเกินไป
แก้ได้โดยการเติมฟิลเลอร์ให้มีวอลลุ่มเพิ่มขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการปากอวบอิ่มแบบธรรมชาติ หรือลุคเซ็กซี่มีเสน่ห์
2.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ริมฝีปากไม่เท่ากัน (ปากเบี้ยว / ปากบนล่างไม่สมดุล)
ฟิลเลอร์สามารถใช้ปรับสมดุลขนาดของริมฝีปากทั้งสองข้างให้ดูเท่ากันได้ แพทย์จะประเมินมุมองศาและปริมาณเนื้อปากในการเติมแต่ละฝั่งอย่างแม่นยำ
3.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยแก้มุมปากตก (หน้าดูเศร้าหรือดูบึ้งตึงตลอดเวลา)
ใช้เทคนิคเติมฟิลเลอร์ที่มุมปาก (Lip Corner Lift) ให้ดูยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส ยิ้มละมุนขึ้นโดยไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ
4.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ขอบปากไม่ชัด / รูปทรงปากไม่เป็นระเบียบ
สามารถฉีดเก็บรายละเอียดบริเวณขอบปากให้ชัดเจน มีรูปทรงที่สวยงามขึ้น เช่น การเน้นรอยเว้ากลางปากบน
5.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยลดปากแห้ง แตก ขาดความชุ่มชื้น
ฟิลเลอร์ประเภท HA ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิว ทำให้ปากดูชุ่มฉ่ำ สุขภาพดีขึ้นจากภายใน ลดการทาลิปบาล์มซ้ำบ่อย ๆ และช่วยให้ลิปสติกติดดีขึ้น
6.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยลดริ้วรอยรอบริมฝีปาก (ร่องปาก / ร่องน้ำหมาก)
ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวรอบปากเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีอายุ หรือผู้ที่สูบบุหรี่ ทำให้เกิดรอยย่นรอบปาก
7.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยลดริมฝีปากคล้ำ ดูไม่สดใส
การเติมฟิลเลอร์สามารถช่วยให้ผิวริมฝีปากดูมีน้ำมีนวลขึ้น สีปากดูดีขึ้น แม้ฟิลเลอร์ไม่ได้เปลี่ยนสีโดยตรง แต่การฟื้นฟูความชุ่มชื้นช่วยลดความหมองคล้ำได้ในระดับหนึ่ง
8.ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยปรับรูปทรงปากให้ดูสวยขึ้น
เช่น ปากกระจับ ปากอวบอิ่ม ปากสายเกาหลี หรือยกมุมปากเสริมดวงด้านความรัก การพูดจา การเงิน ตามเทรนด์หรือโหงวเฮ้ง
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการริมฝีปากอวบอิ่ม รูปทรงสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความละมุน เสน่ห์ และความอ่อนหวานให้กับใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบาง ขาดวอลลุ่ม ทำให้หน้าดูดุหรือซีดเซียว ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มให้ปากดูอวบอิ่ม มีเสน่ห์ และสดใสขึ้นทันที
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ที่มีปากไม่เท่ากัน หรือเบี้ยว เช่น ปากบนเล็กกว่าปากล่างชัดเจน หรือข้างซ้าย-ขวาไม่สมดุล แพทย์สามารถปรับรูปทรงให้ดูสมดุลมากขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับคนที่มีมุมปากตก มักทำให้หน้าดูเศร้า ไม่สดใส หรือดูอายุมาก การฉีดยกมุมปากช่วยให้ใบหน้าดูยิ้มละมุนและอ่อนเยาว์ขึ้น
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ที่มีปากแห้ง ขาดน้ำ แตกง่าย ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid (HA) ช่วยให้ปากชุ่มชื้นจากภายใน
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับคนที่มีร่องหรือริ้วรอยรอบริมฝีปาก โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีอายุ หรือสูบบุหรี่ ทำให้ผิวรอบปากดูย่น ฟิลเลอร์ช่วยลดร่องลึก ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปปากให้เข้ากับใบหน้า เช่น ต้องการทรงปากกระจับ ปากสายเกาหลี หรือปากยิ้มมุมขึ้น เสริมบุคลิกภาพให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นทั้งในชีวิตประจำวันและการงาน
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้ง เช่น เติมเนื้อให้ปากอิ่ม เสริมเรื่องการเงิน คำพูด และความรัก
• ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พอใจ สามารถแก้ไขรูปปากได้ ฟิลเลอร์ HA สามารถสลายได้และฉีดปรับทรงใหม่ได้ตามต้องการ
ฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรก มีขั้นตอนอย่างไร
สำหรับคนที่กำลังฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับครั้งแรก การเข้าใจขั้นตอนตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังฉีดจะช่วยให้มั่นใจและเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง โดยขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรกที่ควรรู้ มีดังนี้
1.การประเมินและปรึกษากับแพทย์
• แพทย์จะซักประวัติโดยละเอียด เช่น โรคประจำตัว การแพ้ยา หรือเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนหรือไม่
• วิเคราะห์รูปหน้า รูปปากเดิม ความต้องการของคนไข้ และเลือกเทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปากที่เหมาะสม
• แนะนำชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณ และตำแหน่งที่จะฉีดฟิลเลอร์ปาก
2.การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
• งดแอลกอฮอล์และวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา แอสไพริน อย่างน้อย 2-3 วัน
• งดออกกำลังกายหนักหรืออบซาวน่าในวันก่อนทำ
• ไม่ควรแต่งหน้าหรือลงลิปสติกในวันทำ
3.ทำความสะอาดผิวและทายาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
• คลินิกจะทำความสะอาดริมฝีปากและรอบปากอย่างหมดจด
• ทายาชาหรือแปะยาชาทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีเพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด
4.เริ่มฉีดฟิลเลอร์ปากโดยแพทย์เท่านั้น
• แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กหรือเข็มทู่ (Cannula) ตามเทคนิคที่เลือก
• ค่อย ๆ เติมฟิลเลอร์ทีละจุด พร้อมประเมินความสมดุลตลอดเวลา
• ใช้เวลาฉีดประมาณ 15-30 นาที
5.ตรวจเช็กหลังฉีดฟิลเลอร์ปากและปรับแต่งทรงปาก
• หลังฉีดแพทย์จะตรวจความสมมาตร รูปทรง และสัมผัสเพื่อปรับจุดเล็ก ๆ หากจำเป็น
• อาจมีการประคบเย็นหลังฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อลดอาการบวม
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของการบวมช้ำ ผลข้างเคียง และเพิ่มโอกาสให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรเตรียมตัวให้เหมาะสมก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ดังนี้
1.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากแจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียด
• โรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ภูมิแพ้ หรือเบาหวาน
• ประวัติการแพ้ยา หรือแพ้สาร Hyaluronic Acid
• เคยฉีดฟิลเลอร์หรือทำหัตถการใดในบริเวณริมฝีปากมาก่อนหรือไม่
• หากตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยง
2.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากงดยาและอาหารเสริมบางชนิดอย่างน้อย 3-7 วันก่อนทำ
• ยาที่ควรงด ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), วิตามินอี, น้ำมันปลา, สารต้านการแข็งตัวของเลือด
• เพื่อป้องกันการช้ำหรือเลือดออกมากผิดปกติระหว่างทำ
3.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากงดแอลกอฮอล์และบุหรี่ก่อนทำ 24-48 ชั่วโมง
• แอลกอฮอล์และนิโคตินส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด อาจทำให้ฟิลเลอร์ไม่เกาะตัวดี และช้ำได้ง่าย
4.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากงดทำหัตถการอื่น ๆ บริเวณปากก่อนทำ 1-2 สัปดาห์
• เช่น การเลเซอร์ ร้อยไหม สครับปาก หรือทาลิปที่มีสารผลัดเซลล์ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
5.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนฉีด
• เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับการรักษา ลดโอกาสบวมช้ำหลังฉีด
6.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากดื่มน้ำมาก ๆ ล่วงหน้าประมาณ 2-3 วัน
• เพราะฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ต้องอาศัยความชุ่มชื้นในการคงรูป การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ผลลัพธ์ฟู สวย และอยู่ได้นานขึ้น
7.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากไม่ควรแต่งหน้าหรือทาลิปในวันที่เข้ารับบริการ
• เพื่อให้แพทย์ประเมินรูปปากเดิมได้ชัดเจน และลดการสะสมของแบคทีเรียบริเวณริมฝีปาก
ฟิลเลอร์ปาก ควรใช้ยี่ห้อไหน รุ่นไหนดีที่สุด
การเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ปาก ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัย ความสวยงาม และระยะเวลาที่อยู่ได้นาน โดยทั่วไปควรเลือกฟิลเลอร์แท้และมีความเหมาะสมกับบริเวณริมฝีปาก ซึ่งต้องอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น และให้สัมผัสเป็นธรรมชาติมากที่สุด
คุณสมบัติของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับริมฝีปาก
• เนื้อฟิลเลอร์ควรนิ่ม ปั้นทรงง่าย
• ไม่เป็นก้อน ไม่ไหล ไม่แข็งตึงเมื่อขยับปาก
• สามารถเกาะผิวบริเวณปากได้ดีแม้มีการเคลื่อนไหวบ่อย
• ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยในประเทศไทย
ฟิลเลอร์ปากที่นิยมในปัจจุบัน
1.ฟิลเลอร์ปาก Juvederm
• แบรนด์ Allergan จากอเมริกา
• เทคโนโลยี Vycross Technology - เนื้อเจลละเอียด ฟูเป็นธรรมชาติ
• รุ่นแนะนำ
- Volbella เนื้อนิ่ม เบา เหมาะกับลุคธรรมชาติ (อยู่ได้นาน 12 เดือน)
- Volift เนื้อฟูเล็กน้อย เหมาะกับคนที่อยากได้วอลลุ่มมากขึ้น (อยู่ได้ 12-18 เดือน)
• ข้อดี ปั้นทรงสวย ละเอียดลึก ไม่เป็นก้อน เหมาะกับงานริมฝีปากมากที่สุด
• ราคาโดยประมาณ สูงกว่าแบรนด์อื่น แต่คุ้มค่าความเป็นธรรมชาติ
2.ฟิลเลอร์ปาก Restylane
• แบรนด์ Galderma จากสวีเดน
• เทคโนโลยี XpresHAn Technology - ให้การขยับตัวดีเหมาะกับอวัยวะที่เคลื่อนไหวบ่อย
• คุณสมบัติ เนื้อเจลละเอียด ยืดหยุ่น ไม่ตึง
• จุดเด่น ปากนุ่มเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการเติมเต็มและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
• ระยะเวลาคงอยู่ ประมาณ 9-12 เดือน
3.ฟิลเลอร์ปาก Belotero
• แบรนด์ Merz Aesthetics จากเยอรมนี
• รุ่นแนะนำ
- Shape เติมวอลลุ่มปาก
- Contour เก็บขอบปากให้คมชัด
• ข้อดี ปรับรูปทรงละเอียดมาก เหมาะกับการปั้นขอบปากหรือทำปากกระจับ
• ระยะเวลาคงอยู่ ประมาณ 6-12 เดือน
• เหมาะกับ ผู้ที่ชอบงานละเอียด ต้องการความเป๊ะของรูปทรง
ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ อวบอิ่ม ใช้กี่ CC
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับแบบอวบอิ่ม จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะรูปปากเดิม ทรงที่ต้องการ และความต้องการของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินอย่างละเอียดก่อนทำ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่สวยงามตรงตามความต้องการ
ปริมาณฟิลเลอร์ปากกระจับอวบอิ่มที่แนะนำโดยทั่วไป
รูปแบบการฉีดฟิลเลอร์ปาก |
ปริมาณโดยประมาณ |
ฟิลเลอร์ปากกระจับธรรมชาติ |
0.5 - 1 CC |
ฟิลเลอร์ปากกระจับแบบอวบอิ่ม |
1 - 1.5 CC |
เติมขอบ+มุมปาก+วอลลุ่มโดยรวม |
1.5 - 2 CC |
รายละเอียดเพิ่มเติม
• ฉีดฟิลเลอร์ปาก 0.5 CC เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแต่งรูปเพียงเล็กน้อย เน้นความเป็นธรรมชาติแบบเกาหลี
• ฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 CC ถือเป็นปริมาณมาตรฐานที่นิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับปรับรูปปากกระจับ พร้อมเติมวอลลุ่มเล็กน้อย
• ฉีดฟิลเลอร์ปาก 1.5 - 2 CC เหมาะกับผู้ที่มีปากบางหรืออยากได้ลุคอวบอิ่ม เซ็กซี่ มีวอลลุ่มชัดเจน เช่น สไตล์สายฝอ
ปัจจัยที่แพทย์ใช้ในการประเมินปริมาณ CC ฉีดฟิลเลอร์ปาก
• ลักษณะรูปปากเดิม - ปากบางหรือไม่มีฐานกระจับ อาจต้องใช้มากขึ้น
• สัดส่วนปากบน-ล่าง - หากต้องการปรับสมดุล อาจต้องเติมทั้งสองฝั่ง
• เทคนิคที่ใช้ - เช่น ทรงปากสายฝอ ทรงปากเกาหลี หรือ ทรงปากกระจับ ใช้ปริมาณแตกต่างกัน
• ต้องการให้ดูธรรมชาติ vs ปากเด่นชัด - บางคนอยากเติมเพียงจุดเล็ก ๆ ก็เพียงพอ
• เคยฉีดมาก่อนหรือไม่ - หากเคยฉีดแล้ว มีฟิลเลอร์เดิม อาจใช้แค่เติมบางจุด
ฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน
ฟิลเลอร์ปากสามารถอยู่ได้นานเฉลี่ย 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด โดยปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นาน มีดังนี้
• ชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ที่ใช้เทคโนโลยีผสมโมเลกุลเล็กและใหญ่ เช่น Vycross ในฟิลเลอร์ Juvederm จะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์เนื้อเบา
• ตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์ปาก ปากเป็นจุดที่ขยับบ่อย พูด ยิ้ม ทานอาหาร ทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมเร็วกว่าใต้ตาหรือขมับ
• การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เช่น ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนเพียงพอ งดสูบบุหรี่/แอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการขยับปากบ่อย ๆ หรือสัมผัสแรง ๆ
• พฤติกรรมของแต่ละคนหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เช่น คนที่ออกกำลังกายหนัก เผาผลาญเร็ว หรือมีระบบเผาผลาญดี ฟิลเลอร์อาจสลายเร็วขึ้น
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองอย่างไร
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวย คงรูปได้นาน และลดโอกาสเกิดอาการข้างเคียง เช่น บวม ช้ำ หรือฟิลเลอร์เคลื่อนผิดตำแหน่ง โดยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2-3 ลิตร เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำและคงตัวดี
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากประคบเย็นเบา ๆ บริเวณรอบริมฝีปาก (ห้ามกดโดยตรง)
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการจับ กด บีบ หรือเคลื่อนไหวริมฝีปากมากเกินไป
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดทาลิปสติกหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ บนริมฝีปาก ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการอักเสบ
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดของเผ็ดร้อน เค็มจัด อาหารหมักดอง และอาหารทะเล
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดดื่มเครื่องดื่มร้อน เช่น ชา กาแฟ หรือซุปเดือด ๆ
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูดน้ำในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรนอนหงาย และหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือตะแคงทับริมฝีปาก
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหนุนหมอนสูงเล็กน้อยเพื่อลดอาการบวม
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง ยกเวท หรือคาร์ดิโอ 3-5 วัน
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงซาวน่า ห้องอบไอน้ำ หรือโยคะร้อน
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดทำหัตถการที่ให้ความร้อน เช่น เลเซอร์ RF หรือทรีตเมนต์ต่าง ๆ บริเวณปาก เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดแต่งหน้าอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เมื่อกลับมาแต่งหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหากมีอาการปวดบวมมากผิดปกติ หรือมีอาการปวดรุนแรงเฉพาะจุด ควรพบแพทย์ทันที
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหากมีอาการชาบริเวณริมฝีปาก หรือริมฝีปากซีดผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที
• หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหากพบก้อนแข็ง แดง ร้อน หรือมีอาการอักเสบ บ่งบอกถึงการติดเชื้อหรือเส้นเลือดอุดตัน ควรพบแพทย์ทันที
ฉีดฟิลเลอร์ปาก เจ็บไหม
การฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บหรือไม่ เป็นคำถามที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งความรู้สึกเจ็บนั้นสามารถเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่มักเป็นความรู้สึกแค่เล็กน้อยและทนได้ เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมก่อนทำอย่างดี โดยแพทย์จะใช้เทคนิคและยาชาช่วยลดอาการเจ็บให้น้อยที่สุด
ปัจจัยที่ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลงขณะฉีดฟิลเลอร์ปาก
• ทายาชาหรือแปะยาชาก่อนฉีด แพทย์จะทายาชาก่อนทำประมาณ 20-30 นาที ช่วยให้ผิวบริเวณปากชาและรู้สึกสบายขึ้นมาก
• ใช้ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ฟิลเลอร์แท้คุณภาพสูง เช่น Juvederm, Restylane, Belotero รุ่นสำหรับปาก มักมีส่วนผสมของยาชา เมื่อฉีดเข้าไปจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บระหว่างทำทันที
• เทคนิคของแพทย์ แพทย์จะใช้เทคนิคฉีดอย่างแม่นยำและเบามือ ใช้เข็มเล็กพิเศษหรือเข็มทู่ (Cannula) ที่เจ็บน้อยกว่าเข็มทั่วไป
• ความเจ็บขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล คนที่ผิวบางหรือไวต่อความรู้สึกอาจรู้สึกเจ็บมากกว่าปกติ บางคนอาจรู้สึกแค่ตึง ๆ นิด ๆ เท่านั้น
ฉีดฟิลเลอร์ปาก กี่วันเข้าที่ บวมกี่วัน
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก หลายคนมักสงสัยว่า ปากจะบวมนานไหม และ เมื่อไรฟิลเลอร์จะเข้าที่ดูสวยงาม ซึ่งโดยทั่วไป อาการบวมและการเข้าที่ของฟิลเลอร์ปาก มีระยะเวลาชัดเจน ดังนี้
1.อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
• จะเกิดขึ้นทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก และอาจอยู่ประมาณ 2-5 วัน
• เป็นอาการปกติจากการฉีดสารเข้าผิวหนังและการขยับบริเวณริมฝีปาก
• ช่วง 1-2 วันแรก จะบวมมากที่สุด โดยเฉพาะตอนตื่นนอน
• หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด
2.ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์ปากเข้าที่
• ฟิลเลอร์ปากจะเริ่มเข้าที่ภายใน 7-14 วัน หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
• รูปทรงจะนิ่ง เข้าที่ และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
• หากยังมีรอยช้ำหรือไม่สมดุลบางจุดในช่วงนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
3.นัดติดตามผลหรือเติมแต่ง
• แพทย์มักนัดตรวจติดตามประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
• หากต้องการเติมเล็กน้อยหรือแก้ไขทรง จะทำในช่วงนี้ เพราะปากเข้าที่แล้ว
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ห้ามอะไรบ้าง
หลังการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีข้อห้ามที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม และฟิลเลอร์อยู่ได้นาน ไม่เคลื่อนหรือเป็นก้อน การดูแลช่วงแรกมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ซึ่งเป็นช่วงที่ฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรงดในช่วง 1-7 วันแรก มีดังนี้
1.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามจับ กด บีบ หรือคลึงบริเวณริมฝีปาก การสัมผัสแรงอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดตำแหน่งหรือเป็นก้อนได้
2.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามใช้หลอดดูดน้ำ การดูดทำให้ริมฝีปากขยับแรงเกินไป ซึ่งอาจรบกวนการจัดเรียงตัวของฟิลเลอร์
3.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์และนิโคตินรบกวนระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ไม่ทน และอาจบวมช้ำนานกว่าปกติ
4.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามกินของร้อนจัด เผ็ดจัด หรืออาหารหมักดอง ของร้อนกระตุ้นการไหลเวียนเลือด อาจทำให้บวมเพิ่มขึ้น และอาหารหมักดองอาจเพิ่มโอกาสการติดเชื้อหรืออักเสบ
5.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามแต่งหน้าหรือทาลิปสติกทันที ควรรออย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนเริ่มแต่งหน้า ลดความเสี่ยงการระคายเคืองหรือการอุดตันบริเวณรูเข็ม
6.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามออกกำลังกายหนัก กิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหรือหัวใจเต้นแรง เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ยกเวทหนัก ควรงดอย่างน้อย 3-5 วัน
7.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามนอนคว่ำหรือนอนตะแคงทับริมฝีปาก ท่านอนเหล่านี้อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนหรือทรงปากเบี้ยว ควรนอนหงาย หนุนหมอนสูงในช่วง 2-3 วันแรก
8.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากห้ามทำหัตถการร้อนบริเวณใบหน้า เช่น เลเซอร์ ทรีตเมนต์หน้า อบไอน้ำ หรือ RF ควรงดอย่างน้อย 7-14 วัน
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงอะไรอีกบ้าง
นอกจากข้อห้ามหลักที่ควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์ปากแล้ว ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์คงตัวได้ดี รูปทรงเข้าที่เร็ว และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การบวมเป็นก้อน ฟิลเลอร์เคลื่อน หรือเกิดการอักเสบ
พฤติกรรมเพิ่มเติมที่ควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
1.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการพูดเยอะหรือเคลื่อนไหวริมฝีปากมากเกินไปใน 24-48 ชม.แรก เช่น การคุยโทรศัพท์นาน ๆ หรือการหัวเราะแรง ๆ เพราะริมฝีปากยังอยู่ในช่วงจัดเรียงตัว
2.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการจูบหรือสัมผัสปากอย่างรุนแรง เพื่อป้องกันการกดหรือเปลี่ยนตำแหน่งของฟิลเลอร์ในช่วงที่ยังไม่เข้าที่
3.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ โดยเฉพาะยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น แอสไพริน) เพราะอาจเพิ่มโอกาสช้ำหรือเลือดออก
4.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการแปรงฟันแรงเกินไป อาจส่งแรงสั่นสะเทือนถึงริมฝีปาก ควรแปรงฟันเบา ๆ โดยเฉพาะช่วง 1-2 วันแรก
5.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการนวดหน้า การทำสปาหน้า หรือทรีตเมนต์ความร้อน รวมถึงเลเซอร์ โฟโน ไอออนโต หรือไฮฟู ที่อาจกระทบต่อบริเวณปาก
6.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการเป่าลมจากเครื่องเป่าผมหรือไดร์ร้อนเข้าปากโดยตรง เพราะความร้อนอาจส่งผลให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
7.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการเดินทางไกลหรือขึ้นเครื่องบินในช่วง 24-48 ชม.แรก เพราะแรงดันอากาศอาจทำให้เกิดอาการบวม หรือรู้สึกตึงมากขึ้น
8.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักรอบปากในช่วงแรก โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือน้ำหอมที่อาจระคายเคือง
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ห้ามกินอะไรบ้าง
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก การเลือกรับประทานอาหารมีความสำคัญอย่างมาก เพราะบางประเภทของอาหารสามารถกระตุ้นการอักเสบ เพิ่มอาการบวม หรือทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็ว จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในช่วง 3-7 วันแรก อาหารที่ห้ามหรือควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ได้แก่
1.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด
• เช่น ซุปเดือดๆ เครื่องดื่มร้อน ชา กาแฟ
• เพราะความร้อนอาจกระตุ้นให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็ว และเพิ่มอาการบวม
2.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดจัด รสจัด
• เช่น ส้มตำเผ็ดมาก ก๋วยเตี๋ยวพริกแห้ง อาหารใต้
• มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด อาจทำให้บวมช้ำนานขึ้น
3.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง และของดิบ
• เช่น ปลาร้า ปูดอง กิมจิ เนื้อดิบ ยำไข่ดอง
• เสี่ยงต่อการติดเชื้อและการอักเสบของผิวโดยเฉพาะบริเวณที่ฉีด
4.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด
• เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม
• โซเดียมสูงทำให้ร่างกายบวมน้ำ อาจทำให้ปากบวมมากขึ้น
5.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ทุกชนิด
• เช่น เบียร์ เหล้า ไวน์ ค็อกเทล
• กระตุ้นการขยายตัวของเส้นเลือด เสี่ยงต่อการช้ำหรือบวมหนัก
6.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงคาเฟอีนในปริมาณมาก
• เช่น กาแฟเข้ม ชาเขียวเข้ม เครื่องดื่มชูกำลัง
• มีผลต่อระบบหมุนเวียนเลือดและความดัน ส่งผลต่อการบวมและฟิลเลอร์
7.หลังฉีดฟิลเลอร์ปากควรหลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด + แอลกอฮอล์ร่วมกัน
• เช่น ปิ้งย่าง + เบียร์ หรือชาบู + เหล้า
• ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ บวม และระคายเคืองเนื้อปาก
ฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม อาการข้างเคียง
การฉีดฟิลเลอร์ปากโดยทั่วไปไม่อันตราย หากทำโดยแพทย์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ และดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังทำ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับหัตถการอื่น ๆ ฟิลเลอร์ปากก็อาจมีอาการข้างเคียง หรือภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง โดยเฉพาะหากทำกับผู้ไม่มีประสบการณ์ หรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
อาการข้างเคียงที่พบบ่อย (ชั่วคราว)
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 1-7 วันแรก และจะค่อย ๆ หายไปเอง
• บวมแดง หรือช้ำ บริเวณที่ฉีด
• เจ็บเล็กน้อย หรือปวดตึง ขณะขยับริมฝีปาก
• ปากรู้สึกแข็งในช่วงแรก ก่อนฟิลเลอร์เซ็ตตัว
• มีรอยเข็มหรือบวมไม่เท่ากัน ซึ่งจะค่อย ๆ ยุบและเข้าที่ใน 7-14 วัน
อาการข้างเคียงที่ควรระวัง (พบได้น้อย แต่ต้องพบแพทย์ทันที)
• ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง ไม่กระจายตัว มักเกิดจากเทคนิคการฉีดไม่เหมาะสม หรือฟิลเลอร์ปลอม
• ปากซีด ชา หรือปวดรุนแรงเฉพาะจุด อาจเกิดจากเส้นเลือดถูกกดทับหรืออุดตัน (vascular occlusion)
• ติดเชื้อ บวมแดง ร้อน มีหนอง ต้องรับการรักษาทางการแพทย์ทันที
• แพ้ฟิลเลอร์ อาจมีผื่นแดง คัน หรือบวมเกินปกติ (พบได้น้อยมาก)
วิธีดูฟิลเลอร์แท้ให้ปลอดภัย
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก การเลือกฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ในการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะฉีดบริเวณปาก ใต้ตา แก้ม หรือคาง เพราะฟิลเลอร์ปลอมอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เป็นก้อน อักเสบ เส้นเลือดอุดตัน หรือเนื้อตาย ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้เพื่อความปลอดภัย
• ต้องเป็นฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในประเทศไทย
• มีเลขทะเบียน อย.ระบุชัดเจนที่กล่อง สามารถตรวจสอบได้
• มีชื่อแบรนด์ฟิลเลอร์และรุ่นที่ชัดเจน
• มีสติกเกอร์ภาษาไทยกำกับข้างกล่อง
• เป็นของผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการในไทย
• ระบุชื่อรุ่น วันผลิต วันหมดอายุ และเลข อย.ชัดเจน
• แพทย์ควรเปิดกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า
• กล่องต้องซีลสนิท ไม่มีการเปิดมาก่อน
• ควรขอดูกล่องจริงก่อนฉีดทุกครั้ง
• ขอสติ๊กเกอร์ serial number ติดในใบรับรอง
• เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลถูกต้อง
อันตรายจากฉีดฟิลเลอร์ปลอม
การฉีดฟิลเลอร์ปากด้วยฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน มีความเสี่ยงสูงมาก และอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งต่างจากฟิลเลอร์แท้ชนิดที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์ปลอมมักเป็นสารแปลกปลอมที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย และอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม
1.อักเสบรุนแรง
• เกิดจากการที่ร่างกายต่อต้านสารแปลกปลอมที่ฉีดเข้าไป
• ผิวหนังบริเวณที่ฉีดจะบวม แดง ร้อน และอาจเกิดหนอง
• อาจลุกลามเป็นแผลติดเชื้อ หรือฝีเรื้อรัง
2.เกิดพังผืด และก้อนแข็ง
• ฟิลเลอร์ปลอมมักจับตัวเป็นก้อนแข็ง ไม่สามารถกระจายตัวเรียบเนียน
• ทำให้ผิวปากเป็นคลื่นหรือเสียรูป และแก้ไขยากมากในภายหลัง
3.ฟิลเลอร์ไหล หรือเคลื่อนผิดตำแหน่ง
• เพราะไม่มีโครงสร้างยึดเกาะเหมือนฟิลเลอร์แท้
• อาจไหลลงมุมปาก แก้ม หรือขอบริมฝีปาก ทำให้ใบหน้าผิดรูป
4.เกิดเนื้อตาย
• หากฉีดเข้าเส้นเลือด หรือไปกดทับเส้นเลือดสำคัญ จะทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่ได้
• ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นดำคล้ำ กลายเป็นเนื้อตาย ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
5.ตาบอดถาวร (กรณีรุนแรง)
• ฉีดฟิลเลอร์ผิดจุดในบริเวณที่มีเส้นเลือดเชื่อมโยงกับลูกตา
• ฟิลเลอร์อาจเข้าไปอุดตันหลอดเลือดจอตา ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นถาวร
6.แพ้สารในฟิลเลอร์ปลอม
• อาจมีอาการคัน ผื่นแดง บวมทั้งหน้า คลื่นไส้ หรือในบางรายถึงขั้นช็อก
ฟิลเลอร์ปากฉีดสลายได้ไหม
ฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดสลายได้ โดยเฉพาะหากใช้ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์เฉพาะโดยไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
ฟิลเลอร์ปากฉีดสลายได้ในกรณีใดบ้าง
• ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วไม่พอใจรูปทรง เช่น ปากไม่สมดุล ปากหนาเกินไป หรือไม่เข้ากับรูปหน้า
• ฉีดฟิลเลอร์ปากผิดตำแหน่ง หรือฟิลเลอร์เคลื่อน อาจเกิดจากแพทย์ไม่มีความชำนาญ หรือคนไข้เผลอจับกดหลังทำ
• ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเกิดก้อนแข็ง หรือเป็นคลื่น บางกรณีอาจเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป หรือไม่กระจายตัวดี
• ฉีดฟิลเลอร์ปากแต่ต้องการเปลี่ยนทรงใหม่ เช่น จากปากธรรมชาติอยากเปลี่ยนเป็นปากกระจับ หรือในทางกลับกัน
• ฉีดฟิลเลอร์ปากด้วยฟิลเลอร์ปลอม หรือสงสัยว่าไม่ได้ใช้ฟิลเลอร์แท้ แพทย์จะพิจารณาฉีดสลายออกบางส่วนเพื่อความปลอดภัย
ฟิลเลอร์ปาก vs ผ่าตัดปาก
การปรับรูปทรงริมฝีปากสามารถทำได้ทั้งแบบฉีดฟิลเลอร์ปากและผ่าตัดศัลยกรรมปาก ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน โดยเหมาะกับวัตถุประสงค์และสภาพปากของแต่ละบุคคล ดังนั้นการเลือกวิธีที่เหมาะสมจึงควรขึ้นอยู่กับเป้าหมาย รูปหน้า และคำแนะนำของแพทย์
เปรียบเทียบ ฟิลเลอร์ปาก vs ผ่าตัดปาก
|
ฟิลเลอร์ปาก |
ผ่าตัดปาก |
หลักการ |
ฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid |
ตัดแต่งเนื้อริมฝีปากด้วยมีดผ่าตัด |
วัตถุประสงค์ |
เพิ่มวอลลุ่ม / ปั้นรูป / ยกมุมปาก |
ปรับรูปถาวร / ลดขนาดปากหนา / ตัดแต่งทรง |
ผลลัพธ์เห็นผลเมื่อไร |
เห็นผลทันทีหลังทำ |
เห็นผลหลังแผลหายสนิท (1–2 เดือน) |
ระยะเวลาอยู่ได้ |
6–18 เดือน (ขึ้นกับรุ่นฟิลเลอร์) |
ถาวร |
ความเจ็บ |
เจ็บเล็กน้อย มีการทายาชาและฟิลเลอร์มีส่วนผสมยาชา |
เจ็บมากกว่า มีแผล ต้องพักฟื้น |
การฟื้นตัว |
ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องพักงาน |
มีแผล ต้องพักฟื้น 5–7 วัน |
สามารถแก้ไขได้ไหม |
แก้ไขได้ง่าย ฉีดสลาย / เติมเพิ่ม |
แก้ไขยาก ต้องผ่าตัดใหม่ |
เหมาะกับใคร |
คนที่ต้องการลุคธรรมชาติ เปลี่ยนรูปชั่วคราว |
คนที่ปากหนา เบี้ยว อยากแก้ไขถาวร |
ความเสี่ยง |
ช้ำ บวม ก้อน (หากฉีดผิดวิธี) |
แผลเป็น ติดเชื้อ ปากเบี้ยว |
ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร
• ผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม ให้ริมฝีปากดูละมุน
• ต้องการปรับรูปปากแบบไม่ถาวร เช่น ปากกระจับ ยกมุมปาก
• ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น
• ต้องการลุคธรรมชาติ แก้ไขได้เมื่อไม่พอใจ
ผ่าตัดปาก เหมาะกับใคร
• ผู้ที่มีปากหนา ปากยื่น หรือปากเบี้ยวชัดเจน
• ต้องการปรับรูปทรงถาวร
• ยอมรับได้กับการมีแผลและระยะพักฟื้น
• เคยฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ได้ผล หรือมีพังผืดจากฟิลเลอร์ปลอม
สรุป ฟิลเลอร์ปาก vs ผ่าตัดปาก
หากต้องการผลลัพธ์ชั่วคราว ไม่เจ็บมาก และไม่มีแผล ฟิลเลอร์ปากคือทางเลือกที่ดี เหมาะสำหรับการเริ่มต้นปรับรูปปากแบบไม่ถาวร แต่หากริมฝีปากมีโครงสร้างปากผิดปกติชัดเจน ต้องการแก้ไขถาวร การผ่าตัดศัลยกรรมปากอาจให้ผลลัพธ์ตรงจุดมากกว่า
รวมคำถามที่พบบ่อย Q&A ฟิลเลอร์ปาก
ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่วันทาลิปได้
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถเริ่มทาลิปสติกได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง โดยมีเงื่อนไขว่าอาการบวมแดงหรือระคายเคืองต้องหายดีแล้ว ไม่มีรอยเข็มเปิด หรือแผลตกค้างบริเวณริมฝีปาก ซึ่งช่วงเวลาในการเริ่มทาลิปอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของร่างกายและการดูแลหลังทำ
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วบวมเกิดจากสาเหตุอะไร
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเกิดอาการบวม ถือเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย และมักจะหายไปเองภายใน 2-7 วัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยอาการบวมนี้เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อกระบวนการฉีด และลักษณะของฟิลเลอร์ที่ใช้ ซึ่งไม่ใช่สัญญาณอันตรายเสมอไป หากไม่มีอาการอื่นร่วม เช่น ปวดรุนแรง ชา หรือผิวซีดคล้ำ
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
1.การบาดเจ็บเล็กน้อยจากเข็มฉีดฟิลเลอร์ปาก
• การใช้เข็มฉีดหรือ cannula ทำให้เกิดการกระตุ้นเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังเล็กน้อย
• ส่งผลให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาบวมแดงและอักเสบชั่วคราว
2.คุณสมบัติของฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA)
• ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการดูดน้ำและอุ้มน้ำ ทำให้บริเวณที่ฉีดฟูขึ้นในช่วงแรก
• เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติที่ทำให้ปากดูบวมใน 24-72 ชั่วโมงแรก
3.การตอบสนองของร่างกายแต่ละคน
• คนที่ผิวบาง เส้นเลือดฝอยเยอะ หรือแพ้ง่าย อาจบวมมากกว่าคนอื่น
• ระบบไหลเวียนเลือดหรือภูมิคุ้มกันก็มีผลต่อระดับการบวม
4.เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ปากของแพทย์
• หากฉีดชั้นผิวไม่ลึกพอ หรือฉีดหลายจุดเกินไปในครั้งเดียว อาจกระตุ้นให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
• แพทย์ที่มีความรู้จะสามารถลดการบวมได้ด้วยเทคนิคเฉพาะ
5.พฤติกรรมหลังฉีดฟิลเลอร์ปากไม่เหมาะสม
• เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารรสจัด นอนตะแคงทับปาก หรือใช้หลอดดูดน้ำ
• สิ่งเหล่านี้กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และทำให้เกิดการบวมเพิ่มขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นก้อน เกิดจากอะไร
ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนเป็นภาวะที่หลายคนกังวลหลังการฉีด โดยทั่วไปหากใช้ฟิลเลอร์แท้และฉีดโดยแพทย์จะพบได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นก็สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งด้านเทคนิค การดูแลหลังทำ หรือคุณสมบัติของฟิลเลอร์เอง ซึ่งสามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่ต้น
สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อน
1.เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ปากผิดพลาด
• ฉีดตื้นเกินไป หรือฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งเดิมซ้ำ
• ฉีดมากเกินจุด ทำให้ฟิลเลอร์กระจุกตัว ไม่กระจายเรียบ
2.การใช้ฟิลเลอร์คุณภาพต่ำ หรือฟิลเลอร์ปลอม
• ฟิลเลอร์ปลอมไม่มีคุณสมบัติยืดหยุ่น จึงไม่กระจายตัว และมักแข็งตัวในผิว
• เกิดก้อนแข็ง ติดแน่น หรืออักเสบเรื้อรัง แก้ไขยาก
3.เนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบริเวณปาก
• ใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งหรือหนืดเกินไป เช่น ฟิลเลอร์สำหรับคางหรือแก้ม มาใช้กับปาก
• บริเวณปากต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มเท่านั้น เช่น Juvederm Volbella, Restylane Kysse
4.การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ปากไม่ถูกต้อง
• การจับ บีบ กด หรือถูริมฝีปากหลังฉีด ทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนและรวมตัวเป็นก้อน
• ใช้หลอดดูดน้ำ หรือเคลื่อนไหวปากมากเกินไปใน 48 ชั่วโมงแรก
5.ร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์
• บางรายอาจเกิดพังผืดเล็กน้อย ล้อมรอบฟิลเลอร์ ทำให้รู้สึกเป็นก้อนนูนเล็ก ๆ
• พบได้ในบางคนที่ผิวบาง หรือเคยฉีดซ้ำหลายรอบ
ผ่าตัดทำปากบางมาแล้วฉีดฟิลเลอร์ปากได้ไหม
สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากได้ หลังจากเคยผ่าตัดทำปากบางมาแล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้การประเมินอย่างละเอียดโดยแพทย์ เนื่องจากการผ่าตัดปากเป็นการปรับแต่งโครงสร้างเนื้อเยื่ออย่างถาวร ซึ่งส่งผลต่อผิวหนัง กล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของริมฝีปากโดยตรง การฉีดฟิลเลอร์ซ้ำในบริเวณที่เคยผ่าตัดมาก่อนจึงต้องใช้ความระมัดระวังสูงกว่าปกติ
สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ปาก
สรุปว่า การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถปรับรูปทรงริมฝีปากได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปากกระจับหรือปากอวบอิ่มเซ็กซี่ ทั้งยังเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นาน ฟื้นตัวเร็ว และสามารถเห็นผลทันทีหลังทำ รวมถึงไม่เป็นอันตรายหากเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้และทำโดยแพทย์
อย่างไรก็ตามแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การฉีดฟิลเลอร์ปากก็ยังต้องอาศัยความเข้าใจในการเตรียมตัว การเลือกเทคนิคให้เหมาะสม รวมถึงการดูแลหลังทำอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามในระยะยาว หากคุณกำลังสนใจฉีดฟิลเลอร์ปาก การปรึกษาแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างมั่นใจ
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ